[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) Chapter 12 : การแต่งงาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 12 : การแต่งงาน


 

ผมกลับบ้านไปในเวลาต่อมา  ตอนที่มาถึงบ้านผมได้ยินเสียงเปิดทีวีแต่พอผมเดินเข้าไปจะดูด้วยเสียงทีวีนั้นกลับดับลงอย่างน่าสงสัย  พ่อแม่กับพี่ยามก็ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทำไมทุกคนถึงมีท่าทางแปลกๆ?

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ไม่ดูทีวีต่อเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถาม

“ไม่ล่ะจ้ะ  ข่าวน่ากลัว แม่ไม่กล้าดู” แม่บอกพลางทำหน้าแขยง

“ข่าวอะไรเหรอครับ?” ผมถามอีก

“ไม่มีอะไรหรอก  ข่าวอุบัติเหตุทั่วไปนั่นแหละ” พ่อบอกโดยไม่สบตาผมทำให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม  มันเกี่ยวกับคนรู้จักหรือเปล่าทำไมทุกคนถึงมีท่าทีแปลกๆ

เมื่อทุกคนไม่ยอมบอกผมจึงมองหาหนังสือพิมพ์แทน  ถ้าให้ขึ้นไปเปิดทีวีในห้องของตัวเองดูผมคิดว่าข่าวก็คงจบไปก่อนแล้วล่ะเพราะงั้นถ้าอยากรู้ก็ต้องอ่านจากหนังสือพิมพ์

“ผมเอาไปห่อต้นไม้ให้คุณปราชญ์แล้วครับ” พี่ยามพูดขึ้นทำให้ผมต้องหรี่ตามมองพวกผู้ใหญ่อย่างสงสัย

“ทำไมต้องลับๆ ล่อๆ กันด้วยครับ  ถ้ามันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราก็ไม่น่าจะเดือดร้อนกันไม่ใช่เหรอ?” ผมถามทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน

“พ่อครับ เอาหนังสือพิมพ์ไปทิ้งทำไม? นี่มันหนังสือพิมพ์ที่เขามาส่งเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ?” เสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ป้องดังขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะโผล่เข้ามาในบ้านพร้อมกับหนังสือพิมพ์  เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบไปเอาหนังสือพิมพ์จากไอ้ป้องมาอ่านทันที

ข่าวแรกที่ผมเห็นก็เป็นข่าวม็อบตามปกติ  พอเลื่อนสายตามามองอีกข่าวที่อยู่ไม่ห่างกันผมก็เห็นข่าวน่าสงสัย  เป็นข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำครับ

เนื้อความในข่าวบอกประมาณว่าเป็นอุบัติเหตุรถคว่ำตกลงข้างทางแล้วระเบิดอยู่นอกเมือง  ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจกับข่าวนี้แต่ผมไปสะดุดกับคำว่า นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทหมื่นล้านที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหมาดๆ  มันทำให้ผมนึกถึงพี่ลุกซ์ขึ้นมาทันทีแต่ในข่าวไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นใคร

“ไม่เห็นมีข่าวอะไรพิเศษนี่ครับ?” ผมพับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนจะยื่นคืนให้ไอ้ป้อง  เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้สงสัยอะไรพวกผู้ใหญ่ก่อนถอนหายใจแล้วยิ้มนิดๆ  ผมยิ้มบ้างก่อนจะขอตัวกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เมื่อถึงห้องผมก็รีบกดโทรศัพท์หาพี่ถังทันที  แต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่สายมันก็ไม่รับผมจึงโทรหาพี่เคย์แทน

[ว่าไงเปอร์?]

“พี่เคย์อยู่ไหนครับ?” ผมถาม

[โรงเรียนน่ะ] พี่เคย์บอกแต่ผมไม่เชื่อ

“พี่เคย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลครับ? ผมไปเยี่ยมเพื่อนแล้วเห็นพี่อยู่ที่นั่น” ผมแกล้งพูดโกหกออกไป

[เปอร์เห็นตอนไหน? ตอนนั้นพี่อาจจะอยู่โรงพยาบาลแต่ตอนนี้พี่อยู่โรงเรียนนะครับ] แม่ม! พี่เคย์ฉลาดจัง  อุตส่าห์จะต้อนให้จนมุมซักหน่อย  พูดดักทางผมเฉยเลย

“แล้วพี่เคย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะครับ?” ผมถามอีก

[พี่กับพี่ถังไปตรวจน่ะ  แหม...พวกพี่ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลกันประจำอยู่แล้ว  ต้องเซฟหน่อยอ่ะนะ คิๆ] พี่เคย์บอก  เป็นธรรมดาของพวกรักร่วมเพศที่ต้องไปตรวจน่ะครับแต่ผมไม่เชื่อพี่เคย์หรอก

“พี่เคย์  ผมถามตรงๆ ละกัน  พี่ลุกซ์อยู่โรงพยาบาลไหน?” ผมพุ่งประเด็นทันทีเพราะถ้าขืนหลอกถามต่อไปแบบนี้ผมคงไม่ได้คำตอบ

[ลุกซ์? มันเป็นอะไร?] พี่เคย์ทำเสียงสงสัย  โกหกโคตรเนียน

“พี่เคย์ อย่ามาเฉไฉ  เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์รู้  ผมเป็นเลขาของเขานะครับ” ผมถอนหายใจนิดๆ แล้วบอกพี่เคย์ออกไป

[เฮ้อ งั้นพี่บอกเราตรงๆ เลยละกัน  ตอนนี้พี่บอกอะไรไม่ได้เพราะที่รถไอ้ลุกซ์คว่ำไม่ใช่อุบัติเหตุ  อาการของไอ้ลุกซ์ตอนนี้อยู่ในสถานะที่เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วย  ที่ไม่มีใครบอกให้เรารู้เพราะกลัวเราเป็นห่วง] ใจผมหล่นวูบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น  นี่อาการของพี่ลุกซ์มันหนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ?  แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ลุกซ์กันแน่?  รถคว่ำแล้วระเบิดเลยนะ เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วย  พี่ลุกซ์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย? เป็นห่วงจัง

“เขาจะเป็นหรือตายเรื่องนั้นไม่ใช่ธุระผม  แต่ตอนนี้ผมเป็นเลขาของเขา  ผมควรจะรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน  พี่เคย์บอกผมมาเถอะครับ  อย่างน้อยให้ผมได้รู้อาการของเขาบ้าง” ผมทำเป็นเย็นชาแล้วถามออกไปแบบนั้น  เขาจะมาตายจากผมไปแบบนี้ไม่ได้  เขายังไม่ได้ชดใช้กับสิ่งที่เขาทำกับผมเลย

[อาการเหรอ? ตอนนี้ก็มีแผลไฟไหม้ที่หลัง มีแผลที่หน้าผาก เลือดคั่งในช่องท้อง และ...แขนบาดเจ็บจนต้อง...ตัดทิ้ง] หัวใจผมหล่นอีกครั้งพร้อมกับร่างกายที่ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเพราะแข้งขาอ่อนจนยืนไม่ไหว

“ไม่จริง...” ผมส่ายหน้าไปมา  ถึงผมจะเกลียดเขามากแต่พอมารับรู้แบบนี้ผมก็สะเทือนใจไม่น้อยไปเหมือนกัน  ที่สำคัญ...อย่างน้อยๆ เราก็เคยเป็นคนรักกัน

[เอาไว้เข้าเยี่ยมได้เมื่อไหร่พี่จะพาไปเยี่ยมนะเปอร์] พี่เคย์พูดก่อนที่สายจะตัดไปปล่อยให้ผมอึ้งอยู่อย่างนั้นคนเดียว

 

วันต่อมาผมก็ลุกขึ้นมาทำสวนช่วยพ่อก่อนจะแวะไปซื้อขนมไทยไปฝากพี่พลอยที่ออฟฟิศ  ถึงตอนนี้ทุกคนจะไม่ให้ผมทำงานแต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะเข้าออฟฟิศ  เผื่อว่าเขาอาจจะนั่งอยู่ในห้องทำงานก็ได้

“เปอร์  บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาที่ออฟฟิศ” พี่พลอยดุผมเบาๆ

“ผมมาไม่ได้เลยเหรอครับ?” ผมเลิกคิ้วถาม

“ไม่ได้  แม้กระทั่งประธานยังถูกลอบทำร้ายขนาดนั้นแล้วถ้าเปอร์โดนไปด้วยแล้วใครจะดูแลครอบครัวเปอร์ล่ะ?” พี่พลอยบอก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“มีหนอนบ่อนไส้ที่อยากจะล้มอำนาจประธาน  ได้ยินว่าจะล้มตั้งแต่ประธานคนก่อนแล้วแต่ทำไม่ได้เลยจะล้มประธานรุ่นนี้แทน  เปอร์เป็นเลขาและเป็นคนรัก...เอ่อ...เก่าของประธานด้วย  พี่กับรองกลัวเปอร์จะโดนหางเลขไปด้วย  ระหว่างที่ประธานยังรักษาตัวอยู่พี่อยากให้เปอร์อยู่ที่บ้าน  อย่าออกไปไหนคนเดียว” พี่พลอยวางมือไว้บนบ่าผมแล้วตบเบาๆ

“นี่มันอะไร? ผมไม่เข้าใจ  ทำไมมีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้  เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลย  มีเรื่องอะไรเขาควรจะบอกให้ผมรู้บ้าง  ถึงตอนนี้ผมจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่ควรจะรู้เรื่องทุกอย่างของเขาแต่ผมเป็นเลขาที่ควรจะรู้เกี่ยวกับเรื่องงานทุกอย่างไม่ใช่เหรอ? คนบ้าแบบนั้นผมไม่น่ามาทำงานด้วยเลย  ผมเกลียดเขา  เกลียดที่เขาไม่ชอบพูดที่สุดเลย” ผมเม้มปากแน่น  ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้พี่ลุกซ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม  ไม่ยอมพูดอะไรที่ควรพูด  ผมไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่  เขาคงคิดว่าผมอ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้เลยไม่บอกอะไรผมเลยซักอย่าง  เลิกกันไปแบบนี้คงดีแล้วล่ะ  กับคนที่ไม่ไว้ใจกันแบบนี้ผมก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย  ถ้าเขาเข้าใจผมซักนิดว่าผมเองก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระเขาก็คงจะดี

“เปอร์ ไม่เป็นไรนะ  ประธานเขาคงเป็นห่วงเปอร์มากนะ  พี่ยังรู้สึกได้เลยว่าเขาห่วงเพราะตอนที่เขามาคุยงานกับรองเขาย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้เปอร์รู้เรื่องนี้เพราะถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาเปอร์จะได้ไม่ต้องเสียใจ” พี่พลอยเดินอ้อมมาโอบไหล่ผมเอาไว้อย่างปลอบโยน

“ผมไม่เสียใจเรื่องเขาหรอกครับ  ต่อให้เขามาตายอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่เสียใจ” ผมแข็งใจพูดแบบนั้นออกมา  ก็เขาตายจากผมไปแล้ว  ผมเสียใจครั้งเดียวก็เกินพอแล้วล่ะครับ

“เปอร์ อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ” พี่พลอยลูบหัวไหล่ผมอย่างแผ่วเบา

“คนเลวอย่างเขาไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ  ต่อไปนี้เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา  เรื่องที่เขาไม่อยากให้ผมรู้ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง  อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็กรรมใครกรรมมันละกัน” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะยกมือไหว้ลาพี่พลอยแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศทันที

ถ้ามีงานอะไรเข้ามาเดี๋ยวพี่ถังมันคงติดต่อมาเองแหละ  ตัวใครตัวมันละแม่ง  พอกันที

 

ผมใช้ชีวิตตามปกติของผมโดยไม่ได้เข้าออฟฟิศมาได้สักพักแล้วล่ะครับ  เนื่องจากผมว่างงานผมจึงช่วยพ่อกับพี่ชัชทำสวนทุกวันและไปร้านขนมทุกวันเหมือนกัน  ช่วงนี้เอกชอบคิดเมนูใหม่ๆ มาทำให้ผมชิมเรื่อยเลยครับ  เวลาเขาทำขนผมจึงขอเข้าไปดูบ้างเขาเลยสอนการทำขนมง่ายๆ มาให้เผื่อผมอยากทำกินเอง  ตอนนี้ผมพอจะทำคัพเค้กเป็นแล้วล่ะ  แต่ทำไม่อร่อยเท่าไหร่

“เปอร์ มีซองส่งมาถึงลูกน่ะ” ขณะที่ผมกำลังทำคุกกี้ให้คนที่บ้านกินแม่ก็เดินเข้ามาในครัวแล้วยื่นซองสีชมพูมาให้ผม

“ซองอะไรครับ?” ผมถามเพราะตอนนี้มือผมไม่ว่าง

“การ์ดเชิญงานแต่งงานน่ะ” แม่เปิดดูแล้วบอกเสียงแผ่ว  ผมนิ่งไปนิด  มือที่กำลังจะส่งถาดคุกกี้เข้าเตาอบชะงักไปนิดก่อนจะค่อยๆ วางถาดลงในเตาแล้วปิดฝา

งานแต่งงั้นเหรอ? คงมีอยู่แค่งานเดียวเท่านั้นแหละ

“งั้นเหรอครับ?” ผมถามเสียงเบา

“มีจดหมายแนบมาด้วยลูก  เขียนว่า...มาให้ได้นะเปอร์  พี่อยากให้เปอร์มางานแต่งของพี่นะจ๊ะ” แม่อ่านให้ฟัง  คงจะเป็นข้อความจากเจ๊เปรียวนั่นแหละ  ขอมาขนาดนี้ผมก็คงต้องไป  มันอาจจะเจ็บไปบ้างแต่มันอาจจะดีต่อการตัดใจของผมก็ได้

“งานวันไหนเหรอครับ?” ผมถามพลางถอดถุงมือออก

“อีกสองวัน  เปอร์จะไปไหมลูก  ถ้าไปไม่ได้เดี๋ยวแม่ฝากซองไปกับพี่ถังก็ได้นะ” แม่บอก  แม่คงไม่อยากให้ผมลำบากใจ

“ผมจะไปครับแม่” ผมบอกอย่างหนักแน่น

“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะ” แม่บอกพลางยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

“โธ่ แม่ครับ  แม่เห็นลูกของแม่เป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ  นี่ผมเปอร์นะครับ เข้มแข็งจะตาย” ผมยิ้มกว้างให้แม่ก่อนจะเดินไปกอดอย่างเอาใจระหว่างที่รอคุกกี้อบเสร็จ

“ลูกแม่เข้มแข็งที่สุดเลยจ้ะ” แม่กอดผมแล้วหอมซ้ายขวาอย่างเอ็นดู  ผมเองก็ยิ้มให้แม่อย่างจริงใจเช่นกัน  คงไม่มีใครทำให้ผมยิ้มได้อย่างจริงใจได้อย่างครอบครัวผมหรอก  ไม่มีใครเลยจริงๆ

 

ลมหายใจสม่ำเสมอดังแข่งกับเครื่องแอร์ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เงียบสนิทและโล่งสะอาด  กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยตลบอบอวลมาพร้อมกับสายยางและสายไฟฟ้าห้อยระโยงระยางเชื่อมร่างกายอ่อนแรงกับเครื่องมือทางการแพทย์เอาไว้ด้วยกันจนเกรงว่าคนที่ถูกเชื่อมสายเหล่านั้นจะอึดอัดเพราะขยับตัวไม่สะดวก

ร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงคนที่เข้ามาในห้องของตน  ขายาวๆ ถูกผ้าพันขยับไม่สะดวกนักเพราะถูกห้อยให้อยู่สูงอีกทีเนื่องจากขาหัก

“ไง...ดูกี่ทีก็ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างมึงจะอยู่ในสภาพแบบนี้” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นทำให้สายตาคมเฉียบตวัดไปมองคนพูดอย่างแค้นเคืองทันที

“แล้วใครล่ะที่วางแผนฆ่ากูแต่เสือกพลาด  ระวังไว้เถอะ...พลาดแบบนี้เดี๋ยวคนที่จะลงไปอยู่ในโลงก็เป็นมึงหรอก” เสียงเข้มแหบพร่าพูดออกออกมาลอดไรฟัน

“ปากเก่งจริงๆ นะ  แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นฝีมือกูล่ะ? อย่างมึงน่ะ มีศัตรูรอบด้านเลยนี่” คนมาเยี่ยมถามพลางยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย

“คนที่แค้นจนอยากให้กูตายมีอยู่เยอะ  หนึ่งในนั้นก็มึงด้วย  ถ้ากูตายก็จะมีหลายคนที่ได้ผลประโยชน์ไป  ส่วนมึง...ก็จะได้หัวใจกูไปใช่ไหมล่ะ?” ร่างบนเตียงพูดออกมาอย่างรู้ทันอีกฝ่าย

“ฮึๆ ก็รู้ดีนี่นา  แหม...กูไม่ได้อยากให้มึงตายซักหน่อย  แค่อยากสั่งสอน  กูเตือนมึงแล้วนี่ว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้หมอนั่น แต่ที่กูเห็นคือมึงทำงานกับหมอนั่นอย่างสนิทสนม  อุบัติเหตุครั้งนี้กูแค่อยากจะเตือนมึงก็เท่านั้น  ถ้ามึงยังทำงานกับมันต่อไป มึงน่าจะรู้ว่าคนที่จะลงไปอยู่ในโลง...คือใคร” เสียงทุ้มๆ พูดอย่างข่มขู่พร้อมกับมือเย็นๆ ที่วางทาบไว้บนลำคอหนา

“ถ้ามึงผิดคำสัญญา...ถ้ามึงแตะต้องหมอนั่นแม้แต่ปลายเล็บ...มึงลำบากแน่!” ชายหนุ่มร่างสูงกัดฟันพูดอย่างแค้นเคืองพลางพยายามสูดลมหายใจเนื่องจากอากาศเริ่มหายไปเพราะถูกบีบคอ

“ฮึๆ อย่างมึงยังกล้าขู่กูอีกเหรอ?” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นพร้อมกับเพิ่มแรงบีบที่ลำคอล่ำสัน  คนบนเตียงพยายามนิ่งเพื่อไม่แสดงความกลัวออกมาและเขาก็ไม่ได้คิดจะกลัวคนที่กำลังบีบคออยู่เลย

“สวะอย่างมึงกูจะจัดการตอนไหนก็ได้...” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาอย่างอึดอัด

“แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัว  กลัวว่าถ้าเมียมึงรู้ว่ามึงฆ่าคนตายมันจะรับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ฮึๆ  เฮ้อ น่าสงสารจังเลยนะ  รักเขาแทบตายแต่คว้ามาไว้ในมือไม่ได้” เจ้าของเสียงพูดเยาะๆ พลางค่อยๆ ปล่อยมือออกจากลำคอล่ำอย่างอ้อยอิ่ง

“ใช่ไหม? น่าสงสารเนอะ  รักแทบตายแต่คว้ามาไว้ในมือไม่ได้เหมือนคนอย่างมึงไง  รักกูแต่กูเกลียดมึง แต่ในกรณีของกูมันไม่น่าสมเพชเท่ามึงว่ะ  กูเลวเพื่อคนที่กูรักและเขาก็รักกู  แต่มึงชั่วเพื่อตัวเอง...คนเดียว!” ร่างสูงบนเตียงสูดลมหายใจหนักๆ เพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด

“ฮึๆ ปากดี  สภาพอย่างกับคนกำลังจะตายยังกล้าพูดแบบนี้อีกนะ  ไม่กลัวกูฆ่ามึงหรือไง?”

“กลัว? ฮ่าๆ กูไม่จำเป็นต้องกลัวคนอย่างมึง  กูจะบอกอะไรให้นะ...กูชั่วได้มากกว่ามึงหลายเท่าอีกนะไอ้อ่อนหัดแต่ที่กูไม่ทำเพราะกูไม่อยากให้มึงตกนรกทั้งเป็น  ระวังตัวเอาไว้นะ ถ้ามึงทำกูหมดความอดทนเมื่อไหร่ มึงจะเป็นคนแรก...ที่กูฆ่าตายด้วยมือของกูเอง” เจ้าของเสียงทุ้มกดเสียงตัวเองให้ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อขู่ให้อีกฝ่ายกลัวซึ่งอีกฝ่ายก็กลัวแต่ไม่แสดงออก

“เอาเถอะ  วันนี้กูแค่มาดูให้แน่ใจว่ามึงไม่ได้ตายเฉยๆ  ยังไงก็รีบๆ หายเพื่อมาปกป้องเมียมึงก่อนที่มันจะไปเป็นของคนอื่นล่ะ ฮึๆ” พูดจบร่างโปร่งก็เดินออกจากห้องด้วยใจที่ขัดเคืองทันที

ร่างสูงบนเตียงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างเจ็บปวด  ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่นึกถึงคนรักเขามักจะเจ็บปวดเสมอ  อุปสรรคขวากหนามที่มาขวางกั้นมันมากมายจนเขากลัว กลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาเขาจึงต้องถอยห่างออกมาเพื่อตัวของคนที่เขารักเอง

ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บที่ต้องทำตัวเลือดเย็น  ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเขาทำให้คิดถึงคนรักเสมอ  มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพความทรงจำจนอยากจะกลับไปกอดเพื่อให้หายคิดถึงแต่ครั้นเผลอใจไปเพียงนิด อีกฝ่ายก็ทำท่ารังเกียจเสียเต็มประดาจนเขาไม่อาจจะแตะต้องเพราะความละอายใจ  เขาอยากจะออกจากโรงพยาบาลไปจัดการคนเลวที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้จากนั้นก็ไปขอคืนดีกับคนรักเสียเหลือเกิน  แต่เขาในสภาพแบบนี้จะมีหน้าไปพบใครได้อีก

เหนื่อยเหลือเกิน...



38% left



 

ตอนเช้าของวันงานมงคลสมรสของเจ๊เปรียวผมไม่ได้ไปร่วมงานเพราะช่วงพิธีการแบบนั้นเขาคงอยากอยู่กันอย่างครอบครัว  ถ้าผมไปผมว่ามันต้องมีคนลำบากใจไม่มากก็น้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็คงมีพ่อกับแม่ของพี่ลุกซ์ที่ยังเอ็นดูผมอยู่แน่นอน  ผมไม่อยากไปทำให้พวกท่านลำบากใจที่ลูกชายตัวเองจะแต่งงานกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาคนที่เคยหมายหมั้นปั้นมือเอาไว้เพราะฉะนั้นผมจึงไปร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืนแทน

ผมเดินเข้างานไปพร้อมกับพี่ถังและพี่เคย์เนื่องจากพี่ๆ ทั้งสองมารับผมที่บ้าน  ผมไม่รู้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้นแต่วันนี้ผมรู้สึกโล่งๆ โปร่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่ผมควรจะอึดอัดจนแทบกระอักเลือดตายเพราะต้องทนเห็นภาพบาดตา  เอ๊ะ? หรือว่าผมตัดใจได้แล้ววะ?  อืม...อาจจะใช่ก็ได้มั้ง

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวไปไหนวะเนี่ย? ทำไม่ออกมาต้อนรับแขก?” ไอ้พี่ถังบ่นพลางชะเง้อคอมองหาเจ้าบ่าวเจ้าสาว

“เดี๋ยวนะ ไหนว่าไอ้คุณรุจิภาสป่วยหนักไง นี่หายทันวันงานแล้วเหรอ? สภาพจะเป็นยังไงวะ?” ผมกอดอกพลางพูดออกแนวเหยียดนิดๆ  ตอนแรกก็นึกเป็นห่วงอยู่หรอกครับแต่ไม่เห็นว่าจะเลื่อนวันงานแสดงว่าเขาคงไม่ตายง่ายๆ  แต่ก็แอบสมเพชเบาๆ แทนที่จะได้เป็นเจ้าบ่าวที่หล่อที่สุดในงานดันมาเป็นเจ้าบ่าวแขนด้วนซะได้

แขนด้วน...แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงนะ? เขาจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้หรือเปล่า? จะมีใครดูแลเขาไหมนะ? เฮ้อ คิดแล้วก็หดหู่  แต่...พอๆ อย่าไปสนใจคนพรรค์นั้นเลย  ต่อให้ขาขาดแขนด้วนผมก็จะสงสารเขาไม่ได้!!

...เพราะถ้าผมสงสาร ผมอาจจะกลับไปหาเขา ไปดูแลเขาก็ได้...

“หายแล้วล่ะ แต่ยังไม่สนิทดี  นอนป่วยมาเกือบเดือนแล้วนี่นา” พี่เคย์บอก

“แล้วเขา...เฮ้อ ช่างมันเถอะครับ” ผมกำลังจะถามถึงอาการของเขาแต่ผมก็ต้องรีบตัดความห่วงใยนั่นทิ้งก่อนที่ผมจะเผลอใจวกกลับไปหาเขาอีก

 

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรตลอดงาน  ผมเดินไปหลบมุมนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียวโดยไม่สนใจรอบข้างแต่ก็ได้ยินคนที่เดินผ่านไปมาเขาพูดถึงเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกัน  เห็นบอกว่าเจ้าบ่าวหล่อมากส่วนเจ้าสาวก็สวยมากเช่นกัน  มันก็น่าอยู่หรอก  เขาก็ดูหล่อสวยเหมาะกันดี

สักพักไอ้พี่ถังก็เดินมาเรียกผมไปร่วมโต๊ะทานอาหารเพราะตอนนี้เริ่มมีการเสิร์ฟอาหารกันไปแต่ละโต๊ะแล้ว  ระหว่างนั้นมีการแสดงดนตรีสดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศไปด้วย  พอทานข้าวเสร็จก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นมากล่าวคำยินดีกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว  ผมมองไม่เห็นหน้าทั้งคู่เลยครับเพราะพวกเขายืนอยู่ข้างล่างเวทีและหันหน้าเข้าเหมือนรับพรทำให้ผมเห็นเพียงแผ่นหลังของทั้งคู่  พี่ลุกซ์ดูแปลกตาไปนิดๆ หรือไม่ผมอาจจะคิดไปเอง

“สวัสดีค่ะทุกคนก่อนที่จะไปชมวิดีโอก่อนแต่งงานของดิฉันกับแฟน  ดิฉันมีอะไรอยากจะบอกกับคนคนหนึ่งค่ะ” หลังจากผู้ใหญ่อวยพรกันเสร็จเจ๊เปรียวก็เดินควงสามีขึ้นไปบนเวทีซึ่งเมื่อผมมองตามผมก็ต้องอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก “เปอร์...เจ๊ขอโทษนะที่ปิดบังมาโดยตลอด  แต่เจ๊กับลุกซ์เราไม่ได้รักกันมาตั้งแต่แรก  ที่เราแต่งงานกันเพราะเหตุจำเป็นและถูกกดดันจากผู้ใหญ่ฝ่ายเจ๊  เจ๊ไม่รู้ว่าเปอร์คบกับลุกซ์แต่ทันทีที่เจ๊รู้เจ๊กับลุกซ์ก็แอบไปหย่ากันเงียบๆ แต่แกล้งทำเป็นเหมือนยังเป็นคู่สามีภรรยาเพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่เอาเรื่อง  ที่เจ๊อยากให้เปอร์มาร่วมงานในวันนี้เพราะเหตุนี้แหละจ้ะ  ที่จริงลุกซ์ไม่อยากให้เจ๊บอกเรื่องนี้กับเปอร์แต่อึดอัดมากที่ต้องแกล้งทำเป็นรักกันกับลุกซ์และเจ๊ก็เสียใจที่เห็นเปอร์เสียใจ  เปอร์เหมือนน้องชายของเจ๊นะ  เจ๊รักลุกซ์กับเปอร์เหมือนน้องและไม่อยากจะทำให้น้องทั้งสองของเจ๊ทรมาน  สำหรับตัวลุกซ์...ทุกสิ่งที่เขาทำไปเพราะเขามีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ เจ๊ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไงแต่สิ่งเดียวที่เจ๊ต้องการคือ...อย่าทำเหมือนไม่รู้จักกันเลยนะ  กลับมาคืนดีกันได้ไหมเปอร์?” ผมนิ่งฟังเจ๊เปรียวพูดเสียยาว ตอนแรกเจ๊แกก็พูดดีๆ นั่นแหละครับแต่หลังๆ เสียงเจ๊แกเริ่มสั่นเหมือนคนจะร้องไห้จนสามีแกต้องกอดปลอบ

เมื่อเจ๊เปรียวพูดออกมาแบบนั้นคนในงานก็เริ่มมองหาคนที่ชื่อเปอร์กับลุกซ์  ไอ้พี่ถังที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมบีบมือผมแน่นขณะที่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป  สิ่งที่ได้ยินเหมือนเรื่องโกหก  เนื้อความต่างๆ ที่ถูกพูดออกมาเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาจนผมจับใจความอะไรไม่ได้  ผมงง สับสน และไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

“เคย์ พาไอ้เปอร์ออกไปก่อน  เดี๋ยวทางนี้กูเคลียร์เอง” พี่ถังหันไปบอกพี่เคย์ทำให้พี่เคย์ต้องลุกขึ้นแล้วรีบพาผมเดินออกจากงานทันทีโดยไม่สนใจสายตาของใคร

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพี่เคย์?” ผมที่เริ่มปรับอารมณ์ได้หลังจากถูกพี่เคย์ลากออกมาที่สวนของโรงแรมเพื่อสงบสติอารมณ์

“เปรียวนะเปรียว  ไม่รู้จะรีบพูดทำไม” พี่เคย์บ่นพึมพำ

“มันคืออะไรกันแน่! ผมงงไปหมดแล้ว” ผมคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด  ไม่ได้หงุดหงิดพี่เคย์แต่หงุดหงิดที่ตัวเองไม่รู้และไม่เข้าใจอะไรซักอย่างทั้งๆ ที่เรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับตัวผมเอง

“ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะเปอร์  พี่จะบอกให้ก็แล้วกันว่าที่ไอ้ลุกซ์มันแต่งงานกับเปรียวเพราะเปรียวท้อง  โอเค เปรียวท้องกับไอ้ลุกซ์แต่ไม่ใช่วิธีธรรมชาติ  คือเปรียวเจอกับอลันแฟนของเปรียวที่นิวซีแลนด์เพราะอลันไปประจำการที่นั่น  พอทำงานครบกำหนดอลันก็เลยต้องกลับมาที่อเมริกาที่เป็นประเทศบ้านเกิดของเขา เปรียวที่เรียนจบพอดีเลยกลับมาด้วย  ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันและอยากจะมีลูกแต่อลันเป็นหมันเปรียวก็เลยมาขอให้ไอ้ลุกซ์ช่วยบริจาคน้ำเชื้อมันก็เลยช่วย แต่พอเปรียวติดลูก ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันจนเลิกกัน  เปรียวหนีกลับมาเมืองไทยโดยที่ท้องไม่มีพ่อ  พ่อเปรียวโกรธมากเลยจะให้ลุกซ์มารับผิดชอบ  เปรียวค้านแล้วแต่ผู้ใหญ่เขาไม่ยอมจริงๆ ไอ้ลุกซ์ก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเพราะลูกในท้องเปรียวเป็นลูกของมันจริงๆ  มันไม่กล้าบอกเปอร์เพราะกลัวเปอร์รับไม่ได้แต่ก็พยายามหาทางแก้ไขมาโดยตลอดจนสุดท้ายมันตัดสินใจบอกเปรียวว่าเปอร์เป็นคนรักของมัน  เปรียวโกรธมากก็เลยซัดมันไปสองหมัดโทษฐานที่มันทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ผิดจนทำให้เปอร์ต้องเสียใจ  จากนั้นทั้งคู่ก็แอบไปหย่ากัน” ผมนั่งฟังพี่เคย์เล่าไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรเพราะกำลังซึมซับเรื่องราวทั้งหมดเข้าไปประมวลผลในสมอง

“...”

“แต่การหย่ากับของทั้งคู่ก็ไม่ราบรื่นเพราะหลังจากที่หย่าพ่อของเปรียวก็ระแคะระคายและตามรังควานไอ้ลุกซ์ไม่เลิก  เปรียวกับลุกซ์เลยต้องทำเป็นเหมือนคนรักกัน  เปรียวไปอยู่อเมริกากับพี่และไอ้ลุกซ์เพื่อไม่ให้ใครสงสัย  เปรียวไปเจอกับแฟนเก่าโดยบังเอิญแต่ทั้งคู่ก็ยังทะเลาะกันรุนแรงเหมือนเดิม  เปรียวไม่อยากกลับไปคืนดีกับทางนั้นก็เลยหนีไปพักร้อนและไปคลอดโดยไม่บอกใครส่วนไอ้ลุกซ์ก็โหมทั้งเรียนทั้งทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนเพราะอยากจะรีบเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบๆ ไป  มันไม่ติดต่อใครและไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวเปอร์ล้มละลาย  มันเพิ่งมารู้ตอนที่กลับมาทำงานที่ไทย  มันเสียใจมากที่ไม่ได้มาอยู่ข้างๆ เปอร์เพราะถูกพ่อของเปรียวจับตามองอยู่ตลอด  ตอนแรกมันไม่สนใจหรอกว่าพ่อของเปรียวจะทำอะไรถ้ามันหย่าแต่พ่อของเปรียวถือหุ้นในบริษัทมากพอสมควรถ้าถอนหุ้นไปบริษัทอาจจะล้มก็ได้  พ่อเปรียวเอาจุดนี้ไปขู่พ่อของไอ้ลุกซ์ทำให้มันต้องยอมถอยห่างจากเปอร์มันเลยประชดชีวิตโดยการเรียนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้างของตัวเอง  มันเครียดจนป่วยเลยล่ะ” พี่เคย์พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเนิบๆ น่าฟัง  ผมก็นั่งฟังไปเพลินๆ

“ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ  ผมเข้าใจว่าเขาทำเพื่อครอบครัวของตัวเองและทำเพื่อผม  แต่สิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจคือทุกครั้งที่เขามีปัญหาทำไมเขาไม่เคยคิดจะบอกผม  เขาเห็นผมอ่อนแอทำอะไรไม่เป็นเลยไม่คิดจะบอกงั้นเหรอ?  นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมกับเขาไปกันไม่รอด” ผมพูดพลางส่ายหน้าไปมา

พี่ลุกซ์คนเดิมของผมยังไม่ตายจริงๆ ด้วย  แต่เพราะเขาเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนมันเลยทำให้ใจผมตายอย่างช้าๆ จนตายอย่างสนิท  สิ่งเดียวที่ผมอยากให้เขาเปลี่ยนไม่ใช่ความโหดร้ายหรืออารมณ์รุนแรงของเขาแต่เป็นความปากหนักต่างหาก  ผมไม่รู้ว่าเหตุผลที่เขาไม่บอกมันคืออะไร  อาจจะเป็นเพราะผมไม่น่าพึ่งพาหรือเพราะเขาไม่อยากให้ผมคิดมากแต่การที่เขาไม่ยอมบอกอะไรเลยมันทำให้ผมกลายเป็นคนโง่! เป็นคนไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไรกับใครเขาเลย ซึ่งในจุดนั้นผมรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้เขารักผมมากแค่ไหน หรือต่อให้ผมรักเขาจนแทบขาดใจแต่เราก็คงเข้ากันไม่ได้อยู่ดี  เขาทำร้ายผมด้วยน้ำมือของเขาเอง  ผมกลัวการที่ต้องเสียใจเพราะเขาเหลือเกิน

ผมพอแล้วล่ะ...พอแล้ว  ผมเหนื่อยเหลือเกิน

“เปอร์ มันไม่ดีที่ไม่ยอมบอกอะไรเปอร์เลย  พี่ก็ไม่ดีที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดแต่พี่ไม่อยากทำให้บริษัทมันเดือดร้อนเพราะความปากพล่อยของพี่  พ่อของเปรียวอยากให้ลุกซ์แต่งกับเปรียวเลยงัดทุกวิธีเพื่อที่จะให้ทั้งคู่แต่งงานกันให้ได้  แต่พออลันมาง้อเปรียวถึงไทยและไปคุยกับทางบ้านของเปรียวพ่อเปรียวเลยยอมแต่โดยดีเพราะพ่อไอ้ลุกซ์เองก็ไปคุยกับพ่อเปรียวเพื่อช่วยเหมือนกัน  ไหนๆ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็เผยออกมาแล้ว  เปอร์จะยังรู้สึกเหมือนเดิมกับไอ้ลุกซ์ไหม?” พี่เคย์ถาม

“ไม่แล้วล่ะครับ  เขามีเหตุผลของเขาแต่เขาทำให้ผมเข็ดกับการที่ต้องอยู่กับเขา  ผมไม่มีใจจะกลับไปคืนดีหรือไปมีใครอีกแล้ว  ผมอยากอยู่ของผมอย่างนี้  อยู่กับครอบครัวแบบนี้โดยไม่ต้องรักใครเลย  ผมอยากได้แค่นี้จริงๆ” ผมยกมือขึ้นกุมขมับแล้วนวดเบาๆ ผมไม่อยากได้คนรักอีกแล้วจริงๆ  มันเหนื่อยจริงๆ นะครับ ผมเหนื่อยกับการที่ต้องอยู่โดยไม่รู้อะไร  เหนื่อยกับการอยู่อย่างอึดอัด  ตอนนี้สภาพจิตใจผมมันตกต่ำยิ่งกว่าฐานะการเงินของผมซะอีก  ผมไม่พร้อมที่จะเปิดใจให้ใครอีกแล้ว  มันอาจจะเจ็บปวดมากเพราะผมยังรักเขาอยู่แต่ถ้าเจ็บแล้วจบมันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ  เจ็บให้มันสุดๆ แล้วจากนั้นผมคงจะดีขึ้นเอง

“อืม...พี่คงบังคับใจเปอร์ไม่ได้  อ้อ แล้วก็นะ ที่พี่บอกว่าไอ้ลุกซ์ต้องตัดแขนน่ะพี่โกหก  ตอนนี้มันยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เลย  สภาพภายนอกมันโอเคแล้วแหละเหลือแต่อาการขาหักแต่สภาพภายในมันต้องใช้เวลาอีกซักระยะ  เปอร์ห่างมันไว้นั่นแหละดีแล้วเพราะตอนนี้มันมีศัตรูรอบด้าน  มีหนอนบ่อนไส้ที่ยังจับไม่ได้ มีคู่แข่งทางการค้าและมีศัตรูที่มันเคยสร้างไว้ในอดีตอีกมาก  ถ้าเปอร์ไปอยู่ข้างๆ มันเปอร์อาจจะโดนหางเลขไปด้วย” พี่เคย์บอกและนั่นก็ทำให้ผมหนักใจอีกครั้ง  ผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ  ถึงจะเคยบอกไปว่าต่อให้เขามาตายตรงหน้าผมก็ไม่รู้สึกอะไรแต่แค่ผมได้ยินสิ่งที่พี่เคย์บอกผมก็เป็นห่วงเขาซะแล้ว 

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากรักเขา  เขามีปัญหาทีไรเขามักจะกีดกันผมออกไปจากชีวิตของเขาทุกที  คนรักกันต้องช่วยกันฝ่าฟันไม่ใช่รึไง  เขาเจ็บ ผมก็จะเจ็บเป็นเพื่อน  เขาเหนื่อย ผมก็พร้อมที่จะเหนื่อยไปด้วย  เขาเครียด ผมก็จะเครียดไปกับเขา  แต่เขาไม่เคยให้ผมได้ทำหน้าที่คนรักที่ดีเลยซักครั้งผมก็เลยเลือกที่จะเลิกเป็นคนรักของเขาซักที  ผมรู้ว่าเขามีภาระมากมายที่ต้องดูแล ไม่ได้มีแค่ผมเพราะฉะนั้นผมเข้าใจและพร้อมที่จะสนองความต้องการของเขา

“ครับ ผมจะไม่เข้าใกล้เขาถ้าไม่จำเป็น” ผมตอบรับ  ความจำเป็นเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ผมเข้าใกล้เขาก็คือเรื่องงานเท่านั้น

“เปอร์ พี่อยากให้เปอร์เข้าใจมันนะ  ตอนนี้มันมีภาระเยอะแยะมากมายที่ต้องดูแล  มันเพิ่งเป็นประธานและต้องเรียนรู้งานอีกมากทำให้มันไม่มีเวลาที่จะดูแลเปอร์เลย  การทำตัวให้ห่างอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด” พี่เคย์อธิบาย

“ผมรู้พี่เคย์  ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ  และผมก็เข้าใจแล้วว่าผมกับเขาไปกันไม่รอด  เขามีปัญหาเยอะมากพออยู่แล้ว ผมเองก็มีปัญหามากจนไม่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ เขา  เราต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน  จากกันคือทางออกที่ดีที่สุด  ผมเข้าใจ” ผมพูดออกมาอย่างอัดอั้น  ผมคงไม่กลับไปหาคนอย่างเขาอีกแล้วล่ะ  ผมขออยู่คนเดียวไปตลอดดีกว่า

“พี่ไม่อยากให้เปอร์กับมันเลิกกันเลย” ในที่สุดพี่เคยก็พูดสิ่งที่ต้องการออกมา

“โธ่พี่เคย์  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแหละครับ  ผมทำใจได้แล้วล่ะ” ผมยิ้มให้พี่เคย์นิดๆ

“เฮ้อ แล้วแต่เปอร์เลยละกัน  แล้วนี่จะเอายังไงต่อ? กลับบ้านหรือเข้างาน? พี่คิดว่าเปรียวคงอยากอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เปอร์ฟังนะ” พี่เคย์ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“งั้นผมขอไปฟังคำอธิบายจากเจ้าสาวคนสวยก่อนดีกว่าครับ” ผมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจเบาๆ แล้วเดินกลับเข้างานพร้อมกับพี่เคย์


 

++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา