ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

71) บทที่ ๗๑: พอมีคนรักมากขึ้นมันก็จีบยากขึ้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๗๑

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

พอมีคนรักมากขึ้นมันก็จีบยากขึ้น

                กับบุษราคัมหลับตาพริ้ม แม้ในใจอรุโณทัยจะแปลกใจว่าทำไมบุษราคัมถึงยอมรับได้ง่ายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องความรู้สึกรักในครอบครัวเชิงชู้สาวเป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่อีกใจก็คิดว่าบุษราคัมอยู่มามากกว่า ๑๐๐ ปี แล้วน่าจะเป็นคนที่ผ่านโลกมามากแล้วเลยอาจจะทำใจอะไรง่าย

                ซึ่งที่นางคาดมันก็ถูก แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือบุษราคัมเคยมีความรู้สึกแบบนั้นแต่นางไม่รู้ตัว

                ทั้งสองรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายร้อนขึ้นเพราะอารมณ์ที่เริ่มจะบานปลาย บุษราคัมค่อยๆ ถอนริมฝีปากอย่างอ่อนโยนก่อนจะกอดลูกของตน

                “ไปทานข้าวกันเถิด” นางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม อรุโณทัยพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนพร้อมกับแม่ของตน ทั้งสองกุมมือเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกดีๆ…

                .

                .

                .

                ในระหว่างที่ทั้งสองลงมาก็มองไปรอบๆ ด้วย ที่พักชั่วคราวเป็นเรือนไทยหลังใหญ่ ห้องโถงกว้างราวกับคฤหาสน์ ไม่สิ ที่นี่คือห้องทานอาหาร โต๊ะยาวจนอรุโณทัยนึกถึงมื้อค่ำของชาวตะวันตกสมัยก่อน เพราะมันสามารถนั่งได้มากกว่า ๓๐ คน ตรงกลางโต๊ะมีดอกไม้ประดับในแจกันใส จานอาหาร ช้อน ส้อม มีด แก้วน้ำ และที่รองถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ นางพบว่ามีนายิกาและรองนายิกาคนอื่นๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้วแต่อาหารยังไม่ถูกนำมาเพราะเกรงว่าอาหารจะชืดก่อน เมื่อมาถึงยังโต๊ะทานอาหารทั้งสองก็ยกมือไหว้ตามมารยาทที่มาช้า แต่ก็ไม่มีใครถือสา บ่าวที่เห็นว่าทุกคนมาครบแล้วก็เข้าไปในครัวเพื่อบอกให้บ่าวคนอื่นนำมา

                “บุษราคัม… ทำไมเจ้าถึงแพ้ง่ายๆ ล่ะ?” อรรณพกระซิบถาม พยายามไม่ให้ภุชงค์ได้ยินซึ่งเจ้าตัวนั่งฝั่งตรงข้ามถัดไปเลยพอหลบเลี่ยงได้ บุษราคัมตีหน้าขรึมก่อนจะเปลี่ยนเป็นแจ่มใสจนอรรณพมองอย่างตกตะลึง

                “ภุชงค์เป่าหูข้าเรื่องของข้ากับอรุโณทัยจนโดนนางหลอกให้จิตใจสั่นไหวจนนางสามารถจู่โจมเข้ามาในจิตใจได้ แต่ตอนนี้ปรับความเข้าใจกับอรุโณทัยแล้วล่ะ” บุษราคัมตอบยิ้มๆ อรรณพเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะนั่งนิ่งๆ เช่นเดิม

                อาหารโชยกลิ่นหอมมาแต่ไกล ควันขาวบางๆ บิดตัวเป็นเกลียวลอยหายไปเบื้องบน นายิกาบางคนก็สั่งให้บ่าวนำข้าวต้มมาให้ ข้าวต้มส่งกลิ่นหอมของใบเตยที่ผสมลงไปด้วย น้ำในแก้วมีดอกมะลิลอยอยู่ส่งกลิ่นหอมหวาน

                “บัดเดี๋ยวแม่จะป้อนให้นะ” บุษราคัมบอกเบาๆ ก่อนจะตักอาหารให้อรุโณทัย ลูกของตนอ้าปากเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เอาเข้าปากแล้วเคี้ยวลิ้มรสชาติโอชาก่อนจะกลืน พินทุมองภาพนั้นนิ่งๆ เมื่อคิดแผนการบางอย่างก็คลี่ยิ้มก่อนจะหันไปเอ่ยเสียงหวานกับคีรี

                “คีรี~ เรามาทำแบบนั้นบ้างเถิด”

                “ไม่!” คีรีตอบเสียงแข็ง นางใช้มือตบอีกฝ่ายด้วยแรงเท่าช้างหลายโขลง (?) จนหน้าของพินทุทิ่มลงจานอาหาร ซอและนายิกากับรองนายิกาบางคนยิ้มอย่างระอา บางคนก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย บ่าวบางคนที่เดินมาเห็นเข้าก็แทบหวีดเสียง นางรีบเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้พินทุ คีรีมองผลงานของตนอย่างภาคภูมิใจก่อนจะทานอาหารต่อ

                “โหดร้าย…” พินทุตอบเสียงหงอย คีรียกมือขึ้นเป็นเชิงว่าถ้าไม่เลิกเล่นจะฟาดอีกรอบ พินทุส่ายหน้าแล้วทานอาหารต่อเช่นกันแต่ไม่วายลอบมองซึ่งคีรีก็มองกลับก่อนจะยิ้มมุมปากจนอีกฝ่ายหน้าตึงขึ้นมา นี่ถ้าเป็นการ์ตูนคงจะเห็นว่าหน้าของคีรีมีเส้นเลือดผุดนูนขึ้นแล้วล่ะ

                หญิงสาวสวมชุดแบบเซิ้งอีสานแต่แตกต่างกับภุชงค์ตรงที่นางสวมเสื้อแขนยาวทับด้วยสไบที่พันปล่อยชายไว้ด้านหน้า สวมสร้อยเหมือนพระจันทร์เสี้ยวกลับด้านมีลูกย้อยลงมาทรงหยดน้ำ ผมออกสีน้ำตาลของนางเกล้าขึ้นไม่เหลือไว้ดูเรียบร้อย ประดับด้วยใบไหวสีทอง ข้อมือและข้อเท้าของนางใส่กำไลไว้ด้วย นางเหลือบมองนายิกาของตนเองที่มองคีรีอย่างเหม่อลอย เห็นเช่นนั้นก็จะเอ่ยไม่ได้จึงเอ่ยภุชงค์ นางเผลอนึกถึงอดีตที่มีภุชงค์และคีรี

                “ภุชงค์… ตัดใจจากนางเสียเถิดในเมื่อนางมิรักเจ้า”

                “ความรู้สึกคนเรามันห้ามยากนะ… ศุภรางศุ์” ภุชงค์เอ่ยเบาๆ พินทุละความสนใจมามองทั้งสองอย่างสนใจ ศุภรางศ์ รองนายิกาของภุชงค์ถอนหายใจก่อนจะทานอาหารต่อ

                หืม?

                พินทุเลิกคิ้ว เหลือบมองคีรี นางได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกันทั้งหมดแม้จะพูดเบาๆ ทว่าหูของนางสามารถได้ยินเสียงเบาๆ และไกลได้ ในระยะเท่านี้เลยได้ยินชัดเจน

                ภุชงค์กับคีรีเคยมีเรื่องก่อนฤ… น่าสนใจ           

               

                เด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนยังคงสวมชุดสีขาวเหมือนเดิม ทว่าที่ไม่เหมือนก็คือรอบๆ ตัวเธอและเธอเอง ร่างในชุดขาวถูกย้อมด้วยเลือดมีดาบซึ่งประดับด้วยดอกกุหลาบและไม้กางเขน ร่างกายถูกพันธนาการด้วยโซ่ ศรีมองอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ที่เพิ่งฝันได้ไม่นานเธอก็ถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบแต่ยิ้มบางๆ ให้เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงก่อนจะหลับไป ศรีเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเลยนั่งนิ่งๆ

                ณ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่คฤหาสน์ที่ไหนสักแห่งจากการคาดเดาของศรี พื้นปูด้วยกระเบื้องสีดำสลับเขาเสมือนตารางหมากรุก ไม่มีเครื่องใช้อะไรสักอย่าง การตกแต่งมีไม่มากนัก ลักษณะของที่นี่เป็นแบบตะวันตก ศรีมองไปทางกระจกบานยาวๆ เห็นว่าเป็นยามพลบค่ำแล้ว

                นี่เราฝันแล้วอีกเหรอ จำได้ว่านั่งกินไอติมในร้านนี่?

                ศรีคิดอย่างสงสัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันได้ทั้งๆ ที่กินไอศกรีมอยู่ จากการคาดเดา ศรีคิดว่าเธอคงจะหลับคาโต๊ะในร้านนั่นแหละ

                “เฮ้อ…”

                ศรีส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายกับตนเอง ดวงตาสีดำมองร่างชโลมเลือดอย่างเป็นห่วงอีกครั้ง ตั้วแต่เกิดมาสิ่งแรกที่เข้ามาหลังจากลืมตาดูโลกไม่นานก็คือเด็กหญิงคนนี้ เธอไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะมีตัวตนจริงหรือไม่มีกันแน่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเด็กหญิงเหมือนคนจริงๆ จนน่าใจหาย มือที่เคยอุ่นนั้นก็นุ่มบาง บางจุดรู้สึกได้ถึงชีพจร แม้ว่าฝันบางครั้งจะสมจริงแต่ก็ยังเป็นฝันอยู่ดี ทว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่เหมือนกัน

                “เธอเป็นใครกันแน่นะ…?”

                “…”

                “แล้วอย่างนี้เธอจะไม่ตายเหรอ?” ว่าตามจริงคำถามนี้เธอถามไปหลายรอบแล้ว …ถึงจะเป็นฝันก็เถอะ แต่เห็นเพื่อนเจ็บแบบนี้จะไม่ให้อดถามหลายรอบก็คงไม่ใช่

                “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ร่างนี้เป็นเป็นเพียงดวงวิญญาณ” เด็กหญิงคนนั้นพยายามลืมตาขึ้นมองศรี เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลทว่าแหบพร่าจนศรีใจหาย        

                “ถ้าเป็นดวงวิญญาณแล้วเลือดพวกนี้มาจากไหนล่ะ?” ศรีถามด้วยความสงสัย หากเป็นวิญญาณจริงทำไมถึงมีเลือดซึ่งจะมีอยู่ในร่างกายร่างคนเป็นล่ะ?

                “เลือด… มีด้วยเหรอ?”

                “มีจ้ะ” ศรีตอบอย่างฉงน คราวนี้เธอกล่าวมีหางเสียงด้วยหลังจากที่ไม่ได้เติมมานานเพราะมัวแต่เป็นห่วงเพื่อน

                “ไม่เห็นมีเลยนี่?”

                “ไม่มีเหรอ?” ศรีถามด้วยความแปลกใจมาก มองยังไงก็ยังมีเลือดอยู่ดี กลิ่นของมัน ความเหนียวหนึบสัมผัสกับนิ้วยามเมื่อเธอไปแตะมัน

                “จ้ะ” ศรีเบิกตาด้วยความตะลึงและไม่เชื่อ

                ไม่จริง สัมผัสนี้เป็นของจริง มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ

                คิดได้ไม่ทันไรภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นสีดำ สิ่งสุดท้ายที่ศรีเห็นก็คือรอยยิ้มของเด็กหญิง

                “แล้วเจอกันใหม่จ้ะ”

                .

                .

                .

                พอลืมตาขึ้นความรู้สึกแรกคือปวดศีรษะกับช่วงแขนและช่วงไหล่ เพราะศรีนอนกับโต๊ะโดยใช้แขนมารองไว้เลยกดทับ พงสณะที่เห็นเธอตื่นคนแรกก็เข้ามาหาอย่างเป็นห่วง บรรพตเห็นพงสณะเข้าไปหาศรีจึงตามไปและตามด้วยคนอื่นๆ

                “ศรี ช่วงนี้นอนดึกเหรอ หรือว่าไม่สบาย?” พงสณะฉายความไม่สบายใจผ่านสีหน้าและน้ำเสียง เขากุมมือศรีไว้เบาๆ น่าแปลกที่เธอไม่ปัดออกเหมือนที่เคยทำกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอยากให้เขาทำแบบนี้นานๆ มากกว่า

                น่าแปลก ทำไมถึงไม่ปัดมือออกนะ?

                พงสณะคิดด้วยความฉงน แต่ก็ไม่ถามอะไรเพราะเห็นว่าสีหน้าศรีไม่ดีเอาเสียเลย เขากับอสุราเข้ามาประคอง ระหว่างนั้นทั้งสองส่งสายตาเชือดเฉือนให้กัน แต่พอเห็นขนมชั้นชี้นิ้วไปที่ศรีทั้งสองก็จำต้องหยุดเพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ

                พอจ่ายเงินเสร็จและออกจากร้าน ขนมชั้นก็หยุด ยืนมองอสุเรนทร์ที่ยังคงล่องหนอยู่ เขาเพ่งจิตบอกกับอสุเรนทร์

                “อย่าบอกนะว่าเป็นอีกคนที่ชอบศรี?”

                “รู้ได้ ‘ไง”

                “ข้าเห็นเจ้ามองศรีตลอด”

                “มีอะไรเหรอ?” ธันนะที่ออกเป็นคนสุดท้ายถามขนมชั้นที่ไม่มีทีท่าจะเดิน คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะเดินต่อ แม้จะยังไม่หายสงสัยแต่ธันนะก็จำต้องเงียบเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรำคาญ

                เฮ้อ… แอบสงสัยจริงๆ นะเนี่ย ว่ายายศรีมันใช้ยาเสน่ห์ฤๅไม่?

 

                มามิถึง ๓๐ จังหวัด

                แล้วอย่างนี้ข้าจะสังหารได้อย่างไร?

                หญิงสาวคิดด้วยความร้อนใจ ตามจริงนางก็กึ่งใจเย็นกึ่งร้อนใจ ใจโหวงเหวงเพราะความเจ็บปวดและความเคียดแค้น ระหว่างนั้นควันกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาหา

                “จะว่าไปนายิกาทุกคนก็มิได้ทิ้งเจ้าไปนี่”

                “แล้วอย่างไร?”

                “แค่จะบอกว่าสังหารไปก็เท่านั้น บัดเดี๋ยวจะเหนื่อยเสียเปล่าๆ” ถ้ามันมีร่างเนื้อคงจะถอนหายใจด้วยความสังเวชกับสิ่งที่หญิงสาวกำลังทำอยู่

                “ฮึ” นางแค่นเสียงหัวเราะ นางเองก็รู้ดีแต่ที่ทำไปเพราะอยากให้นายิกาที่ร่วมภารกิจในตอนนั้นไม่สบายใจ เป็นทุกข์และโศกเศร้าก็เท่านั้น

                เหมือนกับที่นางเป็นอยู่

                “…”

                “ข้าเกือบต้องตกนรกไปในขุมที่ลึกที่สุด เจ้าน่าจะรู้ดีนะว่ามันทรมานเพียใด?! เพลิงที่แผดเผาร่าง จะตายก็ตายไม่ได้เสียที ต้องทนทุกข์อยู่แบบนั้นแทบไม่มีวันจบสิ้น!! ข้าเคยตกนรกมาครั้งหนึ่งแล้วและข้าจะมิมีวันตกอีก!!!”

                น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน หวนนึกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยไฟนรก ชั้นบนก็ทรมานแทบจะขาดใจแต่อยู่ในขุมลึกๆ เข้าไปมันเรียกได้ว่าตายทั้งเป็น!

                “…แต่ที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้… ก็มีสิทธิ์ตกนรกได้เช่นกันนะ”

                “…!” หญิงสาวเบิกตาด้วยความไม่คาดคิด นางเพิ่งตระหนักได้ในสิ่งที่นางกำลังทำ …แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ

                “………นั่นสินะ แต่… ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ทำให้มันจบๆ เลยละกัน”

 

                “ท่านมณฑาไปด้วยใช่ไหม?” ปักเป้าถามขนมชั้นระหว่างทานขนม ขนมชั้นพยักหน้าแทนคำตอบ เขามองปักเป้าที่ไม่ถามอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งทานขนม ขนมชั้นเห็นท่าไม่ดีกลัวเพื่อนจะเสียสุขภาพไปมากกว่านี้เลยดึงจานออกมา ปักเป้าทำหน้าไม่พอใจก่อนจะทานขนมจากจานอื่นต่อ ขนมชั้นก็หยิบมันไปอีก ปักเป้าไม่สามารถทานจานอื่นได้เพราะจานที่ถูกดึงไปล่าสุดเป็นจานสุดท้าย

                “เอาคืนมา”

                “มิมีวันเสียล่ะ มิกลัวเบาหวานขึ้นฤ?!”

                “กลัวทำไม ข้ากินทุกวันๆ น้ำหนักขึ้นมิกี่ ‘โลเอง เพราะฉะนั้นเจ้าควรคืนมาจะดีเสียกว่า” ขนมชั้นทำท่าจะคืนให้แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ปลูกพืชก็รู้สึกฉุนขึ้นมา เขาชักสีหน้า แม้สีหน้าจะมีความหงุดหงิดแต่ดวงตาสีส้มฉายความเป็นห่วงออกมา

                “มิได้”

                “ต้องได้สิ เอาคืนมาเลยนะ” ปักเป้าพุ่งตัวเข้าไปหวังจะตะครุบอีกฝ่ายให้ยอมคืนขนม ขนมชั้นไม่รอช้าเมื่อปักเป้าเข้ามาถึงตัว เขาโยนจานที่ถืออยู่ด้วยมือข้างหนึ่งตามด้วยจานในมืออีกข้างโยนไปยังนอกระเบียง ปักเป้าเบิกตาโตค้างด้วยความตกตะลึง ขนมชั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก

                กินอยู่ได้ทุกวัน เบาหวานถามหาเอาทุกวันแล้วเนี่ย

                แม้ในใจและสีหน้าจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทว่าในใจลึกๆ เขายังเป็นห่วงเพื่อนของตน เดี๋ยวนี้โรคมันถามหาง่ายจะตายจะไม่ให้เขาอดเป็นห่วงได้อย่างไร?

                “อ้าก! อ้ายขนมชั้น กล้าดีเยี่ยงไรกันถึงมาขว้างขนมทิ้ง!!” …ทว่าความเป็นห่วงส่งไปไม่ถึง ปักเป้าไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนั่นอารมณ์ร้อนเสมือนไฟแผดเผาให้ไม่ร้อนจนไม่รู้สึกต่อสิ่งใด …และแล้วสงครามก็เกิดขึ้น… (?)

 

                “เม็ดสี มีเรื่องจะปรึกษาอะ” พงสณะกล่าวหลังจากที่ดูดน้ำจากหลอดในแก้ว เด็กชายผมสีดำออกม่วงเหลือบสีชมพูเจ้าของนาม เม็ดสี มองหน้าเพื่อนของตนเป็นเชิงถามว่า ‘ว่ามา’

                “คืองี้น่ะ นับวันยิ่งมีคนมาชอบศรีมากขึ้นๆ …ศัตรูเพิ่มมาอีก แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ฉันจะจีบศรีติดเนี่ย”

                “เฮ้อ… ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเรื่องศรี” เด็กชายผมสีบลอนด์เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย มากี่ทีๆ ก็เป็นเรื่องของศรีแทบจะทุกครั้ง

                “แล้วจะให้ฉันทำ ‘ไงล่ะ พุดดิ้ง?” พงสณะเอ่ยเสียงหงอย เด็กชายเจ้าของนามพุดดิ้งตบหลังพงสณะเบาๆ เป็นเชิงปลอบ

                “มันต้องได้สิ นายจีบมา ๓ ปีแล้วไม่ใช่หรอ? ศรีก็น่าจะมีใจให้บ้างแหละ”

                “ก็นะ… ตอนนั้นศรีก็บอกว่าฉันเข้าไปได้ครึ่งแล้วล่ะ”

                “เอาน่าๆ ถึงจีบศรีไม่ติดนายก็ไปหาคนใหม่ได้นี่” เม็ดสีเอ่ย พุดดิ้งพยักหน้าตามด้วยเพื่อนบางคนก็ด้วย

                “ว่าแต่ทำไมนายถึงรักศรีนักหนาวะ? หัวโบราณ แต่งตัวก็… โบร๊าณโบราณ …แถมยังเป็นยักษ์อีกต่างหาก…” พุดดิ้งพูดเสียงเบาลงเมื่อเห็นว่าพงสณะมีสีหน้าไม่พอใจ เขาลืมไปว่าพงสณะจะโกรธถ้าใครว่าคนที่เจ้าตัวรักเป็นยักษ์

                “พุดดิ้ง ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าศรีไม่ใช่ยักษ์”

                “…เอ่อ” พุดดิ้งติดอ่าง เขายกแก้วมาดูดน้ำทำเฉไฉมองไปทางอื่น พงสณะถอนหายใจแล้วจู่ๆ เม็ดสีก็กล่าวขึ้น

                “งั้นฉันถามต่อจากพุดดิ้งละกัน …ทำไมนายถึงรักศรีน่ะ?”

                “ก็… ศรีน่ารัก”

                “ขอรายละเอียดเพิ่มเติม” เม็ดสีเริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนของตนกำลังทำหน้าเคลิ้มๆ ราวกับนึกถึงนางฟ้าก็ไม่ปาน

                “เรียนเก่ง หัวโบราณ นิสัยดี มีความเป็นแม่ศรีแม่เรือน”

                “เรียนเก่งยอมรับ หัวโบราณเข้าใจ มีความเป็นแม่ศรีแม่เรือนอันนี้ไม่ค้าน …แต่ฉันติดตรงใจดีที่นายว่าว่ะ?” เมื่อเห็นเพื่อนของตนถามอย่างนั้นเขาก็เลยตอบ

                “ก็นิสัยดี ‘ไง อย่าง… แบบว่ามีน้ำใจ เอ่อ อะไรนะ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าศรีนิสัยดีละกัน”

                “ศรีนิสัยดีอันนี้ฉันพอเข้าใจนะ แต่อย่างที่เฉาก๊วยมันเคยเล่าให้ฟังบางครั้งศรีก็ทำร้ายคนอื่นด้วย” พงสณะเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดก่อนจะเอ่ย

                “แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ? นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ใช่แบบก่อนๆ ที่นางเอกจะต้องเป็นฝ่ายถูกรังแกนี่ ก็ต้องมีป้องกันตัวบ้าง”

                “โอ้โห! พูดมาได้ ป้องกันตัวแต่เล่นเคยทำแขนหัก ช็อค ตายไปแล้วนายยังกล้าพูดอีกเหรอวะว่าศรีป้องกันตัว!” คำพูดของเม็ดสีทำให้หน้าของพงสณะเจื่อนลง แต่ด้วยความที่รักเด็กหญิงที่ถูกกล่าวถึงจนไม่ลืมหูลืมตาจึงเข้าข้าง เขาพูดแก้ให้ทันทีด้วยความไม่พอใจ

                “นายไม่รู้หรอก ตอนเด็กๆ ศรีถูกกลั่นแกล้งขนาดไหน ศรีไม่ผันตัวเป็นฆาตกรก็บุญไหนแล้ว”

                “แต่แบบนั้นมันเข้าขั้นแล้วล่ะ”

                “อ้ายเม็ดฯ!” พงสณะเริ่มพูดหยาบคาย พุดดิ้งที่เงียบมานานเลยต้องเข้ามาห้าม “พอเถอะ มาๆ กินขนมต่อ พวกนายรู้ไหมเนี่ยว่าเรื่องนี้มันทำให้เราเสียรสชาติในการกินมาก” เม็ดสีกับพงสณะหันไปมองคนห้ามก่อนจะตวาด

                “เห็นแก่กินนะแก!”

                “ไม่ใช่โว้ย!”

                พวกนี้นี่พอโกรธทีไรสมองรวนทุกที ให้ตายสิ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา