ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
67) บทที่ ๖๗: รอดูจุดจบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๗
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
รอดูจุดจบ
เสียงดาบปะทะกันดังอย่างต่อเนื่อง มีหยุดบ้างเพื่อให้หายใจเอาแรง อรัญญิกและซอพยายามออมมือเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ พอฝึกเสร็จแล้วก็มานั่งพักบนที่นั่งทำจากไม้ไผ่ตัวยาว อากาศยามเช้านี้เย็นนัก ได้กลิ่นชื้นๆ ของดินที่ชุ่มน้ำ อรัญญิกเห็นซอนั่งกอดแขนเพราะหนาวก็อดเป็นห่วงไม่ได้จนต้องเขยิบเข้าไปกอดไว้อย่างอ่อนโยน
“หนาวฤๅเจ้าคะ?”
“อื้ม” ซอเอื้อนเสียงตอบก่อนจะซบไหล่อรัญญิก หญิงสาวถักเปียคลี่ยิ้มซบหน้าลงกับศีรษะของซอ “รู้อย่างนี้เอาผ้ามาคลุมด้วยก็ดีดอก”
“ขึ้นเรือนดีไหมเจ้าคะ?”
“มิเป็นไรดอก มิได้หนาวขนาดนั้น… แต่อากาศแบบนี้มันให้ความรู้สึกเคว้งคว้างข้าก็เลยรู้สึกมิดี …แต่พอมีเจ้า อรัญญิก ข้าก็รู้สึกดีบอกมิถูก” น้ำเสียงละมุนเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน อรัญญิกไม่เอ่ยอะไรเพียงแค่อุ้มซอขึ้นมาโดยไม่ถามเจ้าตัวก่อนจะขึ้นเรือนไป
“เฮ้อ… ถ้ารู้ว่าคดีลักมีดมันมิมีอะไรเป็นพิเศษเราน่าจะอยู่ในเรือนที่สุโขทัยนะเจ้าคะ”
“นั่นสินะ” ระหว่างนั้นอรัญญิกก็มาถึงบนเรือน นางวางร่างของซออย่างอ่อนโยนก่อนจะคลุมผ้าห่มให้ ดวงอาทิตย์ผลุบๆ โผล่ๆ ออกจากเมฆไม่นานก็เข้าไปในเมฆอีกครั้งจนท้องฟ้าสว่างเพียงเล็กน้อยเป็นสีขุ่นหม่นหมอง อากาศเย็นเชียบเพราะความเย็นจากน้ำที่เคยเป็นฝน อากาศและความมืดแบบนี้ทำให้อยากนอนทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นไม่กี่ชั่วโมง
“เจ้าก็นอนด้วยสิ นอนคนเดียวข้ารู้สึกมิดีเลย”
“เจ้าค่ะ” อรัญญิกรู้สึกว่าซอทำตัวเหมือนเด็กๆ ยามอยู่กับคนอื่นจะเหมือนผู้ใหญ่ที่เป็นผู้นำอย่างอ่อนโยนแต่ยามอยู่กับอรัญญิกนั้นเหมือนเด็กขี้อ้อน เอาแต่ใจเงียบๆ ทั้งๆ ที่ซอนั้นเกิดก่อนนางเสียอีก นางเกิดในสมัยอยุธยาส่วนซอนั้นเกิดในสมัยสุโขทัย ก็ต่างกันหลายปีหน่อย
อรัญญิกนอนข้างๆ ซอแล้วดึงร่างนั้นเข้ามากอดไว้เบาๆ พออยู่แบบนี้แล้วมันก็สงบจนนึกหวาดระแวง …นางนึกถึงคดีลักมีดแล้วนึกถึงนายิกาในอดีตที่ผันตัวมาเป็นผู้ร้ายเพราะแค้นนายิกาที่ทอดทิ้งตนไป
…พรุ่งนี้ นางก็มาแล้วสินะ…
สายลมพัดส่งเสียงหวีดหวิวน่าขนลุก ต้นข้าวเอนตัวไปมาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนพวกมันส่งกลิ่นคาวผสมกับน้ำที่ขลังในนาข้าว หญิงสาวผมยาวสีดำเหลือบน้ำตาลลอนหยักศก สวมเสื้อแขนกระบอกกับนั่งโจงกระเบนสีดำ สวมงอบแสยะยิ้มเหี้ยม ในเคียวทั้งสองข้างที่เคยตัดข้าวบัดนี้ชโลมเลือดเพราะปลิดชีพร่างที่ล้มไปเบื้องหน้า
“หึๆ คิดจะได้ชัยจากข้าผู้นี้ ธัญธารา มันยังเร็วไปร้อยปี” หญิงสาวผู้ที่เอ่ยอย่างทรนงตัวและชื่อตนเองนั้นมองด้วยแววตากระหายเลือด นางมองไปรอบๆ ตัวที่มีต้นข้าวเรียงตัวน่าสลดมีท้องฟ้าสีหม่นเป็นฉากหลัง ภาพนี้ช่างดูเคว้งคว้างนัก หุ่นไล่กาที่อยู่ไม่ไกลก็ทำหน้าที่ของมันคล้ายเครื่องเซ่นภูตผี ธัญธาราเดินเข้าไปหาศัตรูก่อนจะกระทืบเท้าลงใส่ร่าง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟื้นอีกก็หันหลังเดินกลับไป
ธัญธารามานั่งพักบนบันใดไม่สูงนักที่กระท่อมไม่ไกลจากนาข้าวนักเพราะเป็นแหล่งพักผ่อนหลังจากทำงานในนาเสร็จ อันที่จริงฐานะของนางไม่ได้ด้อยจนต้องมาทำงานเช่นนี้แต่เพราะด้วยความที่นางเกิดมาช้านานทำให้ติดนิสัยกินดินนอนทราย ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ระหว่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้นเองก็มีกระบือร่างใหญ่ตัวหนึ่งเดินเข้ามา ผิวของมันเป็นสีดำสนิท ธัญธาราลูบหน้ามันอย่างอ่อนโยน ดวงตาและรอยยิ้มที่เคยเหี้ยมเกรียมบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนน่าใจหาย มันนอนบนพื้นอย่างเกียจคร้าน นางคิดว่ามันคงจะเหนื่อยเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
เมื่อสักครู่มีลูกสมุนผู้ลักมีดเข้ามาบุกรุกหมายจะปลิดชีพ แน่นอนว่านางไม่ยอม การต่อสู้จึงเกิดขึ้น ผลการต่อสู้คือนางชนะส่วนสมุนผู้ลักมีดพ่ายแพ้ ธัญธาราถอนหายใจ รู้สึกเหมือนมีลางว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นอีก ไม่ได้หมายถึงคดีลักมีด
…นางมีลางสังหรณ์ว่า มันจะเกี่ยวกับมิติผกายนี้
อยากจะฉีกกระชากร่างนั้นมาทาน นึกถึงรสคาวเลือดที่คลุ้งอบอวล
อสุเรนทร์รู้สึกเช่นนั้น เขานั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะหน้าสะพาน กลีบดอกไม้จากต้นร่วงโรยเอื่อยๆ มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด หัวใจเต้นถี่แรง ความรู้สึกรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงภาพศรีกับพงสณะใกล้ชิดกัน น้ำตาซึมออกมา ตาขาวแดงจางๆ เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาไว้ไม่ให้เล็ดลอด
“เจ้าพยายามทำดีกับศรีสิ มิใช่ทรมานเพื่อให้เธออยู่ในกำมือ” คาตานะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อสุเรนทร์กัดริมฝีปากจนเลือดซึมไหลเข้ามาในปากที่เผยอเล็กน้อย
“ฉัน… ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้”
“เพราะปรารถนาในสิ่งที่ไม่เคยได้รับมากไปจนร้อนรนสินะ …เจ้าคงอดทนไม่ได้มากกว่า ดูอย่างพงสณะสิ เข้าไปอยู่ในใจศรีได้ครึ่งหนึ่งแล้วเพราะอดทนไล่ตามด้วยความเอาใจใส่ตลอด ๓ ปี แต่เจ้าทำกลับกัน ขวางกั้นแล้วยังทำร้ายอีก ถ้าศรีรักเจ้ามากกว่าคงน่าแปลกใจมิน้อย” คาตานะกล่าวถึงสิ่งที่ตนเคยสังเกตและได้ฟังอยู่ห่างๆ ไม่มีความสมเพชเจือในน้ำเสียงแต่เป็นแนะนำด้วยความห่วงใย
“ฉันอยากให้เธอเป็นของฉันเร็วๆ”
“เฮ้อ… ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าคงมิรู้จะอธิบายอย่างไรดีแล้วล่ะ” คาตานะถอนหายใจ เขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกที่เกี่ยวกับความรัก …แต่รักที่ต้องครอบครองนั้น ยากเกินจะอธิบายจริงๆ
ใครกันนะที่จะได้เป็นสามีของหลานเรา
ธันนะเดินอยู่อีกฟากของสะพานกับทุม ทีแรกศรีจะชวนเขากับทุมมาอ่านหนังสือด้วยกันแต่เขาไม่ยอมจึงเดินลงจากเรือนเห็นทุมที่กำลังจะไปหาศรีอยู่พอดีเลยชวนไปเดินเล่นด้วยกัน
“นายน่ะ… เป็นคู่หมั้นอีกคนของศรีเหรอ?” ธันนะถามเสียงเบา ทุมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ใช่แล้ว แต่ก็เป็นแค่คู่หมั้นยังไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ” ธันนะโล่งใจที่ได้ฟังคำตอบนั้น หัวใจเจ็บแปลบๆ พอนึกถึงอนาคตที่ศรีอาจจะแต่งงานกับพงสณะไม่ก็ทุม
ก็นะ… เป็นแค่คนนอกนี่ จะมีสิทธิ์อะไร
“แล้วรักศรีไหม?”
“ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ฉันสนใจศรีมาก ในชีวิตฉันแทบจะไม่เคยสนใจผู้หญิงเว้นแต่เส้นผม แต่ศรีไม่เหมือนกัน เธอมีแรงดึงดูดแปลกๆ” จากที่ทุมกล่าวมา เขาเป็นคนที่ชอบเส้นผมมากไม่ว่าจะเป็นของหญิงหรือชาย ซึ่งศรีเองก็มีผมยาวจนถึงสะโพกก็ยาวมากอยู่ถ้าเปรียบกับชีวิตจริง แถมเป็นสีดำสนิทเงางามน่าหลงใหล แต่เสน่ห์นั่นไม่ได้ดึงดูดทุมเพียงอย่างเดียว อะไรบางอย่างในตัวศรีทำให้สนใจมากๆ
“ทุม… ถ้านายไม่รัก… ฉันขอศรีได้ไหม?”
“หืม?” ดวงตาเบิกโตมองด้วยความแปลกใจ จู่ๆ ทำไมถึงถามอย่างนั้น? ดูเหมือนธันนะจะรู้ว่าอีกฝ่ายสงสัยจึงเอ่ย “ฉันเองก็ไม่รู้ว่ารักศรีจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ฉันอยากอยู่กับศรี”
“ฮึ ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันยกให้ก็ได้ แต่ระวังหน่อยนะ ยายนั่นมีคนชอบมากจะตาย ถึงแต่ก่อนจะเป็นที่รังเกียจเพราะเป็นยักษ์ก็เถอะ” พอได้ยินคำว่ายักษ์ ธันนะก็ละความสนใจเรื่องที่ศรีมีคนมาชอบมากหันมาสนใจเรื่องที่ศรีเป็นยักษ์ นึกถึงตอนไปงานปิดเทอมนักเรียนที่สมุนผู้ลักมีดมาทำร้าย ในเหตุการณ์นั้นศรีกลายเป็นยักษ์
“ศรีเป็นยักษ์จริงๆ เหรอ?”
“ก็จริงน่ะสิ ถามแบบนี้อย่าบอกนะว่าเคยเห็นศรีเป็นยักษ์?” ทุมถามกลับ ธันนะพยักหน้าเป็นเชิงตอบด้วยสีหน้าที่บอกว่าแทบไม่เชื่อ
“อืม ตอนนั้นไปงานปิดเทอมนักเรียน สมุนผู้ลักมีดมาทำร้าย ในตอนนั้นศรีกลายเป็นยักษ์เลยเห็นน่ะ”
“สมุนผู้ลักมีด… อ๋อ คดีที่เกิดขึ้นตอนนี้สินะ” ธันนะไม่ได้สนใจที่ทุมถาม เขาเบือนหน้าไปมองอย่างอื่น
ในความคิดของเขาตอนนี้… มีเพียงเรื่องของศรี
บัวผ่องมองโลงศพเบื้องหน้า …เป็นโลงที่ใส่ศพของสมุนผู้ลักมีดไว้ ช่วงที่ผ่านมามันบุกรุกไม่น้อยทีเดียว เป็นศพจากต่างจังหวัดด้วยเพื่อตรวจสอบว่ามีอะไรพอที่จะใช้ได้บ้าง
หึๆ … นี่ยังน้อย พรุ่งนี้นายิกาอย่างพวกเราจะได้เจอระดับหัวหน้าแล้วสินะ
หญิงสาวผิวซีดดื่มยาเสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนเหมือนศพ ริมฝีปากแห้งซีดนั้นอ้าถามเสียงแผ่ว
“มิมีใครชนะสักคนเลยฤ?”
“ใช่” กลุ่มควันที่เคยไปหาศรีบัดนี้ได้มาอยู่ที่นี่ นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแต่อีกใจก็ช่างมันเพราะเป็นเพียงแค่ให้กินแรงนายิกาเล่นเผื่อวันจริงจะได้ไม่มีแรงมาก
…แต่คงไม่มีผลอะไรมากหรอก เป็นถึงนายิกาหมดแรงมากขนาดนั้นก็แปลกแล้ว
“ตอนนั้นข้าไปหาเพื่อนรักมา ตอนนี้นางมีรองนายิกาอื่นแล้ว”
“เจ็บใจฤ?”
“ใช่ ข้าเจ็บใจ จากที่ข้าเคยเป็นนายิกาต้องโดยเฉดหัวเช่นนี้ นางได้ตำแหน่งนายิกาแห่งอยุธยาขึ้นแทนข้าโดยมิสนใจว่าข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร” เสียงแหบพร่ามีความปวดร้ายเจืออยู่ ถ้ากลุ่มควันเหล่านั้นเป็นมนุษย์คงจะถอนหายใจด้วยความเวทนาแล้วล่ะ
“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ข้าเพิ่งรู้ซึ้งวันนี้แหละ” กลุ่มควันเอ่ยราวกับเรื่องนี้เกิดกับตนเอง อันที่จริงก็รู้แก่ใจว่าเพื่อนรักของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น
…แต่ที่เอ่ยเช่นนั้นก็เพราะอยากดูเรื่องสนุกๆ
“ข้าจะต้องปลิดชีพนายิกาทุกคน!!!” นางกล่าวด้วยความแค้น เพลิงโทสะลุกโชนจนยากจะดับ ก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะที่วางขวดใส่เลือดไว้
“นั่นเลือดของพวกนางฤๅ?”
“ใช่!”
“ทำไมถึงมิใช้มันเป็นตัวตายตัวแทนสาปแช่งไปเลยล่ะ รอช้าอยู่ไย?” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นถามด้วยความสงสัย อดีตนายิกาถอนหายใจก่อนจะยิ้มเหี้ยม
“ข้าอยากทรมานพวกมันตัวต่อตัว เหมือนกับที่พวกมันมองข้าค่อยๆ จมไปในบ่อเลือดอย่างเพิกเฉย ‘ไงล่ะ!!” กลุ่มควันเหล่านั้นถ้าเป็นมนุษย์คงจะหรี่ตามองอย่างพินิจ รู้สึกอิ่มเอมกับความแค้นที่รุนแรง …การที่คนเราจะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ต้องเคยมีความรัก ความผูกพันจากนั้นพอถึงจุดจบที่ไม่สวยจะตัดสายสัมพันธ์กลายเป็นรอยร้าวที่ปิดไม่มิด
…อดีตนายิกาคนนี้ก็เช่นกัน แทนที่กลุ่มควันจะสงสารแต่เปลี่ยนจากเวทนาเป็นสมเพช
นี่สินะมนุษย์ จิตใจที่เป็นกิเลสมันยากจะดับสูญจริงๆ โชคชะตาเอ๋ย นิยายมันดำเนินซ้ำซากแล้วนะ ข้าเบื่อแล้ว… รีบๆ จบเสียที
กลุ่มควันเห็นมามากพอแล้ว ความรู้สึกของมนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า …เป็นอะไรที่เห็นแล้วเบื่อจริงๆ
…แต่ในฐานะที่กลุ่มควันเป็น… จะต้องทนดูสิ่งที่ตนนั้นให้กำเนิด… ขึ้นมา…
“โชคชะตา นิยายเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ข้าจะล้างโลก”
เอ่ยกับตนเองเบาๆ ไม่ให้หญิงสาวได้ยิน กลุ่มควันค่อยๆ สลายตัวไปเหลือเพียงความแค้นที่คุกรุ่น
ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือหยิบกล้องยาสูบขึ้นมาก่อนจะสูบมันแล้วเอ่ยกับผู้อาวุโสอีกสองคน
“แค้นแรงจริงอะไรจริง นายิกานางนี้”
“ก็สมควรล่ะนะ” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้เอ่ยก่อนจะตักขนมเข้าปากทาน ผู้อาวุโสแห่งภาคอีสานเอ่ยบ้าง “แหม มิได้ดูการต่อสู้แบบนี้นานแล้วนะ จะได้หายเบื่อเสียที”
“คิดแต่เรื่องสนุกอย่างเดียวล่ะ” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้เอ่ยอย่างระอา ผู้อาวุโสแห่งภาคอีสานหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ย
“พูดอย่างกับว่าข้าเป็นคนเดียว เจ้าสองคนก็เหมือนกันนั่นแหละ” ดวงตาของนางฉายวาวโรจน์ ยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือนั่งไขว่ห้างก่อนจะกล่าว
“ก็มิได้ว่าอะไรนี่ เราได้แต่นั่งทำงานน่าเบื่อนี่ของนายิกามาหลายปีหาอะไรสนุกๆ ดูก็มิผิดดอก …จริงไหม ผู้อาวุโสแห่งทิศประจิมยอแสง” นางหันไปถามกับร่างโปร่งแสง เนื่องจากอยู่หลังม่านจึงมองไม่ค่อยเห็นนัก ร่างนั้นเงียบก่อนจะเอ่ย
“มาถามกับคนตายอย่างข้าทำไม?”
“แหม ในฐานะที่เราเคยทำงานร่วมกันแค่นี้ก็ทำเป็นเฉยเมย …เสียใจที่ข้าปลิดชีพฤ?”
“ข้ามิได้เสียใจ ข้ากำลังดีใจมากกว่าที่จะได้เห็นจุดจบของพวกเจ้า” น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นเจือด้วยความยินดี ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือทุบโต๊ะดังปังก่อนจะชี้ไปที่ม่านซึ่งมีร่างหนึ่งอยู่
“อ้ายอินทุ เจ้าอย่าได้ใจมากไปเลย!”
“คนที่ได้ใจมันคือพวกเจ้าต่างหากล่ะ สังหารพวกข้ามิพอเพื่อจะเป็นใหญ่มิพอยังจะคิดสังหารนายิกาอีก!”
“เจ้า---!”
“พอเถิด ---อินทุ พวกข้าเมตตาให้เจ้ายังอยู่บนโลกนี้ได้ก็บุญไหนแล้ว อย่าปากดีนักเลย” ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือเอ่ยอย่างเยือกเย็นแต่อีกฝ่ายหาได้กลัวไม่ หัวเราะด้วยเสียงแหบแห้ง
“เมตตาฤ? ส่งข้าไปนรกยังสบายดีกว่าอยู่กับพวกเจ้าเลย ฮ่าๆๆๆ!!” ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือหลุบตาลง ในมือปรากฏเส้นสายสิญจน์โยงไปกับร่างหลังม่าน นางท่องคาถาสักพักร่างนั้นก็ลงไปนอนกับพื้นดิ้นทุรนทุรายราวกับปลาพ้นน้ำ
“หุบปากแล้วฟังให้ดี! ผีตายซากอย่างเจ้าอยู่อย่างสงบรับใช้พวกข้าให้บรรลุเป้าหมายจะดีเสียกว่า อย่าปล่อยหนอนเน่าๆ ออกมา!!” นางกล่าวเปรียบเทียบเสียงกร้าว ร่างนั้นเหลือกตามองอย่างโทสะ …นึกถึงจุดจบที่พวกนางจะได้เจอ
แล้วข้าจะรอดู อ้ายพวกชั่ว!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ