[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) Chapter 12 : การแต่งงาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมกลับบ้านไปในเวลาต่อมา ตอนที่มาถึงบ้านผมได้ยินเสียงเปิดทีวีแต่พอผมเดินเข้าไปจะดูด้วยเสียงทีวีนั้นกลับดับลงอย่างน่าสงสัย พ่อแม่กับพี่ยามก็ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมทุกคนถึงมีท่าทางแปลกๆ?
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ไม่ดูทีวีต่อเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถาม
“ไม่ล่ะจ้ะ ข่าวน่ากลัว แม่ไม่กล้าดู” แม่บอกพลางทำหน้าแขยง
“ข่าวอะไรเหรอครับ?” ผมถามอีก
“ไม่มีอะไรหรอก ข่าวอุบัติเหตุทั่วไปนั่นแหละ” พ่อบอกโดยไม่สบตาผมทำให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม มันเกี่ยวกับคนรู้จักหรือเปล่าทำไมทุกคนถึงมีท่าทีแปลกๆ
เมื่อทุกคนไม่ยอมบอกผมจึงมองหาหนังสือพิมพ์แทน ถ้าให้ขึ้นไปเปิดทีวีในห้องของตัวเองดูผมคิดว่าข่าวก็คงจบไปก่อนแล้วล่ะเพราะงั้นถ้าอยากรู้ก็ต้องอ่านจากหนังสือพิมพ์
“ผมเอาไปห่อต้นไม้ให้คุณปราชญ์แล้วครับ” พี่ยามพูดขึ้นทำให้ผมต้องหรี่ตามมองพวกผู้ใหญ่อย่างสงสัย
“ทำไมต้องลับๆ ล่อๆ กันด้วยครับ ถ้ามันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราก็ไม่น่าจะเดือดร้อนกันไม่ใช่เหรอ?” ผมถามทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน
“พ่อครับ เอาหนังสือพิมพ์ไปทิ้งทำไม? นี่มันหนังสือพิมพ์ที่เขามาส่งเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ?” เสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ป้องดังขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะโผล่เข้ามาในบ้านพร้อมกับหนังสือพิมพ์ เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบไปเอาหนังสือพิมพ์จากไอ้ป้องมาอ่านทันที
ข่าวแรกที่ผมเห็นก็เป็นข่าวม็อบตามปกติ พอเลื่อนสายตามามองอีกข่าวที่อยู่ไม่ห่างกันผมก็เห็นข่าวน่าสงสัย เป็นข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำครับ
เนื้อความในข่าวบอกประมาณว่าเป็นอุบัติเหตุรถคว่ำตกลงข้างทางแล้วระเบิดอยู่นอกเมือง ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจกับข่าวนี้แต่ผมไปสะดุดกับคำว่า นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทหมื่นล้านที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหมาดๆ มันทำให้ผมนึกถึงพี่ลุกซ์ขึ้นมาทันทีแต่ในข่าวไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นใคร
“ไม่เห็นมีข่าวอะไรพิเศษนี่ครับ?” ผมพับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนจะยื่นคืนให้ไอ้ป้อง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้สงสัยอะไรพวกผู้ใหญ่ก่อนถอนหายใจแล้วยิ้มนิดๆ ผมยิ้มบ้างก่อนจะขอตัวกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อถึงห้องผมก็รีบกดโทรศัพท์หาพี่ถังทันที แต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่สายมันก็ไม่รับผมจึงโทรหาพี่เคย์แทน
[ว่าไงเปอร์?]
“พี่เคย์อยู่ไหนครับ?” ผมถาม
[โรงเรียนน่ะ] พี่เคย์บอกแต่ผมไม่เชื่อ
“พี่เคย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลครับ? ผมไปเยี่ยมเพื่อนแล้วเห็นพี่อยู่ที่นั่น” ผมแกล้งพูดโกหกออกไป
[เปอร์เห็นตอนไหน? ตอนนั้นพี่อาจจะอยู่โรงพยาบาลแต่ตอนนี้พี่อยู่โรงเรียนนะครับ] แม่ม! พี่เคย์ฉลาดจัง อุตส่าห์จะต้อนให้จนมุมซักหน่อย พูดดักทางผมเฉยเลย
“แล้วพี่เคย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะครับ?” ผมถามอีก
[พี่กับพี่ถังไปตรวจน่ะ แหม...พวกพี่ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลกันประจำอยู่แล้ว ต้องเซฟหน่อยอ่ะนะ คิๆ] พี่เคย์บอก เป็นธรรมดาของพวกรักร่วมเพศที่ต้องไปตรวจน่ะครับแต่ผมไม่เชื่อพี่เคย์หรอก
“พี่เคย์ ผมถามตรงๆ ละกัน พี่ลุกซ์อยู่โรงพยาบาลไหน?” ผมพุ่งประเด็นทันทีเพราะถ้าขืนหลอกถามต่อไปแบบนี้ผมคงไม่ได้คำตอบ
[ลุกซ์? มันเป็นอะไร?] พี่เคย์ทำเสียงสงสัย โกหกโคตรเนียน
“พี่เคย์ อย่ามาเฉไฉ เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์รู้ ผมเป็นเลขาของเขานะครับ” ผมถอนหายใจนิดๆ แล้วบอกพี่เคย์ออกไป
[เฮ้อ งั้นพี่บอกเราตรงๆ เลยละกัน ตอนนี้พี่บอกอะไรไม่ได้เพราะที่รถไอ้ลุกซ์คว่ำไม่ใช่อุบัติเหตุ อาการของไอ้ลุกซ์ตอนนี้อยู่ในสถานะที่เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วย ที่ไม่มีใครบอกให้เรารู้เพราะกลัวเราเป็นห่วง] ใจผมหล่นวูบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น นี่อาการของพี่ลุกซ์มันหนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ลุกซ์กันแน่? รถคว่ำแล้วระเบิดเลยนะ เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วย พี่ลุกซ์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย? เป็นห่วงจัง
“เขาจะเป็นหรือตายเรื่องนั้นไม่ใช่ธุระผม แต่ตอนนี้ผมเป็นเลขาของเขา ผมควรจะรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน พี่เคย์บอกผมมาเถอะครับ อย่างน้อยให้ผมได้รู้อาการของเขาบ้าง” ผมทำเป็นเย็นชาแล้วถามออกไปแบบนั้น เขาจะมาตายจากผมไปแบบนี้ไม่ได้ เขายังไม่ได้ชดใช้กับสิ่งที่เขาทำกับผมเลย
[อาการเหรอ? ตอนนี้ก็มีแผลไฟไหม้ที่หลัง มีแผลที่หน้าผาก เลือดคั่งในช่องท้อง และ...แขนบาดเจ็บจนต้อง...ตัดทิ้ง] หัวใจผมหล่นอีกครั้งพร้อมกับร่างกายที่ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเพราะแข้งขาอ่อนจนยืนไม่ไหว
“ไม่จริง...” ผมส่ายหน้าไปมา ถึงผมจะเกลียดเขามากแต่พอมารับรู้แบบนี้ผมก็สะเทือนใจไม่น้อยไปเหมือนกัน ที่สำคัญ...อย่างน้อยๆ เราก็เคยเป็นคนรักกัน
[เอาไว้เข้าเยี่ยมได้เมื่อไหร่พี่จะพาไปเยี่ยมนะเปอร์] พี่เคย์พูดก่อนที่สายจะตัดไปปล่อยให้ผมอึ้งอยู่อย่างนั้นคนเดียว
วันต่อมาผมก็ลุกขึ้นมาทำสวนช่วยพ่อก่อนจะแวะไปซื้อขนมไทยไปฝากพี่พลอยที่ออฟฟิศ ถึงตอนนี้ทุกคนจะไม่ให้ผมทำงานแต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะเข้าออฟฟิศ เผื่อว่าเขาอาจจะนั่งอยู่ในห้องทำงานก็ได้
“เปอร์ บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาที่ออฟฟิศ” พี่พลอยดุผมเบาๆ
“ผมมาไม่ได้เลยเหรอครับ?” ผมเลิกคิ้วถาม
“ไม่ได้ แม้กระทั่งประธานยังถูกลอบทำร้ายขนาดนั้นแล้วถ้าเปอร์โดนไปด้วยแล้วใครจะดูแลครอบครัวเปอร์ล่ะ?” พี่พลอยบอก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีหนอนบ่อนไส้ที่อยากจะล้มอำนาจประธาน ได้ยินว่าจะล้มตั้งแต่ประธานคนก่อนแล้วแต่ทำไม่ได้เลยจะล้มประธานรุ่นนี้แทน เปอร์เป็นเลขาและเป็นคนรัก...เอ่อ...เก่าของประธานด้วย พี่กับรองกลัวเปอร์จะโดนหางเลขไปด้วย ระหว่างที่ประธานยังรักษาตัวอยู่พี่อยากให้เปอร์อยู่ที่บ้าน อย่าออกไปไหนคนเดียว” พี่พลอยวางมือไว้บนบ่าผมแล้วตบเบาๆ
“นี่มันอะไร? ผมไม่เข้าใจ ทำไมมีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลย มีเรื่องอะไรเขาควรจะบอกให้ผมรู้บ้าง ถึงตอนนี้ผมจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่ควรจะรู้เรื่องทุกอย่างของเขาแต่ผมเป็นเลขาที่ควรจะรู้เกี่ยวกับเรื่องงานทุกอย่างไม่ใช่เหรอ? คนบ้าแบบนั้นผมไม่น่ามาทำงานด้วยเลย ผมเกลียดเขา เกลียดที่เขาไม่ชอบพูดที่สุดเลย” ผมเม้มปากแน่น ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้พี่ลุกซ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ยอมพูดอะไรที่ควรพูด ผมไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาคงคิดว่าผมอ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้เลยไม่บอกอะไรผมเลยซักอย่าง เลิกกันไปแบบนี้คงดีแล้วล่ะ กับคนที่ไม่ไว้ใจกันแบบนี้ผมก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย ถ้าเขาเข้าใจผมซักนิดว่าผมเองก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระเขาก็คงจะดี
“เปอร์ ไม่เป็นไรนะ ประธานเขาคงเป็นห่วงเปอร์มากนะ พี่ยังรู้สึกได้เลยว่าเขาห่วงเพราะตอนที่เขามาคุยงานกับรองเขาย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้เปอร์รู้เรื่องนี้เพราะถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาเปอร์จะได้ไม่ต้องเสียใจ” พี่พลอยเดินอ้อมมาโอบไหล่ผมเอาไว้อย่างปลอบโยน
“ผมไม่เสียใจเรื่องเขาหรอกครับ ต่อให้เขามาตายอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่เสียใจ” ผมแข็งใจพูดแบบนั้นออกมา ก็เขาตายจากผมไปแล้ว ผมเสียใจครั้งเดียวก็เกินพอแล้วล่ะครับ
“เปอร์ อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ” พี่พลอยลูบหัวไหล่ผมอย่างแผ่วเบา
“คนเลวอย่างเขาไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ ต่อไปนี้เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เรื่องที่เขาไม่อยากให้ผมรู้ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็กรรมใครกรรมมันละกัน” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะยกมือไหว้ลาพี่พลอยแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศทันที
ถ้ามีงานอะไรเข้ามาเดี๋ยวพี่ถังมันคงติดต่อมาเองแหละ ตัวใครตัวมันละแม่ง พอกันที
ผมใช้ชีวิตตามปกติของผมโดยไม่ได้เข้าออฟฟิศมาได้สักพักแล้วล่ะครับ เนื่องจากผมว่างงานผมจึงช่วยพ่อกับพี่ชัชทำสวนทุกวันและไปร้านขนมทุกวันเหมือนกัน ช่วงนี้เอกชอบคิดเมนูใหม่ๆ มาทำให้ผมชิมเรื่อยเลยครับ เวลาเขาทำขนผมจึงขอเข้าไปดูบ้างเขาเลยสอนการทำขนมง่ายๆ มาให้เผื่อผมอยากทำกินเอง ตอนนี้ผมพอจะทำคัพเค้กเป็นแล้วล่ะ แต่ทำไม่อร่อยเท่าไหร่
“เปอร์ มีซองส่งมาถึงลูกน่ะ” ขณะที่ผมกำลังทำคุกกี้ให้คนที่บ้านกินแม่ก็เดินเข้ามาในครัวแล้วยื่นซองสีชมพูมาให้ผม
“ซองอะไรครับ?” ผมถามเพราะตอนนี้มือผมไม่ว่าง
“การ์ดเชิญงานแต่งงานน่ะ” แม่เปิดดูแล้วบอกเสียงแผ่ว ผมนิ่งไปนิด มือที่กำลังจะส่งถาดคุกกี้เข้าเตาอบชะงักไปนิดก่อนจะค่อยๆ วางถาดลงในเตาแล้วปิดฝา
งานแต่งงั้นเหรอ? คงมีอยู่แค่งานเดียวเท่านั้นแหละ
“งั้นเหรอครับ?” ผมถามเสียงเบา
“มีจดหมายแนบมาด้วยลูก เขียนว่า...มาให้ได้นะเปอร์ พี่อยากให้เปอร์มางานแต่งของพี่นะจ๊ะ” แม่อ่านให้ฟัง คงจะเป็นข้อความจากเจ๊เปรียวนั่นแหละ ขอมาขนาดนี้ผมก็คงต้องไป มันอาจจะเจ็บไปบ้างแต่มันอาจจะดีต่อการตัดใจของผมก็ได้
“งานวันไหนเหรอครับ?” ผมถามพลางถอดถุงมือออก
“อีกสองวัน เปอร์จะไปไหมลูก ถ้าไปไม่ได้เดี๋ยวแม่ฝากซองไปกับพี่ถังก็ได้นะ” แม่บอก แม่คงไม่อยากให้ผมลำบากใจ
“ผมจะไปครับแม่” ผมบอกอย่างหนักแน่น
“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะ” แม่บอกพลางยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“โธ่ แม่ครับ แม่เห็นลูกของแม่เป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ นี่ผมเปอร์นะครับ เข้มแข็งจะตาย” ผมยิ้มกว้างให้แม่ก่อนจะเดินไปกอดอย่างเอาใจระหว่างที่รอคุกกี้อบเสร็จ
“ลูกแม่เข้มแข็งที่สุดเลยจ้ะ” แม่กอดผมแล้วหอมซ้ายขวาอย่างเอ็นดู ผมเองก็ยิ้มให้แม่อย่างจริงใจเช่นกัน คงไม่มีใครทำให้ผมยิ้มได้อย่างจริงใจได้อย่างครอบครัวผมหรอก ไม่มีใครเลยจริงๆ
ลมหายใจสม่ำเสมอดังแข่งกับเครื่องแอร์ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เงียบสนิทและโล่งสะอาด กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยตลบอบอวลมาพร้อมกับสายยางและสายไฟฟ้าห้อยระโยงระยางเชื่อมร่างกายอ่อนแรงกับเครื่องมือทางการแพทย์เอาไว้ด้วยกันจนเกรงว่าคนที่ถูกเชื่อมสายเหล่านั้นจะอึดอัดเพราะขยับตัวไม่สะดวก
ร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงคนที่เข้ามาในห้องของตน ขายาวๆ ถูกผ้าพันขยับไม่สะดวกนักเพราะถูกห้อยให้อยู่สูงอีกทีเนื่องจากขาหัก
“ไง...ดูกี่ทีก็ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างมึงจะอยู่ในสภาพแบบนี้” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นทำให้สายตาคมเฉียบตวัดไปมองคนพูดอย่างแค้นเคืองทันที
“แล้วใครล่ะที่วางแผนฆ่ากูแต่เสือกพลาด ระวังไว้เถอะ...พลาดแบบนี้เดี๋ยวคนที่จะลงไปอยู่ในโลงก็เป็นมึงหรอก” เสียงเข้มแหบพร่าพูดออกออกมาลอดไรฟัน
“ปากเก่งจริงๆ นะ แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นฝีมือกูล่ะ? อย่างมึงน่ะ มีศัตรูรอบด้านเลยนี่” คนมาเยี่ยมถามพลางยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย
“คนที่แค้นจนอยากให้กูตายมีอยู่เยอะ หนึ่งในนั้นก็มึงด้วย ถ้ากูตายก็จะมีหลายคนที่ได้ผลประโยชน์ไป ส่วนมึง...ก็จะได้หัวใจกูไปใช่ไหมล่ะ?” ร่างบนเตียงพูดออกมาอย่างรู้ทันอีกฝ่าย
“ฮึๆ ก็รู้ดีนี่นา แหม...กูไม่ได้อยากให้มึงตายซักหน่อย แค่อยากสั่งสอน กูเตือนมึงแล้วนี่ว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้หมอนั่น แต่ที่กูเห็นคือมึงทำงานกับหมอนั่นอย่างสนิทสนม อุบัติเหตุครั้งนี้กูแค่อยากจะเตือนมึงก็เท่านั้น ถ้ามึงยังทำงานกับมันต่อไป มึงน่าจะรู้ว่าคนที่จะลงไปอยู่ในโลง...คือใคร” เสียงทุ้มๆ พูดอย่างข่มขู่พร้อมกับมือเย็นๆ ที่วางทาบไว้บนลำคอหนา
“ถ้ามึงผิดคำสัญญา...ถ้ามึงแตะต้องหมอนั่นแม้แต่ปลายเล็บ...มึงลำบากแน่!” ชายหนุ่มร่างสูงกัดฟันพูดอย่างแค้นเคืองพลางพยายามสูดลมหายใจเนื่องจากอากาศเริ่มหายไปเพราะถูกบีบคอ
“ฮึๆ อย่างมึงยังกล้าขู่กูอีกเหรอ?” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นพร้อมกับเพิ่มแรงบีบที่ลำคอล่ำสัน คนบนเตียงพยายามนิ่งเพื่อไม่แสดงความกลัวออกมาและเขาก็ไม่ได้คิดจะกลัวคนที่กำลังบีบคออยู่เลย
“สวะอย่างมึงกูจะจัดการตอนไหนก็ได้...” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาอย่างอึดอัด
“แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัว กลัวว่าถ้าเมียมึงรู้ว่ามึงฆ่าคนตายมันจะรับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ฮึๆ เฮ้อ น่าสงสารจังเลยนะ รักเขาแทบตายแต่คว้ามาไว้ในมือไม่ได้” เจ้าของเสียงพูดเยาะๆ พลางค่อยๆ ปล่อยมือออกจากลำคอล่ำอย่างอ้อยอิ่ง
“ใช่ไหม? น่าสงสารเนอะ รักแทบตายแต่คว้ามาไว้ในมือไม่ได้เหมือนคนอย่างมึงไง รักกูแต่กูเกลียดมึง แต่ในกรณีของกูมันไม่น่าสมเพชเท่ามึงว่ะ กูเลวเพื่อคนที่กูรักและเขาก็รักกู แต่มึงชั่วเพื่อตัวเอง...คนเดียว!” ร่างสูงบนเตียงสูดลมหายใจหนักๆ เพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด
“ฮึๆ ปากดี สภาพอย่างกับคนกำลังจะตายยังกล้าพูดแบบนี้อีกนะ ไม่กลัวกูฆ่ามึงหรือไง?”
“กลัว? ฮ่าๆ กูไม่จำเป็นต้องกลัวคนอย่างมึง กูจะบอกอะไรให้นะ...กูชั่วได้มากกว่ามึงหลายเท่าอีกนะไอ้อ่อนหัดแต่ที่กูไม่ทำเพราะกูไม่อยากให้มึงตกนรกทั้งเป็น ระวังตัวเอาไว้นะ ถ้ามึงทำกูหมดความอดทนเมื่อไหร่ มึงจะเป็นคนแรก...ที่กูฆ่าตายด้วยมือของกูเอง” เจ้าของเสียงทุ้มกดเสียงตัวเองให้ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อขู่ให้อีกฝ่ายกลัวซึ่งอีกฝ่ายก็กลัวแต่ไม่แสดงออก
“เอาเถอะ วันนี้กูแค่มาดูให้แน่ใจว่ามึงไม่ได้ตายเฉยๆ ยังไงก็รีบๆ หายเพื่อมาปกป้องเมียมึงก่อนที่มันจะไปเป็นของคนอื่นล่ะ ฮึๆ” พูดจบร่างโปร่งก็เดินออกจากห้องด้วยใจที่ขัดเคืองทันที
ร่างสูงบนเตียงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างเจ็บปวด ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่นึกถึงคนรักเขามักจะเจ็บปวดเสมอ อุปสรรคขวากหนามที่มาขวางกั้นมันมากมายจนเขากลัว กลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาเขาจึงต้องถอยห่างออกมาเพื่อตัวของคนที่เขารักเอง
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บที่ต้องทำตัวเลือดเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเขาทำให้คิดถึงคนรักเสมอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพความทรงจำจนอยากจะกลับไปกอดเพื่อให้หายคิดถึงแต่ครั้นเผลอใจไปเพียงนิด อีกฝ่ายก็ทำท่ารังเกียจเสียเต็มประดาจนเขาไม่อาจจะแตะต้องเพราะความละอายใจ เขาอยากจะออกจากโรงพยาบาลไปจัดการคนเลวที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้จากนั้นก็ไปขอคืนดีกับคนรักเสียเหลือเกิน แต่เขาในสภาพแบบนี้จะมีหน้าไปพบใครได้อีก
เหนื่อยเหลือเกิน...
38% left
ตอนเช้าของวันงานมงคลสมรสของเจ๊เปรียวผมไม่ได้ไปร่วมงานเพราะช่วงพิธีการแบบนั้นเขาคงอยากอยู่กันอย่างครอบครัว ถ้าผมไปผมว่ามันต้องมีคนลำบากใจไม่มากก็น้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็คงมีพ่อกับแม่ของพี่ลุกซ์ที่ยังเอ็นดูผมอยู่แน่นอน ผมไม่อยากไปทำให้พวกท่านลำบากใจที่ลูกชายตัวเองจะแต่งงานกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาคนที่เคยหมายหมั้นปั้นมือเอาไว้เพราะฉะนั้นผมจึงไปร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืนแทน
ผมเดินเข้างานไปพร้อมกับพี่ถังและพี่เคย์เนื่องจากพี่ๆ ทั้งสองมารับผมที่บ้าน ผมไม่รู้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้นแต่วันนี้ผมรู้สึกโล่งๆ โปร่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่ผมควรจะอึดอัดจนแทบกระอักเลือดตายเพราะต้องทนเห็นภาพบาดตา เอ๊ะ? หรือว่าผมตัดใจได้แล้ววะ? อืม...อาจจะใช่ก็ได้มั้ง
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวไปไหนวะเนี่ย? ทำไม่ออกมาต้อนรับแขก?” ไอ้พี่ถังบ่นพลางชะเง้อคอมองหาเจ้าบ่าวเจ้าสาว
“เดี๋ยวนะ ไหนว่าไอ้คุณรุจิภาสป่วยหนักไง นี่หายทันวันงานแล้วเหรอ? สภาพจะเป็นยังไงวะ?” ผมกอดอกพลางพูดออกแนวเหยียดนิดๆ ตอนแรกก็นึกเป็นห่วงอยู่หรอกครับแต่ไม่เห็นว่าจะเลื่อนวันงานแสดงว่าเขาคงไม่ตายง่ายๆ แต่ก็แอบสมเพชเบาๆ แทนที่จะได้เป็นเจ้าบ่าวที่หล่อที่สุดในงานดันมาเป็นเจ้าบ่าวแขนด้วนซะได้
แขนด้วน...แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงนะ? เขาจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้หรือเปล่า? จะมีใครดูแลเขาไหมนะ? เฮ้อ คิดแล้วก็หดหู่ แต่...พอๆ อย่าไปสนใจคนพรรค์นั้นเลย ต่อให้ขาขาดแขนด้วนผมก็จะสงสารเขาไม่ได้!!
...เพราะถ้าผมสงสาร ผมอาจจะกลับไปหาเขา ไปดูแลเขาก็ได้...
“หายแล้วล่ะ แต่ยังไม่สนิทดี นอนป่วยมาเกือบเดือนแล้วนี่นา” พี่เคย์บอก
“แล้วเขา...เฮ้อ ช่างมันเถอะครับ” ผมกำลังจะถามถึงอาการของเขาแต่ผมก็ต้องรีบตัดความห่วงใยนั่นทิ้งก่อนที่ผมจะเผลอใจวกกลับไปหาเขาอีก
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรตลอดงาน ผมเดินไปหลบมุมนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียวโดยไม่สนใจรอบข้างแต่ก็ได้ยินคนที่เดินผ่านไปมาเขาพูดถึงเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกัน เห็นบอกว่าเจ้าบ่าวหล่อมากส่วนเจ้าสาวก็สวยมากเช่นกัน มันก็น่าอยู่หรอก เขาก็ดูหล่อสวยเหมาะกันดี
สักพักไอ้พี่ถังก็เดินมาเรียกผมไปร่วมโต๊ะทานอาหารเพราะตอนนี้เริ่มมีการเสิร์ฟอาหารกันไปแต่ละโต๊ะแล้ว ระหว่างนั้นมีการแสดงดนตรีสดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศไปด้วย พอทานข้าวเสร็จก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นมากล่าวคำยินดีกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ผมมองไม่เห็นหน้าทั้งคู่เลยครับเพราะพวกเขายืนอยู่ข้างล่างเวทีและหันหน้าเข้าเหมือนรับพรทำให้ผมเห็นเพียงแผ่นหลังของทั้งคู่ พี่ลุกซ์ดูแปลกตาไปนิดๆ หรือไม่ผมอาจจะคิดไปเอง
“สวัสดีค่ะทุกคนก่อนที่จะไปชมวิดีโอก่อนแต่งงานของดิฉันกับแฟน ดิฉันมีอะไรอยากจะบอกกับคนคนหนึ่งค่ะ” หลังจากผู้ใหญ่อวยพรกันเสร็จเจ๊เปรียวก็เดินควงสามีขึ้นไปบนเวทีซึ่งเมื่อผมมองตามผมก็ต้องอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก “เปอร์...เจ๊ขอโทษนะที่ปิดบังมาโดยตลอด แต่เจ๊กับลุกซ์เราไม่ได้รักกันมาตั้งแต่แรก ที่เราแต่งงานกันเพราะเหตุจำเป็นและถูกกดดันจากผู้ใหญ่ฝ่ายเจ๊ เจ๊ไม่รู้ว่าเปอร์คบกับลุกซ์แต่ทันทีที่เจ๊รู้เจ๊กับลุกซ์ก็แอบไปหย่ากันเงียบๆ แต่แกล้งทำเป็นเหมือนยังเป็นคู่สามีภรรยาเพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่เอาเรื่อง ที่เจ๊อยากให้เปอร์มาร่วมงานในวันนี้เพราะเหตุนี้แหละจ้ะ ที่จริงลุกซ์ไม่อยากให้เจ๊บอกเรื่องนี้กับเปอร์แต่อึดอัดมากที่ต้องแกล้งทำเป็นรักกันกับลุกซ์และเจ๊ก็เสียใจที่เห็นเปอร์เสียใจ เปอร์เหมือนน้องชายของเจ๊นะ เจ๊รักลุกซ์กับเปอร์เหมือนน้องและไม่อยากจะทำให้น้องทั้งสองของเจ๊ทรมาน สำหรับตัวลุกซ์...ทุกสิ่งที่เขาทำไปเพราะเขามีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ เจ๊ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไงแต่สิ่งเดียวที่เจ๊ต้องการคือ...อย่าทำเหมือนไม่รู้จักกันเลยนะ กลับมาคืนดีกันได้ไหมเปอร์?” ผมนิ่งฟังเจ๊เปรียวพูดเสียยาว ตอนแรกเจ๊แกก็พูดดีๆ นั่นแหละครับแต่หลังๆ เสียงเจ๊แกเริ่มสั่นเหมือนคนจะร้องไห้จนสามีแกต้องกอดปลอบ
เมื่อเจ๊เปรียวพูดออกมาแบบนั้นคนในงานก็เริ่มมองหาคนที่ชื่อเปอร์กับลุกซ์ ไอ้พี่ถังที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมบีบมือผมแน่นขณะที่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป สิ่งที่ได้ยินเหมือนเรื่องโกหก เนื้อความต่างๆ ที่ถูกพูดออกมาเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาจนผมจับใจความอะไรไม่ได้ ผมงง สับสน และไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“เคย์ พาไอ้เปอร์ออกไปก่อน เดี๋ยวทางนี้กูเคลียร์เอง” พี่ถังหันไปบอกพี่เคย์ทำให้พี่เคย์ต้องลุกขึ้นแล้วรีบพาผมเดินออกจากงานทันทีโดยไม่สนใจสายตาของใคร
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพี่เคย์?” ผมที่เริ่มปรับอารมณ์ได้หลังจากถูกพี่เคย์ลากออกมาที่สวนของโรงแรมเพื่อสงบสติอารมณ์
“เปรียวนะเปรียว ไม่รู้จะรีบพูดทำไม” พี่เคย์บ่นพึมพำ
“มันคืออะไรกันแน่! ผมงงไปหมดแล้ว” ผมคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดพี่เคย์แต่หงุดหงิดที่ตัวเองไม่รู้และไม่เข้าใจอะไรซักอย่างทั้งๆ ที่เรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับตัวผมเอง
“ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะเปอร์ พี่จะบอกให้ก็แล้วกันว่าที่ไอ้ลุกซ์มันแต่งงานกับเปรียวเพราะเปรียวท้อง โอเค เปรียวท้องกับไอ้ลุกซ์แต่ไม่ใช่วิธีธรรมชาติ คือเปรียวเจอกับอลันแฟนของเปรียวที่นิวซีแลนด์เพราะอลันไปประจำการที่นั่น พอทำงานครบกำหนดอลันก็เลยต้องกลับมาที่อเมริกาที่เป็นประเทศบ้านเกิดของเขา เปรียวที่เรียนจบพอดีเลยกลับมาด้วย ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันและอยากจะมีลูกแต่อลันเป็นหมันเปรียวก็เลยมาขอให้ไอ้ลุกซ์ช่วยบริจาคน้ำเชื้อมันก็เลยช่วย แต่พอเปรียวติดลูก ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันจนเลิกกัน เปรียวหนีกลับมาเมืองไทยโดยที่ท้องไม่มีพ่อ พ่อเปรียวโกรธมากเลยจะให้ลุกซ์มารับผิดชอบ เปรียวค้านแล้วแต่ผู้ใหญ่เขาไม่ยอมจริงๆ ไอ้ลุกซ์ก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเพราะลูกในท้องเปรียวเป็นลูกของมันจริงๆ มันไม่กล้าบอกเปอร์เพราะกลัวเปอร์รับไม่ได้แต่ก็พยายามหาทางแก้ไขมาโดยตลอดจนสุดท้ายมันตัดสินใจบอกเปรียวว่าเปอร์เป็นคนรักของมัน เปรียวโกรธมากก็เลยซัดมันไปสองหมัดโทษฐานที่มันทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ผิดจนทำให้เปอร์ต้องเสียใจ จากนั้นทั้งคู่ก็แอบไปหย่ากัน” ผมนั่งฟังพี่เคย์เล่าไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรเพราะกำลังซึมซับเรื่องราวทั้งหมดเข้าไปประมวลผลในสมอง
“...”
“แต่การหย่ากับของทั้งคู่ก็ไม่ราบรื่นเพราะหลังจากที่หย่าพ่อของเปรียวก็ระแคะระคายและตามรังควานไอ้ลุกซ์ไม่เลิก เปรียวกับลุกซ์เลยต้องทำเป็นเหมือนคนรักกัน เปรียวไปอยู่อเมริกากับพี่และไอ้ลุกซ์เพื่อไม่ให้ใครสงสัย เปรียวไปเจอกับแฟนเก่าโดยบังเอิญแต่ทั้งคู่ก็ยังทะเลาะกันรุนแรงเหมือนเดิม เปรียวไม่อยากกลับไปคืนดีกับทางนั้นก็เลยหนีไปพักร้อนและไปคลอดโดยไม่บอกใครส่วนไอ้ลุกซ์ก็โหมทั้งเรียนทั้งทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนเพราะอยากจะรีบเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบๆ ไป มันไม่ติดต่อใครและไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวเปอร์ล้มละลาย มันเพิ่งมารู้ตอนที่กลับมาทำงานที่ไทย มันเสียใจมากที่ไม่ได้มาอยู่ข้างๆ เปอร์เพราะถูกพ่อของเปรียวจับตามองอยู่ตลอด ตอนแรกมันไม่สนใจหรอกว่าพ่อของเปรียวจะทำอะไรถ้ามันหย่าแต่พ่อของเปรียวถือหุ้นในบริษัทมากพอสมควรถ้าถอนหุ้นไปบริษัทอาจจะล้มก็ได้ พ่อเปรียวเอาจุดนี้ไปขู่พ่อของไอ้ลุกซ์ทำให้มันต้องยอมถอยห่างจากเปอร์มันเลยประชดชีวิตโดยการเรียนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้างของตัวเอง มันเครียดจนป่วยเลยล่ะ” พี่เคย์พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเนิบๆ น่าฟัง ผมก็นั่งฟังไปเพลินๆ
“ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ ผมเข้าใจว่าเขาทำเพื่อครอบครัวของตัวเองและทำเพื่อผม แต่สิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจคือทุกครั้งที่เขามีปัญหาทำไมเขาไม่เคยคิดจะบอกผม เขาเห็นผมอ่อนแอทำอะไรไม่เป็นเลยไม่คิดจะบอกงั้นเหรอ? นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมกับเขาไปกันไม่รอด” ผมพูดพลางส่ายหน้าไปมา
พี่ลุกซ์คนเดิมของผมยังไม่ตายจริงๆ ด้วย แต่เพราะเขาเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนมันเลยทำให้ใจผมตายอย่างช้าๆ จนตายอย่างสนิท สิ่งเดียวที่ผมอยากให้เขาเปลี่ยนไม่ใช่ความโหดร้ายหรืออารมณ์รุนแรงของเขาแต่เป็นความปากหนักต่างหาก ผมไม่รู้ว่าเหตุผลที่เขาไม่บอกมันคืออะไร อาจจะเป็นเพราะผมไม่น่าพึ่งพาหรือเพราะเขาไม่อยากให้ผมคิดมากแต่การที่เขาไม่ยอมบอกอะไรเลยมันทำให้ผมกลายเป็นคนโง่! เป็นคนไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไรกับใครเขาเลย ซึ่งในจุดนั้นผมรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้เขารักผมมากแค่ไหน หรือต่อให้ผมรักเขาจนแทบขาดใจแต่เราก็คงเข้ากันไม่ได้อยู่ดี เขาทำร้ายผมด้วยน้ำมือของเขาเอง ผมกลัวการที่ต้องเสียใจเพราะเขาเหลือเกิน
ผมพอแล้วล่ะ...พอแล้ว ผมเหนื่อยเหลือเกิน
“เปอร์ มันไม่ดีที่ไม่ยอมบอกอะไรเปอร์เลย พี่ก็ไม่ดีที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดแต่พี่ไม่อยากทำให้บริษัทมันเดือดร้อนเพราะความปากพล่อยของพี่ พ่อของเปรียวอยากให้ลุกซ์แต่งกับเปรียวเลยงัดทุกวิธีเพื่อที่จะให้ทั้งคู่แต่งงานกันให้ได้ แต่พออลันมาง้อเปรียวถึงไทยและไปคุยกับทางบ้านของเปรียวพ่อเปรียวเลยยอมแต่โดยดีเพราะพ่อไอ้ลุกซ์เองก็ไปคุยกับพ่อเปรียวเพื่อช่วยเหมือนกัน ไหนๆ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็เผยออกมาแล้ว เปอร์จะยังรู้สึกเหมือนเดิมกับไอ้ลุกซ์ไหม?” พี่เคย์ถาม
“ไม่แล้วล่ะครับ เขามีเหตุผลของเขาแต่เขาทำให้ผมเข็ดกับการที่ต้องอยู่กับเขา ผมไม่มีใจจะกลับไปคืนดีหรือไปมีใครอีกแล้ว ผมอยากอยู่ของผมอย่างนี้ อยู่กับครอบครัวแบบนี้โดยไม่ต้องรักใครเลย ผมอยากได้แค่นี้จริงๆ” ผมยกมือขึ้นกุมขมับแล้วนวดเบาๆ ผมไม่อยากได้คนรักอีกแล้วจริงๆ มันเหนื่อยจริงๆ นะครับ ผมเหนื่อยกับการที่ต้องอยู่โดยไม่รู้อะไร เหนื่อยกับการอยู่อย่างอึดอัด ตอนนี้สภาพจิตใจผมมันตกต่ำยิ่งกว่าฐานะการเงินของผมซะอีก ผมไม่พร้อมที่จะเปิดใจให้ใครอีกแล้ว มันอาจจะเจ็บปวดมากเพราะผมยังรักเขาอยู่แต่ถ้าเจ็บแล้วจบมันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ เจ็บให้มันสุดๆ แล้วจากนั้นผมคงจะดีขึ้นเอง
“อืม...พี่คงบังคับใจเปอร์ไม่ได้ อ้อ แล้วก็นะ ที่พี่บอกว่าไอ้ลุกซ์ต้องตัดแขนน่ะพี่โกหก ตอนนี้มันยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เลย สภาพภายนอกมันโอเคแล้วแหละเหลือแต่อาการขาหักแต่สภาพภายในมันต้องใช้เวลาอีกซักระยะ เปอร์ห่างมันไว้นั่นแหละดีแล้วเพราะตอนนี้มันมีศัตรูรอบด้าน มีหนอนบ่อนไส้ที่ยังจับไม่ได้ มีคู่แข่งทางการค้าและมีศัตรูที่มันเคยสร้างไว้ในอดีตอีกมาก ถ้าเปอร์ไปอยู่ข้างๆ มันเปอร์อาจจะโดนหางเลขไปด้วย” พี่เคย์บอกและนั่นก็ทำให้ผมหนักใจอีกครั้ง ผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ถึงจะเคยบอกไปว่าต่อให้เขามาตายตรงหน้าผมก็ไม่รู้สึกอะไรแต่แค่ผมได้ยินสิ่งที่พี่เคย์บอกผมก็เป็นห่วงเขาซะแล้ว
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากรักเขา เขามีปัญหาทีไรเขามักจะกีดกันผมออกไปจากชีวิตของเขาทุกที คนรักกันต้องช่วยกันฝ่าฟันไม่ใช่รึไง เขาเจ็บ ผมก็จะเจ็บเป็นเพื่อน เขาเหนื่อย ผมก็พร้อมที่จะเหนื่อยไปด้วย เขาเครียด ผมก็จะเครียดไปกับเขา แต่เขาไม่เคยให้ผมได้ทำหน้าที่คนรักที่ดีเลยซักครั้งผมก็เลยเลือกที่จะเลิกเป็นคนรักของเขาซักที ผมรู้ว่าเขามีภาระมากมายที่ต้องดูแล ไม่ได้มีแค่ผมเพราะฉะนั้นผมเข้าใจและพร้อมที่จะสนองความต้องการของเขา
“ครับ ผมจะไม่เข้าใกล้เขาถ้าไม่จำเป็น” ผมตอบรับ ความจำเป็นเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ผมเข้าใกล้เขาก็คือเรื่องงานเท่านั้น
“เปอร์ พี่อยากให้เปอร์เข้าใจมันนะ ตอนนี้มันมีภาระเยอะแยะมากมายที่ต้องดูแล มันเพิ่งเป็นประธานและต้องเรียนรู้งานอีกมากทำให้มันไม่มีเวลาที่จะดูแลเปอร์เลย การทำตัวให้ห่างอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด” พี่เคย์อธิบาย
“ผมรู้พี่เคย์ ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ และผมก็เข้าใจแล้วว่าผมกับเขาไปกันไม่รอด เขามีปัญหาเยอะมากพออยู่แล้ว ผมเองก็มีปัญหามากจนไม่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ เขา เราต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน จากกันคือทางออกที่ดีที่สุด ผมเข้าใจ” ผมพูดออกมาอย่างอัดอั้น ผมคงไม่กลับไปหาคนอย่างเขาอีกแล้วล่ะ ผมขออยู่คนเดียวไปตลอดดีกว่า
“พี่ไม่อยากให้เปอร์กับมันเลิกกันเลย” ในที่สุดพี่เคยก็พูดสิ่งที่ต้องการออกมา
“โธ่พี่เคย์ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแหละครับ ผมทำใจได้แล้วล่ะ” ผมยิ้มให้พี่เคย์นิดๆ
“เฮ้อ แล้วแต่เปอร์เลยละกัน แล้วนี่จะเอายังไงต่อ? กลับบ้านหรือเข้างาน? พี่คิดว่าเปรียวคงอยากอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เปอร์ฟังนะ” พี่เคย์ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“งั้นผมขอไปฟังคำอธิบายจากเจ้าสาวคนสวยก่อนดีกว่าครับ” ผมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจเบาๆ แล้วเดินกลับเข้างานพร้อมกับพี่เคย์
++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ