ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
83) บทที่ ๘๓: สังเวยวิญญาณแด่ร่างไร้ชีวา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๓
[บรรยายโดยตัวละครหญิง นางสาววิรงรอง สุมนานทีรัย]
สังเวยวิญญาณแด่ร่างไร้ชีวา
นางตายแล้ว…
ราวกับหัวใจข้าหยุดเต้นไปพร้อมกับนาง สัมผัสเย็นเชียบตามผิวกายยืนยันว่านางสิ้นใจแล้ว มิรู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ข้ากรีดร้องลั่นราวกับคนบ้า แม้นจะเจ็บคอแต่ก็ยังคงกรีดร้องมิหยุด น้ำตาที่อุ่นร้อนนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็น พลับพลึงเองก็อาการหนักมิแพ้ข้า นางสะอื้นไห้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมามิขาดสายเช่นเดียวกับข้า ข้ารู้สึกเหมือนกับโลกถล่ม คำที่ใครๆ ก็มักใช้ยามเจอเรื่องที่เจ็บปวด แม้นข้าจะเตรียมใจไว้บ้างเพื่อมิให้เสียใจแต่พอเอาเข้าจริงมันเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดกรีด บาดแผลตามตัวที่เกิดจากการต่อสู้กับพลับพลึงนั้นข้ามิรู้สึกถึงมันเลย เพราะตอนนี้สิ่งที่เจ็บที่สุดคือใจ
ข้ามองคมกฤชด้วยความเศร้าโศกและอาลัย พลันนึกได้ว่าใครที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ทำให้ข้าเผลอเงยหน้าจ้องพลับพลึงด้วยความเคียดแค้น วางนางลงก่อนจะกำมือแน่นและ…
“เจ้า! อ้ายพลับพลึง!!!”
พลั่ก!!!
ข้าชกโดยมิยั้งมือไว้ ส่งความรู้สึกผ่านมือที่ชกเข้าไปที่หน้าพลับพลึง เลือดสีดำไหลออกจากจมูกและซึมที่มุมปาก ข้าจ้องนางครู่หนึ่งโดยที่พลับพลึงเองมิมีท่าทีจะโต้ตอบข้าบ้าง นางเงียบไปโดยที่ดวงตาสีดำซีดนั้นเหม่อลอยไร้แววชีวา สักพักดูเหมือนนางจะได้สติเลยเช็ดเลือดอย่างช้าๆ ก่อนจะมองข้า เห็นเช่นนั้นแล้วข้าจึงตะคอก
“สมใจอยากเจ้าแล้วสินะ! ทีนี้จะทำเช่นไรล่ะ? เอาเครื่องในของนางไปต้มกินฤ? ฤๅว่าจะตัดหัวไว้เชยชมกัน? พลับพลึง… เจ้าตอบสิ!! ตอบมา!!!”
“…ข้ามิได้ต้องการเช่นนั้น”
“แล้วอ้ายที่เจ้าจะบอกว่าสังหารน่ะ? บอกว่าแค้นนักแต่ไยตอนนี้นางตายแล้วถึงมิเผยสีหน้าความยินดีล่ะ? เฮอะ! คมกฤชไปทำกรรมอันใดไว้ถึงต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเพื่อนเลวทรามเช่นเจ้ากัน?!!!” เพราะใช้เสียงมากไปเลยทำให้ข้าหอบหายใจเล็กน้อยเพราะความเหนื่อยและขาดอากาศไปส่วนหนึ่ง ข้าหยุดไปคราหนึ่งเพื่อปรับจังหวะการหายใจ …หึๆ … ตอนนี้นางคงสำนึกได้แล้วสินะ ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมันผิดมหันต์!!
“ข้ามิมีข้อแก้ตัว ต่อจากนี้ข้ามิต้องการอันใดจากนางอีกแล้ว”
นางค่อยๆ ยืนขึ้นโดยที่ร่างเซเล็กน้อยก่อนจะยืดกายให้มั่นคงมากกว่าเดิม ดวงตาสีดำนั้นไม่อาจคาดได้ว่ามองไปที่ใดแต่รู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกที่ฉายอย่างเคว้งคว้าง แม้นร่างของนางจะเป็นศพไปแล้วแต่ถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมานั้นภายในอกหัวใจที่แทบจะเต้นแผ่วเบาจะตายแลมิแล …ฮึ เหมือนกับข้ารู้ตัวนางดีเลย แต่ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับข้านั่นแหละ ภาพรอบด้านเกิดปริรอยแตกไปทั่ว เศษที่เสมือนแก้วนั้นหล่นลงมากระจัดกระจายส่งเสียงดังเพล้ง! ภาพที่แตกนั้นค่อยๆ เผยให้เห็นเนื้อแท้ที่เป็นความมืดมิดยากจะหยั่งถึง ร่างของอดีตรองนายิกาค่อยๆ สลายกลายเป็นเถ้าธุลีพร้อมกับริมฝีปากซีดที่ขยับเอ่ยเบาๆ
“…ไว้จะมารับนะ คมกฤช” ในขณะนั้นน้ำตาก็เริ่มหยุดไหล ทว่าความเสียใจก็ยังคงครอบงำจิตใจให้หม่นหมอง ข้าค่อยๆ ยกศีรษะพร้อมกับร่างของคมกฤชมากอดไว้แล้วไล้นิ้วตามผิวที่ซีดและเย็นเชียบ ความอบอุ่นที่เคยมีได้หายไปพร้อมกับความตายแล้ว แม้นข้าจะอยู่มาเป็นร้อยๆ ปี แต่เรื่องความเป็นความตายก็ยังยอมรับมิได้อยู่ดี
ข้าค่อยๆ อุ้มนาง พออยู่ในสภาพนี้แล้วทำให้นึกถึงในพิธีสมรสสากลที่เจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาว
สมรส… ฮึ มันคงมิมีวันนั้นดอก…
วูบ
จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ ภาพตรงหน้าค่อยๆ มืด ข้าทรุดนั่งโดยที่พยายามประคับประคองมิให้นางหล่น …และแล้วสีดำก็คืบคลานจนมืดมิด
.
.
.
พอลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกปวดศีรษะ สิ่งแรกที่เห็นคือเพดาน ข้าลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหันไปมองคมกฤชที่นอนอยู่เคียงข้าง …อดคิดมิได้ว่านางอาจจะกลับคืนชีพได้อีกครั้ง
น้ำที่ท่วมห้องหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ ข้าเห็นนายิกาและรองนายิกาลุกขึ้นมาคุยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดบ้างแล้ว บางคู่ก็ตรวจดูอาการว่าเป็นอย่างไร มีนายิกาและรองนายิกาอีกหลายคู่เลยล่ะที่ยังนอนมิได้สติ ทว่าพอผ่านไปสักพักพวกนางก็ฟื้นขึ้นมา ข้ามองทุกคนที่มีสีหน้าฉงน สะลึมสะลือ หนึ่งในนั้นก็มีโคมรัตติกาล รองนายิกาประจำจังหวัดชลบุรี น่าแปลกนักที่พอข้ามองผ่านๆ มาสะดุดกับนางทำให้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
…จริงด้วย เคยมีข่าวที่ว่านางทำพิธีฟื้นคืนชีพให้กับ วาริช นายิกาของนางที่ตายไปแล้ว ถ้าเกิดข้าขอให้นางช่วยก็มิแน่ว่าคมกฤชอาจฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คิดได้แล้วข้าก็ลุกขึ้นและเดินไปหานางด้วยความหวังที่เปี่ยมล้น โคมรัตติกาลที่คุยกับวาริชอยู่นั้นเหลือบเห็นข้าพอดีเลยขอตัวจากวาริชมาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว
“มีอันใดฤ?”
“ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
“…ข้าเคยได้ยินว่าเป้าหมายจริงของพลับพลึงอาจจะเป็นคมกฤชก็ได้ คงมิใช่ว่านาง…” โคมรัตติกาลเว้นไว้ราวกับจะให้ข้าตอบเองเพื่อยืนยันสิ่งที่นางคาดไว้ ข้าพยักหน้าก่อนจะตอบ “ใช่ นางตายแล้ว”
“…”
“…”
ความเงียบปกคลุม หูอื้อจนเหมือนแทบไม่ได้ยินเสียงของนายิกาและรองนายิกาที่คุยกันนั้นราวกับว่าอยู่ที่ไหนที่ไกลมากๆ ข้าจ้องนางแสดงความรู้สึกวิงวอนและบังคับ เวลาผ่านไปเหมือนกับว่านานมาก ในที่สุดนางก็พ่ายแพ้แก่ข้า
“ข้าจะสอนวิธีทำพิธีละกัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าหากทำพลาดแม้แต่ครั้งเดียว คมกฤชจะไม่มีวันฟื้นคืนชีพมาอีกเป็นครั้งที่สอง” ข้าพยักหน้าอย่างหนักแน่น งานนี้มิมีพลาดแน่ “เพื่อคมกฤช มิมีอันใดที่ข้าทำมิได้”
“…เช่นนั้นก็ดี เพราะพิธีนี้มันอาจจะทำให้เจ้าตายตามไปด้วย…”
ณ ตอนนี้ข้ามาอยู่ที่เรือนของโคมรัตติกาลซึ่งเป็นที่พักอาศัยของวาริชด้วย …จะว่าไปที่ข้ามาเร็วทั้งๆ ที่อยู่ภาคใต้มาที่ภาคตะวันออกก็เพราะพวกข้าใช้อาคมในการเคลื่อนย้าย ก็ใช้วิธีเดียวกับตอนมาที่ภาคใต้ แต่อาคมนี้ค่อนข้างสูงและกินพลังวิญญาณมากหน่อยเลยใช้เฉพาะเวลาทำงานเท่านั้นน่ะ
ภายในห้องที่อยู่นี้ก็มีการจัดวางแบบหมอผีทั่วๆ ไป มิมีอะไรเป็นพิเศษ (ตามจริงแล้วทีแรกนางมิใช่หมอผีดอกนะ แต่ไปๆ มาๆ ทำสิ่งที่หมอผีเขาทำกันจนคนอื่นๆ บอกว่าให้ยึดอาชีพนี้รองจากนายิกาก็เลยยอมเป็นหมอผี) ร่างของคมกฤชนอนบนพื้นที่เขียนยันต์ในวงกลม เทียนที่ปักรอบๆ และที่อื่นเป็นบางจุดในห้องที่มืดสลัวช่วยทำให้สว่างและดูมีมนต์ขลังมากขึ้น โคมรัตติกาลใช้เข็มเจาะปลายนิ้วใส่พานพร้อมกับกล่าวโดยที่มิมองข้า
“ทีนี้เจ้าก็ทำเองแล้วกันนะ นำเข็มนี้ไปเจาะนิ้วเสียให้หยดลงกับเลือดของนางแล้วท่องคาถาตามข้าล่ะ”
ข้ารับเข็มมาแล้วเจาะนิ้วตนเอง เลือดหยดลงที่เดียวกับของคมกฤช จากนั้นข้าก็ท่องคาถาตามนางอย่างตั้งใจ โคมรัตติกาลบอกว่าหากพลาดหนึ่งครั้งคมกฤชจะตายโดยที่มิมีวันฟื้นขึ้นมาอีก เผลอๆ ข้าอาจจะตายตามด้วยซ้ำ โคมรัตติกาลบอกเพิ่มมาอีกว่าต้องสังเวยวิญญาณตัวข้าเองด้วย แลกกับความเป็นอมตะที่อยู่ในสายเลือด จะว่าไปก็ดีแล้วล่ะเพราะชีวิตที่ยั่งยืนคนที่มิติผกายมิค่อยอยากมีนัก
…ฮึ น่าแปลกนะ คนในมิติสามัญที่เป็นสายเลือดปรกติอยากเป็นอมตะ คงจะกลัวความตาย มิต้องกลัวตกนรกหากตนเองทำผิด ทำในสิ่งที่อยากทำได้หลายอย่าง ได้อยู่กับคนที่เรารัก แต่ถ้าได้เป็นอมตะจะรู้เลยว่ามันทรมาน จะตายก็ตายไม่ได้ สมมติว่าถ้าคนที่เรารักตายไปเราก็ต้องมีชีวิตอยู่โดยที่ต้องทนมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด มิอาจสังหารตนเองได้ …แต่ก็มีวิธีหนึ่งที่จะสังหารตนเองได้…
นั่นก็คือการทำลายวิญญาณ
เมื่อเสร็จแล้วข้าก็วางเข็มลง มองร่างที่ซีดเซียว อยากรู้จริงๆ ว่าวิญญาณของนางตอนนี้อยู่หนใด? จะอยู่ในห้องนี้ไหมนะ? ข้าเอื้อมมือไปไล้แก้มนางเบาๆ …เย็นมาก เย็นจนอดคิดมิได้ว่าถ้าร่างนี้กลับมามีชีวาเช่นเดิมจะเป็นอย่างไร
“หวังว่าข้าจะช่วยเจ้าได้บ้างนะ”
“เจ้าช่วยได้มากเลยล่ะ มิต้องกังวลดอก” ข้าตอบกลับโดยที่สายตายังคงจดจ่อกับคมกฤช โคมรัตติกาลเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยความเห็นใจจากใจจริง “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เพราะข้าเองก็เคยโศกเศร้ากับการตายของวาริชที่ถูกสามีสังหาร ตอนนั้นข้ากังวลมากจนมารู้เกี่ยวกับพิธีกรรมนี้เลยทำด้วยความหวังที่แทบจะมิเป็นจริง …เฮ้อ เอาล่ะ ทีนี้ก็รอประมาณ ๑ อาทิตย์ หากนางยังมิฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ต้องทำใจไว้ให้มากๆ แล้วล่ะ ข้าขอให้เจ้าสมดังปรารถนาล่ะ ข้าเอาใจช่วย”
“ขอบคุณจากใจจริง”
“ด้วยความยินดี” นางกล่าวก่อนจะเก็บอุปกรณ์แล้วออกจากห้องไปก่อนที่ความเงียบจะปกคลุม ไฟที่ลุกไหวไปมาส่งเสียงพรึ่บเบาๆ แสงสีส้มของมันที่ส่องมาที่ใบหน้าเรียวงามของคมกฤชช่วยทำให้นางดูมีชีวิตชีวา …แต่ก็อย่างที่เห็น นางตายแล้ว ใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวายามนี้ก็แค่เปลือกนอกและชั่วคราวเท่านั้นเอง ข้าดับไฟก่อนจะอุ้มร่างของนางแล้วลุกขึ้นยืน มองใบหน้านั้นด้วยความหวังและอาลัยก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
ข้าใช้อาคมในการเคลื่อนย้ายกลับมาที่เรือนของคมกฤชซึ่งข้าเองก็อาศัยอยู่ด้วยที่จังหวัดอยุธยา เข้ามาในเรือนแล้วก็วางร่างของนางลงบนเตียงในห้องนอนที่ข้ากับนางนอนด้วยกันก่อนจะคลี่ผ้าห่มให้ห่มลงบนร่างของนาง
“กลับมาหาข้าเร็วๆ นะ คมกฤช”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ