[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) Chapter 14 : ผี!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเอกพาผมแว้นไปกินข้าวที่ร้านข้าวไข่เจียวแห่งหนึ่งในซอยเล็กๆ ซึ่งแม้ร้านจะเล็กแต่ก็มีคนแวะเวียนเข้าไปเรื่อยๆ โดยเจ้าของร้านคือคุณลุงกับคุณป้าอายุมากแล้ว พวกท่านทั้งสองคนน่ารักมากๆ เลยครับ ผมเคยมาร้านนี้กับพี่ลุกซ์ แต่หลังจากที่พี่ลุกซ์ไปเรียนต่อผมก็ไม่ได้มาอีก
ผมอดคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ไม่ได้จริงๆ
“เปอร์ เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมพี่ลุกซ์ถึง...” เมื่อสั่งข้าวไปแล้วเอกก็ถามขึ้น
“อุบัติเหตุน่ะครับ” ผมตอบสั้นๆ
“แล้วเมื่อกี้ผมไปขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?” เอกถามเสียงอ่อยเหมือนจะเกรงใจที่จะถามคำถามนี้
“ไม่หรอกครับ มาถูกจังหวะพอดี ผมไม่อยากคุยกับเขาพอดี” ผมก้มหน้ามองมือที่ประสานกันอยู่ที่หน้าตัก
“เขา...มาขอคืนดีหรือเปล่า?” เอกถามเสียงตะกุกตะกัก
“อาจจะใช่มั้งครับ แต่ผมคงไม่กลับไปแล้วล่ะ เฮ้อ อยู่เป็นโสดดีกว่านะเอก สบาย เป็นอิสระ ไม่ต้องแคร์อะไรมากมาย ผมว่าผมจะโสดตลอดชีวิตแหละ เข็ดกับความรักมามากพอแล้ว” ผมถอนหายใจก่อนจะเหยียดแขนออกไปแล้วบิดขี้เกียจเบาๆ
“ผมว่ายังมีคนอยากดูแลเปอร์อยู่นะ” เอกพูดพลางช้อนตามองผม ผมมองเขาแล้วนิ่งไปก่อนจะหัวเราะนิดๆ
“ไม่เอาดีกว่า ผมว่าผมอยู่กับครอบครัวแค่นี้ก็ดีแล้ว ผมมีภาระมากมาย ผมไม่อยากเอาเวลาของครอบครัวไปให้คนอื่นอีกแล้วล่ะครับ” ผมบอก ผมอยู่กันแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องมีคนรักผมก็มีความสุขในแบบของผม
“น่าเสียดายนะ เปอร์ออกจะหน้าตาดีแบบนี้ สาวๆ หนุ่มๆ ไม่เสียดายแค่เหรอ?” เอกทำท่าเสียดาย
“ฮะๆๆ ชมแบบนี้อยากได้อะไรหรือเปล่าเอก ผมเขินนะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะนิดๆ กับคำชมของเอก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงยืดแล้วอวดหน้าตาตัวเองแบบขำๆ แล้วแหละ แต่พอโตขึ้น ความเด็กมันก็ลดลงไปด้วย
“ผมพูดจริงนะ” เอกทำหน้าจริงจัง
“ขอบคุณนะครับ อะ ข้าวมาพอดี ขอบคุณนะครับคุณลุง” ผมยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรงก่อนจะกล่าวขอบคุณคุณลุงที่เอาข้าวไข่เจียวมาเสิร์ฟ
ผมกับเอกนั่งกินพลางคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมด เรื่องที่เราคุยกันหลังจากข้าวมาเสิร์ฟไม่มีอะไรเกี่ยวกับพี่ลุกซ์เลย เอกก็คงรู้ว่าผมไม่อยากจะพูดถึงเขาเอกเลยได้ถามถึงเขาอีก
พอกลับมาถึงที่ทำงานผมก็เห็นถุงกระดาษคุ้นตาวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่ามันเป็นอะไรเพราะคนให้เขาคงรู้ดีว่าขนมสุดโปรดของผมมีอะไรบ้าง และถึงไม่ต้องถามหาคนให้ผมก็รู้ว่าใคร
แกร๊ก
“กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มๆ ถามขึ้นทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก
“กินขนมสิ” พี่ลุกซ์บอกยิ้มๆ
“ไม่ครับ เอาคืนไปเถอะครับ” ผมบอกก่อนจะยัดถุงกระดาษใส่มือข้างที่ไม่ได้จับไม้ค้ำของพี่ลุกซ์ ขนมน่ะอยากกินอยู่หรอกนะแต่ไม่อยากกินของที่ได้มาจากเขา
“คุณก็รู้ว่าผมไม่กินอะไรที่เป็นไข่ แล้วผมก็อยากให้คุณกินด้วย ผอมเกินไปแล้วนะ” เขาพูดก่อนจะวางถุงกระดาษลงแล้วใช้มือข้างที่ว่างมาไล้ที่นิ้วของผมเบาๆ ผมรีบขยับมือหนี
“ผมผอมก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ” ผมพูดเย็นๆ
“เปอร์...” พี่ลุกซ์เรียกชื่อผมเสียงอ่อน
“คุณปริน กรุณาเรียกผมอย่างนั้นด้วยครับท่านประธาน” ผมรีบพูดขึ้นทันที
“เปอร์ ในออฟฟิศนี้เขาก็เรียกชื่อกันอย่างสนิทสนมนะ อย่าทำตัวห่างเหินนักเลย” พี่ลุกซ์พูดเสียงอ้อนพลางคว้ามือผมไปจับซะแน่น
“ผมไม่อยากสนิทกับคนอย่างคุณ ปล่อยมือผมซะ ผมไม่อยากทำร้ายคนเจ็บ” ผมข่มตาดุขู่ ตอนนี้เขาเจ็บอยู่ ผมแค่เตะขาเขาครั้งเดียวเขาก็ล้มแล้วล่ะ
“คุณไม่ทำอะไรผมหรอก คุณคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ” พี่ลุกซ์ยิ้มอย่างมั่นใจ แต่เสียใจครับ ผมใจร้ายได้กว่าที่คิดซะอีก
“คุณคงยังไม่รู้จักผมดีพอ กับคนที่ผมเกลียด ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้เขามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผม” ผมยืนขึ้นแล้วหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาเอาจริง
“เกลียดเหรอ?” พี่ลุกซ์หน้าหมองลงก่อนจะหลบสายตาผม
“ครับ มากด้วย” ผมตอบทันที
“ไม่จริง” พี่ลุกซ์ส่ายหน้าไปมา
“แล้วแต่จะคิดละกันครับ ถ้าคุณคิดอะไรแล้วสบายใจก็แล้วแต่คุณ แต่คิดแล้วอย่าส่งผลกระทบต่อตัวผมก็แล้วกัน มันน่ารำคาญ” ผมทำหน้าหน่ายๆ
“นี่มึงเอาคืนกูหรือเปล่า...?”
“กรุณาสุภาพกับผมด้วยครับ อย่างน้อยก็ในที่ทำงาน” ผมพูดสวนขึ้นทันทีก่อนที่เขาจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ
“ครับ ผมจะพูดดีๆ อย่างที่คุณต้องการและผมจะทำทุกอย่าง ขอแค่คุณสั่งมาก็พอ” พี่ลุกซ์จ้องตาผมนิ่งด้วยสายตาจริงจังจนผมอยากจะใจอ่อนแต่ผมก็พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ผมจะไม่ยอมกลับไปหาเขาอีกแล้ว
“ผมไม่กล้าสั่งเจ้านายหรอกครับ แต่ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องมากกว่า” ผมพูด พี่ลุกซ์ยิ้มออกมานิดๆ เหมือนจะมีความหวัง พี่มันพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ เพื่อรอรับคำขอร้อง “ขอให้ผมได้เป็นแค่เลขาของคุณเท่านั้นได้ไหมครับ? หยุดทุกอย่างไว้ที่สามปีก่อนที่คุณได้ตายจากผมไปและหยุดทำให้ผมทรมานเสียที” ผมขอร้องด้วยสีหน้านิ่งสนิท ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับสีหน้าให้เฉยชาทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมสงสารเขามาก เขาดูเจ็บปวดและเหมือนไม่อยากจะเสียผมไป แต่ในเมื่อเขาไม่เคยไว้ใจให้ผมดูแลเขา ผมก็ไม่กล้าไว้ใจให้เขาดูแลผมเช่นกัน แค่ความสงสารเล็กๆ น้อยๆ มันทดแทนไม่ได้กับหัวใจที่เสียไปของผมหรอก
“ความรักของกูทำให้มึงทรมานมากใช่ไหม?” เขาถามด้วยสรรพนามที่เหมือนเดิม ผมชะงักก่อนจะหลบสายตาแล้วเม้มปาก รักงั้นเหรอ? “ทุกครั้งที่กูบอกว่ากูรักเมีย จะไม่นอกใจเมีย กูไม่เคยหมายถึงใครนอกจากมึง กูไม่เคยลืมความรักที่เรามีให้กัน ไม่ว่าจะผ่านไปสิบกว่าปีแต่คนที่กูรักก็ยังเป็นคนเดิม มึงเป็นเพียงคนเดียวที่กูรัก แต่ถ้าความรักของกูทำให้มึงเจ็บปวดทรมาน กูก็จะไม่ยุ่งกับมึงและไม่แตะเนื้อต้องตัวมึงอีก แต่ขออย่างเดียว...กูอยากให้มึงรักตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าจะมีคนรักใหม่ กูขอให้เลือกดีๆ ถ้าวันไหนมึงรู้สึกท้อ รู้สึกโดดเดี่ยว ขอให้จำเอาไว้...ว่ามึงยังมีกูอยู่เสมอ กูจะอยู่กับมึงเสมอแม้มึงจะไม่ต้องการก็ตาม” พี่ลุกซ์พูดอย่างอ่อนแรงด้วยดวงตาที่สั่นไหวและแดงก่ำ
ผมมองหน้าเขาแค่นิดเดียวก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะผมไม่อยากใจอ่อน ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรักเขาแต่ผมไม่อยากทำร้ายตัวเองด้วยการกลับไปหาคนอย่างเขาอีกแล้วจริงๆ เขาเห็นแก่ตัวเกินไป เห็นแก่ตัวโดยการเก็บเรื่องไม่ดีไว้กับตัวเองโดยไม่ให้ผมได้แบ่งเบา
“ถ้ารู้ว่าผมไม่ต้องการก็อย่าทำเลยครับ มันน่ารำคาญ” ผมข่มใจพูดออกไปอย่างใจร้าย ไม่ได้อยากจะใจร้ายหรอกครับแต่ผมไม่รู้จะทำยังให้เขาถอยห่างออกจากผม
“มึงใจร้ายจังเลยนะ” พี่ลุกซ์ก้มหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืนทน
“คนที่ใจร้ายยิ่งกว่า คือคุณต่างหาก” ผมเม้มปากแล้วเดินออกจากโต๊ะทำงานเพื่อไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำโดยเดินกระแทกไหล่เขาที่มายืนปิดทางออกของผมออกไป
ปึ่ก!
จังหวะที่ผมชน เขาก็เซล้มลงไปกองกับพื้นแล้วร้องเสียงหลงพร้อมกับรีบเอื้อมมือไปจับขาข้างที่เจ็บของตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด ผมผวาจะเข้าไปดูเขาแต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วกัดฟันเดินหนีไปโดยทิ้งเขาเอาไว้ตรงนั้นอย่างไม่สนใจใยดี
แค่เห็นเขาเจ็บผมก็เจ็บด้วยแล้ว แต่ผมทำไม่ได้! ผมไปช่วยเขาไม่ได้! ถ้าผมไปช่วยเขาล่ะก็ผมจะต้องแสดงออกว่าผมเป็นห่วงเขามากและเขาก็จะใช้ความเป็นห่วงของผมเป็นเครื่องมือสานความสัมพันธ์และผมก็ต้องใจอ่อนแน่ๆ ผมกลัวที่จะความใจอ่อนของตัวเองจริงๆ
พอจะเข้างานช่วงบ่ายผมก็ได้รับโทรศัพท์จากไอ้พี่ถังว่าถ้าพี่ลุกซ์มีนัดประชุมช่วงบ่ายนี้ให้ยกเลิกให้หมดเพราะพี่มันต้องไปเช็คอาการขาที่โรงพยาบาลกะทันหัน เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็ได้แต่นั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนั้นคงเป็นเพราะผมทำให้เขาล้มล่ะมั้ง บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกผิดและอยากจะไปดูแลเขาแต่ผมก็ต้องห้ามใจ เมื่อก่อนที่ผมเคยเข้าโรงพยาบาลหรือเจ็บตัวเขายังไม่ดูแลผมเลย เขาใจร้ายได้ขนาดนั้นผมก็ต้องทำได้สิ แต่...ผมเป็นห่วงเขาจัง
“เปอร์ อยากไปเยี่ยมประธานไหมจ๊ะ?” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่พลอยเดินมาพูดกับผมที่กำลังนั่งเครียดอยู่คนเดียว
“ไม่ครับ” ผมตอบทันที เป็นคำตอบที่โคตรจะต่างจากใจของผมตอนนี้จริงๆ
“ตอนที่พี่กับรองมาเจอประธานนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเปอร์ พวกเราตกใจมากเลยนะ พอรองเข้าไปถามประธานถึงได้บอกว่าล้ม รองห่วงมากเลยบังคับพาประธานไปโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ประธานบอกว่าไม่อยากไป พี่ว่าถ้าเปอร์ไปดูประธานเขาคงจะดีใจ” พี่พลอยบอกยิ้มๆ
“ผมเป็นคนทำให้เขาล้มเองนี่ครับ ทำไมผมต้องอยากไปเยี่ยมเขาด้วย” อ่า...ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองใจร้าย แต่นี่มันยังน้อยมากถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาทำกับผม ที่จริงผมไม่ได้คิดจะแก้แค้นอะไรเขาหรอก ที่ผมทำเพราะผมอยากจะถอยห่างจากเขาต่างหาก
การที่เขามาเรียกร้องความสงสารจากผมแบบนี้ทำให้ผมดูเป็นคนนิสัยไม่ดีไปเลยครับ ผมไม่ได้อยากจะทำร้ายเขา แต่เขาทำตัวเองต่างหาก ผมก็อยู่ของผมเฉยๆ แค่ไม่อยากยุ่งเลยไม่อยากสนใจเขาก็เท่านั้น ผมเข้าใจความรู้สึกตอนแรกที่ผมกับเขาเจอกันเลยครับ ผมเข้าไปหาเขาและทรมานตัวเองด้วยการเรียกร้องขอความรัก เขาไม่ได้รักผมเลยไม่สนใจแต่ผมก็ดันทุรังที่จะอยู่กับเขาทำให้ผมเจ็บปวด ตอนนี้ก็คงเหมือนกัน ผมไม่ได้อยากจะรัก แต่เขาก็มาขอความรักและนั่นก็ทำให้เขาเจ็บปวดซะเองเหมือนกัน
“ทำไมเปอร์ที่น่ารักของพี่ถึงใจร้ายแบบนี้ล่ะ? เปอร์ใจดีและอ่อนโยนจะตาย อย่าฝืนใจตัวเองเลยนะ” พี่พลอยทำหน้าขอร้องพลางยื่นมือมาปัดผมของผมไปทัดที่หูอย่างเบามือ
“ผมไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นซักหน่อยครับ ถ้าความใจร้ายของผมจะทำให้เขาเลิกยุ่งกับผมล่ะก็ ผมก็จะใจร้ายให้มากกว่านี้ ใจร้าย...อย่างที่เขาเคยใจร้ายกับผม” ผมกัดฟันนิดๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับใจออกมา
“ประธานเขาเคยทำไม่ดีกับเปอร์ไว้เหรอจ๊ะ?” พี่พลอยทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของผมก่อนจะถามขึ้น
“ครับ เขาทำร้ายผมมากจนผมแทบบ้า ทั้งร่างกายทั้งจิตใจของผมมันบอบช้ำมากจากน้ำมือของเขา ผมเคยคิดว่าเขาจะไม่มีทางรักผมก็เลยยอมถอยออกมาแต่เขาก็กลับมาทำให้ผมรักเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แค่เขาใจดีกับผมแค่ครั้งเดียวผมก็พร้อมจะลืมความเลวร้ายทั้งหมด เขาทำแบบนี้อยู่เสมอจนสุดท้ายเขาก็ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด นั่นก็คือการกันผมออกไปจากชีวิตโดยเอาการแต่งงานมาบังหน้า ผมรู้เหตุผลของเขาแต่ผมกลับไปรักเขาอีกไม่ได้ เขาไม่เคยเชื่อใจผมเลย” ผมพูดออกมาเสียงแผ่วเบาพลางกุมขมับแน่น
“แต่ประธานรักเปอร์ไม่ใช่เหรอ?” พี่พลอยถามเสียงอ่อนโยน
“เขาก็บอกผมอย่างนั้น แต่ในเวลาที่ผมกำลังตกต่ำและต้องมารับรู้ว่าเขามีลูกมีภรรยาผมทรมานจนแทบบ้า การกระทำของเขาเหมือนเป็นการเอาเท้ามาเหยียบหัวใจของผมเลยล่ะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่มีครอบครัวอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้คงไม่เป็นแบบนี้ ผมอาจจะฆ่าตัวตายหรือไม่ก็อยู่ในโรงพยาบาลบ้าก็ได้ เขาทำกับผมขนาดนี้ยังจะให้ผมกลับไปรักกับเขาอยู่งั้นเหรอ? ผมพอแล้วครับ” ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเจ็บปวด หากผมกลับไปหาเขาแล้วมีเหตุการณ์ที่ต้องทำให้เขาปกป้องผมด้วยวิธีบ้าๆ แบบนั้นอีก ใจผมอาจจะรับไม่ไหวก็ได้ ถึงตอนนั้นผมก็คงตรอมใจตายแน่ๆ
“โถเปอร์ ถ้าเปอร์ทรมานก็ถอยห่างออกมาก็ได้นะจ๊ะ สู้ๆ นะ พี่อยู่ข้างเปอร์เสมอ” พี่พลอยยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนทำให้ผมยิ้มออกมาได้นิดๆ
“พี่พลอยใจดีจังครับ” ผมยิ้มให้พี่พลอยอย่างจริงใจและขอบคุณที่พี่พลอยคอยอยู่ข้างๆ
“ไม่หรอกจ้ะ พี่ก็เหมือนเปอร์นั่นแหละ ใจดีกับคนที่ควรใจดีและใจร้ายกับคนที่นิสัยไม่ดี” พี่พลอยยิ้ม
“ครับ” ผมพยักหน้าก่อนที่พี่พลอยจะขอตัวไปทำงานต่อ ส่วนผมที่สบายใจขึ้นแล้วบ้างก็หันมาทำงานของตัวเองต่อเหมือนกัน
48% left
วันต่อมาพี่ลุกซ์ก็มาทำงานตามปกติครับ เขาไม่ได้มายุ่งกับผม จะคุยกันก็ต่อเมื่อมีงานเข้ามา ตอนเช้าเขาซื้อขนมมาวางไว้บนโต๊ะให้ผมแต่ผมก็โยนมันทิ้งไป ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าผมไม่กินของที่เขาให้แต่เขาก็ยังจะซื้อมาให้ผมตอนบ่ายด้วย
ผมเองก็อยากจะถามอาการของเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอยู่ดี แค่เห็นว่าเขาไม่มีอาการผิดปกติผมก็สบายใจแล้วล่ะ
“เปอร์ครับ วันนี้เลิกงานกี่โมง?” เอกที่มาหาผมตอนบ่ายสามของวันนี้ถามขึ้น ผมตกใจอยู่นะที่เขามาหาผมที่นี่แบบนี้ สงสัยจะเหงาเลยมาหาเพื่อนไปเที่ยวด้วยมั้ง
“สี่โมงเย็นครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” ผมถาม
“ไม่มีอะไรด่วนหรอกนะ พอดีผมได้ยินเปอร์บ่นว่าอยากทำขนมที่ไม่ใช่คุกกี้ผมก็เลยจะสอนให้ไง” เอกบอกยิ้มๆ ผมจึงทำหน้าตื่นเต้นทันที ใช่แล้วล่ะ ช่วงนี้ผมติดคัพเค้กของเอกมากเลย ติดจนอยากจะทำกินเองเลยล่ะ
“จริงเหรอ? ผมอยากทำคัพเค้ก!” ผมพูดอย่างตื่นเต้น
“อื้อ เดี๋ยววันนี้จะพาทำนะ งั้น...ผมขอรอจนกว่าเปอร์จะเลิกงานได้ไหมอ่ะ?” เอกทำตาวิ้งๆ อ้อนจนผมขำ เขาชอบทำหน้าแบ๊วใส่ผมแบบนี้ตลอดเลย คิดว่าน่ารักหรือไงนะ? แต่ก็...น่ารักแบบตลกๆ ดีแฮะ
“ผมกลัวว่าถ้าเอกรออยู่ในออฟฟิศแล้วจะมีคนมาต่อว่าเอา ผมว่า...เอกไปรอที่ร้านก็ได้นะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วผมจะรีบไป” ผมบอกอย่างลำบากใจ
“งั้นผมรออยู่ร้านกาแฟข้างล่างก็แล้วกันนะ ดื่มแต่กาแฟที่ร้านตัวเอง ลองเปลี่ยนรสชาติดูก็ดี คริๆ” เอกขยิบตาให้ผมก่อนจะเดินถือหมวกกันน็อคแบบเต็มใบไปที่ลิฟต์ พอเข้าไปในลิฟต์เขาก็โบกมือบ๊ายบายผมพร้อมกับลิฟต์ที่กำลังปิดลง
ผมมองตามยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
“เปอร์...จะไปทำขนมกับเอกจริงๆ เหรอ?” พี่พลอยลุกจากโต๊ะทำงานก่อนจะเข้ามาถามผมด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ครับ พี่พลอยไปด้วยกันไหม?” ผมชวนยิ้มๆ
“พี่ไม่ชอบเลยนะที่เอกมาหาเปอร์ในที่ทำงานแบบนี้ เอกรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเปอร์กับประธานเป็นอะไรกันแล้วทำไมถึงทำแบบนี้” พี่พลอยขมวดคิ้วพลางจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ ผมบอกพี่พลอยเองแหละครับว่าเอกรู้เรื่องของผมกับพี่ลุกซ์แล้ว
“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับประธานแล้วนะครับ อีกอย่าง...เอกเป็นแค่เพื่อนนะ เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมซักกะหน่อย” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ กับความคิดพี่พลอย พี่พลอยต้องคิดว่าเอกมาจีบผมแน่เลย จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ก็เอกเป็นผู้ชายนี่นา อีกอย่าง...เขาคงถูกชะตากับผมก็เลยชอบที่จะคุยกัน
“พี่ว่าหมอนั่นจีบเปอร์นะ เวลาไปที่ร้าน เอกมันไม่สนใจพี่เลยนะเว้ย เอาแต่เรียกหาเปอร์ เปอร์ เปอร์แล้วก็เปอร์ ปกติสาวสวยแบบนี้อยู่ตรงหน้ามันต้องมีอาการบ้างสิ แต่นี่มันไม่มีเลย!” ผมถึงกับยิ้มค้างเมื่อเห็นท่าทางสุดจะแมนของพี่พลอย อุตะ! เวลาคนเรียบร้อยแสนหวานโมโหนี่จะแมนเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย
“พี่พลอยหึงเหรอ?” ผมถามเย้าๆ
“บ้าสิ พี่จะหึงเปอร์ทำไม? เปอร์เป็นน้องชายพี่นะ!” พี่พลอยหันมาแว้ดใส่ผมเล่นเอาผมกลั้นขำจนตัวสั่นเทิ้ม
“เปล่า ผมหมายถึง...หึงเอก คึๆๆ” ผมหัวเราะรัวด้วยความตลก พี่พลอยคงไม่ได้หึงผมหรือเอกหรอกแต่ผมอดไม่ได้ที่จะล้อ ก็ดูพี่พลอยแกเหวี่ยงสิครับ ตลกจริงๆ สงสัยจะหวงผมล่ะมั้ง ก็พี่พลอยคิดว่าผมเป็นน้องชายนี่นา ถ้าเอกจะจีบผมจริงๆ พี่พลอยจะหวงก็ไม่แปลก แต่เอกไม่จีบผมหรอกน่า
“ตายๆๆ เอาอะไรมาคิดเนี่ย? อย่างเอกน่ะพี่ชอบแค่ขนมมันเท่านั้นแหละ ชิ!” พี่พลอยกอดอกแล้วสะบัดไหล่ด้วยท่าทางเชิดๆ ทำเอาผมหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“แล้วตกลงวันนี้จะไปทำขนมด้วยไหมครับ?” ผมถามกลั้วหัวเราะ
“ไปสิ พี่ชอบเป็นก้าง อิๆ พี่อยากได้น้องเขยเป็นประธานบริษัท ฮ่าๆ” พี่พลอยพูดขำๆ ทำเอาผมได้แต่ถอนหายใจปลงๆ คนมันจะเชียร์ต่อให้ทำตัวซึมเศร้าใส่ก็เชียร์เหมือนเดิมนั่นแหละครับ เฮ้อ
เลิกงานผมกับพี่พลอยก็ตรงดิ่งไปที่ร้านขนมไทยของเอกทันที พี่ตรีกับคุณป้าเจ้าของร้านก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดี มีทั้งขนมและน้ำให้กินฟรีผมกับพี่พลอยเลยอาสาจะช่วยขายขนมด้วย
“เปอร์ ตีไข่แรงๆ ครับ พี่พลอยไปนั่งเฉยๆ ไป” เอกหันมาบอกผมที่กำลังตอกไข่ใส่ชามแล้วตีให้เข้ากันก่อนจะหันไปบอกพี่พลอยที่คอยเดินมายืนแทรกกลางระหว่างผมกับเอก
ผมสงสัยนะครับว่าพี่ลุกซ์ได้จ้างให้พี่พลอยมาคอยกันท่าเอกหรือเปล่า? หรือไม่พี่พลอยคงเอาเรื่องเอกไปฟ้องพี่ถังกับพี่เคย์สองคนนั้นเลยให้พี่พลอยมากันท่าแทน ก็พี่เคย์เป็นเพื่อนรักของพี่ลุกซ์นี่หว่า ถึงตอนที่ผมกำลังเจ็บปวดพี่เคย์จะช่วยต่อว่าพี่ลุกซ์ให้ก็เถอะแต่พอเรื่องเปิดเผยแบบนี้พี่เคย์ต้องกลับไปเชียร์พี่ลุกซ์แน่เลย
แต่ก็นะ...บอกไปแล้วนี่หว่าว่าผมกับเอกไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน เป็นแค่เพื่อนกัน ผม...คิดงั้นนะ
“งั้นพี่พลอยมาช่วยตีไข่ละกันครับ เดี๋ยวผมออกไปดูหน้าร้านแป๊บนึงแล้วจะกลับมานวดแป้งนะ” ผมยื่นชามไปให้พี่พลอยก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกไปหน้าร้านเพื่อช่วยพี่ตรีขายขนม เย็นๆ แบบนี้ลูกค้าเยอะมากเลย
“อ้าว น้องเปอร์มาพอดี ช่วยขายขนมให้พี่หน่อยนะเดี๋ยวพี่ไปส่งขนมให้ร้านในตลาดก่อน เดี๋ยวพี่รีบมา” พี่ตรีบอกรีบๆ ก่อนจะวิ่งไปหน้าร้านแล้วแว้นมอเตอร์ไซค์ออกไปทันที
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ?” ผมถามเมื่อมีลูกค้าใหม่เดินเข้ามาในร้านสองคน
“อ้าว ร้านนี้รับพนักงานใหม่เหรอเนี่ย?” ผู้หญิงวัยมหาลัยคนหนึ่งพูดพลางมองหน้าผม
“นั่นสิ มาทำงานใหม่เหรอคะ?” ผู้หญิงคนที่มาด้วยกันถามผมก่อนจะก้มลงไปเลือกขนมในตู้
“ครับ ผมมาช่วยงานที่ร้านบ้างครับ” ผมยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
“หน้าตาน่ารักจัง เด็กม.ปลายใช่ไหมเอ่ย? มาทำหลังเลิกเรียนล่ะสิ” คนแรกพูดพลางส่งยิ้มอย่างชื่นชมผมทำเอาผมได้แต่หัวเราะขำๆ เพราะผมไม่ใช่เด็กม.ปลายแต่ตอนนี้ผมจบปริญญาโทแล้ว
“เอาฝอยทองสองกล่องจ้ะแล้วก็...อ๊ะ! เดี๋ยวนี้มีเค้กด้วยเหรอเนี่ย?” ผู้หญิงคนที่สองที่กำลังไล่ดูรายการขนมในตู้อุทานออกมาอย่างตกใจทำให้เพื่อนของเธอก้มลงไปดูบ้าง
“ครับ ช่วงนี้เริ่มมีเค้กมาขายวันละหน้าด้วยครับ อร่อยมากเลยฮะผมแนะนำเลย” ผมพูดยิ้มๆ พลางยกนิ้วโป้งให้
“ปกติไม่เคยเห็นมีขนมฝรั่งเลยนะ”
“ลูกเจ้าของร้านเป็นคนทำขนมฝรั่งน่ะครับ เขาเพิ่งเรียนจบมาจากฝรั่งเศสก็เลยทำมาขายที่ร้านด้วยน่ะ ผมการันตีความอร่อยเลยนะครับ” ผมพยักหน้าพลางพูดเชียร์ให้ลูกค้าได้ซื้อไปลอง ได้ยินคุณป้าแกบ่นอยู่ครับว่าเอกดื้ออยากจะทำขนมมาขายที่หน้าร้านด้วยก็เลยยอมให้ทำเค้กวันละหน้าก็พอ ผมว่าอีกหน่อยก็คงมีขนมอย่างอื่นแซมมาด้วยแน่ๆ
“งั้นเอาเค้กด้วยจ้ะ สองชิ้น ถ้าน้องคอนเฟิร์มขนาดนั้นก็จะลองละกันนะ” ผู้หญิงทั้งสองยิ้มให้ผมก่อนจะสั่งเค้กเพิ่ม
“รับเป็นฝอยทองสองกล่องกับเค้กสองชิ้นนะครับ ทานนี้หรือกลับบ้านดีครับ?” ผมถามด้วยรอยยิ้มทำให้พวกเธอหันไปปรึกษากัน ได้ยินแว่วๆ ว่าตอนแรกจะเอากลับบ้านแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทานที่นี่ “รับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มไหมครับ?” ผมถามเมื่อเห็นว่าพวกเธอจะทานที่นี่
“เอาน้ำกระเจี๊ยบกับ...ชาเย็นละกันจ้ะ” สั่งก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ยังว่าง
ผมเดินไปจัดฝอยทองที่ไม่ได้บรรจุใส่กล่องใส่จานเล็กๆ สองจานแล้วหยิบเค้กไปวางใส่อีกจานจากนั้นก็ไปตักน้ำแข็งหลอดใส่แก้วพร้อมกับหยิบน้ำหวานที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติกใสไปวางบนถาดก่อนจะเอาไปเสิร์ฟให้สองสาวแล้วกลับไปประจำที่หลังเคาน์เตอร์ตามเดิม
กริ๊ง...กริ๊ง...
ผมที่กำลังยิ้มอย่างสบายใจอยู่หลังเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านแต่ก่อนที่จะไปสบตากับลูกค้าเสียงโวยวายของเอกก็ดังออกมาจากหลังร้านทำให้ผมหันไปมองและพบว่าเอกกำลังเดินหน้าหงิกออกมาจากหลังร้านด้วยสภาพหน้าขาววอกเพราะแป้ง
“เปอร์ พี่พลอยแกล้งผมอ่ะ!” เอกโวยวาย
“เดี๋ยวแป๊บนึงนะเอก พอดีลูกค้าเข้าร้านน่ะ...” ผมพูดกับเอกยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ลูกค้า แต่ผมก็ต้องยิ้มค้างเมื่อลูกค้าที่มาใหม่เป็นคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุด
“พี่ลุกซ์” เอกนิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยชื่อพี่ลุกซ์ออกมาเบาๆ อย่างอึ้งๆ “สะ...สวัสดีครับ” เมื่อตั้งสติได้เอกก็ยกมือไหว้พี่ลุกซ์ทันที
“มาทำอะไรกันที่นี่?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเข้ม หน้าพี่มันดูยุ่งเหยิงและไม่พอใจสุดๆ คงยังไม่รู้ล่ะมั้งว่าตัวเองซื้อขนมจากร้านของเอกเป็นประจำ
“นี่เป็นร้านของแม่ผมครับ ผมมาช่วยบ่อยๆ ส่วนเปอร์ก็มาเรียนทำขนมกับผมน่ะครับ” เอกใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดแป้งออกจากหน้าตัวเองลวกๆ ก่อนจะตอบ
“งั้นเหรอ? มิน่าล่ะ” พี่ลุกซ์ละสายตาจากเอกก่อนจะมองมาที่ผมด้วยสายตาเจ็บปวด
มิน่า...งั้นเหรอ? คงคิดว่าที่ผมทิ้งขนมที่เขาให้ไปเพราะไม่จำเป็นต้องได้จากเขาเนื่องจากเอกเป็นเจ้าของร้านงั้นสินะ ให้เขาคิดอย่างนั้นก็ดีครับ เขาจะได้เลิกซื้อขนมมาให้ผมซักที
“พี่ลุกซ์มาที่นี่บ่อยเหรอครับ?” เอกถามขึ้น
“เมื่อก่อนก็บ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้มาเพราะให้คนอื่นมาซื้อแทนน่ะ” พี่ลุกซ์ตอบเอกทั้งๆ ที่ยังมองหน้าผมอยู่ ผมก็จ้องกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แล้วคิดยังไงวันนี้ถึงมาเองล่ะครับ?” เอกถามอีก เอกอย่าไปชวนเขาคุยสิ
“คิดว่าคนที่ฉันซื้อขนมไปฝากอาจจะดีใจถ้าฉันมาซื้อด้วยตัวเองก็เลยมาน่ะ แต่คงไม่มีประโยชน์” พูดจบพี่มันก็เม้มปากแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดเสียเหลือเกิน ผมรีบหลบสายตาทรมานนั่นทันที
“แล้วจะรับอะไรดีครับ?” เอกถาม
“ฝอยทอง ทองหยอด อาลัวแล้วก็...เม็ดขนุน” พี่ลุกซ์สั่งทั้งๆ ที่ยังคงมองผมอยู่ ผมเหลือบตามองพี่มันนิดๆ ก็พบกับสายตาที่เจ็บปวดทรมานไม่เปลี่ยนหรืออาจจะดูทรมานมากกว่าเดิมก็ได้
“ครับ” เอกตอบรับก่อนจะเดินมาเปิดตู้แล้วหยิบของที่พี่ลุกซ์สั่งไปใส่ถุงกระดาษ
“กลับมาแล้วค่า” ก่อนที่เอกจะได้ยื่นถุงใส่ขนมไปให้พี่ลุกซ์พี่ตรีก็เดินเข้ามาในร้านทำให้พวกเราพร้อมใจกันมองตรงไปที่พี่ตรี
พี่ตรียิ้มแย้มก่อนจะเดินมาที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อทำงานต่อ แต่จู่ๆ พี่ตรีก็ร้องออกมาซะดังด้วยความตกใจเล่นเอาคนทั้งร้านตกใจตามพี่ตรีไปด้วย
“เฮ้ย!!” พี่ตรีร้องแล้วหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่หน้าตู้ขนม
“พี่ เป็นอะไร? อ่า...ขอโทษนะครับ ไม่มีอะไรครับ” เอกถามพี่ตรีก่อนจะหันไปขอโทษขอโพยลูกค้าทำให้พวกลูกค้าเลิกสนใจอาการตกใจของพี่ตรีไป
“ผะ...ผะ...ผี!!” พี่ตรีชี้ไปที่พี่ลุกซ์ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
อย่าเพิ่งสงสารพี่ลุกซ์สิทุกคน นึกถึงตอนที่เปอร์ถูกทำร้ายเข้าไว้
เอ้า ฮึบ ฮึบบบบบบบบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ