[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) Chapter 13 : อย่าไป...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 13 : อย่าไป...
 
เมื่อผมเดินกลับเข้าไปในงานเจ๊เปรียวที่กำลังยืนคุยกับแขกที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ทำท่าละล่ำละลักแล้วรีบขอตัววิ่งแท่ดๆ มาหาผม  ผมยิ้มรับนิดๆ
“เป็นเจ้าสาวอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ  เดี๋ยวไม่สวยนะ” ผมบอกยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ของเจ๊เปรียวและเมื่อผมพูดจบน้ำตาของเจ๊ก็ไหลออกมา
“เปอร์ ขอกอดหน่อยนะ” เจ๊เปรียวเม้มปากก่อนจะอ้าแขนออกผมจึงเข้าไปกอด
“อย่าร้องไห้สิครับ  เดี๋ยวเจ้าบ่าวของพี่เข้าใจผิดแล้วเข้ามาต่อยผมหรอก ฮ่าๆ” ผมผละออกก่อนจะเช็ดน้ำตาให้เจ๊เบาๆ
“เปอร์ ให้เจ๊ได้อธิบายเรื่องต่างๆ ให้เราฟังหน่อยได้ไหม?” เจ๊เปรียวจับมือผมไว้แล้วขอร้อง  ผมพยักหน้าก่อนจะประคองเจ๊แกไปนั่งที่เก้าอี้
“งั้นคนหล่อขอตัวไปหาภรรเมียสุดที่รักก่อนนะครับ อิ๊ๆ” พี่เคย์เดินมาส่งพวกเราที่โต๊ะก่อนจะขอตัวออกไป  ผมกับเจ๊เปรียวมองตามนิดๆ ก่อนจะหันหน้ามาคุยกันอีกครั้ง
“เจ๊กับลุกซ์ไม่ได้มีอะไรกันนะเปอร์  เจ๊ท้องเพราะอยากมีลูกกับอลันแต่อลันเป็นหมัน เราลองวิธีทางการแพทย์มาทุกวิธีแล้วแต่เจ๊ไม่ติดลูกซักที  อลันเองก็เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้อง เราเลยตัดสินใจไปขอน้ำเชื้อจากลุกซ์มาแล้วเจ๊ก็ติดลูก  เจ๊ได้ลูกแฝดชายหญิง  ลูกสาวชื่อน้องป่านอยู่กับเจ๊ที่ส่วนลูกชายคือน้องปิงไปอยู่กับลุกซ์ชั่วคราว  ตอนนี้น้องป่านป่วยอยู่เจ๊ไม่อยากให้น้องปิงรู้เรื่องลุกซ์เลยรับอาสาจะเลี้ยงให้ก่อน” เจ๊เปรียวจับมือผมไว้แล้วยิ้มทั้งน้ำตา
“ครับ มันเป็นเรื่องเขานะครับไม่เกี่ยวกับผมหรอก” ผมยิ้มฝืนๆ ให้เจ๊เปรียว
“เปอร์ เพราะเรื่องเจ๊ใช่ไหมที่ทำให้เปอร์เป็นแบบนี้  เจ๊ขอโทษ ฮึก เจ๊ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้แต่มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่เจ๊กับลุกซ์จะแกล้งเป็นคนรักกัน  ตอนนี้ลุกซ์มีศัตรูที่จ้องจะเอาชีวิตลุกซ์อยู่ เขาเลยขอให้เจ๊แกล้งรักกันต่อหน้าเปอร์เพื่อที่จะกันเปอร์ออกไป  แต่เจ๊ไม่อยากให้ทั้งคู่เป็นแบบนี้อีกแล้วเจ๊ก็เลยตัดสินใจบอกเปอร์ไป  เจ๊ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนรักทำท่าปั้นปึ่งใส่กัน  เปอร์อย่าประชดลุกซ์อีกเลยนะ” เจ๊เปรียวทำหน้าหมองๆ พลางขอร้องผม
“โธ่เจ๊ก็  เห็นใจผมหน่อยซี่ เจ๊ก็รู้จักผู้ชายคนนั้นดีว่าเขาเป็นยังไง  เจ๊ยังจะให้ผมกลับไปหาเขาอีกเหรอ?” ผมยิ้มแหยๆ ให้เจ๊เปรียวพลางพูดเสียงติดตลก  ขืนถูกเจ๊แกโน้มน้าวใจผมต้องเอนไปตามแน่เลย  ผมยิ่งเป็นคนเชื่อคนง่ายอยู่ด้วย
“เอ้อ ก็จริงแฮะ ฮ่าๆ ฮึก แต่เปอร์รู้ไหมว่าตั้งแต่ที่เจ๊รู้จักกับลุกซ์มา เจ๊เห็นแต่ลุกซ์ทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอดแม้ว่าจะชอบทำในมุมมืดก็เถอะ  แต่เจ๊ไม่เคยเห็นลุกซ์แสดงอาการอ่อนแอออกมาเลยสักครั้งจนมาถึงเรื่องเปอร์นะจ๊ะ  ลุกซ์รักเปอร์มากนะ” เจ๊เปรียวแม่งบิ๊วท์ผมอีกละ! ตอนนี้อารมณ์ผมยิ่งอ่อนไหวมากอยู่ด้วย
“เจ๊ครับ  อย่าพูดเรื่องเขาเลยดีกว่า  เขาอยากทำอะไรอยากจะแบกรับอะไรเอาไว้ก็เรื่องของเขา  ผมพยายามช่วยแบ่งเบาความรู้สึกเขาแล้วแต่ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ไม่มีทางที่จะเปิดใจยอมรับผมเลย  ผมอ่อนแอเกินกว่าที่จะยืนอยู่ข้างเขาครับเจ๊” ผมถอนหายใจก่อนจะบอกออกมา  ผมจะไม่มีทางยอมให้กำแพงหัวใจของผมพังทลายอีกแล้ว  เรื่องของเขามันหนักเกินไปสำหรับใจของผม  ผมพยายามที่จะอยู่เคียงข้างแต่เขาเลือกที่จะผลักไส  ผมดื้อจนไม่มีแรงจะดื้อได้อีกแล้วล่ะครับ
“โอเคๆ เราหยุดคุยเรื่องนี้กันดีกว่านะเปอร์  มา...เดี๋ยวเจ๊พาไปรู้จักกับเจ้าบ่าวของเจ๊นะ” เจ๊เปรียวปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากใบหน้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วจูงมือผมไปหาเจ้าบ่าวของเจ๊ที่กำลังยืนทำท่างงๆ อยู่ข้างๆ ผู้ใหญ่สองสามคน
“เปรียว” เสียงทุ้มๆ สำเนียงแปร่งๆ เรียกเจ๊เปรียวดังขึ้น เจ๊จึงเดินจูงมือผมไปหาเจ้าของเสียง
“คุณพ่อ คุณอาคะ  หนูขออนุญาตพาตัวอลันไปแนะนำให้น้องรู้จักหน่อยนะคะ” เจ๊เปรียวหันไปพูดกับผู้ใหญ่ที่ยืนคุยกับคุณอลันอย่างนอบน้อม
“เดี๋ยว...” ก่อนที่เจ๊เปรียวจะพาเราสองคนเดินออกไปเสียงของคนที่เจ๊เรียกว่าพ่อก็ดังขึ้นเรียกเอาไว้  ผมหันไปมองก่อนจะเม้มปากนิดๆ เมื่อเห็นว่าเขาก็กำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
“...” ผมกับเจ๊เปรียวต่างก็เงียบไม่พูดอะไร
“ฉันทำผิดกับลูก กับหลานและกับเธอมามากเหลือเกิน  ฉันใช้อำนาจในมือข่มขู่เพื่อนรักเพื่อที่จะได้มาซึ่งความต้องการของตัวเอง  ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ” พ่อเจ๊เปรียวพูดพลางมองหน้าผมนิ่งๆ  ผมอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะหลบสายตาน่าเกรงขามของชายอาวุโส “ฉันเหมือนคนจนตรอกที่อับอายขายขี้หน้าคนไปทั่วเรื่องที่ลูกท้องไม่มีพ่อทำให้ฉันทำอะไรลงไปโดยไม่คิด  โชคดีที่ไอ้ลิตเป็นคนดี มันมีอำนาจเหนือฉันแต่ไม่ทำอะไรเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน  ฉันโชคดีที่คิดได้ก่อนจะสาย  ฉันต้องขอโทษเธอจากใจที่ทำให้เธอต้องเสียใจเรื่องตาลุกซ์” พ่อเจ๊เปรียวพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แต่จริงจัง
“คุณพ่อคะ  น้องทรมานมากกับการกระทำของคุณพ่อ  หนูดีใจนะคะที่คุณพ่อคิดได้แต่...มันสายเกินไปแล้วล่ะค่ะ  น้องรับไม่ไหวแล้ว” เจ๊เปรียวเริ่มมีน้ำตาปริ่มขอบตาอีกครั้ง  มือที่ยังจับมือผมไว้บีบแน่น
“ขอโทษ  ขอโทษจริงๆ” สีหน้าเคร่งขรึมสลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนผมเห็นใจ
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ  ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” ผมยิ้มนิดๆ เพื่อให้พ่อของเจ๊เปรียวคลายความกังวล
“เธอจะให้ฉันไถ่โทษยังไงก็ได้นะ  ฉันยอมทุกอย่าง” พ่อเจ๊เปรียวพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมโอเค” ผมยิ้มอีก  ยิ้มแรกคงยังไม่กว้างพอที่จะทำให้ท่านสบายใจล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไรไม่ได้  อย่างน้อยให้ฉันได้ทำอะไรไถ่โทษบ้างเถอะนะ  เดี๋ยวไอ้ลิตมันฆ่าฉันเอา  หมอนี่ยิ่งโหดๆ อยู่ด้วย” พ่อเจ๊เริ่มยิ้มได้แถมยังพูดเสียงติดตลกในตอนที่พูดถึงคุณพ่ออีกต่างหาก
“นี่เพราะพ่อลิตหรอกเหรอครับเนี่ย ฮ่าๆ” ผมหัวเราะออกมานิดๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าถมึงทึงของคุณพ่อ  ท่านหล่อมากเลยครับ เวลาทำหน้าโกรธก็น่ากลัวมากทีเดียวแต่ผมยังไม่เคยเห็นท่านโกรธจริงๆ ซักทีเห็นแต่แกล้งโกรธแล้วหลุดหัวเราะ  นึกแล้วขำแฮะ
“เอางี้ละกัน เดี๋ยวฉันไปร่วมก๊วนปลูกต้นไม้กับคุณปราชญ์ละกัน  เห็นไอ้ลิตบอกว่าช่วงนี้เขาเหงาๆ  ฉันเองก็ปลดเกษียณแล้วด้วย  อยู่บ้านเลี้ยงหลานก็เบื่อเพราะเมียเลี้ยงอยู่คนเดียว  แบบนี้ดีไหม?” พ่อเจ๊ยิ้มให้กับผม  ผมยิ้มตอบ  แหม...พ่อผมนี่ก็ดังเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย  ผู้บริหารระดับสูงต่างก็รู้จักกันทั้งนั้นเลยแฮะ อิ๊ๆ
“ครับ” ผมยิ้มกว้าง  ถ้าพ่อมีเพื่อนมากขึ้นก็ดีครับ
“โอเค งั้นเชิญตามสบายนะ” พ่อเจ๊ตบไหล่ผมนิดๆ ก่อนจะขยับถอยห่างออกไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พ่อนะพ่อ  กว่าจะคิดได้” เจ๊เปรียวเบ้ปากเหมือนคนจะร้องไห้แต่คุณอลันก็โอบไหล่เอาไว้แม้เขาจะดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตาม
“เป็นเจ้าสาวทำไมถึงร้องไห้งอแงแบบนี้ล่ะฮันนี่?” คุณอลันปลอบเจ๊เปรียวแล้วหอมขมับเบาๆ  อ่า...หวานกันจริงๆ ไหนบอกว่าทะเลาะกันจะเป็นจะตายไง  แต่ก็ดีครับ  เจ๊มีความสุขก็ดีแล้วล่ะนะ
“อลันคะ  นี่เปอร์ ที่เป็นคนรักของลุกซ์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังไง” เจ๊เปรียวพูดก่อนจะแนะนำ  ให้ตายเถอะ  ผมเป็นโรคไม่ถูกโฉลกกับฝรั่งเลย  ถึงจะพูดได้แล้วแต่อยู่ต่อหน้าผมก็เกร็งอยู่ดี  เวลาทำงานผมก็ติดต่อกับลูกค้าชาวต่างชาติบ่อยนะครับแต่ติดต่อกับทางเมล์ซะมากกว่า  ดูท่าคุณอลันจะพูดไทยไม่ได้ซะด้วยสิ  ขนาดเวลาเจ๊พูด เจ๊ยังต้องพูดภาษาอังกฤษเลย ไอ้หยา!
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ  คุณดูน่ารักกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” รัวเลยมึงเอ๊ย อย่ารัวใส่นะเฮ้ย เดี๋ยวเบลอใส่คืนซะเลยแม่ง
“ครับๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ  คุณก็หล่อมากเลย” ผมยิ้มพลางชมเขากลับบ้าง  เขาก็ดูหล่อแบบผู้ใหญ่ๆ ดีนะครับ  ดูท่าคุณอลันเขาจะอายุมากเอาการหรือไม่ก็พอๆ กับเจ๊นั่นแหละเพียงแต่ฝรั่งเขาแก่เร็วล่ะมั้ง  แต่ยิ่งแก่ยิ่งหล่อนะครับฝรั่งน่ะ
“ผมเสียใจด้วยนะครับเรื่องของลุกซ์  ถ้าไม่ใช่เพราะผมเรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้  ผมกับเปรียวก็กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ก็หนักเอาเรื่อง  ผมขอให้คุณผ่านมันไปได้เร็วๆ นะครับ” รัวอีกแล้ว  ก็บอกว่าอย่ารัวๆ เดี๋ยวกูฟังไม่ทัน!
“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยิ้มกว้าง  ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้วล่ะครับ
“เพราะคุณคนเดียวเลยอลัน! คนบ้า คนไม่รับผิดชอบ  อยากมีลูกก็มีให้แล้วยังจะมาทิ้งกันอีก  ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเรื่องแย่ๆ คงไม่เกิดขึ้นหรอก!” อิเจ๊นี่แม่งก็รัวอีกคน รัวคำไม่พอดันรัวมือตบตีผัวใหญ่เลย ถ้าคุณอลันไม่เป็นหมันล่ะก็ลูกดกแน่งานนี้ ฮ่าๆ
“ตีอีกแล้ว ฟอด ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณตีผม ผมจะแลกมันด้วยจูบ เมื่อกี้ตีไปกี่ครั้งแล้ว ผมจะจูบคุณทั้งคืนเลยคอยดูสิ ฮึๆ” คุณอลันรวบมือเจ๊เปรียวเอาไว้แล้วหอมแก้มซ้ายขวาก่อนจะปิดท้ายคำพูดด้วยการจูบที่ปากเบาๆ
เหี้ย...เขินว่ะแม่ง!
“จูบอีก! จูบอีก! จูบอีก! จูบอีก!” เสียเชียร์ดังขึ้นทำให้ผมหันมองไปรอบๆ และพบว่าตอนนี้แขกเหรื่อหันมาสนใจคู่บ่าวสาวที่กำลังหยอกล้อกันอย่างน่ารัก
“ผมยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะครับ” ผมแสดงความยินดีท่ามกลางเสียงเชียร์ก่อนจะจับมือกับคุณอลันแล้วถอยออกไปเพื่อให้เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวอยู่ในวงล้อมของแขก
ผมยินดีกับคู่รักคู่นี้ด้วยจริงๆ ครับ  พวกเขารักกันก็ดีแล้ว ขออย่าให้มีปัญหาอะไรเข้ามาในชีวิตพวกเขาเลยครับ  ผมไม่อยากให้คนใกล้ตัวผมเจ็บปวดเพราะความรักเหมือนผม  ไม่อยากให้ใครมาทรมานจนมองทุกอย่างเป็นสีดำ  ให้มีเพียงผมกับเขาก็พอที่ต้องทรมานแบบนี้
 
“เป็นไงล่ะ  กูสมน้ำหน้ามึงจริงๆ เลยให้ตายสิ  กะจะจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วไปเซอร์ไพรส์ขอเขาแต่งงานในงานแต่งงานเพื่อนแต่เสือกเดี้ยงขยับไปไหนไม่ได้” เคย์พูดเสียงเยาะขณะมาเยี่ยมเพื่อนสนิทในเช้าหลังวันแต่งงานของเปรียว
“ใครเอามันมาเนี่ย?” ลุกซ์ขมวดคิ้วด้วยความเซ็งเพราะเคย์ชอบพูดถากถางเขาเสียทุกครั้ง
“กูเห็นด้วยกับไอ้เคย์นะเว้ย  ถ้ามึงคิดจะกันไอ้เปอร์ไปจากชีวิตมึงก็ต้องทำแบบนั้นตลอดไป  มึงจะไปไล่ ไปยื้อมันแบบนั้นไม่ได้  ทำแบบนั้นไอ้เปอร์มันน่าสงสารนะเว้ย” กีร์เห็นด้วยกับเคย์เพราะเขาไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่ลุกซ์คิดจะทำ
“มึงก็เห็นว่าไอ้เหี้ยนั่นมันร้ายขนาดไหน  ขนาดกูระวังตัวแล้วยังโดนขนาดนี้  ดีแค่ไหนที่กูรู้ว่ารถผิดปกติเลยไหวตัวทัน  ถ้าไอ้เปอร์โดนแบบนี้มีหวังมันได้ตายคารถแน่  กูไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นแน่นอน” ลุกซ์พูดพลางนึกถึงใบหน้าหล่อน่ารักแต่ในขณะเดียวกันภาพที่รถระเบิดก็เข้ามาแทรกทำให้ลุกซ์ที่กำลังจะยิ้มกลับมาทำหน้าเครียดอีกครั้ง
“แล้วเรื่องลูกของมึงกับเปรียวล่ะ?” เคย์ถามขึ้นเพราะรู้สึกไม่ดีแทนเปอร์ที่ลุกซ์มีลูกกับเปรียว
“ก็ตกลงกับเปรียวกับอลันไว้แล้วว่าเด็กทั้งคู่คือลูกของพวกเขา  กูก็คิดว่าน้องป่านกับน้องปิงเป็นลูกกูนะแต่มึงเข้าใจความรู้สึกป่ะว่ากูไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลย ไม่ได้ดูแลเปรียวไม่ได้ดูแลเด็กๆ ไม่ได้อยากจะมีลูกหรืออะไร  กูก็มีแค่ไอ้เปอร์คนเดียว” ลุกซ์พูดแผ่วๆ ในตอนท้าย
“แล้วเจ๊จะไปอยู่ที่อเมริกากับลูกกับผัวไหมวะ?” บัมพ์ถามบ้าง
“อืม รอให้น้องป่านหายป่วยก่อนแล้วถึงจะพาไป” ลุกซ์บอก
“มึงจะไม่คิดถึงเด็กๆ เหรอวะ?” บัมพ์ถามอีก
“ก็คงคิดถึง แต่ก็นะ...ตอนนี้เด็กๆ ไม่ใช่ลูกของกูแต่เป็นลูกของเปรียวกับอลัน กูไม่มีสิทธิ์ไปยื้อหรือห้ามอะไรทั้งนั้น  อลันเองก็รับได้ด้วย” ลุกซ์บอกอย่างไม่คิดอะไรเพราะเขาทำใจไว้ก่อนที่จะให้น้ำเชื้อกับเปรียวแล้ว
ก่อนหน้าที่จะให้เชื้อไปลุกซ์กับอลันได้คุยและตกลงกันไว้แล้วว่าถึงจะเป็นเชื้อของลุกซ์แต่เด็กพวกนั้นจะเป็นลูกของอลันอย่างถูกต้องสมบูรณ์  ลุกซ์จะเป็นเพียงคุณอาของเด็กพวกนั้นเท่านั้น  แต่พอลุกซ์รับน้องปิงมาดูแลชั่วคราว น้องปิงก็ติดเรียกลุกซ์ว่าป่าป๊าไปซะเฉยๆ
“เอาเถอะ ยังไงเด็กสองคนนั้นเขาก็มีพ่อมีแม่ ไม่ได้กำพร้าซะหน่อย  ใครจะเป็นพ่อที่แท้จริงหรือพ่อปลอมๆ มันก็เป็นเรื่องของครอบครัวที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่ง  ตอนนี้เด็กๆ ก็มีความสุขดี  ดีซะอีกที่เด็กๆ จะได้มีพ่อสองคน” กีร์พูดเพราะเขาเบื่อกับการที่คนนอกชอบสอดมือเข้ามายุ่งทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกกัน  เรื่องแบบนี้เขาตกลงกันในครอบครัว คนอื่นที่ไม่รู้ก็เอาแต่พูดไป ใส่สีตีไข่กันไปจนมีปัญหาใหญ่โต  ดีแล้วที่เปรียวกับอลันจะไปอยู่ที่อื่นเพราะถ้าอยู่ที่นี่คงมีปัญหาอย่างแน่นอน
“อืม ตอนนี้มึงก็เหลืออยู่สองปัญหาที่ต้องแก้นะลุกซ์” เคย์กอดอกพูด
“เฮ้อ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องไอ้เวรนั่นป่านนี้กูคงได้นอนกกเมียแล้วแม่ง” ลุกซ์บ่นอย่างหัวเสียเพราะเขาจินตนาการไว้ตลอดว่าถ้าได้กลับมาอยู่ด้วยกันเขาคงได้นอนกอดเปอร์ ตื่นขึ้นมาก็คงจะจูบรับอรุณทุกวันแต่ตอนนี้มันกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน
“เดี๋ยวนี้เรียกเมียเต็มปากนะมึง” ภีร์ที่นั่งฟังเพื่อนๆ คุยกันแซวขึ้น  เขารู้สึกดีใจที่ลุกซ์รักใครคนหนึ่งได้มากขนาดนี้  รักจนกล้าเสี่ยงตายเพื่อปกป้องทั้งๆ ที่เมื่อก่อนลุกซ์ไม่เคยแสดงออกว่ารักใครเลย  เพราะเปอร์ลุกซ์ถึงได้กลายเป็นคนอ่อนโยนมากขนาดนี้
“กูเรียกเต็มปากตั้งนานแล้วโว้ย  แล้วมึงล่ะ ผัวมึงประคบประหงมดีไหม?” ลุกซ์แซวกลับเพราะภีร์เป็นเพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีภรรยาแต่มีสามีแทน
“...” ภีร์นั่งนิ่ง หุบยิ้มไม่กล้าสบตาใครเพราะเขาไปได้ไม่ดีกับแฟนหนุ่ม
“มึงคงยังไม่รู้ว่าพี่อัตมีคนใหม่” เคย์มองหน้าภีร์ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ แล้วโอบไหล่ภีร์เอาไว้เพื่อปลอบใจ
“เอาเหอะน่า อย่าไปสนใจเลย  กูหล่อ กูหน้าตาดี  อีกหน่อยเดี๋ยวก็หาเมียไม่ก็ผัวใหม่ได้เองแหละ เฮอะๆ” ภีร์แสร้งพูดอย่างร่าเริงเพื่อไม่ให้เพื่อนเครียดไปมากกว่านี้  ลำพังเรื่องของลุกซ์ก็หนักหนามากพออยู่แล้วภีร์เลยไม่อยากให้เรื่องของเขาทำให้เพื่อนคนอื่นๆ ปวดหัวไปมากกว่านี้
“เออ กูว่าอย่างมึงมีผัวแหละดีสุด ฮ่าๆ” บัมพ์พูดอย่างร่าเริงแม้จะรู้ว่าใจภีร์ไม่ได้ร่าเริงก็ตาม  ในเมื่อภีร์ไม่อยากให้บรรยากาศเครียดพวกเพื่อนๆ ก็พร้อมที่จะไม่ทำให้มันเครียด
“มีมึงคนเดียวในกลุ่มนะเว้ยภีร์ที่มีผัว ฮ่าๆ ดีแล้วเว้ย กลุ่มเราจะได้มีคนไว้ให้ปรึกษาถ้าเมียงอน ฮ่าๆ” กีร์พูดพลางหัวเราะ  สำหรับกีร์ตอนนี้ชีวิตรักถือว่าราบรื่นดีไม่มีปัญหา
“ใช่ๆ แต่ตอนนี้กูกับพี่ถังก็เลิฟๆ กันดีนะ คึๆ” เคย์ยิ้มนิดๆ พลางทำท่าเขิน
“พอๆ พวกมึงแม่งอินเลิฟกันแต่กูห่อเหี่ยวอยู่กับเหี้ยภีร์สองคน  ไม่ต้องพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้ว  กูอิจฉาโว้ย” ลุกซ์โวยวายตัดบททำให้เพื่อนๆ ต่างก็พากันหัวเราะเยาะเขาอย่างขำขัน
 
ผมพักอยู่บ้านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ถูกเรียกตัวไปทำงาน  บอกตรงๆ ว่าผมตื่นเต้นนะที่ต้องไปเผชิญหน้ากับพี่ลุกซ์  ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรกับผมบ้าง  ไม่รู้ว่าเขาจะง้อผมหรือเปล่า  แต่ถึงจะง้อหรือทำดีกับผมมากแค่ไหนผมคงไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม
“คุณปริน  มาช่วยพยุงผมหน่อยสิ” ขณะที่ผมกำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่ทำงานเสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้นทำให้ผมหันไปและนั่นก็ทำให้ผมเห็นพี่ลุกซ์กำลังเดินโดยใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงตัวเอง
“ครับ” ผมตอบนิ่งๆ ก่อนจะเดินไปช่วยพยุงเขา  “อย่ามารุ่มร่ามกับผม” ผมบอกเสียงเย็นเพราะเขาเลื่อนมือที่พาดอยู่ที่ไหล่ผมมาลูบเอวผมเบาๆ
“เปอร์ มึงไม่ยอมให้อภัยกูใช่ไหม?” พี่ลุกซ์กระซิบถามขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูห้องทำงาน
“คุณพูดเรื่องอะไร?” ผมแกล้งถาม
“อีกสิบนาทีถึงจะถึงเวลาเข้างาน  งั้นตอนนี้คุยเรื่องส่วนตัวได้ใช่ไหม?” พี่ลุกซ์ถามเสียงอ่อนก่อนจะใช้ไม้ค้ำปิดประตูห้องทำงานทำให้ตอนนี้ผมต้องอยู่กับเขาตามลำพัง
“ผมไม่มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับคุณ” ผมพยุงเขาไปนั่งที่โซฟาก่อนจะยืดตัวขึ้น  แต่ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับพี่ลุกซ์ก็คว้ามือผมเอาไว้
“ถ้ามึงมีเรื่องไหนที่ไม่เข้าใจในตัวกู  มึงถามกูนะ  อย่าเมินกันแบบนี้” พี่ลุกซ์จับมือผมแล้วบีบเบาๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมเข้าใจทุกอย่าง” ผมยิ้มนิดๆ
“งั้นมึงกลับมาอยู่กับกูนะ  กูคิดถึงมึง” พูดแล้วก็จับมือผมขึ้นไปจูบเบาๆ แล้วกุมไว้
“...” ผมมองเขาไม่พูดอะไรก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออกจากอุ้งมือของเขา
“เปอร์” พี่ลุกซ์หน้าเสียพลางเรียกชื่อผมเสียงอ่อน
“มันจบไปแล้วล่ะครับ  ผมกลับไปไม่ได้” ผมบอกเสียงเย็น
“มึงโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอเปอร์? กูขอโทษกับความงี่เง่าของกู  ยกโทษให้กูได้ไหม? ตลอดเวลาที่กูห่างจากมึงกูก็ไม่เคยนอกใจมึงเลยนะเปอร์” พี่ลุกซ์คว้ามือผมไปจับไว้อีกครั้งแต่ผมก็สะบัดออกทันที
“ผมขอร้องนะครับ  ผมเข็ดกับความรักมามากพอแล้ว  อย่ายุ่งกับผมอีกเลย  ให้ผมได้ทำหน้าที่แค่เลขาก็พอนะครับ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องทำงานของเขาทันที
ถ้าผมอยู่ในห้องนั้นนานกว่านี้ผมจะต้องหวั่นไหวกับสายตาอ้อนวอนของเขาแน่เลย  ถ้าผมสงสารผมคงต้องใจอ่อนและผมก็จะต้องกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ  แต่เมื่อกี้เขาดูเจ็บปวดมากจริงๆ เจ็บเหมือนที่ผมเคยเจ็บ  เขากลับมาขอความรักจากผมเหมือนกับที่ผมเคยอ้อนวอนขอ  แต่ผมไม่อยากรักเขาอีกแล้ว ผมทรมานเหลือเกิน
ให้ผมได้ลืมพี่เถอะนะครับ...พี่ลุกซ์
 
เที่ยง
“ไปกินข้าวด้วยกันไหม?” พี่ลุกซ์เดินออกมาจากห้องทำงานโดยใช้ไม้ค้ำก่อนจะเอ่ยชวนแต่ผมไม่ได้สนใจ  ผมปิดสมุดจดงานก่อนจะหันไปมองพี่พลอย
“พี่พลอย  ทานข้าวเที่ยงกันเถอะครับ” ผมชวนพี่พลอยด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ...พี่...” พี่พลอยมองหน้าผมอย่างลำบากใจก่อนจะเหลือบไปมองพี่ลุกซ์นิดๆ แล้วย่นคิ้วเครียดๆ  ผมว่าเขาต้องทำหน้าขู่ไม่ให้พี่พลอยไปกับผมแน่เลย “พี่ว่าพี่ไปกับ...”
“ไปกับผมเถอะครับ  ผมไม่มีเพื่อนทานข้าว  พี่ถังก็ออกไปกับพี่เคย์แล้วด้วย” ผมบอกเมื่อพี่พลอยกำลังจะปฏิเสธ  พี่พลอยคงไม่ได้อยากจะปฏิเสธผมหรอกแต่คนเป็นลูกน้องหรือจะกล้าหือกับเจ้านาย
“ไปกับผมไง  ผมไม่มีเพื่อนไปทานข้าว” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมด้วยสายตาข่มขู่  เมื่อผมมองเขากลับด้วยสายตาเย็นชาเขาก็หงอทันที  เฮอะ ตอนที่คบกันอยู่ไม่เคยจะหงอ  คนอย่างเขานี่เป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ  ถ้าผมกลับไปคืนดีมีหรือที่เขาจะไม่กลับมาข่มมาขู่ผมอีก
“ผมไม่กล้าไปกับคุณหรอกครับ” ผมพูดกับเขาด้วยท่าทางนิ่งๆ  เขาเป็นถึงประธานส่วนผมก็แค่เลขา  ผมจะไปกล้าร่วมโต๊ะอาหารกับเขาได้ยังไง
“เปอร์ไปกับประธานเถอะนะ  พี่จะไปกับไอ้พิม  ไปละน้า” พี่พลอยพูดรัวๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วรีบชิ่งทันที  เฮ้อ พี่พลอย  รู้อยู่หรอกว่าเชียร์ผมกับพี่ลุกซ์แต่ไม่เห็นต้องทิ้งกันแบบนี้เลย
จริงๆ แล้วดูพี่พลอยจะเชียร์ผมให้รักกับพี่ลุกซ์อยู่ลึกๆ นะครับ  ไม่รู้ว่าพี่พลอยจะรู้เรื่องทุกอย่างตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าถึงดูปกป้องพี่ลุกซ์เวลาผมบ่นถึงเขา  ดูเชียร์มากซะด้วย
“ไปกินข้าวกันนะ  ไปกินร้านประจำที่เราเคยไปกันเถอะ  ขับรถให้ด้วยนะ” พี่ลุกซ์ยิ้มกว้างแล้วยัดกุญแจรถใส่มือผม  ผมก้มลงมองกุญแจรถก่อนจะขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความงง  ไหนบอกว่ารถเขาระเบิดไงแล้วทำไมยังเป็นกุญแจรถคันเดิมของเขากันนะ “รถที่ระเบิดน่ะเป็นรถของบริษัท  ไม่ใช่รถของผม” ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าผมสงสัยก็เลยบอก  ที่จริงผมสงสัยอีกอย่าง  ผมสงสัยว่าเขารอดออกจากเหตุการณ์รถระเบิดได้ยังไง แต่ผมไม่อยากถามให้มากความ  ไม่อยากคุยกับเขา
แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบตกลงเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นทำให้ผมยิ้มออก  เสียงของเขาคลายความอึดอัดของผมได้อย่างชะงัด
“เปอร์ ไปทานข้าวเที่ยงกับผมไหม?” คนที่ชวนผมก็คือเอกนั่นเอง  และทันทีที่เสียงเอกดังขึ้นหน้าของพี่ลุกซ์ที่กำลังยิ้มพลันบูดบึ้งขึ้นมาทันที
“เอก  มาได้ไงครับเนี่ย?” ผมวางกุญแจรถที่ถืออยู่ในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปหาเอกอย่างตกใจ  เขาไม่เคยมาที่ทำงานผมนะ  อย่างมากก็แค่เคยมาส่งข้างล่าง
“เมื่อกี้ผมสวนกับพี่พลอยข้างล่างน่ะก็เลยถาม อ่า พี่ลุกซ์ สวัสดีครับ” เอกบอกก่อนจะหันไปไหว้สวัสดีพี่ลุกซ์ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับอย่างส่งๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก
“แล้วเอกไม่อยู่ที่ทำงานเหรอ?” ผมถามอย่างสงสัย  ปกติเวลานี้เขาน่าจะอยู่ที่ทำงานนี่นา
“วันนี้วันหยุดของผมน่ะ  แล้วนี่...ไปกินข้าวกับผมได้ยัง? หิวแล้วนะ” เอกย่นคิ้วนิดๆ พลางลูบท้องตัวเองไปมา
“เปอร์...” ก่อนที่ผมจะได้ตอบตกลงเสียงพี่ลุกซ์เรียกชื่อผมก็ดังขึ้น  ผมหันไปมองหน้าเขานิดๆ ก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน  สายตาเขาดูอ้อนวอนผมเหลือเกิน  เหมือนเขาจะบอกกับผมว่า...อย่าไป
“ไปสิครับ  ผมก็หิว” ผมละสายตาจากพี่ลุกซ์ก่อนจะหันมายิ้มให้เอกแล้วเดินนำเอกไปที่หน้าลิฟต์โดยไม่หันกลับไปมองพี่ลุกซ์อีกเลย  
++++++++++++++++++++++++  
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา