ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
89) บทที่ ๘๙: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๖
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๙
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๖
“นั่งก่อนสิ” หนูพยายามยิ้มให้ดูปรกติที่สุดก่อนจะเชิญให้อสุเรนทร์นั่ง เขาพยักหน้าก่อนจะนั่งลงตาม บรรยากาศไม่ค่อยจะดีมาตั้งแต่ที่ทราบว่าเขามาแล้ว เฉาก๊วยที่สีหน้าตอนนี้เริ่มจะดุดันก็พยายามยิ้มเช่นเดียวกับหนู ตบมือดังแปะๆ ก่อนจะกล่าว
“เอาล่ะๆ หลายๆ คนก็สนุกดีนะ ฮ่ะๆๆ”
ลิลลี่มองเฉาก๊วยสลับกับหนูและคนอื่นๆ ด้วยความฉงน สงสัยคงจะคิดว่าทำไมสีหน้าพวกเขาถึงดูเครียดๆ เธอคิดว่าคงมีเรื่องส่วนตัวอะไรสักอย่างเลยทำเป็นไม่สนใจกระมัง จึงยกแก้วน้ำที่ใส่น้ำอัดลมมาดื่ม หลังจากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาสดใสเพราะบางคนก็เริ่มมาสนใจกับงานฉลอง สนทนากันอย่างขบขันและสนุกสนานตามประสานักเรียนที่นานๆ ที่จะได้อยู่ทานกันเป็นกลุ่ม หนูมองแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากให้เวลาหยุดเพียงเท่านี้ …แต่ก็เป็นได้เพียงฝันลมๆ แล้งๆ นั่นแหละนะ
หลังจากนั้นเลยไป ๑ ชั่วโมงเล็กน้อย เพื่อนๆ ก็เริ่มออกจากห้องไปเพื่อที่จะไปเล่นกับห้องอื่นและทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เฉาก๊วยกับลิลลี่ก็เช่นกัน ทั้งสองคนไปชั้นล่างสุดเพื่อแย่งลูกโป่งและขนมมาทาน นักเรียนบางคนวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน เต้น ร้องเพลงตามเพลงที่ทางโรงเรียนเปิด ละอองน้ำออกจากที่ฉีดลอยละล่องไปทั่ว บางคนฉีดลงมาเป็นหิมะ บางคนก็ฉีดเป็นสายหลากสี จนละอองน้ำเปื้อนร่างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่บนศีรษะเสียมากกว่า
…อืม ถ้าเกิดได้ลองไปวิ่งและหมุนร่างเสมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายท่ามกลางดอกไม้และสายลมที่หอบเอากลีบโปรยปรายไปทั่วก็คงน่าสนุกดีนะ
หนูคิดอย่างเพลินๆ ในขณะที่เท้าแขนกับระเบียงชั้นอาคาร ข้างๆ หนูก็มีอสุเรนทร์ ชลจร คิมหันต์และเหมันต์ ที่มองไปยังข้างล่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรเช่นเดียวหับหนู ซึ่งตัวหนูเองก็พยายามไม่ยืนให้ชิดจนเกินไป พวกเขาเองต่างคนต่างก็ยืนห่างกันประมาณสองสามก้าว แบบต่างคนต่างอยู่
“ศรี ไปเล่นข้างล่างกันไหม?” จู่ๆ อสุเรนทร์ก็ถาม หนูส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่ล่ะจ้ะ ถ้าไปมีหวังทุกคนได้หนีฉันจนหมดสนุกแน่เลย” หนูตอบอย่างขบขัน ผิดกับจิตใจที่เจ็บกับเรื่องที่มีแต่คนรังเกียจ
“อย่างนั้นเหรอ…” อสุเรนทร์พึมพำ หนูยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “ไปเล่นก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะ ถ้าไม่มีเธอมันก็ไม่มีความหมาย” พอได้ยินเช่นนี้หนูก็เผลอนึกถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อหนู มองเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“…อสุเรนทร์ สิ่งที่ฉันจะบอกต่อไปนี้จะฟังดูเห็นแก่ตัวและทำลายความรู้สึกนะ… ฉันไม่ว่าหรอกนะถ้านายจะชอบฉัน แต่ก็ไม่อยากให้นายลืมว่าความรู้สึกของคนเรามันไม่แน่นอน ยิ่งเด็กอย่างนี้ด้วยแล้วมันยิ่งไม่เข้าใจอะไรหรอกนะ สักวันนายอาจจะไปชอบคนอื่นก็ได้ พอขึ้นมัธยมเรื่องความรักมันก็เปิดเผยมากขึ้น ตอนนี้เราก็ยังเด็กอยู่ด้วยนะฉันว่า…”
“ถ้าเปลี่ยนใจชอบคนอื่นฉันให้เธอตัดหัวฉันได้เลย”
“?!”
หนูตกตะลึงกับสิ่งที่เขากล่าวแทรก รีบละสายตาจากผู้คนและบรรยากาศงานมามองเขา ดวงตาสีทองอมน้ำตาลนั้นไหวระริกราวกับสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ช่างขัดกับใบหน้าที่คร่งขรึม บรรยากาศรอบตัวเขาตึงเครียดจนสัมผัสได้ชัดเจน “…ตกลงนะ ถ้าเกิดฉันไปชอบคนอื่น… ตัดหัวฉันได้เลย” เขากล่าวทวนย้ำอีกครั้ง หนูเผลอเบิกตาโตจนค้าง ยืนนิ่งไม่ขยับใดๆ ทั้งสิ้น หนูพยายามตั้งสติและขยับร่างตนเองให้หันไปตามเดิม
…ตัดศีรษะเขา? …มันจะไม่มีวันนั้นแน่!
เย็น
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเลิกเรียน อสุเรนทร์กับลิลลี่กลับห้องประจำชั้นตนเองแล้ว หนูหยิบไม้กวาดมากวาดเศษอาหาร เศษลูกโป่งที่แตกจากการเล่นเหยียบลูกโป่งก่อนหน้านี้ เศษของตกแต่งที่หลุดลุ่ยหล่นลงพื้น เพื่อนบางคนก็หยิบไม้กวาดมากวาดบ้าง เฉาก๊วยเองก็หยิบไม้ถูพื้นมาเช็ดน้ำและคราบน้ำจากอาหารที่มัน ส่วนนักเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวก็ก้มลงเก็บเศษใส่ถุงขยะ เมื่อเสร็จแล้วก็หยิบกระเป๋าก่อนจะมารวมตัวกัน
“ก่อนจะจากกันไปก็มาจับสลากของขวัญกันก่อนนะ ในสลากนี้มีของครูด้วย ครูจับได้ของใคร เจ้าของของขวัญก็มาจับสลากต่อนะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะ” คุณครูกล่าวขึ้นเมื่อทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้วเงียบ ด้านข้างโต๊ะของนักเรียนคนหนึ่งถูกมาใช้เป็นที่วางกล่องเล็กๆ สำหรับใส่สลาก เพื่อนๆ ต่างกระซิบกันด้วยความตื่นเต้น ทว่าพอคุณครูตบโต๊ะอย่างแรงก็พากันหยุดสนทนา ก่อนที่หนูและพวกเขาจะรับคำ
“ค่ะ/ครับ”
“อย่างนั้นก็เริ่มเลย …คนแรกคิมหันต์”
คุณครูบอกเมื่อจับสลากขึ้นมาเปิดอ่าน คิมหันต์เดินออกไปก่อนจะหยิบกล่องของขวัญให้คุณครูอย่างนอบน้อม เพื่อนๆ บางคนถ่ายรูปเพื่อเก็บเป็นที่ระลึก พวกเขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงหนูพวกเขากลับหยุดถ่าย หนูพยายามไม่ใส่ใจก่อนจะเดินไปหน้าห้อง ทุกคนเงียบเป็นเป่าสาก คุณครูที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็เปลี่ยนเป็นนิ่ง ชลจรที่จับได้ของหนูก็มองอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ใบหน้าเขาจะนิ่งๆ แต่เขาฉายความรู้สึกนั้นอย่างปิดไม่มิด หนูยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะหยิบกล่องของขวัญตนเองให้เขา ดวงตาสีดำฉายความดีใจ หนูเกือบจะยิ้มที่รู้สึกถึงแววตานั้นอย่างเอ็นดู แต่ก็ต้องพยายามหุบไว้เพราะบรรยากาศห้องไม่เอื้ออำนวย
ชลจรเดินกลับไปนั่งตามเดิม ระหว่างที่เขาผ่านหนูก็กระซิบเบาๆ
“ฉันดีใจนะที่ได้ของขวัญจากเธอ” หนูเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าทำไม น่าจะเพราะว่าหนูดีใจที่เขาบอกเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็เดินต่อแล้วนั่งลงเมื่อไปถึง หนูกลับไปจับสลาก พอคลี่กระดาษสลากดูว่าได้ของใคร คุณครูที่อ่านตามด้านหลังก็กล่าวขึ้น
“คนต่อไปอสุเรนทร์” อสุเรนทร์เดินออกมา …เขาคล้ายกับชลจรเลย ตรงที่ถึงหน้าจะนิ่งแต่ดวงตาฉายความดีใจ พอมาถึงเขาก็หยิบของขวัญให้หนู เนียนมายืนใกล้ๆ ก่อนจะกับกระซิบ “ฉันจะถือว่านี่เป็นของแทนใจฉันนะ” กล่าวจบก็เดินกลับไปนั่งที่ของตนเอง หนูยืนนิ่ง บอกความรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้สติหนูก็รีบเดินกลับไปนั่งที่ของตนเองบ้าง ด้วยเกรงว่าทุกคนจะรอและคุณครูอาจจะดุด้วย
เมื่อออดดังเป็นสัญญาณเลิกเรียนทุกคนก็กลับบ้านด้วยสีหน้าที่แสดงความสุขอย่างสดใส หนูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เฉาก๊วยเองก็เช่นกัน ตอนนี้เราสองคนเดินมายังด้านล่างแล้ว ในขณะที่เดินไปคุยไปก็พลันนึกได้ว่าลืมสมุดเรียนที่เก็บไว้ใต้โต๊ะที่ห้อง หนูเลยบอกกับเฉาก๊วยก่อนที่จะไป
“เฉาก๊วย ขอโทษนะที่กลับด้วยไม่ได้ ฉันลืมสมุดไว้น่ะ นายกลับไปก่อนเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนด้วย”
หนูพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปขึ้นอาคารเรียนไป ตอนนี้นักเรียนที่ยังอยู่มีไม่มากแล้ว เห็นได้จากทางเดินในแต่ละชั้นที่ไม่มีใครอยู่ ประตูห้องก็ปิดเป็นส่วนมากแล้ว หนูรีบวิ่งมากขึ้นเพราะเกรงว่าห้องจะถูกปิดเสียก่อน เฉาก๊วยก็เร่งฝีเท้าตาม เมื่อมาถึงก็พบว่าประตูห้องปิดไว้ทั้งฝั่งขวาและฝั่งซ้าย แต่ฝั่งซ้ายปิดแค่หนึ่งบาน เราสองคนหอบหายใจเพื่อพัก เมื่อพอแล้วหนูก็รีบถอดรองเท้าก่อนจะเข้าไป
“…ได้แล้ว” หนูพึมพำด้วยเสียงที่หอบเพราะความเหนื่อยจากการวิ่ง ในขณะที่กำลังจะเดินออกไปก็สังเกตถึงใครบางคนที่อยู่หลังโต๊ะของคุณครู เปิดประตูตู้ของโต๊ะ เสียงดังกุกกักและเอกสารที่เสียดสีนั้นทำให้เดาว่าคงกำลังหาของบางอย่าง หนูเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะถาม
“ทำอะไรอยู่เหรอ? ให้ฉันช่วยไหม?” อีกฝ่ายหยุดหาของก่อนจะเงยหน้ามามอง …อสุเรนทร์นั่นเอง “…เธอเองหรอกเหรอ …ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันหาเอง” กล่าวจบก็ก้มลงหาต่อ หนูมองเขาสักพักเพื่อดูว่าเขาจะหาของเจอหรือเปล่า ถ้าเกิดไม่เจอจะได้ช่วย
“เจอแล้ว”
“ดีจัง” หนูยิ้มบางๆ และกล่าวลา หันหลังเดินจะเดินออกจากห้อง ทว่าไม่ทันไรก็ถูกเขาดึงข้อมือไว้ กระชากเล็กน้อยให้หนูหันกลับมา ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะโน้มเข้ามาพร้อมริมฝีปากที่เฉียดๆ แก้ม หนูนิ่งไปพักหนึ่งในระหว่างที่เขาปล่อยข้อมือแล้วถอยออกห่างสองก้าว แล้วริมฝีปากซีดนั้นของเขาก็ขยับเอ่ยเบาๆ
“จะว่าฉันก็ได้นะที่ลวนลามหรือทำอะไรแก่แดดน่ะ”
หนูเอ่ยอะไรไม่ออก มองเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เมื่อได้สติก็รีบออกจากห้องโดยไม่เอ่ยอะไร ความคิดยุ่งเหยิง สับสนไปหมด ระหว่างนั้นเฉาก๊วยก็ชะโงกหน้ามามอง คงเริ่มสงสัยว่าทำไมหนูถึงไปนาน แม้ก่อนที่จะออกห้องเขาไม่มามองก็คงเพราะคิดว่าหนูหาสมุดเรียนไม่เจอกระมัง เลยปล่อยไว้ก่อน แต่พอเริ่มพักใหญ่ถึงมามองด้วยความเป็นห่วงดังตอนนี้ พอออกจากห้องแล้วก็สะกิดไหล่เฉาก๊วยเพื่อให้เขากลับ ทว่าไม่ได้ผลเพราะเขาสังเกตว่าอสุเรนทร์อยู่ในห้อง ใบหน้าที่แสดงความสดใสตลอดบัดนี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจนน่าใจหาย ดวงตาที่เคยสุกใสกลับคมกริบขึ้นมาราวกับมีด พร้อมจะเชือดเฉือนอีกฝ่ายได้ทุกครา
เฉาก๊วยไม่เคยเกลียดใคร ในชีวิตเขาคงจะมีแต่อสุเรนทร์นี่แหละที่เป็นข้อยกเว้น เหตุผลนั้นเพราะในสมัยยังเด็กหนูที่เป็นเพื่อนสนิทถูกอสุเรนทร์ทำร้าย พอเขามาเห็นเข้าก็เลยเกลียดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…
“นายทำอะไรกับศรีใช่ไหม?” เฉาก๊วยถามอย่างเย็นชา จ้องอสุเรนทร์เช่นเดียวกับเขา “……แล้วแต่จะคิด” อสุเรนทร์ตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องอีกฝั่งแล้วเดินจากไป เฉาก๊วยจ้องตามหลังจนกระทั่งลับสายตาไป ก่อนจะหันมาเอ่ยกับหนูอย่างจริงจัง
“ถ้าเกิดเจออสุเรนทร์เมื่อไหร่ให้หนีออกมาทันทีนะ”
หนูพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาถอนหายใจ จากนั้นพวกเราก็เดินไปยังชั้นล่างเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางกลับไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่เราเอ่ยกับอีกฝ่ายก็คือคำกล่าวลาเมื่อมาถึงเรือนที่หนูอยู่ หนูกับเขาโบกมือลาให้กันและกัน พร้อมกับรอยยิ้มที่ต่างคนก็พยายามยิ้มให้ออกมาจากใจ ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“ขอโทษจริงๆ นะ …เฉาก๊วย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ