[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) Chapter 22 : รูปในความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อพี่ลุกซ์เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานยัยเด็กบิวตี้นั่นก็ปรี่มากอดแขนพี่ลุกซ์เฉยเลย ผมที่เดินตามเข้ามาก็เงิบสิครับ ตกใจมากด้วย อยู่ดีๆ ก็วิ่งแท่ดๆ เข้ามากอดแขนคนอื่นเขาแบบนี้มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยครับว่าความต้องการของยัยเด็กคนนี้มันสูงมากแค่ไหน ฮึ่ม!!
“น้องบิวตี้ครับ ไม่ได้ไปฝึกงานกับผู้จัดการแล้วเหรอครับ?” ผมแกล้งถามออกไปหน้ายิ้มแย้มแต่ใจนี่อยากจะเข้าไปดึงน้องบิวตี้ออกจากแขนพี่ลุกซ์เหลือเกิน ยอมรับเลยครับว่าผมหึงและหวง แต่ทำอะไรมากไม่ได้เพราะผมเองนี่แหละที่ยังไม่ยอมกลับไปคบกับเขา
“ไม่ค่ะ บิวตี้ขอมาฝึกงานเป็นเลขาพี่ลุกซ์” ยัยเด็กบิวตี้นั่นลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่แคร์ ส่วนไอ้พี่ลุกซ์ก็แม่งยืนให้เด็กมันกอดมันลูบแขนอยู่ได้
“นี่คุณ เรียกผมแบบนั้นอีกแล้วนะ ให้เกียรติผมด้วย” พี่ลุกซ์เขม่นตามองยัยเด็กบิวตี้ด้วยสายตาเชือดเฉือนแต่เด็กนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนอยู่ดี
“ทีพี่เปอร์บิวตี้ยังเรียกว่าพี่ได้เลย ทำไมจะเรียกพี่ลุกซ์ว่าพี่บ้างไม่ได้ อย่าอ้างว่าเป็นประธานเลยนะคะ มันจะดูเหมือนว่าพี่ลุกซ์กับพี่เปอร์ไม่เท่าเทียมกัน” อ๊าก!! อีเด็กเวร! ดูเหตุผลมันสิ ถึงจะพูดถูกแต่โคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ ไม่มีคำจะเถียงกับมันเลยครับ
“พี่กับประธานไม่เท่าเทียมกันนะครับน้องบิวตี้ ประธานเป็นเจ้านาย เราต้องให้เกียรติ เขาอยู่สูงกว่าเรานะครับ เราเป็นแค่พนักงานจะไปถือตัวเทียบไม่ได้ ยิ่งน้องบิวตี้เป็นพนักงานใหม่แล้ว ทำแบบนี้มันดูเป็นการปีนเกลียวนะครับ” ผมจิกยัยเด็กนั่นด้วยคำพูดที่แสนจะใจเย็น ถ้ามันเป็นผู้ชายผมคงด่าไปซะว่าไม่เจียมกะลาหัว แต่นี่น้องเป็นผู้หญิง ถ้าผมทนไม่ได้ค่อยระเบิดทีหลังละกัน
“ที่จริงผมไม่ถือหรอกนะว่าใครจะให้เกียรติผมมากแค่ไหน แต่คุณเป็นคนนอกที่ไม่ได้รู้จักผมมากมายอะไรผมจึงไม่อนุญาตให้คุณเรียกผมอย่างสนิทสนม ขนาดคนในอย่างว่าที่ภรรยาของผมยังไม่เรียกผมอย่างที่คุณเรียกเลยนะครับ” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มเล่นเอาผมเงียบเลยครับ ขอเวลาผมเขินซักสามวินาที
“ว่าที่เหรอคะ? นี่ยังจะกลับมาคืนดีอีกเหรอคะ? พี่เปอร์ไม่หน้าด้านไปหน่อยเหรอ พี่เป็นผู้ชายนะคะ คบกับผู้ชายมันแปลก ยิ่งพี่...ประธานเป็นประธานบริษัทแล้วด้วย ทำไมไม่ปล่อยให้ประธานได้เจอผู้หญิงบ้างล่ะคะ ทำแบบนี้เหมือนตัดอนาคตของประธานเลย” จุกครับจุก ผมจุกกับความหน้าหนาของเด็กคนนี้จริงๆ ผมว่า...พี่ลุกซ์เหมาะกับยัยนี่ดีนะครับ หน้าโคตรหนา ส่วนผม...หน้าบางลงเยอะหลังจากที่ถูกทุกคนรวมหัวกันปิดบังเรื่องการแต่งงานของพี่ลุกซ์กับเจ๊เปรียว แต่ผมก็คงไม่ยอมให้คู่นี้เขาได้กันหรอกครับ กลัวลูกเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่ฉาบซีเมนต์ เหอๆ
“คุณมายุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัวของผม ขนาดพ่อกับแม่ผมยังไม่ว่าอะไรแล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์!? ครอบครัวผมรักไอ้เปอร์ ผมก็รัก รักมากด้วย ส่วนคุณ...ต่อให้มาอ่อยมาให้ท่ามากแค่ไหนผมก็ไม่สน ถ้าอยากให้ผู้ชายสนใจผมว่าคุณทำตัวให้ดูมีคุณค่ามากกว่านี้น่าจะดีกว่านะครับ” อุ๊ย เจ็บ! ถ้าผมเป็นยัยบิวตี้ผมร้องไห้ไปแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆๆ โถๆ อยากจะกระโดดเข้าไปกอดแล้วหอมกระหม่อมคนพูดจริงๆ ฮึๆ
“โง่ทั้งคู่!” ยัยบิวตี้พูดอย่างเหยียดๆ ก่อนจะเดินสะบัดก้นออกจากห้องไปทำให้ผมกับพี่ลุกซ์ยืนมองกันอย่างอึ้งๆ
โวะ! อีเด็กนี่หนิ!
“อย่าไปคิดมากกับคำพูดเอาแต่ได้ของเด็กคนนั้นเลย” พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ไม่มีอะไรต้องคิดมากนี่ครับ” ผมพูดเหมือนไม่ใส่ใจแต่จริงๆ ผมก็แอบคิดนะ ถ้าผมไม่ตื๊อจนพี่ลุกซ์รักผมล่ะก็ป่านนี้พี่มันอาจจะมีลูกน่ารักๆ และอยู่กับภรรยาอย่างมีความสุขก็ได้ ผมอาจจะเป็นตัวมารขัดขวางอนาคตที่สดใสของพี่ลุกซ์จริงๆ ก็ได้ล่ะมั้ง
“มึงคงกำลังคิดว่ามึงไม่ควรเข้ามาในชีวิตกูใช่ไหมเปอร์?” พี่ลุกซ์พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ ทำเอาผมสะดุ้งแล้วรีบหลบตา ยังมองผมออกเหมือนเดิมเลยแฮะ
“มันก็ไม่ควรจริงๆ ใช่ไหมล่ะครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาเฉียบคม
“มึงคิดว่าที่กูรักมึงเพราะมึงมาตื๊อกูงั้นเหรอเปอร์?” พี่ลุกซ์ถาม ผมเหลือบตาไปมองพี่มันนิดๆ ก่อนจะหลบตาเหมือนเดิมแทนคำตอบ “กูรู้จักมึงมานานแล้ว มึงจำกูไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะช็อคกับการผ่าตัดตั้งแต่เด็กหรือไม่ก็เพราะว่าตอนนั้นมึงเด็กมากก็ได้” พี่ลุกซ์พูด ผมนิ่งไปเพื่อทบทวนเรื่องสมัยเด็ก
ใช่ ผมผ่าตัดจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมผ่าเพื่ออะไร มารู้ทีหลังว่าผ่าตัดหัวใจ หลังจากผ่าตัดผมก็จำอะไรไม่ได้ พี่ถังพยายามฟื้นความจำแต่ผมก็จำไม่ได้พี่มันก็เลยสร้างความทรงจำใหม่ๆ ให้กับผมด้วยการเล่าเรื่องก่อนที่ผมจะผ่าตัดให้ฟัง แต่เรื่องที่พี่มันเล่า...ไม่มีเรื่องของพี่ลุกซ์เลย
“ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ผมเพิ่งมารู้จักคุณตอนที่ผมไปเรียน” ผมพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมจำพี่มันไม่ได้จริงๆ ผมว่าพี่มันคงจำผิดคนแล้วล่ะ
“ตอนที่กูเจอมึงอีกทีก่อนที่กูจะไปเรียนที่อเมริกา กูก็บอกกับพี่ถังว่ากูรู้จักกับมึงมาก่อน กูจะเข้าไปทักแต่ว่ามึงกลัวเพราะกูหน้าดุพี่ถังก็เลยบอกว่ามึงช็อคจนลืมทุกอย่างไปหมดเลยและวันนั้นกูก็บอกพี่ถังว่ากูรักมึงแล้วกูก็ไปเรียนที่โน่น” พี่ลุกซ์พูด ส่วนผมก็ตั้งใจฟัง ถามว่าดีใจไหมผมดีใจนะที่พี่ลุกซ์บอกว่ารักผมตั้งแต่เด็ก ดีใจมากด้วยแต่ผมจำไม่ได้จริงๆ และที่สำคัญ ทั้งๆ ที่พี่ลุกซ์บอกว่ารักผมมาตั้งแต่เด็กแต่ทำไมถึงตั้งหน้าตั้งตาทำร้ายผมซะขนาดนั้นด้วยล่ะ
“แต่พี่ถังไม่เคยเล่าให้ผมฟัง” ผมตอบเสียงเบา ผมรู้ว่าพี่ลุกซ์ไม่ใช่คนที่จะโกหกเรื่องแบบนี้แต่ผมจำไม่ได้ มันไม่มีความทรงจำที่ว่าอยู่ในหัวผมเลย
“มึงอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่กูพูด แต่ความทรงจำทั้งหมดมันอยู่กับกูเสมอ ถึงมึงจะจำไม่ได้แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีแต่คนที่กูรักก็มีแค่คนเดียว รักมาตั้งแต่เด็ก ขนาดบินข้ามฟากไปเรียนที่อื่นตั้งนานแต่ก็ไม่เคยลืมรักครั้งแรกของกูเลย” พี่ลุกซ์เดินจับมือผมเอาไว้ก่อนจะพูด ผมมองตาของพี่มันก่อนจะนิ่งไป พี่มันดูจริงจังจนผมเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งที่ได้ยิน อ่า...มันซึ้งแฮะ ขนาดจำไม่ได้ผมยังรู้สึกซึ้งน้ำใจกับความรู้สึกที่พี่มันมอบให้เลย รักผมมานานขนาดนั้นเชียวเหรอ? ถ้ารักมานานขนาดนั้นแล้วทำไมถึงทำร้ายกันได้ลงคอ
“ถ้าบอกว่ารักแล้วทำไมถึงทำร้ายผม ทั้งจิตใจและร่างกาย ทำร้ายจนผมแทบขาดใจตาย” ผมมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเจ็บปวดพลางถามออกไป ตอนนี้รู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ตายังไงก็รู้
“มึงก็รู้ว่าตอนนั้นกูไม่ถูกกับพ่อ พ่อบังคับให้กูทำตามใจเขาทุกอย่างกูก็เลยกลัวว่าถ้ากูทำให้มึงถลำลึกไปกับกูแล้วมึงจะถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายมึงก็จะเสียใจมาก สู้ให้มึงเจ็บก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้อาจจะดีกว่า แต่กูเองนั่นแหละที่ห้ามใจไม่ได้” พี่ลุกซ์ลูบหลังมือผมเบาๆ ก่อนจะจ้องตาผมนิ่งๆ แต่ก็ดูจริงใจมาก
“แล้วคุณไม่เจ็บเหรอที่ต้องทำร้ายคนที่ตัวเองรัก?” ผมถามออกไป เขาเลือดเย็นจังเลยครับ ทำร้ายคนที่ตัวเองบอกว่ารักซะขนาดนั้น ผมว่ามันเหมือนกับการทำร้ายตัวเอง ก่อนหน้านี้ที่ผมทำร้ายจิตใจพี่ลุกซ์ ผมทรมานมากเพราะทำร้ายพี่มันก็เหมือนกับทำร้ายตัวเองไปด้วย
“ทำไมจะไม่เจ็บล่ะ? ทุกครั้งที่มึงร้องไห้มึงคิดว่ากูไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง กูต้องข่มใจไม่ให้เข้าไปปลอบมึงเพื่อที่จะให้มึงตัดใจจากกู ต้องทำตัวเหี้ยๆ เพื่อให้มึงเกลียด แต่มึงก็ไม่เกลียดกูซักที” พี่ลุกซ์ขยับเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น มือที่จับมือของผมอยู่เลื่อนมาทาบอยู่ที่แก้มทั้งสองข้างของผมแทน
“คุณมันขี้ขลาด” ผมมองพี่ลุกซ์ผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาปริ่มขอบตา
“ใช่ กูขี้ขลาด ส่วนมึงน่ะเข้มแข็ง เข้มแข็งกว่ากูมาก มึงกล้ายอมรับหัวใจตัวเอง ทนกับความเลวร้ายของกูทุกอย่างจนกูยอมแพ้ กูแพ้ใจมึง” พูดจบพี่ลุกซ์ก็โน้มหน้าลงมาให้หน้าผากของเราชิดกัน น้ำตาที่ปริ่มขอบตาอยู่เอ่อล้นลงมาถูกมือหนาๆ ที่กำลังประคองแก้มผมอยู่ ถึงน้ำตาจะไหลแต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่นิด มันตื้นตันมากกว่า
ผมเม้มปากมองหน้าพี่ลุกซ์ผ่านม่านน้ำตาก่อนจะปัดมือพี่มันออกจากแก้มทำให้พี่ลุกซ์ชะงักไป แต่ผมก็ซุกหน้าของตัวเองไปที่ไหล่แกร่งๆ แทน แขนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกยกขึ้นไปโอบกอดร่างหนาแน่น ผมปล่อยให้น้ำตามันซึมสู่ไหล่ของพี่มันพลางสะอื้นเบาๆ พี่ลุกซ์เองก็ดูเหมือนจะนิ่งไปแต่สักพักก็กอดผมบ้าง กอดแน่นด้วย อุ่นจังเลยครับ
ผมกับพี่ลุกซ์เรายืนกอดกันจนกระทั่งผมหยุดร้องไห้เราจึงผละออกจากกัน สีหน้าพี่มันดูอิ่มเอิบมากครับ ผิดกับผมที่แสบตาสุดๆ คิดว่าตาคงบวมฉึ่งแน่ พอหยุดร้องแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมเผลอใจอีกซะแล้ว มันน่าอายแฮะที่จู่ๆ ก็ร้องไห้เพราะเขาเล่าเรื่องในอดีตที่ผมจำไม่ได้ให้ฟัง เสียฟอร์มชะมัด แต่ก็...ดีใจที่ได้ยินว่าเขารักผมมาก แถมยังรักมานานซะด้วย
“ผะ...ผมอยากกลับบ้านแล้ว” ผมพูดเสียงงึมงำในลำคออย่างอายๆ หลังจากผละออกจากพี่ลุกซ์ รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นบ้า ก็ผมไปกอดเขาก่อนนี่หว่า อายเหี้ยๆ
“เพิ่งมาได้ไม่นานเองนะ” พี่ลุกซ์ยิ้มละมุนพลางใช้นิ้วโป้งไล้ใต้ตาผมเบาๆ ควย! อย่าอ่อยกูเซ่! คนยิ่งอ่อนไหวอยู่ด้วย เดี๋ยวก็ใจอ่อนหรอกแม่ง
“ผมจะไป...ช่วยพ่อปลูกต้นไม้” ผมหาข้ออ้างไปเรื่อยเพื่อหลบหนีจากอาการอายจนใจเต้นผิดจังหวะ
“อยู่นี่ก่อนเถอะนะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วกูจะไปส่งที่บ้าน ตอนนี้มันร้อนจะตายพ่อมึงคงไม่ออกมาปลูกต้นไม้กลางแดดแบบนี้หรอก” พี่ลุกซ์รั้งผมไว้ด้วยการจับมือและใช้สายตาอ่อย ผมแพ้สายตาพี่ลุกซ์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่ดุดัน อ่อนโยนหรือเศร้าสร้อยผมก็แพ้ไปซะหมด โธ่ เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ
“แต่ว่า...” ผมหลบตาอย่างประหม่า
“เปอร์ มึงห้ามปฏิเสธ มึงก็รู้ว่ากูเอาแต่ใจ อยากได้อะไรกูก็ต้องได้ ต่อให้มึงยืนยันว่าจะกลับ กูก็จะหาวิธีให้มึงอยู่จนได้แหละ เหนื่อยเปล่าว่ะ” พี่ลุกซ์เริ่มทำหน้าเซ็งพลางพูดเสียงดังขึ้นทำเอาบรรยากาศซึ้งๆ ก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมว่าพี่ลุกซ์ตั้งใจทำลายบรรยากาศนะ เพราะถ้ายังอยู่ในบรรยากาศนั้นผมก็จะประหม่าจนหาข้ออ้างในการกลับบ้านไปเรื่อยๆ แน่นอน
“แล้วจะให้ผมนั่งอยู่เฉยๆ ในห้องนี้น่ะเหรอ? น่าเบื่อจะตายชัก” ผมขยับถอยห่างออกจากพี่ลุกซ์หลังจากบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้ว
“งั้นเอานี่ไปเล่นคุกกี้รันไป อัพเกรดทุกตัวเต็มหมดละ” พี่ลุกซ์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ ไอ้ย่ะ!! รู้ได้ไงวะว่าผมติดเกมนี้ แถมอัพเต็มทุกตัวอีก น่าลองเล่นชะมัด
“อยากกินขนม” ผมรับโทรศัพท์มาก่อนจะบอก ที่จริงไม่ได้อยากกินอะไรเลย อิ่มจนท้องจะแตก แต่ผมแค่คิดว่าพี่มันคงอยากจะให้ผมทำตัวเอาแต่ใจล่ะมั้ง
“สั่งดิ ยากตรงไหน” พี่ลุกซ์พูดพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
“ชิ” ผมย่นจมูกก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วกดเล่นคุกกี้รันโดยไม่สนใจจะสั่งขนม นึกว่าอยากให้ผมเอาแต่ใจซะอีก ที่ไหนได้...สนใจทำงานเฉยเลย ชิ!
“ฮึๆ” พี่ลุกซ์หัวเราะขำๆ พลางแอบเหลือบตามองผมทำให้ผมรู้ว่าอีตานี่แม่งจงใจแกล้งให้ผมงอน ขี้แกล้งไม่เปลี่ยนเลย
ผมเล่นเกมในมือถือพี่ลุกซ์ไปได้ไม่นานผมก็เลิกเพราะเล่นไปผมก็ทำลายสถิติของพี่มันไม่ได้ อีกอย่างเล่นให้พี่มันแบบนี้มันเป็นการเก็บเงินให้พี่มันผมเลยเลิกเล่นซะเลย สู้เล่นเก็บเงินให้ตัวเองดีกว่า
เมื่อไม่อยากเล่นเกมผมก็เลยนอนลงบนโซฟาเพื่อพักสายตา ที่จริงอยากเข้าไปส่องอัลบั้มรูปในมือถือพี่ลุกซ์นะแต่มันจะดูเป็นการเสียมารยาทต่อพี่มันมากเกินไปผมก็เลยไม่ละลาบละล้วงถึงจะอยากรู้ก็ตามว่าพี่มันถ่ายอะไรเอาไว้บ้าง จะมีรูปพี่มันกับสาวๆ หรือเปล่านะ ถ้ามีผมก็ไม่อยากจะดู เดี๋ยวจะเสียใจเปล่าๆ
แต่ก็นะ ถึงจะบอกว่าไม่กล้าดูแต่ใจก็แม่งไม่รักดีอยากจะดูเสียให้ได้ ทำให้ผมนอนมองมือถืออยู่พักใหญ่ๆ โดยที่ไม่เปิดมัน มองแต่จอสีดำๆ เนี่ยแหละ ไม่รู้มันมีดีอะไรแต่ก็นอนดูมันตลอด
“อยากค้นก็ค้นสิ จะรูป ไลน์หรืออะไรต่างๆ ก็ค้นได้ตามสบายนะ” จู่ๆ พี่ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมสะดุ้งและลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติอย่างตกใจ
“คะ...ใครอยากค้น?” ผมยักไหล่ก่อนจะวางโทรศัพท์พี่ลุกซ์ไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ
“เฮ้อ” พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งข้างๆ ผม ผมตกใจรีบขยับออกห่างแต่พี่มันก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มากดเปิด “กูถ่ายรูปตอนอยู่อเมริกากับรูปของเด็กๆ ไว้เยอะแยะเลย ดูสิ ที่สำคัญนะ...ไม่มีรูปสาวๆ หรอก” พี่ลุกซ์พูดพลางกดเปิดรูปให้ผมดู ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนนะแต่ก็แอบเหลือบตามองเรื่อยๆ
“ผมไม่ได้อยากดูซักหน่อย” ผมทำเป็นเชิดใส่ทำให้พี่มันเหลือบตามามองแล้วหัวเราะในลำคอ
“ดูเถอะ ถ้ามึงดูมึงอาจจะเห็นอะไรดีๆ ก็ได้” พี่ลุกซ์พูดยั่วทำให้ผมอยากดูมากกว่าเดิม เมื่อก่อนพี่ลุกซ์ไม่ค่อยให้ผมยุ่งกับโทรศัพท์ ผมก็ไม่ชอบยุ่งนะเพราะผมคิดว่าเรื่องส่วนตัวของเขาเราไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายให้มาก อีกอย่างผมเชื่อใจเขา พี่ลุกซ์ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ซะด้วย ประวัติเจ้าชู้ก็มีหรอกนะแต่พี่มันดูรักผมมากผมก็เลยไม่ระแวงเรื่องสาวๆ แต่ระแวงเรื่องคนใกล้ตัวซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก อย่างเรื่องไอ้ไอที่ผมเคยคิดมาก พี่มันก็อธิบายจนกระจ่างแล้ว
“มีอะไรดีให้ดู?” ผมถามห้วนๆ
“ก็ดูเองสิ เดี๋ยวจะไปหาพี่ถังก่อน เชิญดูตามสบาย” พี่ลุกซ์ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะลุกออกไปโดยไม่ลืมวางโทรศัพท์ไว้บนหน้าขาผมอีกด้วย เมื่อพี่มันออกจากห้องไปผมก็กดเปิดดูรูปตามที่พี่มันได้พูดอ่อยไว้ทันที
จะมีอะไรดีๆ ให้ดูน้า?
38% left
จะมีอะไรดีๆ ให้ดูน้า?
ผมทำใจก่อนจะดูรูปไล่จากรูปล่าสุดไปถึงรูปในอดีต รูปที่ผมดูแรกๆ เป็นรูปของพี่ลุกซ์ที่อยู่ในโรงพยาบาล เพื่อนๆ ของพี่มันคงแกล้งเอาโทรศัพท์ของพี่มันไปถ่ายล่ะมั้งครับ ในรูปดูน่าสงสารนะ พี่มันดูท่าทางจะเจ็บมากเลยอ่ะ เฝือกเอย ผ้าพันแผลเอย สายยางโน่นั่นนี่อีก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผมคงจะได้อยู่ดูแลพี่มันอย่างใกล้ชิดล่ะมั้ง ต่อมาก็เป็นรูปที่ถ่ายกับน้องปิง ดูพี่มันเห่อลูกดีนะครับ ดูเหมือนกันซะด้วยสิ แต่คงไม่เหมือนก็ตรงน้องปิงน่ารักล่ะมั้ง ส่วนคนพ่อนี่ไม่มีความน่ารักเอาซะเลย ต่อมาก็เป็นรูปน้องปิงน้องป่าน มีเจ๊กับสามีด้วยนะ น่ารักดี ดูไปเรื่อยๆ ก็เห็นเป็นรูปสมัยที่พี่มันเรียนอยู่อเมริกากับพี่เคย์ มีรูปไอ้คิทกับแฟนมันด้วย ถึงจะดูอบอุ่นแต่ดูพี่มันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ หน้าหม่นๆ โทรมๆ ยังไงก็ไม่รู้ สงสัยที่คนอื่นๆ บอกว่าตลอดเวลาที่มีเรื่องพี่ลุกซ์ไม่เคยมีความสุขเลยคงจะจริง
ผมดูรูปไปเรื่อยๆ ดูไปยิ้มไปจนกระทั่งไปเห็นรูปรูปหนึ่ง ผมค่อยๆ หุบยิ้มก่อนจะเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามันมีแต่รูปของผมกับพี่มัน ส่วนมากเป็นรูปเดี่ยวตอนที่ผมไม่รู้ตัวทั้งนั้น รูปตอนหลับ ตอนทำอาหาร ตอนแปรงฟัน และอีกหลายๆ อิริยาบถ บางรูปทำให้ผมรู้ว่าผมเคยทำท่าแบบนี้ต่อหน้าพี่มันด้วย เช่น แคะขี้มูก กินเค้กเลอะ ทำหน้าเหมือนเป็ดป่วยและอีกหลายๆ อย่างที่ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำ นี่พี่มันใส่ใจผมหรือเป็นโรคจิตกันแน่เนี่ย ที่ไม่ค่อยให้ผมดูโทรศัพท์เพราะแอบถ่ายรูปผมไว้หรอกเหรอเนี่ย ชักจะกลัวซะแล้วแฮะ หวังว่าคงไม่มีรูปทะลึ่งหรอกนะ
แต่เฮ้ย!! ทำไมมันจะไม่มีวะ!! ว่าแล้วเชียว คนโรคจิตคงไม่พ้นมีรูปโรคจิตไว้ในโทรศัพท์แน่!
มันเป็นรูปของผมที่กำลังนอนกอดพี่ลุกซ์ในสภาพเปลือยหลับไปน่ะสิครับ ถึงจะเห็นแค่ส่วนบนเพราะพี่มันเหยียดแขนออกไปถ่ายได้แค่นั้นแต่มันก็ดูทะลึ่งอ่ะ ผู้ชายสองคนนอนกอดกันในสภาพเปลือย ใครมาเห็นเข้าเขาจะคิดยังไง ไม่คิดถึงภาพพจน์ของตัวเองเลยรึไง เป็นถึงคนใหญ่คนโตแท้ๆ
แกร๊ก!
“ไง เห็นยัง?” พี่ลุกซ์ที่เพิ่งเดินเข้ามา ถามขึ้น ผมที่โมโหจนหายใจฟืดฟาดอย่างแรงรีบกดลบรูปนั่นทันที
“รูปโรคจิต ต้องลบ!” ผมพูดแล้ววางโทรศัพท์ของพี่มันไว้บนโต๊ะแล้วกอดอกทำหน้ามู่ทู่
“เฮ้ย! ลบรูปอะไรวะ?” พี่ลุกซ์โวยวายก่อนจะรีบวิ่งมาคว้าโทรศัพท์ไปกดเปิดดูรูปทันที พี่มันดูไปซักพักก่อนจะเริ่มโวยวายอีกรอบ “มึงลบรูปที่เรานอนกอดกันใช่ป่ะ? เฮ้ย ทำอย่างนั้นทำไมวะ แต่ก็ช่างเถอะ กูอัพลงคอมเรียบร้อย เหอะๆ” พี่ลุกซ์โอดครวญอยู่เพียงนิดเดียวก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ ผมถอนหายใจก่อนจะเบ้ปากอย่างเซ็งๆ รูปทะลึ่งแบบนั้นจะมีไว้ทำไมเนี่ย
“โรคจิต” ผมเบะปากใส่พี่ลุกซ์อย่างหมั่นไส้
ผมกับพี่ลุกซ์พูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่พี่มันจะกลับไปทำงานของตัวเอง ผมที่ไม่มีอะไรทำก็เอาแต่นั่งเล่นนอนเล่นและเดินเล่นไปมาในห้องพี่ลุกซ์ พอเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ไปชงกาแฟกับหาขนมมาให้พี่มันกินแก้ง่วง เวลาทำงานบางทีพี่มันก็เบลอๆ ครับ เหมือนจะหลับแต่งานที่ออกมานี่เนี้ยบทุกงานเลย ตอนที่ผมยังทำงานอยู่ เวลาถูกใช้ให้พิมพ์เอกสารอะไรก็แล้วแต่ พี่ลุกซ์จะตรวจชนิดที่แม้แต่วรรคก็ไม่ให้เว้นผิดเลยครับ เวลาผมพิมพ์ผิดบางทีพี่มันก็ดุนะ แต่ก็ไม่ได้ดุมากมายอะไรเหมือนที่ดุคนอื่นๆ ผมกลัวเหลือเกินว่าคนในออฟฟิศจะเหม็นขี้หน้าผม
พอถึงเวลาเลิกงานผมก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านผมจะต้องถูกพ่อสอบสวนเรื่องที่คนงานของพี่ลุกซ์ขับรถไปส่งคืนให้ที่บ้าน เรื่องที่ผมยอมอ่อนให้พี่ลุกซ์ผมยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลยครับ ตั้งแต่ตอนที่ผมรู้สึกล้มเหลวในชีวิตเพราะพี่ลุกซ์ไปแต่งงานผมก็ไม่ได้พูดเรื่องเขาให้ครอบครัวฟังอีกนอกจากเรื่องที่ผมทนไม่ไหวขอลาออกจากบริษัท ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเข้าใจผมไหมว่าทำไมผมถึงยอม แต่ผมคิดว่าแม่น่าจะเข้าใจเพราะแม่รักพี่ลุกซ์เหมือนลูกคนหนึ่ง ถึงเรื่องแต่งงานที่พี่มันหลอกพวกเราจะร้ายแรงจนทำผมแทบเสียสติแต่ผมคิดว่าแม่น่าจะแค่โกรธแต่คงไม่ถึงกับเกลียดพี่มันหรอก ส่วนพ่อน่ะไม่ชอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงจะคัดค้านหากผมจะกลับไปคืนดี
“อ๊ะ ทางนี้ไม่ใช่ทางกลับบ้าน” ผมบอกเมื่อหลุดจากภวังค์ออกมาแล้วพบว่าพี่ลุกซ์ไม่ได้ขับไปทางบ้านของผม
“ทำไมจะไม่ใช่” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นพลางยิ้มที่มุมปากนิดๆ ทำให้ผมเอาแค่เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากโวยวายให้พี่มันเสียสมาธิในการขับรถด้วยเพราะผมกลัวว่ารถอาจจะคว่ำอีก
สุดท้ายพี่ลุกซ์ก็พาผมมาที่บ้านของพี่มันครับ ตอนแรกผมดื้อไม่ยอมลงจากรถแต่พี่มันก็ลากลงไปจนได้ เมื่อเข้าในบ้าน ผมก็เจอน้องปิงกับคุณพ่อคุณแม่กำลังเล่นกันอยู่ที่ห้องรับแขก ผมรีบยกมือไหว้ซึ่งพวกท่านก็ยิ้มแล้วรับไหว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน
“ไง พากลับมาได้แล้วเหรอ?” คุณพ่อถามพี่ลุกซ์ยิ้มๆ
“ยังพามาอยู่ไม่ได้หรอกครับ คงทำได้แค่พามาเล่นที่บ้าน” พี่ลุกซ์พูดพลางหรี่ตามองผม ผมหลบตาพี่ลุกซ์แล้วเดินไปหาคุณแม่ที่อุ้มน้องปิงอยู่
“น้องปิงมาได้ไงครับเนี่ย?” ผมถามพลางยื่นหน้าไปหอมแก้มน้องปิงเบาๆ ก่อนจะยื่นแก้มไปให้น้องปิงหอมคืน
“ตาปิงบ่นคิดถึงตาลุกซ์ หนูเปรียวเลยพามาฝากไว้ชั่วคราว หนูป่านไม่สบายอีกแล้วก็เลยลำบากนิดหน่อย แม่อยากเจอน้องปิงพอดีก็เลยขอให้มาฝากไว้ เปอร์ไม่มาบ้านเลย แม่เหงานะ” คุณแม่บอกพลางทำหน้าหม่นนิดๆ เล่นเอาผมรู้สึกผิดเลย ผมอยากมานะแต่เพราะลูกชายคุณแม่ทำไม่ดีเอาไว้จนผมไม่กล้ามานี่นา
“ผมก็อยากมานะครับ” ผมยิ้มเจื่อนๆ พลางหลบตาคุณแม่
“แม่ต้องขอโทษเปอร์แทนลูกชายเฮงซวยด้วยนะลูก อุตส่าห์คุยกับแม่เราเอาไว้ว่าถ้าตาลุกซ์ไม่หิ้วสาวท้องป่องกับมาแม่เราจะไม่คิดค่าสินสอด” คุณแม่ว่า ผมหุบยิ้มนิดๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ถึงมีก็คงไม่จำเป็นหรอกครับแม่” ผมส่ายหน้าไปมานิดๆ ตอนนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนซักอย่าง ถ้าพี่ลุกซ์ยังพิสูจน์ตัวเองและทำให้ผมกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมไม่ได้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณแม่จะเตรียมค่าสินสอดไว้
“น้องปิงครับ อยากให้อาเปอร์มาเป็นหม่าม้าอีกคนไหม?” คุณทำหน้าหม่นลงก่อนจะหันไปถามหลานที่อยู่ในอ้อมแขน ผมตกใจที่คุณแม่ถามอย่างนั้น ผมจะไปเป็นหม่าม้าได้ยังไงล่ะในเมื่อผมเป็นผู้ชาย
“หม่าม้า? น้าเปอร์เป็นหม่าม้า เย้ๆ น้องปิงอยากให้น้าเปอร์เป็นหม่าม้า” น้องปิงทำหน้าดีใจตามประสาเด็ก ความไร้เดียงสานี่มันช่างบริสุทธิ์เสียจริง
“อะไรนะครับน้องปิง? อยากให้อาเปอร์เป็นหม่าม้าเหรอครับ?” พี่ลุกซ์ที่กำลังยืนคุยกับคุณพ่ออยู่รีบเดินมาหาน้องปิงทันทีที่ได้ยินน้องปิงพูดว่าผมเป็นแม่
“ทำไมป่าป๊าพูดว่าอาเปอร์ล่ะคับ? น้องปิงพูดว่าน้าเปอร์?” น้องปิงพูดออกมาเหมือนยังเรียงประโยคไม่ค่อยได้
“อ่า น้องปิงจะเรียกอะไรก็ได้ครับ แปลว่า uncle เหมือนกัน” พี่ลุกซ์ทำหน้าลำบากใจนิดๆ เพราะไม่รู้จะอธิบายให้ลูกฟังยังไง
“Ah I see. แล้วน้าเปอร์จะเป็นหม่าม้าไหมคับ?” น้องปิงพยักหน้ากับพี่ลุกซ์ก่อนจะหันมาถามผมที่กำลังทำหน้าลำบากใจ ถ้าปฏิเสธไปก็กลัวเด็กจะเสียใจ
“น้าเปอร์เป็นหม่าม้าไม่ได้ครับ น้าเปอร์เป็นผู้ชาย” ผมยิ้มแหยๆ อธิบายให้น้องปิงฟัง
“ผู้ชายเป็นหม่าม้าไม่ได้เหรอครับป่าป๊า?” น้องปิงทำหน้าเศร้าๆ ก่อนจะหันไปมองพี่ลุกซ์ ดูหน้าน้องปิงอยากจะให้ผมเป็นแม่อย่างแรงเลยล่ะครับ ดูเหมือนว่าถ้าพี่ลุกซ์ตอบว่าไม่ได้น้องปิงต้องร้องไห้แน่
“ได้สิครับ อาเปอร์เป็นแฟนคุณพ่อเพราะฉะนั้นเป็นหม่าม้าได้ครับ” พี่ลุกซ์บอก ผมหันไปถลึงตาใส่พี่ลุกซ์ทันที ทำไมมายัดเยียดตำแหน่งแฟนให้ผมอย่างนี้ล่ะ บ้าเอ๊ย คุณพ่อกับคุณแม่เข้าใจผิดหมด
“ผมไม่ได้เป็นแฟนคุณ” ผมกัดฟันพูดกับพี่ลุกซ์เสียงเบา
“น้องปิงครับ เอางี้ไหมลูก อาเปอร์เป็นผู้ชายคงเป็นหม่าม้าไม่ได้เพราะฉะนั้นน้องปิงเรียกอาเปอร์ว่าคุณป๋าดีไหมครับ?” คุณแม่ตกลงกับน้องปิงอย่างประนีประนอมเพื่อไม่ให้น้องปิงร้องไห้ที่ผมเป็นหม่าม้าไม่ได้
“แต่น้องปิงมีแดดดี๊กับป่าป๊าแล้วอะคับ น้องปิงอยากมีหม่าม้าอีกคน” น้องปิงเงยหน้ามองคุณแม่ด้วยสายตาอ้อนวอน น้ำตาคลอเบ้า
“ถ้าน้องปิงไม่ให้เป็นคุณป๋างั้นน้าเปอร์จะเป็นน้าเหมือนเดิมนะ” ผมเบือนหน้าหนีจากพี่ลุกซ์ก่อนจะหันไปตกลงกับน้องปิงทำเอาน้องปิงเบ้ปากน้ำตาไหลเลยล่ะครับ อ่า...ร้องไห้แบบอดกลั้นแบบนี้น่ารักชะมัด
“เป็นคุณป๋าก็ได้คับ” น้องปิงทำหน้างอเพราะร้องไห้ก่อนจะเอื้อมมือมาตรงหน้าผมเหมือนอยากจะให้ผมอุ้ม ทุกคนหัวเราะนิดๆ ก่อนที่ผมจะอุ้มน้องปิงไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบหลังเพื่อปลอบ “เป็นหม่าม้าไม่ได้แต่เป็นคุณป๋าได้นะครับน้องปิง ไม่เอานะลูก อย่างอแงนะ” ผมพูดปลอบใจน้องปิงที่กำลังตัวสั่นในอ้อมแขน เด็กก็อย่างนี้แหละครับ อ่อนไหวเหลือเกิน โดนสะกิดอารมณ์นิดๆ หน่อยๆ ก็ร้องไห้แล้ว แต่น้องปิงเป็นเด็กน่ารักนะครับ ไม่ร้องไห้งอแงแต่ร้องไห้เงียบๆ ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารสุดๆ เลยล่ะ
ผมอยู่เล่นกับน้องปิงอีกสักพักพี่ลุกซ์ก็พาผมกลับบ้านโดยที่ตอนแรกคุณพ่อกับคุณแม่อยากให้ผมค้างด้วยแต่ผมปฏิเสธผมก็เลยต้องบ๊ายบายน้องปิงอย่างอาลัยอาวรณ์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ