ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.52K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
73) บทที่ ๗๓: อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๔
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๗๓
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๔
มีอยู่วันหนึ่ง คมกฤชเห็นว่าพลับพลึงที่เป็นคนชนชั้นธรรมดาไม่ได้รับการศึกษา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะในสมัยก่อนไม่ได้มีการศึกษาแบบปัจจุบันกับชนชั้นธรรมดา ในฐานะที่นางเป็นเพื่อน นางก็อยากให้เพื่อนได้รับสิ่งดีๆ บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องที่แทบเป็นไม่ได้ เพราะพลับพลึงไม่ได้เป็นชนชั้นสูง เมื่อเป็นดังนั้นนางจึงได้นัดแนะกับพลับพลึงว่าจะนำบทเรียนมาสอนต่อ
ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นทำให้นางตั้งใจเรียนมากกว่าเดิมเพื่อที่จะได้สอนพลับพลึงได้ถูก จนพระอาจารย์ชมว่านางมีความตั้งใจดีขึ้น
เมื่อทั้งสองเจริญวัยขึ้น คมกฤชก็ไม่ค่อยสามารถมาหาพลับพลึงได้อีกจนบางครั้งพลับพลึงก็น้อยใจเลยหนีไปไม่มารอคมกฤชดังเช่นทุกวัน จนคมกฤชเริ่มใจคอไม่ดี ออกตามหากระทั่งเกือบพลบค่ำจนพอกลับมาแล้วก็โดนดุเสียยกใหญ่ก็ยังไม่เจอพลับพลึง วันต่อมานั่นแหละพลับพลึงจึงจะมารออีกครั้ง
‘พลับพลึง ข้าขอโทษจริงๆ แต่ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจด้วยว่าเวลาที่ข้าต้องช่วยกษัตริย์ปกครองใกล้เข้ามาทุกที ตอนนี้พระบิดาได้เลือกคู่ครองแก่ข้าแล้ว …ข้ามิได้ลืมเจ้าจริงๆ นะ’ คมกฤชอธิบายอย่างร้อนใจและไม่สบายใจ ความกลัวคืบคลานเข้ามา …กลัวจะเสียเพื่อนที่รักมากที่สุดไป
‘ถ้าเช่นนั้นคงช่วยมิได้จริงๆ นั่นแหละ’ น้ำเสียงของพลับพลึงเจือไปด้วยความเหงา จนคมกฤชยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้เพื่อปลอบ
‘…หมายความว่าเจ้าหายโกรธแล้วใช่ไหม?’
‘อืม แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะมิลืมข้า’
‘ข้าสัญญา พลับพลึง’
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ระยะห่างของทั้งสองก็มีแต่คำว่ามากขึ้นทุกที พลับพลึงหลั่งน้ำตาเงียบๆ เสียงสะอื้นลอดเบาๆ คิดในใจทุกวันว่าคมกฤชจะทิ้งนางไหม จะลืมนางไหม แต่คำถามนั้นก็ไม่อาจมีผู้ใดตอบได้นอกเสียแต่คมกฤช
ทางฝ่ายคมกฤชเองก็ถูกบังคับให้ฝึกการเป็นกุลสตรีให้ดียิ่งขึ้น และต้องอยู่กับพระคู่หมั้นเพื่อให้สนิทกันแล้วเผื่อจะรักกันจริงๆ นับวันความทุกข์ก็มีมากขึ้น สีหน้าของนางฉายชัดเจนทว่าพระคู่หมั้นก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะยินดีกับพิธีอภิเษกที่ที่กำลังใกล้เข้ามาอีกไม่กี่ปี …หากพระคู่หมั้นมีความรักให้นางจริงนางก็พอจะยอมรับการอภิเษกครั้งนี้ …ทว่าพอมองเข้าไปในดวงตากลับพบแต่ความกระหายในอำนาจ นางไม่สามารถค้านได้เพราะไม่มีการแสดงออกใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพระคู่หมั้นไม่ได้รักนางจริง …ได้แต่รอวันอภิเษกที่คล้ายกับวันประหารด้วยใจทุกข์ระทม
พอมีเวลานางก็ไปหาพลับพลึง ทว่าก็ไม่พบ นางหลั่งน้ำตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้ ต้องมาแต่งกับคนที่ไม่ได้ตนเองจริงแล้วต้องมาเสียเพื่อนรักอีก สำหรับนางที่ชีวิตโตมากับอำนาจนั้นย่อมไม่อาจสามารถหาความรักได้เท่ากับปุถุชนธรรมดาทั่วไป ยิ่งคิดยิ่งนึกเจ็บใจ แค้นใจ นางเพิ่งมาคิดแผนไม่ดีว่าน่าจะพาพลับพลึงหนีไปอยู่ในที่ๆ ไม่อาจมีใครหาพบ
…นางอยากตาย
มาถึงแล้ว วันประหารสำหรับนาง ฉลองพระองค์ถูกแต่งอย่างงดงาม พอถึงเวลาแล้วนางก็ก้าวออกไปจากห้อง มองเบื้องล่างที่มีผู้คนมาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับพระคู่หมั้นที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นพระสวามีแล้ว
โบกมือพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น ทว่าจากตรงนี้และข่างล่างช่างห่างไกลจนไม่มีใครสังเกต
…อย่าว่าแต่เบื้องล่างเลย ขนาดชายข้างกายยังไม่รับรู้
ในใจของนางตอนนี้อยากจะวิ่งออกไปให้ไกลที่สุด ไม่ก็ไปหาพลับพลึงซึ่งหนีหายไปหลายวันหลายเดือนแล้ว ดวงตาเรียวยาวดุจหงส์ดูเบื้องล่างว่าเพื่อนรักของตนเองจะมาหรือไม่ ทว่ามีคนและอยู่ห่างกันมากจนไม่อาจหาได้
…ตอนนี้ นางตายทั้งเป็นแล้ว…
ในขณะนั้น ณ เบื้องล่างจุดหนึ่ง หญิงสาวที่แต่งกายแบบชนชั้นธรรมดาก็เงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย
เจ้าเลือกพระสวามีสินะ …ใช่สิ คนธรรมดาเช่นข้ามีสิทธิ์อันใดด้วยล่ะ
คนๆ หนึ่งยืนอยู่ ณ ที่สูงส่งจนไม่สามารถก้าวลงไปหาได้ ส่วนอีกคนก็ยืนอยู่ ณ ที่ชั้นต่ำจนไม่อาจก้าวขึ้นไปได้ ระยะห่างนั้นช่างไกลเหลือแสนยิ่งกว่าเส้นขอบฟ้า ทั้งๆ ที่อยู่เพียงแค่เอื้อมก็สามารถทำได้ เพียงแต่มีกำแพงชนชั้นมาขวางกั้นไว้
ได้แต่ร้องไห้ในใจ
กรรมใดหนอที่ทำให้ข้ามีชีวิตเยี่ยงนี้?
เมื่อถึงเวลากลางคืนแล้วคมกฤชก็หลับ จนพระสวามีแสดงความไม่พอใจ ตอนแรกก็คะยั้นคะยอให้นางทำกิจสามี-ภรรยาอย่างที่ทำกันหลังพิธีแต่งงานเสร็จ
“หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะให้เกียรติอย่างที่เคยทำ” คำนั้นทำให้อีกฝ่ายสะอึกและหวาดหวั่น แต่ที่ทำให้เขารู้สึกมากกว่านั้นก็คือดวงตาเรียวดุจหงส์ที่ฉายความเคียดแค้น เย็นยะเยือกยิ่งกว่ารัตติกาลที่กำลังโอบล้อมอยู่ตอนนี้
กระนั้นพระสวามีก็ยังทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมีชัย จะกลัวอะไรในเมื่อนี่คือสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่เขาก็สามารถทำอะไรกับนางได้ทั้งนั้น!
---หารู้ไม่ว่าเพราะคิดแบบนี้แหละที่จะทำให้ตนเองตายเร็ว---
ข้างกายนางคือกษัตริย์ขณะเดียวกันก็เป็นพระสวามี จิตใจของนางร่ำหาแต่สหายที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว รู้สึกเหมือนตนเองเป็นศพที่นั่งกับคนเป็น
…อยากฆ่าตัวตาย แต่กลัวจะเพิ่มบาปให้แก่ตนเอง ---ตอนนี้ก็ว่าหนักหนาแล้วหากสร้างบาปชาติหน้าอาจจะต้องชดใช้มากกว่าเดิม ขณะที่คิดอย่างเหม่อลอยและเศร้าโศกพระสวามีก็เรียกนางหลายต่อหลายครั้ง นางไม่รับรู้ราวกับปิดกั้นตนเองกับพระสวามีให้อยู่คนละโลก
ถ้าให้เปรียบก็เป็นโลกของคนตายและคนเป็น
“ยังมิมีบุตรอีกฤ?” ในวันหนึ่ง จู่ๆ พระมารดาของคมกฤชก็ถามขึ้นอย่างกังวลและไม่พอใจ นางมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาตรงๆ
“เหตุใดจึงยังมิทำกิจนี้?”
“ลูกต้องขอประทานโทษด้วยเพคะ …แต่ ลูกรู้สึกว่ายังมิสมควร”
“ไฉนจึงคิดเช่นนี้?” คำถามนั้นยิ่งกดดันให้กับคมกฤช
เพราะข้ายังมิอยากเสียพรหมจรรย์โดยที่มิอาจวางใจพระสวามีได้
ทั้งห้องที่ยืนคุยกันอยู่เงียบลงอย่างน่าอึดอัด คมกฤชตัดสินใจทูลลาก่อนจะก้าวออกจากห้องด้วยสีหน้าที่ขมขื่น รู้สึกผิดที่ไม่อาจมีบุตรเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ แต่อีกใจก็ดื้อดึงไม่ยอมเสียพรหมจรรย์กับชายที่ไม่ได้รัก
ข้าควรจะทำเช่นไรดี พลับพลึง?
ในขณะนั้นเอง ผู้ที่ถูกคมกฤชนึกถึงพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า พลับพลึงฉงนว่าทำไมจู่ๆ ตนเองก็มองท้องฟ้า หัวใจเจ็บแปลบขึ้นทันใด มองท้องฟ้าก็เหมือนมองคมกฤชซึ่งกลายเป็นราชินีแล้ว
มองด้วยความปวดร้าว ดวงตาฉายความเศร้าโศกอย่างเวิ้งว้างเดียวดาย นางลดสายตามามองพื้นก่อนจะทำงานต่อ
คมกฤชเริ่มที่จะศึกษาไสยศาสตร์ เพราะอยากมีอะไรมาป้องกันตัวบ้าง ในยุคสมัยที่ผู้หญิงแทบไม่มีสิทธิ์มีเสียงนั้นการมีวิชาติดตัวก็ย่อมดี เผลอๆ นางจะใช้ไสยศาสตร์สาปแช่งพระสวามีอีกต่างหาก ตอนแรกที่เริ่มศึกษาร่ำเรียนนางก็กังวลว่าจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงญาณและบทเวทคาถา แต่ช่วงนี้เริ่มจะมีสงครามก็นับว่าดีสำหรับนางเพราะพระสวามีเริ่มจะไม่มีเวลาอยู่ในพระราชวัง จึงเหลือเพียงแต่คมกฤชและบ่าวที่คอยปรนนิบัตินาง
ณ ตั้งแต่วันนั้นที่ตั้งใจร่ำเรียน นางก็สั่งบ่าวห้ามให้ใครเข้ามาในห้องบรรทม นางยังขู่อีกว่าหากเข้ามาได้ตายไม่ดีแน่ แม้นางจะไม่ทำเช่นนั้นจริง แต่น้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นก็สามารถทำให้หลายคนน้อมรับคำสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ใช่ว่านางร่ำเรียนจนลืมสหาย แต่เพราะนางยังไม่มีใจกล้าพอเลยปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป มีอยู่วันหนึ่งที่นางตัดสินใจหนีออกทางหน้าต่าง ยังดีที่ไม่มีทหารหรือบ่าวคนไหนอยู่นางจึงสามารถลอบออกไปได้
อากาศช่วงนี้ค่อนข้างหนาว และด้วยความที่นางเป็นคนขี้หนาวด้วยแล้วร่างกายจึงสั่นง่ายๆ นางกระชับผ้าคลุมไหล่และผ้าที่คลุมศีรษะพันปลายรอบคอให้แน่นขึ้นพลางก้าวเดินต่อไป เดินในทางที่คดเคี้ยวเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้คนเริ่มน้อยลงเพราะไม่ใช่เส้นทางที่ใช้บ่อยๆ คมกฤชหยุดเดินแล้วจ้องเข้าไปในกระท่อมที่โอบล้อมด้วยบรรยากาศอึมครึมราวกับถ่ายทอดมาจากผู้เป็นเจ้าของ
สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มันชัดเจนมาก …ตอนนี้ข้าก็รู้สึกมิต่างจากเจ้าดอก
“…พลับพลึง”
นางเรียกหลังจากที่ทำใจได้พักหนึ่ง ทว่าไร้ซึ่งเสียงใดๆ …มันเงียบมาก กระทั่งเสียงลมพัดก็ไม่มี คมกฤชไม่สบายใจจึงถือวิสาสะเข้าไปในกระท่อมที่ค่อนข้างจะผุพังแล้วแต่ยังดีที่ทนทานได้หน่อย มีผ้าเก่าๆ พาดไว้บนราว มะพร้าว อ้อยวางไว้ตรงมุมหนึ่งข้างๆ ก็มีกระจาดวางอยู่ คมกฤชมองสภาพกระท่อมอย่างเห็นใจและรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นสหาย แต่นางลืมเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ไป นางเองก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นชนชั้นใด แต่มันยากจะยอมรับที่เห็นสหายตนเองต้องมีชีวิตลำบากเช่นนี้
พลับพลึง…
“เจ้าอยู่ไหน?” นางถามด้วยเสียงที่สะอื้นเต็มทีเพราะใกล้จะร้องไห้ ว้าเหว่เศร้าโศกเสียใจจนไม่สามารถระบายออกเป็นคำพูดได้ ในยามโศกเศร้าสิ่งที่จะอธิบายความรู้สึกชัดเจนที่สุดคือน้ำตา นางมีอำนาจ มีชีวิตสุขสบาย มีเงินทองที่สามารถแลกอะไรก็ได้---
ยกเว้นความรู้สึก
คนบางคนแค่ใช้เงินฟาดหัวก็สามารถทำให้คนๆ นั้นอยู่ใต้อำนาจ แต่คนบางคนต่อให้มีมากกว่าเงินทองก็ไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ
นางคือประเภทที่ ๒ มีอำนาจแต่ไม่ได้มาซึ่งทุกสิ่ง …และสิ่งที่นางปรารถนาตอนนี้คือสหายรักของตนที่ห่างหายไปหลายเดือนแล้ว ยิ่งกว่าโลกล่มสลาย ชีวิตที่สุขสบายแต่ไร้ซึ่งความรักสำหรับนางแล้วมันเหมือนตกนรกทั้งเป็น โดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีผู้คน คมกฤชทรุดลงกับพื้นที่ค่อนข้างสกปรก แทบไม่มีแรงขยับแม้แต่ปลายนิ้ว มือ ปากและอวัยวะส่วนอื่นสั่นราวกับคนไม่มีสติ กล้ามเนื้อเกร็งไปหมด น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“…คมกฤช?”
มีเสียงเรียกคมกฤชเบาๆ ตอนนี้เหมือนเมฆหมอกบังจนแทบมองไม่เห็นภาพความเป็นจริงเบื้องหน้า นางไม่เงยหน้า ไม่ถามว่าใครเพราะความรู้สึกบอกว่าต้องเป็นสหายรักของตนแน่ พอยิ่งรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็ไม่กล้าเงยหน้า ไม่รู้ว่าทำไม ใจหนึ่งอยากจะกอดแน่นๆ ให้รวมกันเป็นหนึ่ง แต่อีกใจก็หวาดกลัวว่าจะมีอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายมากกว่านี้
“เงยหน้าขึ้น…” พลับพลึงกล่าวแล้วนั่งคุกเข่าก่อนจะประคองหน้าคมกฤชให้เงยขึ้น เมื่อใบหน้าสวยเงยให้เห็นชัดกว่าเดิมนางก็ต้องกลั้นหายใจ ความรู้สึกเจ็บร้าวราวกับมีมีดมาแทงหลายครั้งพลันกัดกินจิตใจจนทรมาน หยาดน้ำตาที่ไหลตามแก้มแล้วหยดลงบนพื้นทำให้นางสะเทือนใจมาก ไม่รอช้ารีบใช้นิ้วมือปาดอย่างร้อนรน
“คมกฤช เจ้าเป็นอันใด? ไยถึงร้องไห้เล่า?” คมกฤชไม่ตอบแต่กอดพลับพลึงแล้วซุกหน้ากับอกจนน้ำตาที่ออกมาซึมเข้ากับผ้าคาดอกของพลับพลึง พลับพลึงลูบหลังคมกฤชอย่างอ่อนโยน พอเห็นเพื่อนรักของตนร้องไห้นางก็พลอยจะร้องไห้ไปด้วย ตอนนี้นางจะไม่ถามคมกฤชเพราะยิ่งถามจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายนึกเรื่องแย่ๆ
กล่าวตามตรงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางเกลียดแค้นคมกฤชมากที่ทิ้งนางไปแล้วนั่งอยู่บนบัลลังก์เคียงข้างกับพระสวามี คิดอยู่เสมอว่าคมกฤชเห็นอำนาจดีกว่าตนเอง ใจจริงก็ยอมรับอยู่ว่าคนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าอำนาจเพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายรุ่งโรจน์ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็คิดว่ามันก็ไม่ถูกอยู่ดีที่คมกฤชไปหาคนใหม่อย่างพระสวามีที่อย่างไรเสียก็มีฐานะสูงส่งในเชื้อพระวงศ์ คิดมาตลอดว่าคมกฤชเห็นตนเองเป็นของเล่นที่พอเล่นจนเบื่อก็ทิ้งขว้างไป
…แต่พอมาวันนี้ ตอนแรกที่เห็นคมกฤชทรุดอยู่กับพื้น พลับพลึงก็คิดว่าจะหัวเราะเยาะ เย้ยหยันซ้ำเติมกับสิ่งที่นางทำและเป็นอยู่โดยคิดว่าตนเองจะใจแข็งพอมองเห็นเพื่อนรักตนเองร้องไห้ได้ …แต่พอให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นเท่านั้นแหละ ความรู้สึกผิดก็ประดังเข้ามา
“ข้าขอโทษ…” คมกฤชกล่าวด้วยเสียงที่สะอื้น เสียงแหบพร่าเพราะส่งเสียงร้องครวญร่ำไห้ ดวงตาที่เคยงดงามบัดนี้ มีสีแดงเจือจางๆ เส้นเลือดเห็นชัดกว่าเดิมและใสเพราะน้ำตา ราวกับดอกบัวที่โตไม่พ้นจากน้ำให้เห็นความงดงาม ฉายความรู้สึกทุกอย่างที่เป็นอยู่ราวกับจะเล่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์
…แม้คมกฤชจะยังไม่ได้เล่าความจริงเพื่อให้พลับพลึงหายเข้าใจผิดและให้อภัย …แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่ฉายชัดผ่านทุกอย่างในตัวคมกฤชก็เพียงพอที่จะเล่าความจริงแล้ว…..
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๔
มีอยู่วันหนึ่ง คมกฤชเห็นว่าพลับพลึงที่เป็นคนชนชั้นธรรมดาไม่ได้รับการศึกษา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะในสมัยก่อนไม่ได้มีการศึกษาแบบปัจจุบันกับชนชั้นธรรมดา ในฐานะที่นางเป็นเพื่อน นางก็อยากให้เพื่อนได้รับสิ่งดีๆ บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องที่แทบเป็นไม่ได้ เพราะพลับพลึงไม่ได้เป็นชนชั้นสูง เมื่อเป็นดังนั้นนางจึงได้นัดแนะกับพลับพลึงว่าจะนำบทเรียนมาสอนต่อ
ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นทำให้นางตั้งใจเรียนมากกว่าเดิมเพื่อที่จะได้สอนพลับพลึงได้ถูก จนพระอาจารย์ชมว่านางมีความตั้งใจดีขึ้น
เมื่อทั้งสองเจริญวัยขึ้น คมกฤชก็ไม่ค่อยสามารถมาหาพลับพลึงได้อีกจนบางครั้งพลับพลึงก็น้อยใจเลยหนีไปไม่มารอคมกฤชดังเช่นทุกวัน จนคมกฤชเริ่มใจคอไม่ดี ออกตามหากระทั่งเกือบพลบค่ำจนพอกลับมาแล้วก็โดนดุเสียยกใหญ่ก็ยังไม่เจอพลับพลึง วันต่อมานั่นแหละพลับพลึงจึงจะมารออีกครั้ง
‘พลับพลึง ข้าขอโทษจริงๆ แต่ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจด้วยว่าเวลาที่ข้าต้องช่วยกษัตริย์ปกครองใกล้เข้ามาทุกที ตอนนี้พระบิดาได้เลือกคู่ครองแก่ข้าแล้ว …ข้ามิได้ลืมเจ้าจริงๆ นะ’ คมกฤชอธิบายอย่างร้อนใจและไม่สบายใจ ความกลัวคืบคลานเข้ามา …กลัวจะเสียเพื่อนที่รักมากที่สุดไป
‘ถ้าเช่นนั้นคงช่วยมิได้จริงๆ นั่นแหละ’ น้ำเสียงของพลับพลึงเจือไปด้วยความเหงา จนคมกฤชยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้เพื่อปลอบ
‘…หมายความว่าเจ้าหายโกรธแล้วใช่ไหม?’
‘อืม แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะมิลืมข้า’
‘ข้าสัญญา พลับพลึง’
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ระยะห่างของทั้งสองก็มีแต่คำว่ามากขึ้นทุกที พลับพลึงหลั่งน้ำตาเงียบๆ เสียงสะอื้นลอดเบาๆ คิดในใจทุกวันว่าคมกฤชจะทิ้งนางไหม จะลืมนางไหม แต่คำถามนั้นก็ไม่อาจมีผู้ใดตอบได้นอกเสียแต่คมกฤช
ทางฝ่ายคมกฤชเองก็ถูกบังคับให้ฝึกการเป็นกุลสตรีให้ดียิ่งขึ้น และต้องอยู่กับพระคู่หมั้นเพื่อให้สนิทกันแล้วเผื่อจะรักกันจริงๆ นับวันความทุกข์ก็มีมากขึ้น สีหน้าของนางฉายชัดเจนทว่าพระคู่หมั้นก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะยินดีกับพิธีอภิเษกที่ที่กำลังใกล้เข้ามาอีกไม่กี่ปี …หากพระคู่หมั้นมีความรักให้นางจริงนางก็พอจะยอมรับการอภิเษกครั้งนี้ …ทว่าพอมองเข้าไปในดวงตากลับพบแต่ความกระหายในอำนาจ นางไม่สามารถค้านได้เพราะไม่มีการแสดงออกใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพระคู่หมั้นไม่ได้รักนางจริง …ได้แต่รอวันอภิเษกที่คล้ายกับวันประหารด้วยใจทุกข์ระทม
พอมีเวลานางก็ไปหาพลับพลึง ทว่าก็ไม่พบ นางหลั่งน้ำตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้ ต้องมาแต่งกับคนที่ไม่ได้ตนเองจริงแล้วต้องมาเสียเพื่อนรักอีก สำหรับนางที่ชีวิตโตมากับอำนาจนั้นย่อมไม่อาจสามารถหาความรักได้เท่ากับปุถุชนธรรมดาทั่วไป ยิ่งคิดยิ่งนึกเจ็บใจ แค้นใจ นางเพิ่งมาคิดแผนไม่ดีว่าน่าจะพาพลับพลึงหนีไปอยู่ในที่ๆ ไม่อาจมีใครหาพบ
…นางอยากตาย
มาถึงแล้ว วันประหารสำหรับนาง ฉลองพระองค์ถูกแต่งอย่างงดงาม พอถึงเวลาแล้วนางก็ก้าวออกไปจากห้อง มองเบื้องล่างที่มีผู้คนมาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับพระคู่หมั้นที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นพระสวามีแล้ว
โบกมือพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น ทว่าจากตรงนี้และข่างล่างช่างห่างไกลจนไม่มีใครสังเกต
…อย่าว่าแต่เบื้องล่างเลย ขนาดชายข้างกายยังไม่รับรู้
ในใจของนางตอนนี้อยากจะวิ่งออกไปให้ไกลที่สุด ไม่ก็ไปหาพลับพลึงซึ่งหนีหายไปหลายวันหลายเดือนแล้ว ดวงตาเรียวยาวดุจหงส์ดูเบื้องล่างว่าเพื่อนรักของตนเองจะมาหรือไม่ ทว่ามีคนและอยู่ห่างกันมากจนไม่อาจหาได้
…ตอนนี้ นางตายทั้งเป็นแล้ว…
ในขณะนั้น ณ เบื้องล่างจุดหนึ่ง หญิงสาวที่แต่งกายแบบชนชั้นธรรมดาก็เงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย
เจ้าเลือกพระสวามีสินะ …ใช่สิ คนธรรมดาเช่นข้ามีสิทธิ์อันใดด้วยล่ะ
คนๆ หนึ่งยืนอยู่ ณ ที่สูงส่งจนไม่สามารถก้าวลงไปหาได้ ส่วนอีกคนก็ยืนอยู่ ณ ที่ชั้นต่ำจนไม่อาจก้าวขึ้นไปได้ ระยะห่างนั้นช่างไกลเหลือแสนยิ่งกว่าเส้นขอบฟ้า ทั้งๆ ที่อยู่เพียงแค่เอื้อมก็สามารถทำได้ เพียงแต่มีกำแพงชนชั้นมาขวางกั้นไว้
ได้แต่ร้องไห้ในใจ
กรรมใดหนอที่ทำให้ข้ามีชีวิตเยี่ยงนี้?
เมื่อถึงเวลากลางคืนแล้วคมกฤชก็หลับ จนพระสวามีแสดงความไม่พอใจ ตอนแรกก็คะยั้นคะยอให้นางทำกิจสามี-ภรรยาอย่างที่ทำกันหลังพิธีแต่งงานเสร็จ
“หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะให้เกียรติอย่างที่เคยทำ” คำนั้นทำให้อีกฝ่ายสะอึกและหวาดหวั่น แต่ที่ทำให้เขารู้สึกมากกว่านั้นก็คือดวงตาเรียวดุจหงส์ที่ฉายความเคียดแค้น เย็นยะเยือกยิ่งกว่ารัตติกาลที่กำลังโอบล้อมอยู่ตอนนี้
กระนั้นพระสวามีก็ยังทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมีชัย จะกลัวอะไรในเมื่อนี่คือสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่เขาก็สามารถทำอะไรกับนางได้ทั้งนั้น!
---หารู้ไม่ว่าเพราะคิดแบบนี้แหละที่จะทำให้ตนเองตายเร็ว---
ข้างกายนางคือกษัตริย์ขณะเดียวกันก็เป็นพระสวามี จิตใจของนางร่ำหาแต่สหายที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว รู้สึกเหมือนตนเองเป็นศพที่นั่งกับคนเป็น
…อยากฆ่าตัวตาย แต่กลัวจะเพิ่มบาปให้แก่ตนเอง ---ตอนนี้ก็ว่าหนักหนาแล้วหากสร้างบาปชาติหน้าอาจจะต้องชดใช้มากกว่าเดิม ขณะที่คิดอย่างเหม่อลอยและเศร้าโศกพระสวามีก็เรียกนางหลายต่อหลายครั้ง นางไม่รับรู้ราวกับปิดกั้นตนเองกับพระสวามีให้อยู่คนละโลก
ถ้าให้เปรียบก็เป็นโลกของคนตายและคนเป็น
“ยังมิมีบุตรอีกฤ?” ในวันหนึ่ง จู่ๆ พระมารดาของคมกฤชก็ถามขึ้นอย่างกังวลและไม่พอใจ นางมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาตรงๆ
“เหตุใดจึงยังมิทำกิจนี้?”
“ลูกต้องขอประทานโทษด้วยเพคะ …แต่ ลูกรู้สึกว่ายังมิสมควร”
“ไฉนจึงคิดเช่นนี้?” คำถามนั้นยิ่งกดดันให้กับคมกฤช
เพราะข้ายังมิอยากเสียพรหมจรรย์โดยที่มิอาจวางใจพระสวามีได้
ทั้งห้องที่ยืนคุยกันอยู่เงียบลงอย่างน่าอึดอัด คมกฤชตัดสินใจทูลลาก่อนจะก้าวออกจากห้องด้วยสีหน้าที่ขมขื่น รู้สึกผิดที่ไม่อาจมีบุตรเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ แต่อีกใจก็ดื้อดึงไม่ยอมเสียพรหมจรรย์กับชายที่ไม่ได้รัก
ข้าควรจะทำเช่นไรดี พลับพลึง?
ในขณะนั้นเอง ผู้ที่ถูกคมกฤชนึกถึงพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า พลับพลึงฉงนว่าทำไมจู่ๆ ตนเองก็มองท้องฟ้า หัวใจเจ็บแปลบขึ้นทันใด มองท้องฟ้าก็เหมือนมองคมกฤชซึ่งกลายเป็นราชินีแล้ว
มองด้วยความปวดร้าว ดวงตาฉายความเศร้าโศกอย่างเวิ้งว้างเดียวดาย นางลดสายตามามองพื้นก่อนจะทำงานต่อ
คมกฤชเริ่มที่จะศึกษาไสยศาสตร์ เพราะอยากมีอะไรมาป้องกันตัวบ้าง ในยุคสมัยที่ผู้หญิงแทบไม่มีสิทธิ์มีเสียงนั้นการมีวิชาติดตัวก็ย่อมดี เผลอๆ นางจะใช้ไสยศาสตร์สาปแช่งพระสวามีอีกต่างหาก ตอนแรกที่เริ่มศึกษาร่ำเรียนนางก็กังวลว่าจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงญาณและบทเวทคาถา แต่ช่วงนี้เริ่มจะมีสงครามก็นับว่าดีสำหรับนางเพราะพระสวามีเริ่มจะไม่มีเวลาอยู่ในพระราชวัง จึงเหลือเพียงแต่คมกฤชและบ่าวที่คอยปรนนิบัตินาง
ณ ตั้งแต่วันนั้นที่ตั้งใจร่ำเรียน นางก็สั่งบ่าวห้ามให้ใครเข้ามาในห้องบรรทม นางยังขู่อีกว่าหากเข้ามาได้ตายไม่ดีแน่ แม้นางจะไม่ทำเช่นนั้นจริง แต่น้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นก็สามารถทำให้หลายคนน้อมรับคำสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ใช่ว่านางร่ำเรียนจนลืมสหาย แต่เพราะนางยังไม่มีใจกล้าพอเลยปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป มีอยู่วันหนึ่งที่นางตัดสินใจหนีออกทางหน้าต่าง ยังดีที่ไม่มีทหารหรือบ่าวคนไหนอยู่นางจึงสามารถลอบออกไปได้
อากาศช่วงนี้ค่อนข้างหนาว และด้วยความที่นางเป็นคนขี้หนาวด้วยแล้วร่างกายจึงสั่นง่ายๆ นางกระชับผ้าคลุมไหล่และผ้าที่คลุมศีรษะพันปลายรอบคอให้แน่นขึ้นพลางก้าวเดินต่อไป เดินในทางที่คดเคี้ยวเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้คนเริ่มน้อยลงเพราะไม่ใช่เส้นทางที่ใช้บ่อยๆ คมกฤชหยุดเดินแล้วจ้องเข้าไปในกระท่อมที่โอบล้อมด้วยบรรยากาศอึมครึมราวกับถ่ายทอดมาจากผู้เป็นเจ้าของ
สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มันชัดเจนมาก …ตอนนี้ข้าก็รู้สึกมิต่างจากเจ้าดอก
“…พลับพลึง”
นางเรียกหลังจากที่ทำใจได้พักหนึ่ง ทว่าไร้ซึ่งเสียงใดๆ …มันเงียบมาก กระทั่งเสียงลมพัดก็ไม่มี คมกฤชไม่สบายใจจึงถือวิสาสะเข้าไปในกระท่อมที่ค่อนข้างจะผุพังแล้วแต่ยังดีที่ทนทานได้หน่อย มีผ้าเก่าๆ พาดไว้บนราว มะพร้าว อ้อยวางไว้ตรงมุมหนึ่งข้างๆ ก็มีกระจาดวางอยู่ คมกฤชมองสภาพกระท่อมอย่างเห็นใจและรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นสหาย แต่นางลืมเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ไป นางเองก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นชนชั้นใด แต่มันยากจะยอมรับที่เห็นสหายตนเองต้องมีชีวิตลำบากเช่นนี้
พลับพลึง…
“เจ้าอยู่ไหน?” นางถามด้วยเสียงที่สะอื้นเต็มทีเพราะใกล้จะร้องไห้ ว้าเหว่เศร้าโศกเสียใจจนไม่สามารถระบายออกเป็นคำพูดได้ ในยามโศกเศร้าสิ่งที่จะอธิบายความรู้สึกชัดเจนที่สุดคือน้ำตา นางมีอำนาจ มีชีวิตสุขสบาย มีเงินทองที่สามารถแลกอะไรก็ได้---
ยกเว้นความรู้สึก
คนบางคนแค่ใช้เงินฟาดหัวก็สามารถทำให้คนๆ นั้นอยู่ใต้อำนาจ แต่คนบางคนต่อให้มีมากกว่าเงินทองก็ไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ
นางคือประเภทที่ ๒ มีอำนาจแต่ไม่ได้มาซึ่งทุกสิ่ง …และสิ่งที่นางปรารถนาตอนนี้คือสหายรักของตนที่ห่างหายไปหลายเดือนแล้ว ยิ่งกว่าโลกล่มสลาย ชีวิตที่สุขสบายแต่ไร้ซึ่งความรักสำหรับนางแล้วมันเหมือนตกนรกทั้งเป็น โดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีผู้คน คมกฤชทรุดลงกับพื้นที่ค่อนข้างสกปรก แทบไม่มีแรงขยับแม้แต่ปลายนิ้ว มือ ปากและอวัยวะส่วนอื่นสั่นราวกับคนไม่มีสติ กล้ามเนื้อเกร็งไปหมด น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“…คมกฤช?”
มีเสียงเรียกคมกฤชเบาๆ ตอนนี้เหมือนเมฆหมอกบังจนแทบมองไม่เห็นภาพความเป็นจริงเบื้องหน้า นางไม่เงยหน้า ไม่ถามว่าใครเพราะความรู้สึกบอกว่าต้องเป็นสหายรักของตนแน่ พอยิ่งรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็ไม่กล้าเงยหน้า ไม่รู้ว่าทำไม ใจหนึ่งอยากจะกอดแน่นๆ ให้รวมกันเป็นหนึ่ง แต่อีกใจก็หวาดกลัวว่าจะมีอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายมากกว่านี้
“เงยหน้าขึ้น…” พลับพลึงกล่าวแล้วนั่งคุกเข่าก่อนจะประคองหน้าคมกฤชให้เงยขึ้น เมื่อใบหน้าสวยเงยให้เห็นชัดกว่าเดิมนางก็ต้องกลั้นหายใจ ความรู้สึกเจ็บร้าวราวกับมีมีดมาแทงหลายครั้งพลันกัดกินจิตใจจนทรมาน หยาดน้ำตาที่ไหลตามแก้มแล้วหยดลงบนพื้นทำให้นางสะเทือนใจมาก ไม่รอช้ารีบใช้นิ้วมือปาดอย่างร้อนรน
“คมกฤช เจ้าเป็นอันใด? ไยถึงร้องไห้เล่า?” คมกฤชไม่ตอบแต่กอดพลับพลึงแล้วซุกหน้ากับอกจนน้ำตาที่ออกมาซึมเข้ากับผ้าคาดอกของพลับพลึง พลับพลึงลูบหลังคมกฤชอย่างอ่อนโยน พอเห็นเพื่อนรักของตนร้องไห้นางก็พลอยจะร้องไห้ไปด้วย ตอนนี้นางจะไม่ถามคมกฤชเพราะยิ่งถามจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายนึกเรื่องแย่ๆ
กล่าวตามตรงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางเกลียดแค้นคมกฤชมากที่ทิ้งนางไปแล้วนั่งอยู่บนบัลลังก์เคียงข้างกับพระสวามี คิดอยู่เสมอว่าคมกฤชเห็นอำนาจดีกว่าตนเอง ใจจริงก็ยอมรับอยู่ว่าคนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าอำนาจเพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายรุ่งโรจน์ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็คิดว่ามันก็ไม่ถูกอยู่ดีที่คมกฤชไปหาคนใหม่อย่างพระสวามีที่อย่างไรเสียก็มีฐานะสูงส่งในเชื้อพระวงศ์ คิดมาตลอดว่าคมกฤชเห็นตนเองเป็นของเล่นที่พอเล่นจนเบื่อก็ทิ้งขว้างไป
…แต่พอมาวันนี้ ตอนแรกที่เห็นคมกฤชทรุดอยู่กับพื้น พลับพลึงก็คิดว่าจะหัวเราะเยาะ เย้ยหยันซ้ำเติมกับสิ่งที่นางทำและเป็นอยู่โดยคิดว่าตนเองจะใจแข็งพอมองเห็นเพื่อนรักตนเองร้องไห้ได้ …แต่พอให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นเท่านั้นแหละ ความรู้สึกผิดก็ประดังเข้ามา
“ข้าขอโทษ…” คมกฤชกล่าวด้วยเสียงที่สะอื้น เสียงแหบพร่าเพราะส่งเสียงร้องครวญร่ำไห้ ดวงตาที่เคยงดงามบัดนี้ มีสีแดงเจือจางๆ เส้นเลือดเห็นชัดกว่าเดิมและใสเพราะน้ำตา ราวกับดอกบัวที่โตไม่พ้นจากน้ำให้เห็นความงดงาม ฉายความรู้สึกทุกอย่างที่เป็นอยู่ราวกับจะเล่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์
…แม้คมกฤชจะยังไม่ได้เล่าความจริงเพื่อให้พลับพลึงหายเข้าใจผิดและให้อภัย …แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่ฉายชัดผ่านทุกอย่างในตัวคมกฤชก็เพียงพอที่จะเล่าความจริงแล้ว…..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ