[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) Chapter 23 : ฉากในละคร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 23 :  ฉากในละคร


 

กลับถึงบ้านไปผมก็ไม่ได้คุยกับพ่อเลย  พ่อคงจะรู้แล้วก็เลยเอาแต่เมินจนผมลำบากใจ  ขนาดพยายามชวนคุยตอนกินข้าวเย็นพ่อก็เอาแต่เงียบจนคนในบ้านลำบากใจ  พอกินข้าวเสร็จไอ้ป้องก็รีบขอตัวไปทำการบ้านส่วนพี่ชัชก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก  คงอึดอัดกันพอสมควร  แต่ไม่ใช่แค่พ่อนะครับที่โกรธผม  ดูเหมือนไอ้ป้องก็โกรธเหมือนกัน

“พ่อเขาคงยังทำใจไม่ได้น่ะลูก” แม่บอกขณะที่ผมกำลังจะเดินไปหาพ่อที่นั่งดูทีวีอยู่ใบห้องนั่งเล่น

“แล้วแม่ล่ะครับ? รับได้ไหม?” ผมหันกลับไปถามแม่ด้วยความลำบากใจ

“บอกตรงๆ แม่ก็ไม่ชอบใจนักหรอกที่เป็นแบบนี้เพราะลุกซ์ทำเราเจ็บมาเยอะมากจริงๆ  เปอร์ตอนที่รับรู้เรื่องของลุกซ์ดูเหมือนคนไร้วิญญาณเลยนะรู้ไหม  แม่ไม่อยากให้ลูกทรมานอีกแล้วนะ” แม่ลูบแก้มผมเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนแต่ทว่าแฝงไปด้วยความเศร้า

“แม่ครับ ผมจะไม่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจอีก” ผมจับมือม่ากุมไว้ก่อนที่แม่จะยิ้มให้แล้วดันหลังผมไปหาพ่อ

ผมหันไปมองแม่ที่ถอยออกไปยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปนั่งข้างพ่อที่นั่งนิ่งเป็นท่อนไม้ไม่ไหวติง  ยิ่งรู้ว่าผมมานั่งข้างๆ พ่อยิ่งเชิดหน้าตั้งคอซะแข็งทื่อเลยครับ

“พ่อครับ ผมยังไม่ได้กลับไปคืนดีซักหน่อย  เขาทำผมขนาดนั้นผมคงจะกล้ากลับไปเจ็บซ้ำซากหรอกนะครับ” ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะพูดโดยไม่มองหน้าพ่อ

“จะทำอะไรก็เรื่องของแก” พ่อพูดเสียงห้วน

“ผมใจอ่อนมาหลายต่อหลายครั้งจนเขาได้ใจ  ผมคิดว่า...ผมจะไม่กลับไปแล้วล่ะ” ผมกลั้นใจพูดออกไป  ถ้าผมกลับไปหาพี่ลุกซ์พ่อกับแม่จะต้องเสียใจและคนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นผมเพราะตลอดเวลาที่ผมอยู่กับพี่ลุกซ์ ถึงผมจะอยู่ในฐานะแฟนแต่ผมก็ยังต้องร้องไห้เสียใจอยู่บ่อยครั้ง  พี่ลุกซ์เขาไม่เหมือนใครครับ  ความรักของเขามาต่างจากคนอื่นซึ่งผมไม่เคยชินกับมันเลยสักครั้ง

“...” พ่อเงียบ

“...” ผมก็เงียบไป

“แล้วแกไม่รักมันแล้วหรือไง?” พ่อถาม  ผมเหลือบตาไปมองพ่อนิดๆ ก่อนจะยิ้ม  เฮ้อ พ่อก็ยังเป็นพ่อ  ปากแข็ง หัวแข็ง  เป็นห่วงทั้งความรู้สึกของผมและความรู้สึกของพี่ลุกซ์แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ

“รักสิครับ  แต่ผมรักพ่อกับแม่มากกว่า  ถึงมันจะเป็นความรักคนละแบบแต่ถ้าให้เลือกผมก็ต้องเลือกพ่อกับแม่อยู่แล้ว” ผมพูด  ใช่ครับ เขาไม่ได้ให้กำเนิดและไม่ได้เลี้ยงให้ผมโตนี่นา  ถ้าพ่อกับแม่ไม่ชอบผมก็ควรถอยออกมา

“ไม่เจ็บหรือไง?” ผมถามอีก  คราวนี้หันมามองหน้าผมด้วยล่ะ

“ทำไมจะไม่เจ็บล่ะครับ  ก็นะ...เขาเป็นคนเปลี่ยนผมนี่ครับ  ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนผมก็คิดถึงแต่เขานั่นแหละครับ  แต่ว่า...ถ้าผมกลับไปผมอาจจะเจ็บใช่ไหมล่ะ?” ผมพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางสบายๆ

“จะลองให้โอกาสมันอีกซักครั้งฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ  แต่ถ้าร้องไห้กลับมาเมื่อไหร่มันตายแน่” พ่อพูดก่อนจะเชิดคอตั้งเหมือนเดิม  ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะขยับนั่งหันหลังแล้วเอนตัวไปพิงพ่อ

“เอางั้นเหรอครับ?  ไม่ดีหรอก” ผมหลับตาพริ้มแล้วบอกออกไป

“บางที...ถ้าไม่มีไอ้หมอนั่นป่านนี้แกอาจจะไม่ใช่เปอร์ในตอนนี้ก็ได้  จะว่าไป ถึงแกจะร้องไห้บ่อยแต่ชีวิตแกก็ดีขึ้นเพราะมัน  แต่ว่า...ฉันก็ไม่ชอบขี้หน้ามัน” พ่อพูดพลางทำหน้ายุ่งๆ  ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะขยับลงนอนที่ตักของพ่อแล้วจับมือพ่อมาทาบแก้มของตัวเอง

“ผมรักพ่อนะ  ผมสัญญาแล้วว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเองอีก” ผมบอกพลางลูบหลังมือผมเบาๆ  ผมทำอย่างกับพ่อเป็นแม่แน่ะ ฮ่าๆ  เวลาเครียดๆ แล้วได้นอนตักแม่นี่รู้สึกดีชะมัด

“อืม อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ  ฉันอาจจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ถ้าแกต้องการก็ทำตามใจเลย  ความสุขของแกพ่อกับแม่หามาให้ไม่ได้ทั้งหมดหรอก” พ่อพูดพลางเอามือมาปัดผมปิดหน้าผากของผมแล้วลูบหัวผมเล่นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ

 

หลังจากปรับความเข้าใจกับพ่อเสร็จ ผมก็กลับขึ้นไปบนห้อง  ยังไม่ทันจะได้พักผ่อนโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น  คนที่โทรมานั่นคือพี่ลุกซ์ครับ  เขาโทรมาบอกให้ผมกลับไปทำงานพรุ่งนี้เลย  ผมก็ตอบรับ  ผมตกลงกับเขาไว้แล้วนี่ว่าจะกลับไปทำงานและจะยอมรับฟังสิ่งที่เขาจะอธิบาย  แต่ไม่ได้บอกนะว่าจะยอมกลับไปคืนดี

 

เช้าวันต่อมาผมก็แต่งตัวไปทำงาน  พอไปถึงพวกสาวๆ ที่ออฟฟิศก็พากันมาต้อนรับใหญ่เลยครับ  บ่นคิดถึงกันยกใหญ่แถมซื้อขนมมาให้ผมด้วย  ขนมร้านเอกด้วยล่ะ  แหม...สาวๆ ที่นี่รู้ใจผมจัง  นอกจากสาวๆ พวกพี่ผู้ชายก็เข้ามาแสดงความยินดีที่ผมกลับไปทำงานอีกครั้งเช่นกันครับ  ผมนึกว่าคนที่แผนกจะหมั่นไส้ผมซะแล้วนะเนี่ย

“ผมนึกว่าพวกพี่ๆ จะไม่อยากให้ผมกลับาทำงานแล้วซะอีก” ผมพูดกับพี่พลอยหลังจากที่สาวๆ กลับไปทำงานของตัวเองแล้ว

“ทำไมล่ะ?” พี่พลอยถามอย่างสงสัย

“ก็...ประธานเขาไม่ดุผมเหมือนคนอื่นๆ นี่ครับ  ผมว่ามันดูสองมาตรฐาน” ผมก้มหน้าบอก

“อู๊ย! ไม่เลยเปอร์ ไม่มีใครหมั่นไส้เปอร์เลยนะ  ดีซะอีก เพราะมีเปอร์ประธานเลยดุน้อยลง  ตอนเปอร์ไม่อยู่มีแต่คนอยากลางาน  ระเบิดลงออฟฟิศไม่เว้นแต่ล่ะวัน  เพราะมีเปอร์ประธานก็เลยอารมณ์ดีแถมยังไม่กล้าโวยวายต่อหน้าเปอร์ด้วย สงสัยเพราะอยากดูเท่ในสายตาเปอร์ล่ะมั้ง อิ๊ๆ” พี่พลอยพูดอย่างอารมณ์ดีพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ปิดท้าย

“แต่เขาก็เคยดุคนในออฟฟิศต่อหน้าผมนะ” ผมพูด

“นั่นเล็กน้อย แถมยังดุเพื่อเปอร์ด้วยนะ  แต่จะว่าไป ถึงจะดุแต่เขาก็ฮอตมากในหมู่สาวๆ นะจะบอกให้  ถึงจะน่ากลัวแต่สาวๆ ในออฟฟิศเราก็ตั้งให้เขาเป็นหนุ่มชวนฝัน  นอกจากนั้นสาวๆ ที่ออฟฟิศอื่นยังแอบมามองหน้าประธานบ่อยๆ เลย  ไม่ใช่แค่บริษัทเราด้วยนะ  บริษัทอื่นก็เม้าธ์เรื่องประธานกันซะมันเลยล่ะ” พี่พลอยพูด  มันก็สมควรล่ะนะ  หน้าตาแบบนั้นนี่นา  ฮอตมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แต่ดีนะตอนที่เราคบกันไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่งเพราะเขามักจะทำตัวน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้  แต่ตอนนี้คงจะมาสาวๆ เข้าหาเยอะล่ะสิ  ทั้งหล่อทั้งรวยแถมยังเก่ง  ต่อให้น่ากลัวก็คงไม่มีใครสนใจในจุดนั้น  ขนาดยัยเด็กบัวตี้นั่นยังไม่สะทกสะท้านเลย

“อะแฮ่ม! คุยอะไรกันครับ?” ผมกับพี่พลอยสะดุ้งแทบจะพร้อมกันเนื่องจากเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นข้างหลังในขณะที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว “อ่ะ ผมซื้อมาฝาก  เอาไปแบ่งกันกินสิ” ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้ตอบอะไรพี่ลุกซ์ก็ยื่นถุงขนมมาให้  พี่พลอยรับไปเนื่องจากผมไม่รับก่อนจะขอบคุณ

“สาวๆ ที่ออฟฟิศซื้อมาให้ผมเยอะแล้วครับ  ผมกินไม่หมด” ผมหันไปบอกเขาขณะที่พี่พลอยกำลังเอาขนมที่พี่ลุกซ์ซื้อมาให้ไปใส่จานที่ห้องสวัสดิ์การ

“ของพวกนั้นเอากลับไปกินที่บ้านสิ  ตอนนี้ก็กินของผม” พี่ลุกซ์พูดพลางยิ้มที่มุมปากจนผมต้องหลบตาวูบ  โอเค  ผมหวั่นไหวเองแหละครับ

“...” ผมเงียบไม่พูดอะไร  ไม่อยากจะบอกว่าผมตั้งใจจะทำอย่างที่เขาว่านั่นแหละ  ไม่ใช่เพราะอะไรนะ  เพราะพี่พลอยไปจัดการขนมที่เขาซื้อาใส่จานแล้วน่ะสิ

“งั้น...ผมขอเค้กที่สาวๆ ซื้อมาฝากคุณได้ไหม?  แล้วก็...เอากาแฟด้วยนะ” พี่ลุกซ์บอกผมจึงพยักหน้ารับเขาจึงเดินเข้าไปในห้องทำงาน

“อ้าว ประธานเข้าห้องไปแล้วเหรอ?” พี่พลอยถามเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องสวัสดิ์การ

“ครับ เขาจะกินเค้กกับกาแฟน่ะครับ” ผมบอกก่อนจะไปชงกาแฟ

“จะว่าไปช่วงนี้บรรยากาศระหว่างเปอร์กับประธานดีขึ้นเนอะ  ดีจังเลยน้า” พี่พลอยพูดยิ้มๆ พลางแกะกล่องเค้กให้ผม

“ก็นะ  ผมยอมรับฟังสิ่งที่เขาจะบอก  แต่จะยอมรับได้ไหมนั้นมันก็เท่านั้นเองครับ” ผมชงกาแฟเสร็จก็หันไปยิ้มให้พี่พลอย

“ดีแล้วล่ะจ้ะ  อย่างน้อยก็ยอมคุยกันนี่เนอะ  เอ้า ประธานรอละ” พี่พลอยยิ้มพลางยกเค้กมาให้  ผมยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากห้องสวัสดิ์การแล้วต่อเข้าไปที่ห้องของพี่ลุกซ์ทันที

 

ผมเดินเอาเค้กกับกาแฟไปให้พี่ลุกซ์ในห้องและขณะที่กำลังจะเดินออกไปพี่ลุกซ์ก็คว้าแขนผมเอาไว้แล้วฉุดผมให้เซไปนั่งตัก  ผมสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะนิ่งไปและยอมให้เขากอดเอวผมเอาไว้  ที่ยอมไม่ใช่เพราะใจง่าย  แต่มันป่วยการจะขัดขืนนี่ครับ

“พ่อว่าไงบ้าง?” พี่ลุกซ์ถาม

“ก็แค่บอกให้คิดดีๆ น่ะครับ” ผมบอกไปตามตรง

“แล้วคิดหรือยัง?”

“คิดครับ  ค่อยๆ คิดไป  แต่คิดว่าผมคงไม่เปลี่ยนความคิดที่มีมาตั้งแต่แรกหรอก” ผมบอกเสียงนิ่ง

“หัวแข็งจังเลยน้า  ดูทำหน้าเข้า จะเย็นชาไปถึงไหน” พี่ลุกซ์จับตัวผมให้นั่งหันข้างก่อนจะเอื้อมมือมาปัดผมข้างหน้าของผมอย่างเบามือ

“ใครดีมา ผมดีกลับ ใครร้ายมาผมก็จะร้ายกลับ  และใครที่เย็นชามา...ผมก็จะเย็นชากลับ” ผมพูด  ก่อนหน้าที่ความจริงจะเปิดเผย เขาเย็นชากับผมมากครับ  ทั้งคำพูดและการกระทำ  ผมเจ็บปวดจนแทบกระอัก

“ขอโทษนะที่ต้องทำแบบนั้น  แต่ตอนนั้นกูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ  ตอนที่มึงมาเจอกูที่คอนโดกูทำอะไรไม่ถูกจริงๆ นะ  กูยังไม่ได้หาเหตุผลที่จะมาอธิบายให้มึงฟังเลย  มันอาจจะดูโง่แต่กูทำแบบนั้นไปแล้ว  มันแก้ไขอะไรไม่ได้...”

“ก็เลยต้องแก้ตัว” ผมสวนขึ้นด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิททำเอาพี่ลุกซ์นิ่งไป

“ใช่ ต้องแก้ตัวจริงๆ นั่นแหละ  แต่กูเองก็รอเวลาที่จะเจอมึงมาโดยตลอดเหมือนกัน  กูพยายามอดทนที่จะไม่ไปหามึงเพื่อที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในสามเดือน  แต่มึงดันมาหากูซะก่อน  สมองกูแอเรอร์ไปเลยนะตอนนั้น” พี่ลุกซ์พูดพลางมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอนจนผมต้องรีบหลบสายตา  ผมบอกแล้วไงว่าผมแพ้สายตาของเขา  ยิ่งสายตาแบบนี้ที่ไม่ค่อยจะเห็นผมยิ่งแพ้

“ก็เลยต้องทำตัวแบบนั้น  มันไม่ดูโง่ไปหน่อยเหรอ?” ผมถามโดยไม่มองหน้าเขา

“โง่สิ  มันโง่มากจริงๆ นั่นแหละ  แต่ถ้ากูบอกเรื่องทุกอย่างกับมึงกูมั่นใจว่ากูคงจะอดทนไม่ให้ทำตัวติดหนึบกับมึงไม่ไหวหรอก  พอเป็นแบบนั้นพ่อเปรียวก็จะรู้เรื่องและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้เราเลิกกัน  เขาไม่เลือกวิธีหรอกนะ  ซึ่งนั่นอาจจะทำให้มึงต้องเดือดร้อนมากก็ได้  ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ” พี่ลุกซ์พูด  ผมก็เข้าใจนะ แต่ตอนนี้ผมยังปรับตัวให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้  โอเค ผมรับเรื่องทั้งหมดได้แล้วล่ะแต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมไม่เหมือนเดิม “ถึงจะมีเรื่องอะไรเข้ามามากมายแต่กูยังรักมึงเหมือนเดิมนะ” พี่ลุกซ์ใช้มือข้างหนึ่งประคองเอวผมไว้แล้วใช้มืออีกข้างจับมือผมไปจูบเบาๆ  อ่า...เล่นจุดอ่อนของหัวใจกูอีกแล้ว  ทั้งคำบอกรัก ทั้งจูบที่มือ  กะจะให้ระทวยแม่งตอนนี้เลยใช่ไหม?

“ความรู้สึกของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” ผมบอกก่อนจะปัดมือพี่ลุกซ์ออกแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยวเปอร์!

หมับ!

ตุบ!

“อั้ก!” เสียงที่แสดงถึงความจุกดังขึ้นเมื่อพี่ลุกซ์ลุกขึ้นมาเพื่อคว้าตัวผมเอาไว้แต่ดูเหมือนว่าพี่มันจะสะดุดเก้าอี้ทำให้พุ่งมาหาผม  ผมเบิกตากว้างเตรียมรับชะตากรรมว่าจะต้องล้มโดยมีพี่ลุกซ์ทับอยู่ด้านบนแต่ว่าพี่มันคว้าตัวผมแล้วพลิกให้ไปอยู่ด้านบนแล้วใช้หลังของตัวเองกระแทกพื้นแทน

จุ๊บ!

“อ่า...เจ็บชะมัด  แต่...คุ้มดีนะ ฮึๆ” พี่ลุกซ์ทำหน้าเจ็บก่อนจะยิ้มนิดๆ ทำเอาผมหน้าร้อนฉ่าแล้วรีบคว้าผมข้างหน้าของพี่มันไว้แล้วทึ้งหัวเสียยกใหญ่หลังจากที่ริมฝีปากเราแตะกันโดยบังเอิญ

โคตรพ่อง! อย่างกับฉากเลิฟซีนในละคร  ห่า! มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าแม่งไม่จุกและเจ็บจริงๆ

“ฮึ่ย!” ผมทึ้งหัวเขาครั้งสุดท้ายอย่างแรงก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนทันที

“กูจะสร้างความรู้สึกใหม่ให้มึงเองเปอร์  ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเหมือนเดิมก็ได้  กูขอแค่โอกาส” พี่ลุกซ์พยุงตัวขึ้นมานั่งก่อนจะมองหน้าผมด้วยายตาจริงจังซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกร้อนที่หน้ามากกว่าเดิม

“ไม่ให้โว้ย!!” ผมโวยวายก่อนจะเดินกระแทกส้นตีนออกจากห้องด้วยอารมณ์ของคนซึน  ผมเขินผมยอมรับ  แต่ผมอยากจะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้นเอง




45% left



ก๊อกๆ

“ขอเข้าพบประธานหน่อยค่ะ” ผมสะดุ้งนิดๆ ขณะที่กำลังนั่งแปลเอกสารจากลูกค้าต่างประเทศเพราะมีคนมาโคะโต๊ะทำงาน  ผมมองคนเคาะก่อนจะทำหน้าเซ็งจิตเพราะผมคิดว่ายัยนี่มันต้องมาอ่อยคนที่มันถามหาชัวร์ป้าบ

“เขาทำงานอยู่ ต้องการใช้สมาธิ ไม่อยากให้ใครรบกวนครับ” ผมบอกยิ้มๆ เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ชอบยิ้มให้กับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเพื่อนหรือศัตรู  ผมว่า...ถ้าคนที่ต้องการยั่วโมโหเราเห็นเรายิ้มเขาคงจะหัวเสียไม่น้อย  สมัยนั้นผมหวิดจะถูกกระทืบบ่อยๆ ก็เพราะการยิ้มเสแสร้งของผมมันมักจะสะกิดตีนของคนอื่นน่ะสิครับ

“บิวตี้เอาเอกสารจากผู้จัดการมาให้เซ็น” ยัยเด็กบิวตี้มองผมด้วยสายตาเหยียดๆ ผมจึงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ  เด็กชอบเอาชนะมักจะเป็นอย่างนี้สินะ  เหมือนพี่ลุกซ์ชะมัดเลยแฮะ  ที่จริงก็...เหมือนผมนิดๆ ด้วยแหละ

“พี่ขอตรวจดูก่อนนะ” ผมบอกพลางแบมือไปตรงหน้าพลางพยายามพูดดีๆ

“ยุ่งน่ะพี่เปอร์” ยัยเด็กบิวตี้กอดอกทำหน้าหงุดหงิด  เด็กเวร...อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะเว้ย

“นี่เป็นหน้าที่ของพี่ครับ  พี่ว่าบิวตี้เรียนรู้นิสัยรอบคอบจากพี่ไว้ก็ดีนะครับจะได้ไม่ทำงานพลาด  ปากไวใจเร็วแบบนี้ระวังจะถูกเด้งนะ” ผมพูดยิ้มๆ แต่เนื้อความที่พูดนี่ขอบอกเลยว่าตั้งใจให้กระทบ  เหอะ จิกเก่งเป็นไก่เชียวกู

“งั้นก็รีบๆ ตรวจสิคะ บิวตี้จะได้เอาเข้าไปให้ประธานซักที” ยัยบิวตี้โยนเอกสารลงบนโต๊ะก่อนจะกอดอกอีกครั้งแล้วทำหน้าอารมณ์เสีย

“พี่จะเอาเข้าไปให้ประธานเซ็นเองครับ  หน้าที่ของพี่  แล้วเดี๋ยวพี่จะเอาเอกสารไปให้ผู้จัดการเองครับ” ผมบอกพลางยิ้มหวานอย่างเสแสร้งเสียเต็มประดาทำเอายัยเด็กนั่นเงียบไป “เฮ้อ ไม่รู้ว่าผู้จัดการคิดยังไงถึงให้เด็กใหม่เอาเอกสารสำคัญมาให้ก็ไม่รู้” ผมพูดลอยๆ อย่างจงใจจิกกัดทำให้ยัยเด็กนั่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะแล้วเดินกระแทกส้นสูงจากไป 

แหม...หน้าบางเหมือนกันนะเรา  เหอะๆ

 

ตรวจดูเอกสารเล็กน้อยผมก็เคาะประตูส่งสัญญาณขออนุญาตแล้วเปิดประตูเข้าไปเพื่อส่งเอกสารให้พี่ลุกซ์  พอเปิดเข้าไปก็เห็นพี่ลุกซ์นั่งไขว่ห้างเท้าคางหลับคากองเอกสารไปซะแล้ว  นั่งแบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพนะเว้ย  แถมเค้กที่เอามาให้ก็ละลายหมดไปซะแล้วเพราะมันเป็นเค้กไอติม  ไม่รู้เขาได้กินบ้างหรือเปล่า  แต่มันก็ดูพร่องๆ ไปเหมือนกันนะ

“ประธาน ประธานครับ  มีเอกสารจากผู้จัดการมาให้เซ็นครับ” ผมวางเอกสารลงบนโต๊ะก่อนจะเดินอ้อมไปปลุกเขาโดยการตบที่แก้มเบาๆ

“หืม?” พี่ลุกซ์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าผม

“เซ็นเอกสารครับ” ผมบอกแล้วเดินกลับไปยืนที่เดิม

“หืม? อื้มมม ด่วนไหม?” พี่ลุกซ์ยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะถาม

“ด่วนครับ” ผมตอบ

“อ่า เที่ยงแล้วนี่ มินาล่ะ ท้องร้องซะ” พี่ลุกซ์ยังคงทำท่าเนือยๆ ไม่สนใจเอกสารจนผมเริ่มเซ็ง  เมื่อกี้ก็บอกอยู่ว่าเอกสารด่วน ยังจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อีก โว้ย! กวนตีน!

“เอกสารด่วนนะครับ” ผมย้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น  สงบไว้ใจ อย่าไปนะตีน ฮึ่ม!

“เอาน่า ไปกินข้าวก่อนค่อยมาเซ็น  นี่กำลังจะพักเที่ยง  ต่อให้ด่วนแค่ไหนสุดท้ายเปรียวก็เช็คเอกสารอีกทีตอนบ่ายอยู่ดีนั่นแหละ” ไอ้หมอนี่มันไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี!

“งั้นก็เชิญประธานไปทานข้าวเถอะครับ  ผมจะรอจนกว่าจะได้งาน” ผมพูด  เอาสิ ถ้าไม่เซ็นตอนนี้ก็เอาแบบนี้ละกัน  ถึงเจ๊จะตรวจเอกสารอีกทีตอนบ่ายแต่ถ้าเซ็นให้เสร็จมันซะตอนนี้มันน่าจะดีกว่าเพราะทันทีที่เจ๊กลับมาถึงโต๊ะทำงานก็จะได้รับงานโดยไม่ต้องเสียเวลารออีก

“เอางี้ไหมเปอร์ ถ้ากูเซ็นเอกสารให้มึงต้องไปกินข้าวกันกู” พี่ลุกซ์ยื่นข้อเสนอด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์  ชิ! อยากกินข้าวด้วยกันไม่เห็นต้องมีเงื่อนไขเลย  ชวนดีๆ ก็ได้  แถมปกติยังเอาแต่บังคับและลากไปด้วยตลอด  แต่ก็นะ...ถึงจะชวนดีๆ ก็ใช่ว่าผมจะไป

“ขอปฏิเสธ” ผมตอบทันที

“เอาใจยากจังนะ  เอาเถอะ เซ็นให้ตอนนี้ก็ได้” พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะสลับขาที่ไขว้กันแล้วหยิบแฟ้มเอกสารไปวางไว้บนตัก

“นี่ อย่านั่งแบบนั้นดีกว่านะ  มันไม่ดีต่อสุขภาพ  นั่งบ่อยๆ ไม่ได้นะครับ” ผมบอกเพราะรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นเขานั่งท่าแบบนั้น  อ่า...ยอมรับว่าเป็นห่วงก็ได้

“เป็นห่วงเหรอ?” พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะทำหน้าเซ็งจิต  เออดิ! เป็นห่วงโว้ย!

“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญตามสบายครับ” ผมทำหน้าเหมือนโดนวางยาเบื่อ  ไม่รู้ว่าผมไปติดนิสัยปากไม่ตรงกับใจมาจากใคร  เมื่อก่อนคิดอะไรก็พูดออกไปตรงๆ นี่หว่า  เอาเถอะ กับคนนิสัยอย่างพี่ลุกซ์โดนแบบนี้บ้างก็คงดี  รับมือให้ไหวละกันนะ

“ถ้าคิดว่ามึงรักกูแล้วสบายใจกูก็คิดได้ใช่ไหม?” พี่ลุกซ์ถาม ผมชะงักก่อนจะหันไปสบตาที่แลดูมีความหวังของเขา  ถ้าผมตอบว่าคิดได้ล่ะก็เขาต้องรู้แน่ว่าผมแม่งรักเขาอยู่

“ความคิดของคนอื่นผมจะไปบังคับได้ยังไงล่ะครับ?” ผมหลบตาวูบก่อนจะพูดออกไป

“เฮ้อ ไม่มีใครไปกินข้าวเป็นเพื่อนนี่มันน่าเบื่อจริงๆ” พี่ลุกซ์เปิดเอกสารอ่านก่อนจะเซ็นชื่อลงไป  เปลี่ยนเรื่องกะทันหันเลยนะ  นี่กะจะลากผมไปกินข้าวด้วยให้ได้สินะ

“งั้นไปชวนน้องบิวตี้สิครับ  รับรองไปด้วยแน่นอน” ผมเสนอ  แต่ถ้าเขาชวนล่ะก็...หึๆ

“ไปด้วยกันเถอะนะ” พี่ลุกซ์ยื่นเอกสารที่เซ็นเสร็จเรียบร้อยมาให้ผม

“ไม่ครับ” ผมตอบทันทีพลางรับเอกสารมา

“ทำไมดื้องี้วะ? นี่ชวนดีๆ แล้วนะ  หรืออยากให้ลากไป?” พี่ลุกซ์เริ่มทำหน้าดุ

“คุณไม่มีสิทธิ์มาลากผมไปไหนทั้งนั้น  ผมเป็นลูกน้องคุณก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าผมต้องทำตามคำสั่งของคุณทุกอย่างนี่” ผมบอกพลางกลับหลังหันเพื่อเดินออกจากห้อง

“พ่อมึงพูดอะไรด้วยงั้นเหรอ?” ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปที่ประตู พี่ลุกซ์ก็ถามขึ้นทำให้ผมชะงักแล้วหันไปมองเขา

“พ่อผมโกรธ น้องก็โกรธ  ส่วนแม่...อาจจะดูไม่โกรธแต่ก็ไม่เห็นด้วย  เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ผมเลือกล่ะก็...คงเดาไม่ยากหรอกนะครับว่าผมจะเลือกอะไร” ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่คิดว่านิ่งสนิท  ส่วนเขาดูท่าทางจะสับสนเอาเรื่องเลยล่ะครับ  ผมทำให้เขาเจ็บปวดอีกแล้วล่ะ  แต่ก็อย่างที่บอก  ถ้าให้ผมเลือกล่ะก็...

ปึง!!

“ทำไมต้องเลือก!?! คว้าไว้ทั้งสองก็ได้ไม่ใช่เหรอ? คนรักกัน เรื่องแค่นั้นต้องผ่านไปได้ด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!?!” พี่ลุกซ์ตบโต๊ะก่อนจะยืนขึ้นแล้วตะคอกเสียงดังลั่นห้องทำเอาผมสะดุ้ง  ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ผมยืนอยู่หน้าประตูแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับก้าวขาไม่ออก  ยิ่งเห็นสีหน้าดุดันทว่าเจ็บปวดของเขาผมยิ่งไม่กล้าออกจากห้องนี้

“ใช่ครับ คนรักกันมักจะผ่านอุปสรรคและปัญหาไปด้วยกัน  แต่คุณกับผมเป็นอะไรกันเหรอครับ? เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้นแหละ  แต่ผมก็ดีใจนะที่คุณเข้าใจเรื่องแบบนี้ซะที  กับคนรักคนใหม่ก็ขอให้เข้าใจในจุดจุดนี้ด้วยละกัน  อย่าพลาด จนทำให้เขาเสียใจล่ะ” ผมพูดก่อนจะหมุนตัวหันหน้าเข้าหาประตู  อ่า...อยากหนีชะมัด  แต่ทำไงดีล่ะ  ก้าวขาไม่ออกเลยแฮะ

“ถ้าเป็นกู กูจะคว้าเอาไว้ทั้งหมด  ครอบครัว งาน เพื่อน และเมีย” พี่ลุกซ์พูดขึ้น  น้ำเสียงดูโกรธๆ  แต่มันก็จริงอย่างที่เขาพูด  ผมก็อยากจะคว้าไว้ทั้งหมด  ถ้าคนรักที่ผมต้องการไม่ใช่เขา ผมอาจจะคว้ามันเอาไว้ได้ก็ได้  แต่เพราะมันเป็นเขา  ผมถึงคว้าเอาไว้ไม่ไหว แรงของผมมันน้อยเกินไป

“ผมไม่มีกำลังพอที่จะไขว่คว้าทุกอย่างมาไว้ในมือหรอกครับ  มันเหนื่อย  ยิ่งกับคนแบบคุณแล้วผมคงไม่ไหวหรอก  ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรเข้ามาอีก  ถ้าจะให้มัวแต่เป็นห่วงโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรมันลำบากนะครับ” ผมพูดเสียงแผ่วลง

“ต่อไปนี้กูจะบอกมึงทุกอย่างเลยเปอร์  กูจะไม่ให้มึงเป็นห่วงแบบที่ไม่รู้อะไรอีกแล้ว  มีปัญหาอะไร ต่อให้เล็กน้อยแค่ไหนกูก็จะบอกมึง” พี่ลุกซ์พูด  คราวนี้น้ำเสียงเขาดูอ้อนวอนขอร้องเหลือเกิน

“แค่คำพูดปากเปล่ามันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกครับ  ผมไม่อยากจะเชื่อคำพูดของคุณแล้ว  จำไม่ได้เหรอว่าเมื่อก่อนคุณโกหกผมกี่เรื่อง  จะให้ผมเชื่อ...มันคงเป็นไปได้ยาก” พูดพลางกำมือแน่น  นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนแล้วเจ็บชะมัด  ผมถูกหลอกตั้งหลายครั้งแน่ะ  เขาหลอกผมหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เสียใจหรือสบายใจแต่มันก็เป็นการหลอกที่ทำให้ผมเจ็บอยู่ดี

“แต่มันก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ?  แล้วมึงก็หยุดยกเรื่องอดีตแย่ๆ มาตัดสินนิสัยกูซักที  เรื่องที่มึงยกขึ้นมาล้วนแต่เป็นก่อนที่เราจะคบกันทั้งนั้น  ทำไมมึงไม่ลองคิดย้อนกลับไปตอนที่เราคบกันบ้างล่ะ  เรามีความสุขกันมากแค่ไหน  ต่อให้ทะเลาะกันแต่ก็เข้าใจกันตลอดไม่ใช่หรือไง  มึงงี่เง่าให้กูมากแค่ไหนกูก็ยอมรับได้  กูเย็นชาใส่มึง มึงก็ยอมรับได้เหมือนกัน  ทำไมไม่คิดถึงตอนแบบนั้นบ้างล่ะ?” พี่ลุกซ์ตะคอกถามเสียงดังด้วยเนื้อความที่กระตุ้นต่อมน้ำตาผมเหลือเกิน 

ทำไมผมจะไม่คิดล่ะ? ผมคิดตลอดนั่นแหละ  แต่ยิ่งคิดถึงตอนที่เรารักกันมากเท่าไหร่มันยิ่งทำให้ผมเสียใจมากเท่านั้น  เพราะรักมากก็เลยเจ็บมากกับการที่ถูกหลอก  ผมไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กันตอนนั้นมันถูกทำลายก็เลยพยายามที่จะไม่ขุดมันขึ้นมาคิด  แต่บางทีมันก็เลิกคิดไม่ได้เสียที ผมก็เลยเอาแต่จมอยู่กับอดีตที่ทั้งดีและร้าย

“ก็คุณมันแย่ ไม่ว่าจะตอนไหนก็แย่” ผมตัดพ้อออกมาเสียงแผ่วเบา  ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินไหมแต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะตัดพ้อแบบนั้นหรอก  มันออกมาเอง

“กูขอโทษ มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้เปอร์  ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้กูตอนนี้แต่กูขอแค่โอกาสได้ไหม? ขอโอกาสให้กูได้เริ่มต้นใหม่  กูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มึงอย่าทำให้คนรักกันเขาพรากจากกันแบบนี้สิ  ทรมานกันเกินไปแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวพี่ลุกซ์ก็วิ่งเข้ามากอดผมจากด้านหลังทำเอาผมหวั่นไหวจนรู้สึกดีไปกับกอดของผม  ทำยังไงดี? ผมอยากจะคว้าเขาเอาไว้เหลือเกิน

“ใครเขารักกับคุณไม่ทราบ?” แย่ละ เผลอตัดพ้อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดไปซะแล้ว  แถมน้ำตายังไหลออกมาอีกต่างหาก  โว้ย! ออกง่ายเหลือเกินนะมึง ไอ้เหี้ยน้ำตา! ทีก่อนหน้านี้แม่งอดทนได้ ทำไมตอนนี้มันไหลง่ายงี้วะ!

“กูรักมึงนะ” พี่ลุกซ์จับตัวผมให้หันไปหาเขาก่อนจะหอมที่หน้าผากเบาๆ เนื่องจากผมกำลังก้มหน้าปาดน้ำตาอยู่

“เมื่อก่อนไม่เห็นบอก ฮึก” ยิ่งได้ยินเขาบอกรักน้ำตาผมยิ่งไหล  ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่บอกให้ผมดีใจบ้าง  มาบอกตอนที่จบกันไปแล้วมันเข้าสุภาษิตที่ว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ

“มึงก็รู้ว่ากูปากแข็งจะตาย  แต่ก็บอกบ่อยไม่ใช่เหรอ หลังจากที่ไปอเมริกาแล้วน่ะ” พี่ลุกซ์เสยผมหน้าของผมไปข้างหลังแล้วหอมหน้าผากอีกครั้ง

“ไม่บ่อย!” ผมตอบพลางผลักที่อกของพี่มันอย่างแรง

“คาแร็คเตอร์กูมันไม่ใช่ผู้ชายปากหวานนี่หว่า  แต่ต่อไปนี้จะพูดบ่อยๆ ละกัน  ตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้นกูถึงคิดได้ว่าชีวิตคนมันสั้น  เกือบไม่ได้กลับมาหามึงซะแล้ว” พูดพลางโน้มตัวลงมากอดและเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของผม

“เจ็บไหม?” ผมก้มหน้ามุดไหล่เขาบ้างก่อนจะถามเสียงอู้อี้

“ไม่รู้หรอก  รู้ตัวอีกทีก็ชาไปทั้งตัวละ” พี่ลุกซ์พูดพลางลูบหลังผมเบาๆ

ผมไม่ถามอะไรต่อ  ทำได้เพียงยืนให้เขากอดและลูบหลังอยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้กอดตอบ  พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุทีไรผมมักจะอ่อนลงทุกที  ก็เขาเกือบตาย  ผมได้แต่คิดแล้วก็เสียใจว่าถ้าเขาตายไปจริงๆ โดยที่ไม่ทันได้อธิบายอะไรให้ผมฟังผมคงต้องจมอยู่กับความเข้าใจผิดและความทุกข์ตลอดชีวิตแน่นอน

นั่นสินะ  ชีวิตคนมันสั้น แต่บางทีเราก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสภาพจิตใจนี่นะ  เขาบอกอยากเริ่มต้นใหม่นี่นา  ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกซักพักน่าจะดีกว่า

 




 
+++++++++++++++++++++++++

ตอนนี้มาแบบป่วงๆ แถมยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลยซักกะตี๊ดดดดด  ถ้ามีคำผิดต้องขอโทษอย่างแรงเลยนะ  มั่นใจว่าผิดเยอะแน่นอน  เดี๋ยวจะแก้ทีหลังน้า

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา