ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

88) บทที่ ๘๘: ความฝันระหว่างทางไปเชียงใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๘๘
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความฝันระหว่างทางไปเชียงใหม่
                ศรีออกจากห้องไปเพื่อบอกข่าวกับกับทุกคน เมื่อเดินลงมาข้างล่างแล้วอสุราที่เดินผ่านมาพอดี สังเกตว่าดวงตาของศรีกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปกอดก่อนจะเอ่ยด้วยความยินดี
                “ศรี! หนูได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วนี่ไปผ่าตัดตอนไหน? พี่ไม่เห็นหนูออกไปข้างนอกเลยนี่?” ศรีตอบพร้อมกับยิ้ม “คือ… ผู้อาวุโสนำมาให้ ท่านเพียงแค่นำลูกตาใส่เบ้าตาหนูแล้วมันก็เชื่อมต่อเองค่ะ” น้ำเสียงนั้นมีความดีใจและไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก อสุราเบิกตาด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อเช่นเดียวกับศรี
                “ผู้อาวุโส? …มาตั้งแต่เมื่อไหร่… แล้วเอาตามาได้อย่างไรกันนะ” อสุราพึมพำถามเบาๆ ศรีรู้ว่าอสุราไม่ต้องการคำตอบเลยทำได้เพียงยิ้มให้ คนอื่นที่จะได้ยินเสียงอสุราแว่วๆ ก็เดินมาหาด้วยความสงสัย พอพวกเขาสังเกตเช่นเดียวกับเธอ เรือนนี้ก็พลันเต็มไปด้วยเสียงถามกัน แสดงความยินดีที่ศรีได้ดวงตาคืนกลับมา พ่อกับแม่ของทั้งสองคนมาเห็นก็แสดงความยินดีด้วย
               
                เย็น
                ศรีกับธันนะมาเดินเล่นในบริเวณหลังเรือนไทยที่ปลูกพืชไว้ ศรีหยิบบัวรดน้ำมารดต้นไม้บางต้น น้ำที่ไหลจากบัวรดน้ำนั้นถูกแสงแดดกระทบจนเกิดเป็นประกายแวววับ หยดน้ำที่เกาะตามใบและกลีบนั้นเปล่งประกายเช่นเดียวกันราวกับอัญมณี ธันนะมองเธอรดอยู่เงียบๆ เผลอนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาช่วยเธอไว้ตอนไปกรุงเทพฯ
                เธอคงจะลืมไปแล้วล่ะ
                เขาสรุป กระนั้นในใจก็ยังมีความหวังริบรี่ว่าศรีจะยังพอจำอยู่ได้บ้าง เขาอดคิดไม่ได้ว่าความทรงในครั้งนั้นจะสร้างสายสัมพันธ์ได้ แต่ก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เพราหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ เหตุการณ์ก็เข้ามามากมายจนสามารถกลบความทรงจำบางส่วนให้ลืมไปด้วย ศรียืดร่างขึ้นเมื่อรดน้ำเสร็จแล้วก่อนจะหันไปกล่าวกับธันนะพร้อมกับรอยยิ้ม
                “มานั่งคุยกันหน่อยไหมจ๊ะ? อยู่ที่มิติผกายนายไม่ค่อยคุยกับฉันและเพื่อนคนอื่นๆ เลย” กล่าวจบศรีก็กวักมือเป็นเชิงว่าให้ตามไป เธอเดินมานั่งบนชิงช้าไม้แล้วตามด้วยธันนะ แม้เธอจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสม แต่เธอรู้สึกไว้ใจและคิดว่าถ้าป้องกันตนเอง ไม่นั่งใกล้จนเกินไปก็คงไม่เป็นอะไร
                “จะกลับบ้านเลยไหม? ฉันจะได้ติดต่อพ่อแม่ของนายให้มารับหรือจะให้พ่อแม่ฉันไปส่งก็ได้นะ”
                “ฉันไม่มีพ่อแม่หรอกนะ ฉันกลับเองก็ได้” ศรีเผลอจ้องธันนะโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองจ้องอีกฝ่ายก็รีบกลับมามองตักตนเอง “ฉันเสียใจด้วยนะ… ขอโทษจริงๆ จ้ะ” ศรีกล่าวด้วยรู้สึกผิดจากใจจริง ธันนะรู้สึกได้จากน้ำเสียง แววตาและสีหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดโดยไม่มีการแสแสร้ง เขาทราบว่าทำไมเธอถึงรู้สึกอย่างนั้นเลยส่ายหน้าเล็กน้อย
                “ไม่เป็นไรหรอก”
                “ขอบคุณนะ… ส่วนเรื่องที่จะกลับให้พ่อแม่ฉันไปส่งดีกว่า จากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ไม่ได้ใกล้ๆ นะ อีกอย่างอันตรายด้วย”
                ศรีกล่าวด้วยความเป็นห่วง ธันนะถอนหายใจเพราะคาดไว้อยู่แล้วว่าศรีจะไม่ยอมและไม่อยากเถียงกับเธอให้มากความ เลยพยักหน้าเป็นเชิงว่าตกลง เห็นดังนั้นแล้วศรีก็ยิ้มด้วยความดีใจ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก ศรีมองท้องฟ้าที่เป็นสีส้ม แดง ชมพู ม่วง อย่างเพลิดเพลิน สิ่งต่างๆ ที่อยู่บนผืนดินนี้ล้วนถูกย้อนแสงจนเห็นเงาสีดำ ทำให้รู้สึกเหมือนฉากหลังละครเวที เสียงนกร้องที่กำลังกลับรัง และแมลงที่เตรียมออกหาค่ำดังมาเป็นระยะๆ ธันนะมองใบหน้าด้านข้างของศรี ราวกับว่าหากมองแบบนี้จะสามารถส่งความทรงจำไปได้ ศรีไม่รู้ตัว เธอยังคงหลับตาเบาๆ พร้อมกับยิ้มด้วยความอิ่มเอมในบรรยากาศแบบนี้โดยไม่รู้สึกว่าธันนะกำลังมองเธออยู่ เวลาล่วงเลยไปจนท้องฟ้าเริ่มมืด ธันนะก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยทำลายความเงียบ
                “ศรี …เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า?” ธันนะถามโดยพยายามไม่ให้ศรีเอะใจว่าเขามีความในใจบางอย่าง ศรีลืมตาที่เริ่มจะปิดสนิทเพราะเคลิ้มแล้วตอบ “…ก็ ฉันว่าไม่นะจ๊ะ”
                “เช่นนั้นเหรอ?” ธันนะถาม เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ฟังดูปรกติที่สุด ซึ่งก็ได้ผลเพราะท่าทางของศรีไม่สงสัยในตัวเขาเลย เธอกลับไปหลับตาดังเดิม ดื่มดำกับบรรยากาศยามเย็นในบริเวณเรือนไทย ปล่อยให้ธันนะนั่งทำหน้ากลุ้มด้วยความหวังที่แทบจะเป็นสูญแล้ว คิดในใจว่าถึงตอนนี้เธอจะจำไม่ได้แต่ในอนาคตอาจจะมีสักวันที่เธอคงจะเผลอนึกได้
                ก็คงต้องรอต่อไปสินะ
               
                กลางคืน
                ศรีกับธันนะเดินบนบันใดขึ้นเรือนไปเมื่อเห็นว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว ดวงจันทร์ฉายแสงอย่างอ่อนโยน รายล้อมด้วยดาวดวงอื่นราวกับเป็นบริวารที่ไม่อาจทัดเทียม เปล่งประกายระยิบระยับ ศรีหยุดเดินแล้วหันไปมองท้องฟ้าอันงดงาม …เป็นความงามที่น่าพิศวงนัก
                เมื่อมาถึงก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแต่ไกล ทั้งสองคนคิดว่าแม่ของเธออาจจะเป็นคนทำอาหาร พงสณะ แววไพรและอสุราแผ่รังสีสังหารมาแต่ไกลเมื่อพบว่าศรีกลับมาพร้อมกับธันนะหลังจากที่หายไปตั้งแต่เย็น ทำให้ทั้งสามคนอดคิดไม่ได้ว่าไปทำอะไรกันมา ถึงจะรู้ดีว่าศรีไม่ใช่บุคคลประเภทที่ทำเรื่องอย่างว่า แต่ถ้าธันนะก็ไม่แน่ ยิ่งรู้จักกันยิ่งไม่น่าไว้ใจ อสุราเป็นคนถามขึ้นคนแรก
                “ศรี ไปกับธันนะทำอะไรเหรอ?”
                “นั่งเล่นน่ะค่ะ เห็นเขาดูไม่ค่อยร่าเริงเลยพาไปเปลี่ยนบรรยากาศหน่อย เผื่อจะดีขึ้นค่ะ” ศรีตอบพร้อมยิ้มอย่างสดใส ไม่ได้เอะใจเลยว่าพี่สาวของตนเองถามไปทำไม ก่อนที่จะเดินไปทางอื่นโดยมีธันนะตามไปด้วย ทั้งสามคนที่ยังอยู่ก็มองตามไปโดยไม่ละสายตาจนกระทั่งลับตาไป
                “หมอนี่มันร้ายเงียบชัดๆ” พงสณะเอ่ยขึ้นเบาๆ เพราะเกรงว่าทั้งสองคนจะเผอิญได้ยิน แววไพรพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะกล่าว “นั่นน่ะสิ แหม เห็นทำเป็นไม่สนใจแต่ที่จริงหวังงาบศรีตอนเผลอล่ะสิ” พอเธอกล่าวจบทั้งสามคนก็มองกันไปมาทั้งๆ ที่ปรกติแทบจะไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำ
                ดวงตาสีดำทั้งสามคู่ประสานกันราวกับว่าอ่านใจได้ และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อนึกอะไรขึ้นได้
                …สงสัยคราวนี้ทั้งสามคนต้องลงเรือลำเดียวกันกระมัง …ก็ศัตรูหัวใจเพิ่มมาแล้วนี่ ฉะนั้นแล้วต้องรีบกำจัด
 
                วันอังคารที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
                เช้า
                อรุณนี่สดใสมากขึ้นเมื่อมีเสียงสนทนาและหัวเราะอย่างร่าเริง ทุกคนต่างยกสัมภาระก่อนจะขึ้นรถตู้ ต่างคนต่างจับจองที่นั่งกัน โดยเฉพาะพงสณะ แววไพรและอสุราที่เถียงกันเพราะอยากนั่งข้างๆ ศรี จนพ่อของศรีเห็นท่าไม่ดีเลยต้องจัดที่นั่ง โดยให้อสุรามานั่งช่วงหน้า ส่วนแววไพรกับศรีนั่งช่วงหลังตรงฝั่งขวา เฉาก๊วยกับธันนะนั่งฝั่งซ้าย ส่วนพงสณะยกเบาะที่ยึดกับเบาะตรงที่ศรีนั่งอยู่มานั่งทำให้ปิดทางเดินตรงกลาง ศรีถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เพราะนึกว่าจะได้นั่งอย่างสงบกับแววไพร ส่วนแววไพรเองก็ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
                “ศรี ถ้าเกิดกลับจากเชียงใหม่ต้องไปค้างบ้านฉันด้วยนะ” พงสณะเอ่ยขึ้น ศรีส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ได้ทีไหนกันล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ไปค้างบ้านผู้ชายมันไม่ดี”
                “อะไรกัน อยู่ภายใต้ความดูแลพ่อแม่ฉันไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก”
                “ยังไงก็ไม่ดีนั่นแหละ” ศรียังคงปฏิเสธ พงสณะเห็นว่าเธอยังคงยืนยันอย่างนั้นก็เลยได้แต่ทำใจเงียบๆ พักหนึ่ง …อย่างน้อยไปเที่ยวที่ชลบุรีแล้วให้เขานำเที่ยวก็ยังดี
                ศรีหยิบโทรศัพท์สีดำขึ้นมาพร้อมกับหูฟัง มาเสียบหูข้างขวาของเธอและหูข้างซ้ายของแววไพร ก่อนจะเปิดเพลงฟัง …ไม่สิ ต้องกล่าวว่าเป็นดนตรีจะถูกกว่า เพราะที่เธอฟังอยู่เป็นเสียงเครื่องดนตรีพิณเพี๊ยะ …ท่วงทำนองช้าๆ ทว่ากังวาน ลื่นหูราวกับเสียงน้ำทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นก่อนหน้านี้สงบขึ้น หลับตาที่ปวดแสบเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศด้านบนนั้นให้หาย ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แววไพรที่เห็นว่าศรีหลับแล้วก็แอบดึงแก้มเบาๆ อย่างเอ็นดู
                ถ้าเกิดได้อยู่สองต่อสองก็ดีสิ
                “…หลับแล้ว”
                พงสณะพึมพำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วถ่ายศรีอย่างร้อนรนเพราะเกรงว่าเธอจะรู้สึกตัวก่อน แววไพรเห็นดังนั้นจึงคว้าโทรศัพท์เขาอย่างรวดเร็วและกดลบรูปภาพศรี เลื่อนหน้าจอผ่านไปก็มีแต่รูปของศรี แทบจะทำให้เธอกรีดร้อง ด้วยความหึงหวงในตัวเด็กหญิงที่หลับอยู่ แววไพรกดลบรัวๆ จนพงสณะต้องรีบคว้ากลับมาเพราะกลัวว่ารูปศรีที่อุตส่าห์หามาและถ่ายได้จะหายไปหมด
                “ทำบ้าอะไรของเธอ!” พงสณะกระซิบถาม ไม่อยากให้ศรีตื่น แววไพรแสยะยิ้มก่อนจะตอบ “ตาบอดรึ ฉันก็ลบรูปศรีไง” พงสณะกัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาละความสนใจจากแววไพรมาเล่นเกมในโทรศัพท์ แววไพรเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เถียงอะไรก็กลับไปนั่งอย่างสงบดังเดิม
                ธันนะกับเฉาก๊วยมองทั้งสามคนเงียบๆ เฉาก๊วยยิ้มด้วยความขบขันในใจ ธันนะถอนหายใจแล้วหันไปมองวิวทิวทัศน์ภายนอก เฉาก๊วยมองอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น
                “ไม่คุยกับฉันหน่อยเหรอ?” ธันนะหันมามองเฉาก๊วย คิดว่าอีกฝ่ายนั้นปรกติก็เล่นกับคนอื่นไม่ก็คุยตลอด เห็นว่าพอเขาเงียบไปเลยอดจะชวนไม่ได้กระมัง เฉาก๊วยเองก็เป็นไปตามที่ธันนะคิดจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งที่มากกว่านั้นคือ ธันนะไม่ค่อยคุยกับใครเลย เฉาก๊วยก็เลยอยากคุยหรือเล่นด้วยจะได้สร้างความสัมพันธ์ไว้ ธันนะเงียบไปนานจนเฉาก๊วยเกือบจะถามอีกรอบ
                “ไม่ล่ะ”
                “น่านะ นายไม่พอใจฉันเหรอ? หรือว่าฉันทำตัวน่ารำคาญ?” เฉาก๊วยยังคงพยายามต่อไป “เปล่า แค่ไม่มีอะไรจะคุยน่ะ”
                “เช่นนั้นแล้ว เรามาทายโจ๊ก[1]กันไหม?”
                “ทายโจ๊ก… อย่างนั้นก็ได้”
                “เอาล่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่านายเคยได้ยินหรือเปล่า เพราะที่ฉันจะทายดูมาจากอินเทอร์เน็ตน่ะ ตั้งใจฟังล่ะ” ธันนะพยักหน้า เขาเตรียมฟังอย่างตั้งใจ เฉาก๊วยเห็นว่าพร้อมแล้วจึงเอ่ย
                “ไร้ตนยลไม่เห็น
          กับประเด็นเหม็นไปหมด
          พีแขกมิแปลกพจน์
          โศกสลดรันทดทรวง”
          ธันนะยิ้มมุมปากครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
                “คำตอบก็คือ…”
 
                ศรีลืมตาขึ้นในความมืด พบว่าเบื้องล่างเธอนั้นคือเลือดที่ท่วมสูงขึ้นมาจนถึงเข่า ส่งกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน มีดอกบัวสีขาวที่ไม่อาจทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรในเลือด เบ่งบานดูบริสุทธิ์ช่างขัดกับเลือดที่ดูมลทิน โซ่หลายเส้นที่เธอคาดว่าเกินกว่าพันนั้นห้อยโยงรยางค์ สนิมขึ้นจนออกเป็นสีแดงและน้ำตาล รอบด้านมืดแต่ก็ยังมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนจนน่าแปลกใจ
                ครั้นพอเธอจะขยับก็ถูกบางสิ่งบางยังตรึงไว้ หันไปมองก็พบว่าข้อมือและเข้าเท้าทั้งสองข้าถูกโซ่ขึ้นสนิมเขรอะพันธนาการไว้ ศรีเห็นดังนั้นจึงพยายามดึงโซ่ออก ช่างน่าเสียดายนักที่มันไม่ได้พันกันหรือผนึกด้วยแม่กุญแจ เพราะมันเกี่ยวด้วยกัน และด้วยความที่มันหนาและฝืดเพราะผ่านการใช้งานนานแล้วทำให้ยากที่จะแงะออก เธอพยายามอยู่นานแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เสียที ในที่สุดก็ยอมแพ้ เธอนั่งบนหินที่ราบขรุขระเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองตัก ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เพราะความหวังที่เริ่มริบหรี่ มาคิดอีกทีว่าตนเองอาจจะอยู่ในความฝัน เธอเลยนั่งเฉยๆ เพื่อรอให้ตนเองตื่น
                เคว้งคว้างจัง…
                เงียบสนิท… ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข้ามา เว้นแต่โซ่ที่เสียดสีจนดังอย่างฝืดๆ
                “ที่นี่คือที่ไหน” เธอถามเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียง ในใจก็เพ้อไปว่าอาจจะมีใครสักคนอยู่ก็ได้ …แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อมีใครบางคนตอบเธอ
                “นรก…”
                ศรีเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็นหญิงสาวผมหยักศกช่วงปลาย ยาวถึงเข่า ศีรษะนั้นมีเขาเฉกเช่นกระทิงโค้งยาวเข้าหากัน ห่มตะเบงมานและนุ่งโจงกระเบนสีแก่ รองเท้าปลายหน้าโค้งนั้นหุ้มสูงขึ้นมาถึงเข่าเป็นเหล็กเกราะ สลักลายไทยวิจิตร เกราะมือและแขนก็เช่นกัน มือข้างซ้ายถือตรีศูลขนาดยาว ดวงตาสีดำนั้นมีรูม่านตาสีแดง ริมฝีปากซีดขยับเอ่ยขึ้นเบาๆ
                “…หวังว่าชาตินี้จะมิสร้างกรรมเป็นครั้งที่สอง” ศรีมองใบหน้าขาวซีดนั้นด้วยความไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไรคะ?”
                “…สักวันเจ้าก็จะเข้าใจเอง …ตระหนักถึงบาปของตนเองไว้เสียเถิด” กล่าวจบร่างหญิงสาวก็สลายร่างไปเป็นเลือดสีดำ ไหลลงไปรวมกับเลือดในหนองก่อนจะสลายหายไป ศรีเบิกตาด้วยความตกตะลึง รู้สึกหวาดกลัวและขนลุกขึ้นมา ริมฝีปากสีนวลนั้นเริ่มซีด ขยับเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
                “…ฉัน… ไปทำกรรมอะไรไว้กันแน่”
 
 
[1] ทายโจ๊ก คือ  การเขียนปริศนาเป็นคำประพันธ์ตามที่ตนเองถนัดขึ้นมาให้ผู้สนใจได้ทายกัน  ไม่ว่าคำประพันธ์ชนิดนั้นจะเป็น  โคลง  ฉันท์  กาพย์  หรือกลอน  ก็ได้  จากการเล่นกันในวัดเพราะพระภิกษุสามเณรไปรับการถ่ายทอดมาจากกรุงเทพมหานครเมื่อครั้งไปเรียนพระปริยัติธรรมในสมัย  รัชกาลที่  5  แล้วจึงถ่ายทอดโดยครูอาจารย์เข้าไปในโรงเรียนในสมัยรัชกาลที่  6  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เดิมทีเดียวมิได้มีรูปแบบอย่างที่เห็นเล่นกันอยู่อย่างทุกวันนี้  โจ๊กเมืองชล  ได้รับการพัฒนามาจาก  โคลงทาย  สมัยรัชกาลที่  5  ก่อน  ต่อมาถึงปลายรัชสมัยนี้เองได้มีผู้นำเอา  ผะหมี  ซึ่งเป็นการทายปริศนาของจีน  มาเผยแพร่ที่ย่านสำเพ็งในเขตกรุงเทพมหานคร  จึงมีการเอาอย่างโดยการดัดแปลงมาเป็นภาษาไทยใช้คำประพันธ์ไทย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา