ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

68) บทที่ ๖๗: เริ่มการแข่งการประลองของนายิกา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๖๘

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

เริ่มการแข่งการประลองของนางยิกา

                วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                พินทุออกออกจากเรือนพร้อมกับร่มบ่อสร้างถือพาดไว้บนไหล่ ลายร่มนั้นมีดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ร่มบ่อสร้างเป็นสัญลักษณ์ของนายิกาภาคเหนือที่จะต้องมีร่มลายดอกไม้ประจำจังหวัดตนเอง นางแต่งกายชุดแขนยาวคอสูงสีน้ำเงินนุ่งผ้าซิ่นสีน้ำตาลมีจีบหน้านางด้านข้างแตกต่างจากปรกติที่จะเป็นตรงกลาง ผมยาวสีดำเกล้าสูงมากแต่ก็ยังยาวถึงสะโพกบอกได้ว่าผมของนางยาวมิใช่น้อยมีปิ่นใบไหวสีเงินสองอันกับดอกพญาเสือโคร่งประดับ สวมสร้อยสีน้ำเงินเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวกลับด้านสีเงิน วันนี้ทุกคนในเรือนของมณฑาต่างออกมาส่งรับ บรรดาบ่าวต่างมองด้วยความชื่นชมกับรูปปลักษณ์ที่งดงามดุจดอกพญาเสือโคร่ง วันนี้นายิกาแห่งภาคเหนือประจำจังหวัดเชียงใหม่จะเดินทางไปแข่ง

                คชินทร์ มณฑา จารุและพวกเด็กๆ มาส่งหน้าบ้านที่มีรถเทียมม้ารออยู่โดยมีหญิงสาวแต่งกายแบบชาวไทลื้อเป็นผู้บังคับม้า ผมยาวนั้นถูกเก็บไว้จนมองไม่เห็นเหลือเพียงผมยาวปอยหนึ่งสองข้างให้ได้เชยชม ชุดคลุมนอกนั้นยาวเกินปรกติที่จะยาวเพียงเอว ผ้าที่พันรอบศีรษะนั้นมีปิ่นใบไหวสีเงินประดับ

                “มาแล้วฤ รองนายิกาของข้า”

                “ข้ามิใช่เพื่อนเล่นของท่าน หุบปากแล้วขึ้นรถเสีย ข้ารอนานแล้ว” น้ำเสียงนั้นเย็นชานัก นางเอ่ยไม่มีหางเสียงแม้จะเรียกสรรพนามของพินทุว่า ท่าน ก็ตาม พินทุยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะขึ้นไปนั่ง เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวพินทุก็โบกมือลา ซึ่งผู้ส่งนั้นก็โบกมือลาเช่นกัน

                พอนั่งไปเรื่อยๆ พินทุก็ชักจะเริ่มเบื่อ หนังสือก็ไม่ได้นำมาอ่านแก้เบื่อ เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่รอช้าเอ่ยกับรองนายิกาของตน

                “นี่ คีรี เราก็สามารถใช้อาคมข้ามมิติไปได้นี่ จะได้ถึงเร็วๆ”

                “อีก ๓ ชั่วโมงถึงจะใช้ได้ รอไปก่อนละกัน ขืนใช้ตอนนี้พลังวิญญาณข้าได้อ่อนลงก่อนแข่งแน่” จบคำกล่าวนั้นพินทุก็ชักสีหน้าเล็กน้อย ถึงนางจะไม่ได้โกรธมากแต่ก็เบื่อหน่ายกับการรอเช่นนี้ ระหว่างนี้ก็เลยต้องชมทิวทัศน์ไปก่อน

 

                มาถึงแล้ว ทั้งสองลงจากรเทียมม้า กลิ่นทะเลเค็มๆ ลอยอวลมาแต่ไกล ลมพัดมาแรงจนบางอย่างก็ปลิวพรึ่บ สถานที่แข่งอยู่ที่ภาคใต้ เบื้องหน้าไม่ไกลนักเป็นสถานที่ทำการนายิกาแห่งภาคใต้ มองไปรอบๆ เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนละแบบราวกับพงไพรรวมบุปผางามหลากพันธุ์ นี่ถ้าตั้งสติไม่ดีอาจจะคิดว่าเป็นแดนสรวงสวรรค์ เพราะรูปโฉมพวกนางนั้นยากจะเกินพรรณนา หญิงสาวที่มาอยู่ ณ ที่นี้คือนายิกาทุกจังหวัด มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ฮือฮาจากผู้คนเพราะนายิกาทุกคนมารวมกันและยิ่งกว่านั้นก็คือจะมีการแข่งขันนายิกาที่เป็นตัวแทนแต่ละภาค

                หากสงสัยว่าได้เมื่อเป็นตัวแทนก็ต้องมาเพียง ๖ คน ในเมื่อภูมิภาคในประเทศไทยนั้นแบ่งเป็น ๖ ภาค

                …ก็เพราะว่ามีคดีเกิดขึ้น ก็เลยต้องมารวมกันเพื่อช่วยเหลืออย่างไรล่ะ

                “น่าสนุกจริงๆ มารวมตัวกันขนาดนี้ต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นที่มิธรรมดาแน่”

                “เฮ้อ ก็แค่อดีตนายิกามา น่าตื่นเต้นตรงไหน เก็บแรงพูดไว้แข่งจะดีกว่านะ” พินทุไม่สนใจจากคีรีซึ่งเป็นคนบังคับรถเทียมม้ามาและเป็นรองนายิกาของพินทุ ระหว่างนั้นเอง ก็มีร่างของผู้อาวุโสแห่งภาคใต้ปรากฏตัวขึ้นในอากาศ

                “สายัณสวัสดิ์ นายิกาทุกคน อย่างที่ทราบกันดีว่าวันนี้คือวันแข่งเพื่อดูว่านายิกาที่เป็นตัวแทนจะได้ชัยไปและเป็นนายิกาที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ ๕ ปี …แต่อีกเรื่องที่รู้กันทั่วแล้ว วันนี้คือวันที่เราคาดหมายว่าอดีตนายิกาจะมา ข้าจะขอกล่าว ณ ที่นี้โดยมิต้องประชุมลับ”

                “ขอบคุณนายิกาทุกคนด้วยที่มาทุกจังหวัดทั้งๆ ที่มิใช่วันต่อสู้ของพวกเจ้า”

                “…” ไม่มีนายิกาคนไหนเอ่ยอะไร ขณะนั้นเองที่รอบหายเงียบ นายิกาแห่งจังหวัดกาญจนบุรีก็ชูปืนขึ้นก่อนจะลั่นไก

                ปัง!

                บุษราคัมค้างปืนชี้ปลายไปยังฟ้าสักพักก่อนจะเก็บเข้าซองที่ติดกับเข็มขัดเล็กซึ่งรัดต้นขาใส่ถุงตาข่ายไว้

                “บุษราคัม …เป็นเจ้าใช่ไหม?” ผู้อาวุโสถามเสียงเรียบ ไม่พอใจที่อีกฝ่ายขัดการกล่าวอย่างผิดมารยาท ทว่าบุษราคัมก็ไม่เกรงกลัว นางชี้ปืนไปทางผู้อาวุโสก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น

                “ใช่ น่าจะรู้นี่เจ้าคะว่าผู้ที่ขัดการกล่าวปราศรัยมีเพียงข้า”

                “เจ้าควรจะเก็บลูกกระสุนไว้ใช้แข่งนะ”

                “ใช้แบบนี้ข้าว่ามันมีประโยชน์กว่านะเจ้าคะ”

                “!!” ผู้อาวุโสมองตาเกรี้ยวกราด นายิกาทุกคนไม่เอ่ยอะไร บางคนก็ก้มหน้าเพราะรู้สึกหวาดหวั่น อรุโณทัยที่ทำท่าจะเข้ามาห้ามแม่ตนเองตั้งแต่ทีแรกที่ชักปืนออกมาก็หน้าซีดเผือด เพราะกลัวจะถูกลงโทษ บุษราคัมที่เหลือบตาเห็นสีหน้านั้นก็กุมมือลูกตนเองไว้อย่างอ่อนโยนเป็นเชิงปลอบ ทำให้จิตใจที่ร้อนรนของผู้เป็นลูกเริ่มสงบ

                “ข้าขอจบเพียงเท่านี้ …ดำเนินด้วยตัวตนเองนะ …เหล่านายิกา” ร่างของผู้อาวุโสสลายหายไปเป็นเถ้าธุลี

                ทุกคนมองท้องฟ้าที่เคยปรากฏร่างสักพักก่อนจะแยกย้ายไป เหลือเพียงนายิกาที่เป็นตัวแทนยืนอยู่กัน ๕ คนกับรองนายิกาอีก ๖ คน รวมเป็น ๑๑ คน

                เดี๋ยวก่อนนะ …นายิกาตัวแทนภาคไหนหายไป?

                บุษราคัมมองไปยังนายิกา คนแรกที่มองคือหญิงสาวหน้าเรียวมนเล็กน้อยแต่งกายแบบชุดเซิ้งของอีสาน ผมยาวสีดำเกล้าครึ่งหนึ่งไม่ได้รวบสูงหลวม ผมส่วนบนรวบเกล้าเป็นจุกหนึ่งด้านหลังมีดอกไม้สีแดงประดับ ตัวเสื้อสีดำนั้นมีแถบผ้าทำเป็นขอบบนม้วนไว้ลวดลายสวยงาม ผ้าที่เป็นเกลียวคลื่นห้อยกับผ้าถุงสอง ถือพิณอีสานตรงตัวปรับสายนั้นแกะสลักเป็นรูปนาคตาสีแดง  ชื่อของนางคือ ภุชงคมะ สัตตะสินธู (เรียกย่อว่า ภุชงค์)

                คนที่สองเป็นหญิงสาวแต่งกายแบบภาคใต้ เสื้อคลุมแขนยาวเป็นลูกไม้ทับกับเสื้อด้านในที่สั้นเลยสะดือมาหน่อย ผมเกล้าขึ้นปล่อยส่วนที่เหลือยาวถึงเอวมีดอกไม้กับปิ่นปักผมประดับ ผ้าถุงของนางผ้าข้าง เป็นการแต่งกายที่เรียบง่าย ทว่าท่วงท่าสง่างาม ดวงสีอำพันและผิวขาวเหลืองนวลสามารถดึงดูดสายตาให้หลงใหลได้แทน ชื่อของนางคือ อรรณพ (นามสกุลไม่เปิดเผย)

                หญิงสาวคนต่อมาคือซอ ตัวแทนจากภาคกลาง พินทุ ตัวแทนจะภาคเหนือ อีกคนหายไป… ตัวแทนจากภาคใต้และภาคอีสานก็แล้ว ตัวแทนจากภาคตะวันตกก็คือบุษราคัมเอง

                แล้วภาคตะวันออกหายไปไหน?

               

                บุษราคัมมองไปเบื้องหลังที่ทำการนายิกาซึ่งเป็นทะเล ระหว่างนั้นพินทุก็เอ่ยขึ้น

                “คู่แรกที่ไปประลองคือเจ้ากับภุชงค์สินะ”

                “หืม? ข้ากับนางฤ??”

                “ใช่” บุษราคัมพยักหน้าก่อนจะเดินมุ่งไปยังทะเล เดินไป ๔-๕ ก้าวไม่ทันไรร่างของนางก็หายไปพร้อมๆ กับร่างของภุชงค์ เมื่อเป็นเช่นนั้นนายิกาที่เหลือก็ใช้อาคมตามไปด้วย

                หายร่างมาปรากฏที่กลางทะเล พวกนางใช้อาคมในการยืนบนผิวน้ำจึงไม่ตกลงไป ระหว่างนั้นผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือก็ปรากฏกายขึ้นก่อนจะเอ่ย

                “เริ่มได้” คำนั้นทำให้ทุกคนมองอย่างฉงน “ทำไมถึงมิอธิบายกติกาล่ะเจ้าคะ” คีรีถามเสียงเรียบ

                “มันมิมีอะไรมากดอก”  ตอบแบบส่งๆ จบ ผู้อาวุโสก็ยกมือขึ้นก่อนจะดึงลงเป็นสัญญาณเริ่มการประลอง บุษราคัมชักปืนออกมาทั้งสองข้างแล้วลั่นไกโดยไม่ให้คู่ประลองเตรียมตัว

                ปังๆ !

                นางเบิกตาโตที่ลูกกระสุนไม่โดนภุชงค์ ถึงไม่ได้หวังว่าจะยิงโดนนางเพราะนี่เพิ่งเริ่มเอง แต่เสียงดนตรีจากพิณอีสานที่ภุชงค์บรรเลงนั้นหยุดกระสุนให้ลอยกลางอากาศ ก่อนที่มันจะค่อยๆ สลายเป็นผุยผง

                “นี่มัน… อาคมสายควบคุมฤ?”

                “ใช่ ข้าสามารถใช้เสียงของพิณนี้ควบคุมสัตว์และสิ่งของได้ …แต่เจ้ามิต้องห่วง มันควบคุมมนุษย์มิได้ดอก” น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวอย่างสบายๆ บุษราคัมมองอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของอีกฝ่ายสงบ ไม่มีความกังวลแฝงอยู่ ทั้งๆ ที่อยู่ในสมรภูมิ

                “ข้าขอถามหน่อย ทำไมเจ้าถึงดูมิค่อยรู้สึกอันใดเลยล่ะ?”

                “ถ้าหมายถึงความกังวล กลัว ระวัง อะไรแบบนั้นข้าคิดว่ากังวลไปก็คงมิมีอันใดดีขึ้น สู้รอให้ถึงตอนจบผลแพ้ชนะเป็นเช่นไรค่อยรู้สึกกันอีกที” ระหว่างที่ภุชงค์ตอบบุษราคัมก็เตรียมท่าจะเข้าไปชิงพิณอีสานจากนาง เพราะคิดว่าอาวุธสำคัญของอีกฝ่ายคงจะเป็นสิ่งนี้ พอภุชงค์กล่าวจบบุษราคัมก็พุ่งเข้ายิงเข้าที่มือสองข้างจนเผลอปล่อยพิณสามสาย บุษราคัมรีบหยิบขึ้นมาก่อนจะหักมัน ภุชงค์ร้องควรญด้วยความเจ็บปวด ทว่าด้วยความที่นางคิดว่ามันเป็นความรู้สึกนอกกายของประสาทสัมผัสก็ฝืนใจค่อยๆ ทรงตัวขึ้น บุษราคัมมองอย่างตะลึงอีกครั้ง อีกฝ่ายทรงตัวได้ไม่น่าแปลกใจหรอก แต่ที่แปลกใจคือสีหน้าสงบของนาง

                “?!”

                “ความเจ็บเป็นเพียงประสาทสัมผัส มิช้าคงจะหายเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนไม่ได้ทำให้ใจของบุษราคัมที่หวาดหวั่นสงบลงแต่กลับทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้น นางเคยคิดว่าภุชค์น่าจะเป็นคนอ่อนแอมากกว่านี้ เพราะท่าทางกิริยาของภุชงค์นุ่มนวล สงบและอ่อนโยน ไม่คิดว่าจะซ่อนความแข็งแกร่งไว้

                ฟุ่บ!

                ภุชงค์พุ่งเข้าไปหาบุษราคัมที่นิ่งไม่ลั่นไกอย่างรวดเร็วดุจสายลมพัด กว่าจะตั้งสติได้ก็ถูกภุชงค์เตะอย่างแรงจนร่างกระเด็นลงน้ำ พิณอีสานที่หักเป็นสองท่อนเรืองแสงก่อนจะก่อตัวขึ้นประกอบกันจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ภุชงค์หยิบมันขึ้นมาแล้วบรรเลงต่อ อรุโณทัยที่เห็นแม่ตนเองตกลงไปในน้ำก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ช่วยไว้จนแทบขาดใจ ด้วยกฎที่นางเคยอ่านมานั้นบอกว่าการประลองห้ามให้ผู้ใดเข้าไปช่วย งานแข่งนายิกาก็เช่นกัน อรุโณทัยกัดริมฝีปากอย่างคับแค้น จะโทษภุชงค์ก็ไม่ได้เพราะนี่เป็นการประลองในงาน

                บุษราคัมว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ ว่ายลอยตัวพลางเล็งเป้าจะยิงภุชงค์ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าลูกกระสุนคงไม่โดนเป้าหมายแน่ แต่ตอนนี้นางต้องถ่วงไว้ไม่ให้ภุชงค์เข้ามาใกล้ ไม่สิ ต้องกล่าวว่าถ่วงเวลาในการหาช่องโหว่เสียมากกว่าไม่ก็จุดอ่อนลง ไม่ว่าจะยิงเท่าไหร่ลูกกระสุนก็หายไปเป็นควัน นางเข้าไปใกล้ใช้ฝีไม้มือมวยในการสู้ตัวต่อตัวไร้ซึ่งอาวุธ บุษราคัมชกเข้าที่หน้าจนภุชงค์ล้มลงแต่นางตั้งสติได้อาคมจึงไม่สลายลงไปน้ำ บุษราคัมรวบข้อมือภุชงค์เพื่อแย่งพิณอีสาน แต่ภุชงค์เหวี่ยงกายขึ้นใช้เท้าเตะจนบุษราคัมปล่อยหงายลงไป

                บุษราคัมทบทวนสิ่งที่ตนเองเคยอ่านศึกษามา นางคิดว่าสายควบคุมน่ากลัวที่สุดเพราะนอกจากจะเข้าไปใกล้ไม่ค่อยได้แล้วยังโจมตีไม่ได้อีก นางพยายามนึกอยู่นานว่าการจะกำจัดสายควบคุมนั้นทำเช่นไรเพราะทำงานและคอยดูแลผู้คนในจังหวัดพื้นที่ก็วุ่นวานมากพอแล้วยังจะต้องจัดการเอกสารและศึกษาตำราหลายเล่ม อ่านไปอ่านมาจะทบทวนของเก่าก็ไม่มีเวลาได้แต่อ่านเล่มใหม่แถมสายควบคุมไม่ค่อยมีใครใช้เลยไม่เคยต่อสู้กับผู้ใช้สายนี้ นางนึกเจ็บใจที่บางครั้งมีเวลาบ้างก็ไม่เคยศึกษากับแค่หาจุดอ่อนเล็กๆ แบบนี้

                “ท่าน… ท่านแม่” อรุโณทัยกล่าวเสียงดัง แม้ไม่ถึงกับตะโกนหรือลั่นเสียงแต่ก็มากพอให้นางได้ยินชัดเจน บุษราคัมนึกถึงบางสิ่งได้ราวกับว่าเสียงของลูกตนได้ดึงความทรงจำของนางกลับมา

                ‘ท่านแม่ สายควบคุมเป็นเช่นไรฤๅเจ้าคะ?’ อรุโณทัยถาม บุษราคัมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดก่อนจะหยิบหนังสือแล้วเปิดอ่านออก

                ‘สายที่ใช้อะไรก็ตามในการควบคุมสิ่งของและสัตว์ไม่ก็สิ่งแวดล้อม แต่จะควบคุมกับมนุษย์มิค่อยได้นัก เว้นแต่คนที่เพียรฝึกจนบรรลุขั้นสูง’

                ‘แล้วจุดอ่อนของสายนี้คืออันใดฤๅเจ้าคะ?’ อรุโณทัยถามต่อ บุษราคัมก้มหน้าอ่านต่อก่อนจะกล่าว ‘จะกล่าวว่าเป็นจุดอ่อนก็มิใช้เสียทีเดียว เพราะการจะโต้ตอบกลับนั้นต้องท่องคาถาแล้วตั้งจิตให้มั่น อย่างสายควบคุมที่ใช้เครื่องดนตรีเราจะทำได้ยากเพราะเสียงของดนตรีจะรบกวน แต่ถ้าเราทำจิตให้มั่นแล้วละทิ้งมันก็คงได้แหละ’

                พอความทรงจำกลับมา บุษราคัมก็แทบจะทึ้งผมตนเองให้หลุดร่วงหัวล้านไปเลย ตนเองสอนลูกเองแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้เสียเอง น่าอัปยศจริง เรื่องแค่นี้ลืมไปได้อย่างไร

                “นึกออกแล้วสินะ แม่ของเจ้านี่ความจำสั้นสุดๆ กะอีแค่การโต้ตอบสายควบคุมยังจำมิได้” อรรณพเอ่ยเสียงเรียบกับอรุโณทัยแม้บุษราคัมจะได้ยินกับคำเสียดสีนั้นแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจเพราะการต่อสู้ ณ ตอนนี้สำคัญกว่า อรุโณทัยมองอรรณพสลับกับแม่ของตนด้วยความกลัวที่ว่าจะมีการประลองซ้อนกันอีกแต่ก็ต้องโล่งอกเมื่อเห็นบุษราคัมพนมมือ สวดคาถาเบาๆ

                ฉับพลันเสียงดนตรีก็หายไปเหลือเพียงเสียงสวดมนต์ของบุษราคัมโดยที่ภุชงค์ยังไม่ได้หยุดบรรเลง นายิกาแห่งภาคอีสานยิ้มมุมปากโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

                “หากนึกออกแล้วคงรู้สินะว่าต้องทำเช่นไร” ภุชงค์ถามด้วยเสียงนุ่มนวล

                “ฮึ ข้ารู้แล้วน่า”

                บุษราคัมเอ่ยอย่างประชดประชัน นางเล็งเป้าไปที่ภุชงค์ก่อนจะยิงไปพลางสวดมนต์ในใจ ภุชงค์เบี่ยงกายหลบก่อนจะบรรเลงพิณ คราวนี้มันหยุดกระสุนไม่ได้เพราะจิตตั้งมั่นสมาธิและการสวดมนต์ในใจของบุษราคัมสามารถห้ามมันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นภุงชค์ก็บรรเลงควบคุมให้น้ำมาแทน กลุ่มน้ำที่รวบตัวกันคอยสลายกระสุนที่พุ่งมา บังคับน้ำจู่โจมบ้าง มีบ้างที่ลูกกระสุนโดน นางกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียไม่ให้ร้องครวญเพราะรู้ดีว่ายิ่งร้องยิ่งเจ็บ สู้เงียบไม่เอ่ยให้น่าเวทนาจะดีเสียกว่า ทว่านางไม่สามารถเก็บสีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดสร้างความพอใจให้กับบุษราคัมเพราะที่ผ่านมานางเป็นผู้พ่ายทุกที และนึกขบขันที่อีกฝ่ายเคยกล่าวว่าความเจ็บเป็นเพียงความรู้สึกที่ประสาทรับรู้ บุษราคัมคิดว่าอีกฝ่ายคงกล่าวให้ตนเองกลัวกระมังไม่ก็ทำให้ตนเองไม่นึกถึงความเจ็บ

                ภุชงค์ไม่ขยับเขยื้อน บุษราคัมเองก็เช่นกัน ภุชงค์กลอกตาไปมาพลางนึกแผนการ

                จะให้เข้าไปปะทะฝีมือตัวต่อตัวก็กระไรอยู่ จะให้บรรเลงพิณอีสานคอยรับการโจมตีก็ดูจะยืดเยื้อ ผลสรุปการแข่งขันคงได้ถึงพรุ่งนี้กระมัง

                “ไหนบอกว่าความเจ็บเป็นเพียงประสาทสัมผัส ไยสีหน้าถึงมิค่อยดีเลยล่ะ?” บุษราคัมถามอย่างเย้ยหยันยียวน ภุชงค์ทำเป็นไม่สนใจ สีหน้าเรียบนิ่งของนางเริ่มกลับมาซ่อนความเจ็บปวดไว้

                เราต้องหาทางทำลายสมาธิบุษราคัมไม่ก็ทำให้จิตใจของนางสั่นไหว

                ภุชงค์คิดพลางมองไปทางอื่นรอบๆ เผอิญเห็นอรุโณทัยที่แสดงสีหน้ายินดีเพราะแม่ตนเองหาทางโจมตีได้ ภุชงค์ลอบยิ้มโดยไม่มีใครทันสังเกตก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล

                นั่นสินะ บุษราคัมมีบุตรบุญธรรมอยู่นี่ หากใช้จุดนี้ให้นางมัวแต่คิดถึงเรื่องบุตรก็คงได้

                “นี่… บุษราคัม” ภุชงค์เอ่ยพลางเดินเข้าไปหาโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิงเข้ามา แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น บุษราคัมยืนนิ่ง กระชับปืนไว้เตรียมจะยิงได้ทุกเมื่อเพราะคิดว่าไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะเล่นทีเผลอ แต่ผิดคาดเมื่อภุชงค์ถามเสียงนุ่ม

                “เจ้ารักบุตรไหม?”

                “จู่ๆ ทำไมถึงถามเช่นนี้??” บุษราคัมฉงนมาก ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าภุชงค์มาไม้ไหน “ตอนนั้นที่เคยมีงาน ข้าเห็นอรุโณทัยลอบๆ มองๆ ชามอาหารของท่านก่อนจะใส่ยาบางอย่างแล้วนำไปให้ท่าน ดีนะที่ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุจนมิอาจทานได้อีก ท่านจึงไปทำมาเองโดยที่นางมองตามหลังท่านด้วยสีหน้าที่ข้ารู้สึกได้ว่าผิดหวังเจือไม่พอใจ”

                “ยา??” บุษราคัมทวนคำด้วยความสงสัยที่มากขึ้น ทำไมลูกของนางจึงต้องทำเช่นนั้นกัน

                “ใช่ อีกงานก่อนงานนั้นข้าก็เห็นท่านทั้งสองคุยอะไรบางอย่าง  ข้าจำได้ว่านางในตอนนั้นคงมิพอใจ งานที่ข้าเล่าก่อนหน้านี้ที่นางทำไปอาจจะเพราะต้องการสังหารท่านก็ได้” ได้ยินดังนั้นหัวใจแทบจะหล่นวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริงนางก็อดคิดไม่ได้ว่าอรุโณทัยยังคิดไม่ค่อยเป็นนัก กับแค่การทะเลาะกันถึงกับต้องสังหารเชียวหรือแต่เรื่องที่คุยกันตอนนั้นก็สำคัญกับอรุโณทัย ทว่าเรื่องที่คุยนั้นนางพยายามไม่นึกถึง

                …เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ที่แท้จริงของอรุโณทัย

                “ต้องขออภัยด้วยที่ข้าลอบมอง แต่ข้าเป็นห่วงท่านเพราะโอกาสคนที่มิมีสายเลือดเดียวกันจะทำใจหักหลังนั้นมีสูงมาก มิแน่ว่านางอาจจะรอให้ตนเติบใหญ่แล้วค่อยเฉดหัวท่านทิ้งแล้วจากไปก็อาจเป็นได้” บุษราคัมยิ่งฟังก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบกายเริ่มหายไป ความไม่สบายใจบังเกิดจนร่ายกายเริ่มไม่ดี นางพยายามคิดในแง่ดีว่าอรุโณทัยจะไม่ทำเช่นนั้นจริง

                บุตรของข้ากำลังทรยศฤ… มิจริง

                ภุชงค์ใช้จิตสัมผัสความรู้สึกของบุษราคัม ตอนนี้หัวใจของอีกฝ่ายสั่นไหวจนยากจะตั้งสมาธิให้จิตใจแน่วแน่ ภุชงค์เห็นช่องโหว่แล้วก็รีบบรรเลงพิณอีสานพลางสวดมนต์ในใจเพ่งจิตไปยังคู่ประลอง ด้วยความที่เพราะจิตใจที่สั่นไหวเกินจะตั้งสมาธิจึงทำให้เสียงดนตรีควบคุมบุษราคัมได้ แม้นางจะไม่สามารถควบคุมมนุษย์ได้แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลย ทำได้เป็นบางครั้งและตอนนี้ก็เป็นช่วงที่ดีที่นางสามารถทำได้ ภาพเบื้องหน้าของบุษราคัมพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ สติหายไปจนไม่รับรู้ใดๆ นอกจากการมองเห็น ความทรงจำในอดีตย้อนกลับมา เสียงพิณอีสานที่อยู่ในห้วงความเศร้ายิ่งบีบอารมณ์ให้สั่นไหวกว่าเดิม

                “ท่านแม่ …เป็นอันใดกัน?....” อรูโณทัยเอ่ยเสียงแผ่ว

                ภุชงค์พูดอันใดกับท่านแม่?!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา