ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
72) บทที่ ๗๒: ประโยชน์ที่ซ่อนด้านไม่ดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่๗๒
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ประโยชน์ที่ซ่อนด้านไม่ดี
ธันนะนั่งเงียบๆในศาลาที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ในหัวคิดแต่เรื่องของศรีและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากวันแรกที่เจอกันที่กรุงเทพฯในโลกเดิมและมาที่โลกนี้ตอนแรกศรีก็ดูจะคุยเล่นกับเขาเหมือนเพื่อนสนิทแต่ไปๆมาๆดันกลายเป็นว่าศรีเริ่มห่างเหินกับเขาจนกลายเป็นว่าแทบเหมือนไม่เคยรู้จักกัน
หรือมันเป็นความผิดของเขาเอง? ศรีคงจะทำถูกแล้วเพียงแต่เขาไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นและกำลังพัฒนาแต่เพราะเขาที่เคยชินกับนิสัยตนเองเลยทำเป็นเย็นชาไม่สนใจเธอ
สรุปรวมๆก็คือ…ธันนะทำตัวเขาเอง
ธันนะถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ไม่มั่นใจความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรแต่ที่ตอบได้ชัดเจนคือเขาเจ็บเจ็บมากด้วย…
เขานั่งคิดทบทวนนานแล้วก็ได้สรุปว่าตนเองนั้นไม่ได้รักศรีเชิงชู้สาวแต่เขารู้สึกผูกพันกับศรีอย่างบอกไม่ถูกคิดแล้วเขาก็ยิ้มมุมปากสมเพชตนเองที่รู้สึกผูกพันกับคนที่เจอกันรู้จักกันไม่กี่ครั้ง …แต่ชีวิตเขาที่แทบจะไม่มีใครนั้นพอมีใครก้าวเข้ามามันก็กลายเป็นเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
หรือว่าตอนนี้เราอาจจะไม่ได้รักศรีแต่ถ้ารู้จักกันไปเรื่อยๆก็คงจะรักสินะ?
ธันนะสรุปไว้เท่านี้เขาเผลอเหลือบเห็นเสไพรที่เดินมากับคาตานะซึ่งกำลังคุยกันอยู่ระหว่างเดินธันนะละความสนใจเท้าคางกับพนักพิงมองดอกบัวบนผิวน้ำเสไพรพูดอะไรบางอย่างกับคาตานะก่อนจะเดินเข้ามาในศาลาธันนะเหลือบมองชั่วหนึ่งก่อนจะหันไปมองดอกบัวต่อเสไพรยิ้มบางๆก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆ
“นายหัดเล่นกับคนอื่นๆบ้างสิ”
“ไม่”
“ที่ไม่ยอมนี่กลัวจะโดนแบบที่โลกเดิมเหรอ?”เสไพรถามพลางเท้าแขนกับพนักพิงธันนะเปลี่ยนมานั่งหันหลังให้เสไพรแทนเพราะรำคาญจะออกไปก็คงไม่ได้อีกในเมื่อที่นี่มีดอกบัวให้ชมแถมเงียบอีกต่างหาก
“…เปล่า”ธันนะเองก็อธิบายไม่ถูกแต่เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยตอบส่งๆเสไพรครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ย
“อย่าบอกนะว่ากลายเป็นคนเข้าสังคมไม่เป็น?”หากนั่นไม่ใช่คำพูดธันนะคงจินตนาการไปเองว่ามันคือมีดที่ทิ่มแทงใจ …แทงใจดำมากเพราะสิ่งที่เสไพรถามมันคืออุปนิสัยของธันนะซึ่งเป็นคนเข้าสังคมไม่เป็นเพราะถูกคนรอบข้างรังเกียจ
“…”
“เอ่อ…ฉันพูดแรงไปเหรอ?”เสไพรเห็นธันนะนั่งนิ่งมากจนเผลอคิดว่าเป็นรูปปั้นเขาเขย่าไหล่ธันนะทว่าไม่มีการตอบรับจากผู้ถูกกระทำเสไพรใจเสียจึงลุกขึ้นเดินไปจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ
“ไม่…”เสียงที่ตอบไปเบามากธันนะก้มหน้าไม่พูดไม่จาจนเสไพรชักรำคาญจึงจับหน้าอีกฝ่ายไว้แล้วทำให้เงยหน้าขึ้นธันนะเบิกตาด้วยความตกใจที่จู่ๆเสไพรก็ทำแบบนี้และสีหน้าที่เคยดูขี้เล่นกลายเป็นจริงจังขึ้นมานั่น
“เฮ้อ…”เสไพรถอนหายใจรู้สึกว่าธันนะเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่ประสีประสาอะไรธันนะฉายความสงสัยผ่านสีหน้าเสไพรเห็นดังนั้นเลยกล่าว
“ฉันเข้าใจว่าการถูกคนรอบข้างรังเกียจอาจทำให้นิสัยบางคนเปลี่ยนไปอย่างนายเองก็คงจะเหมือนกันใช่ไหม?”ธันนะเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าออกแล้วพยักหน้าช้าๆ
“งั้น…นายลองดูศรีสิจากที่ฉันเคยไปคุยกับเฉาก๊วยมาเธอโดนหนักกว่านายอีก …เกือบจะตายตั้งหลายครั้งไม่เหมือนนายที่โดนรังแกมีเรื่องเตะต่อยแต่ก็ไม่ทีท่าจะตายสักครั้งศรีเคยเกือบจมน้ำตายเกือบถูกรถชนโดนเล่นของใส่บ้างล่ะถูกพวกวิญญาณตามฆ่าบ้างล่ะแต่เธอก็ยังยิ้มได้พยายามเล่นกับเพื่อนบ้างแล้วลองดูตัวนายสิ? นับวันยิ่งจะเก็บตัวเองไว้ในโลกของตนเองแล้วเล่นกับน้องชายท่าทางก็ยังเย็นชาจนไม่มีใครเข้าใกล้อีก”
“…” ธันนะเผลอสบตาเสไพรโดยไม่รู้ตัวเพิ่งเห็นสิ่งที่คล้ายกันระหว่างตนเองกับศรีแม้จะคล้ายกันแต่ก็แตกต่างกันอยู่ดี
เสไพรหยุดไว้เท่านั้นตามจริงศรีก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆแต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเพิ่มเติมคือแม้ศรีจะยิ้มได้และพยายามทำให้ตนเองมีความสุขและเล่นกับเพื่อนๆทว่าจิตใจด้านมืดอีกด้านก็คอยสั่งการให้สังหารผู้ที่ทำร้ายตนเองร่ำไปแต่เขาไม่กล้าพูดเพราะอยากใช้เรื่องนี้เป็นการสอนธันนะให้เห็นการใช้ชีวิตที่กำลังพัฒนา
แม้จะเป็นการพัฒนาที่ซ่อนด้านไม่ดีไว้ก็ตาม…
ธันนะละการสบตามามองตักตนเองเสไพรใช้โอกาสนั้นมองคาตานะที่ซ่อนตัวอยู่อีกฝ่ายพยักหน้าเสไพรเห็นสัญญาณนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับธันนะ
“ไปเดินเล่นไหม? นั่งๆแบบนี้อุดอู้จะตาย”กล่าวจบเสไพรก็จับข้อมือธันนะแล้วดึงขึ้นโดยไม่รอคำตอบจากธันนะว่าจะไปหรือเปล่าธันนะทำท่าจะโวยวายแต่พอเห็นเสไพรยิ้มอย่างร่าเริงขึ้นมาก็ไม่กล้าทำคาตานะมองทั้งสองเดินไปพลางยิ้มไปด้วย
หวังว่าจะมีอะไรให้ธันนะจำเรื่องในชาติก่อนบ้างล่ะนะ
ณ โรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคม
“สุดท้ายแล้วทั้งนักเรียนของเราและโรงเรียนฟิคซาก้อนก็ไม่ได้ช่วยทำภารกิจสินะ?” เด็กชายร่างเล็กใส่ชุดประถมผมสีน้ำเงินกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย โดยมีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลออกส้มยิ้มอย่างสบายใจเป็นคู่สนทนา
“ว่าตามจริงเรื่องนี้เหล่าท่านนายิกาก็จัดการได้อยู่แล้ว”
“ถ้างั้นแกจะส่งพวกเด็กๆ ไปทำไม?” เด็กชายขมวดคิ้วจนแทบจะทำให้มีรอยย่นบนหน้าผาก ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำหน้าเคลียด เดี๋ยวหน้าก็ย่นเป็นหมาพันธุ์ปั๊กหรอก รู้ก็รู้ว่าตัวเองถึงวัยกลางคนแล้วยังจะเคลียดให้เสียสุขภาพอีก” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ เด็กชายคนนั้นหยิบแฟ้มตบหน้าชายหนุ่มไม่ยั้งมือ
กล่าวตามจริงเด็กชายคนนี้ไม่ได้อยู่ประถมแล้ว เขามีอายุประมาณห้าสิบกว่าปี แต่เขาใช้อาคมในการจำแลงร่างให้เป็นเด็ก เหตุผลเพราะเขารู้สึกอยากย้อนวัยไปอีกครั้งคงจะทำให้นึกถึงเรื่องตอนอยู่ประถม (และจะได้เข้ากับเด็กๆ) แต่คนที่รู้คงจะแปลกใจว่าทำไมถึงไม่จำแลงร่างตอนอยู่มัธยมเพราะน่าจะเป็นวัยที่มีสีสันกว่า แต่เขาให้เหตุผลว่าวัยมัธยมเป็นอะไรที่รุนแรงกว่า (ในความคิดของเขา) เลยกลัวว่าจะนึกถึงเรื่องในวัยนี้
…แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะวัยในของมิติผกายก็ล้วนรุนแรงทั้งสิ้น
หลังจากที่ตบไปแล้วเด็กชาย (ร่างจำแลง) ก็ไม่กล่าวอะไรอีก เขาจิบกาแฟเผื่อว่าจะใจเย็นลงโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ที่ไม่ตอบคำถามของเขาแต่คงจะตอบได้หรอกโดนตบขนาดนั้น… พลางนึกถึงเรื่องภารกิจของคดีลักมีดอรัญญิก
ก่อนหน้าที่จะส่งนักเรียนไปทำภารกิจทั้งประถมและมัธยมเขาก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะมันอันตรายเกินไป แม้นักเรียนในมิตินี้จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่อันตรายมากกว่านี้แล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครเจ็บอะไรเวลาเห็นคนที่รักเจ็บแม้จะเป็นสายเลือดอมตะก็ตาม การตัดแขนตัดขา ควักอวัยวะภายในออกมาก็เป็นเรื่องปรกติ (แต่ทำได้กับสายเลือดอมตะ)
สำหรับเด็กชาย (ร่างจำแลง) แล้วที่เกิดและโตที่มิติสามัญก็ทำใจไม่ค่อยได้กับเรื่องนี้ แต่ด้วยที่พ่อของเขาเป็นคนมิติผกายเลยถูกพามาที่มิตินี้และฝึกการใช้ชีวิตแม้จะรับไม่ได้เพียงใดก็ตาม แม้ตอนนี้เขาจะอยู่มาหลายปีกระทั่งถึงวัยที่จะแต่งงานแล้วจนพอที่จะชินได้กับเรื่องแบบนี้ แต่ลึกๆ ก็รังเกียจอยู่ดี
และเรื่องที่พวกเขาคุยกันถึงการส่งนักเรียนไปช่วยทำภารกิจเขาคิดว่าไม่น่าจะส่งไปเพราะได้ข่าวมาว่าแรงจูงใจก่อคดีเป็นความแค้นกับเหล่านายิกาเลยไม่อยากให้นักเรียนไปตายในห้วงความแค้นของคนร้าย แม้ประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์จะเป็นสายเลือดอมตะแต่ก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องบาดเจ็บ
ด้วยความที่เขาคิดแบบนี้แหละ คิดมากกับเรื่องที่ยังไงก็ธรรมดาอยู่แล้วของมิติผกายจนคนส่วนใหญ่ในมิตินี้มองว่าเขาคิดมากจนขั้นน่าเป็นห่วง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย
…ถ้า… งั้นลองมาเจอแบบนี้สิ ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ค่อยเห็นอวัยวะภายในแล้วมาเจอแบบนี้เป็นใครก็แทบจะลมจับ ที่เขาไม่สลบไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มามิตินี้ก็ถือว่าบุญแล้ว
เด็กชาย (ร่างจำแลง) หรี่ตามองอ่านเนื้อหาเอกสารบางแผ่นพลางจิบกาแฟ หยุดครุ่นคิดเรื่องนี้ไปพักหนึ่ง…
หลังจากทานอาหารและพักผ่อนพอแล้วก็กลับมาที่การประลองอีกครั้งโดยประลองกันทั้งหมด ๓ คู่ การแข่งนายิกานั้นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะนายิกา ๑ คนก็ต้องประลองกับนายิกาอีก ๕ คน โดยจะเวียนจนกว่าทุกคนจะได้ประลองกับอีก ๕ คนจนครบ รองนายิกาเองก็เช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือมองการประลองอย่างเหม่อลอยพลางนึกถึงอดีตนายิกาคนนั้น
อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ …อดีตนายิกา
มณฑายืนมองกินรีตนหนึ่งซึ่งถือหอกอยู่ สักพักนางก็ถาม
“สมุนผู้ลักมีดสินะ?”
“ใช่”
“อยากฆ่าฉันไหม?” นางถามเหมือนถามเด็กว่าอยากได้ของเล่นไหม คำถามนั้นสร้างความหงุดหงิดให้กับกินรีไม่น้อย ทว่าเจ้าตัวก็ยังทำใจเย็นแล้วตอบ
“หึ นั่นมันงานของข้านี่นะ”
“ตอบมิตรงคำถามเลยนะ”
มณฑายิ้มมุมปากช่างขัดกับคำพูดที่น่าจะเป็นอารมณ์โกรธ นางกวักมือเชื้อเชิญให้กินรีโจมตีก่อนซึ่งอีกฝ่ายก็เชื่อฟังเหมือนเด็กๆ ในสายตานางจริงๆ ขาที่เป็นนกนั้นถีบพื้นแล้วพุ่งเข้ามาก่อนที่คมหอกจะหวดเข้ามา มณฑาสะบัดพัดที่ยังไม่คลี่ตีมันออกไปอย่างแรง จนดูเกินคุณสมบัติของพัดที่ไม่น่าจะปัดของมีคมได้อย่างง่ายดาย นางสะบัดพัดอีกครั้งจนกลไกในพัดเรียกแท่งเล็กออกจากที่ยึดของผ้าพัดก่อนจะหวดแท่งเหล็กใส่กินรี อีกฝ่ายรับด้วยหอกจนเกิดเสียงดังเคร้ง!
ย้อนหลังกลับไปก่อนที่มณฑาจะมาเจอกินรีตนนี้ นางออกมาเดินเล่นและสำรวจในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณเลยลองเรียกเจ้าของมัน …จึงพบกับกินรีตนนี้นั่นแหละ
ตามจริงก่อนที่นางจะมาที่ภาคใต้นางก็ไปกับพินทุได้นั่นแหละ แต่เพราะคิดว่าพอไปถึงคงไม่มีอะไรทำนอกเสียจากจะต้องรอให้อดีตนายิกามาเผยโฉม
มีอยู่วันหนึ่งที่มณฑาไปที่ทำการนายิกา นางเข้าไปที่ห้องเก็บศพ ได้คุยกับโคมรัตติกาลซึ่งกำลังสั่งให้วิญญาณของตนตรวจสอบศพอยู่ ในร่างศพทุกร่างนั้นพบว่ามีสารบางอย่าง… ไม่สิ เหมือนเป็นน้ำที่ผ่านพิธีกรรมบางอย่างมา นางถามโคมรัตติกาลว่ามันมีคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเป็นเชิงตอบไม่ทราบก่อนจะตอบ
‘คุณสมบัติที่น่าจะเกี่ยวข้องในการทำงานของพวกมันข้ามิรู้ดอก แต่ตอนนั้นมีนายิกาคนหนึ่งทำมันหกลงดิน กลายเป็นว่าดินมีความเหนียวนุ่มมากกว่าเดิม แถมต้นไม้โตในชั่วพริบตาอีก’ มณฑาได้ฟังดังนั้นก็ยกพัดปิดปากแล้วหัวเราะกับคุณสมบัติที่ใช้ได้ดีในการทำเกษตร จะบอกว่าดีหรือไม่ดีก็ตัดสินไม่ได้ ซึ่งนางก็ได้ขอน้ำนั่นมาใส่ขวดหนึ่งนำกลับไปด้วยก่อนจะออกจากที่ทำการนายิกา
ไหนดูซิ ว่ากินรีตนนี้จะมีน้ำนั่นฤๅไม่?
มณฑายิ้มมุมปากพลางรับหอกและจู่โจมกลับ ใจของนางเริ่มปรารถนาน้ำที่ผ่านพิธีกรรมนั่นมากขึ้น
ไม่ได้หวังเป็นอะไรพิเศษหรอก แค่จะนำไปฝากธัญ นายิกาแห่งจังหวัดลพบุรีก็เท่านั้นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ