ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
58) บทที่ ๕๘: นั่งเรือไปด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๘
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
นั่งเรือไปด้วยกัน
“อิ่มอะ” เฉาก๊วยฟุบหน้าลงกับโต๊ะทานอาหาร ศรีขำคิกคักกับท่าทางนั้น เหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้เพราะอาหารที่ตนเองทานไปมีรสเผ็ดมากจึงต้องดื่มน้ำมากๆ อีก และทานต่อไปเรื่อยๆ (เขาชอบรสชาติเลยไม่หยุดทาน) จึงสะสมจนทำให้รู้สึกอืด ระหว่างนั้นบ่าวก็เก็บจาน ชาม ช้อน ส้อมไปล้าง
“เฮ้อ… บอกแล้วว่าให้หยุด นอกจากจะอืดแล้วยังทำให้ปวดท้องอีก จริงๆ เลย” ดินขาวกล่าวพลางถอนหายใจ ปักเป้ากัดลูกชุบแล้วเคี้ยวไปทีหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“ป่านนี้ท่านแม่เสร็จจากประชุมยังนะ?”
“ถ้าหมายถึงท่านพินทุก็กลับมาแล้วจ้ะ” ศรีตอบ ปักเป้าเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อว่าแม่ตนเองจะกลับมาแล้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าหงุดหงิด
“กลับมาก็มิบอกนะแม่นะ…” ปักเป้าพึมพำ ว่าวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
“ว่าแต่พวกโรงเรียนฟิคซาก้อนมันหายหัวไปไหน? หายหน้าหายตาเงียบเชียว” ขนมชั้นที่ไม่ได้ออกโรงนาน (?) เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจพลางมองไปรอบๆ เผื่อเพื่อนๆ ที่เขาพูดถึงจะอยู่
“ก็มิรู้สินะ” ปักเป้าตอบอย่างกวนๆ “เจ้าน่ะหุบปากไปเลย”
“ถามถึงสุดหล่อเหรอ?” จู่ๆ เสียงจากโซค่อนก็ดังขึ้นแถวประตูบนเรือน ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว ไม่สิ ทุกคนมองนักเรียนจากโรงเรียนฟิคซาก้อนด้วยความคาดไม่ถึง ขนมชั้นรู้สึกว่าเส้นกระตุกตงิดๆ
“เปล่า ข้าถามถึงคนขี้เหร่”
“โห! ยอมรับเถอะว่าฉันหล่อ”
“มันเป็นสิ่งที่เจ้าคิดไปเอง” ขนมชั้นเหงื่อตก เขาละความสนใจไปมองเพื่อนๆ อีก ๙ คน “แล้วไปไหนมาล่ะ หายหน้าหายตาไปเลยนะ”
“ก็สืบเรื่องคดีลักมีอยู่ ‘ไง” ซีอาห์ตอบพลางยิ้มแป้นเหมือนจะแก้ตัวว่าจริงๆ แล้วตนเองไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
“จริงฤ?”
“จริงซิ”
“แน่นะ?”
“แน่ซิ”
“ไม่ยั่วนะ”
“ไม่ยั่วซิ”
“คนอวด---”
“เฮ้ย! พอได้แล้ว” ศารทูลตะโกนทำให้ทั้งคู่หยุดร้องต่อเพลง (โดยที่ร้องตามเนื้อเพลงไม่ได้ใช้ภาษาพูดแบบสมัยก่อน) “ร้องเป็นพ่อแง่ แม่งอน[1]ฤอย่างไร?”
“…” ขนมชั้นเงียบส่วนซีอาห์ยิ้มแห้งๆ ขนมชั้นคิดว่าตนเองไม่น่าหลวมตัวเลย เพื่อนๆ บางคนขำกับกริยาทั้งสองคนก่อนจะถูกสายตาดุๆ จากขนมชั้นเมื่อนั้นแหละถึงจะเงียบ
“ว่าแต่ไปถึงไหนแล้วล่ะเรื่องคดีนั้น”
“ก็…”
ศารทูลเล่าถึงสิ่งที่ตนกับเพื่อนๆ โรงเรียนเดียวกันได้ข้อมูลมา ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่มณฑาเล่าให้พวกเขาฟังระหว่างทานอาหารหลังจากคุยเรื่องนี้จบขนมชั้นก็บอกว่าให้พวกโซค่อนกลับโรงเรียนไปเพราะไม่อยากให้เสียเวลากับคดีนี้แถมเรื่องนี้ยังสามารถจัดการได้ด้วย โซค่อนที่ยิ้มมาตลอดถึงกับต้องหุบยิ้ม …ถ้าหากกลับไปก็ไม่มีเรื่องสนุกๆ ทำน่ะสิ
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
ยุพินกับแป้งมันมาตรงแถวๆ ที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ ทั้งสองอึดอัดเมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรจนในที่สุดแป้งมันก็เริ่มคุย
“เธอน่ะ รักศรีเหรอ”
“ใช่”
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันรักศรีก่อนแล้วทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ?” แป้งมันรู้สึกว่าปากตนเองสั่น น้ำตาเอ่อขึ้น ยุพินเม้มริมฝีปาก เธอเองก็เจ็บไม่แพ้แป้งมัน
“…”
“…”
ทั้งสองเงียบก่อนที่ยุพินจะเอ่ยเหมือนสมเพชตนเองและอีกฝ่าย
“…น่าแปลกจัง ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอแต่ความรู้สึกว่ารักนี่มันคืออะไร?”
ใช่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอแต่ก็ยังรัก
ย้อนความไปยังตอนที่ทั้งสองเจอกับศรีเป็นครั้งแรก ทั้งสองกับเพื่อนๆ เดินกลับมาจากซื้อของในตลาดแล้วพบศรีนั่งอยู่ พลันความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมา เสียงหัวเราะในยามเช้าที่สดใส รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวสองคนในความทรงจำใจเต้นแรง ยุพินกับแป้งมันในตอนนั้นมองศรีซ้อนกับภาพชายหนุ่ม ยุพินตัดสินใจเข้าไปหาศรีราวกับถูกดึงดูดด้วยภาพความทรงจำ แป้งมันก็ตามเข้าไปพร้อมกับเพื่อนๆ แล้วก็คุยกับศรีอย่างสนิทสนม ทั้งหน้าตาที่สะสวยเหมือนมะลิแรกแย้มและความทรงจำทำให้ทั้งสองว้าวุ่นในใจ
ไม่บ่อยนักที่เพื่อนรักกันจะเสียลสะคนที่ตนเองรักให้เพื่อน ยุพินกับแป้งมันก็เป็นหนี่งในนั้น
…ทรยศทั้งที่เป็นเพื่อนกัน…
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าสามารถทำให้ศรีรักได้ก็เอาเป็นว่าได้ไป” แป้งมันกล่าวขึ้นหลังจากที่เงียบนาน ยุพินพยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกัน
“แป้งมันกับยุพินมีเรื่องกันฤ?” ดินขาวถามขณะที่ทั้งสองนั่งเล่นในห้อง ขนมชั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าว
“อืม… ก็ชอบศรีด้วยกันทั้งคู่เลยบาดหมางน่ะ”
“เฮ้อ… มิน่าเลย อุตส่าห์รักใคร่กลมเกลียวกันแล้วยังต้องทะเลาะเพราะเรื่องนี้” ดินขาวถอนหายใจเขาเคยเห็นเด็กหญิงสองคนนั้นเล่นกัน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันตลอด เขาคิดว่าความรักทำให้มนุษย์อ่อนแอ
…แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ใครบางคนเข้มแข็งขึ้น…
ศรีเดินออกไปซื้อขนมพร้อมกับอสุรา รพิ แววไพร ว่าว (ที่ยังทะเลาะกันไม่เลิก) พงสณะและธันนะ ต่อจากนั้นเดินเล่นในย่านชุมชน ตั้งแต่มาอยู่ที่มิตินี้ศรีสังเกตว่ามิติผกายสร้างที่อาศัยทำจากไม้ ลักษณะสร้างตามแบบในสมัยก่อน ถ้าไม่ใช่เรือนไทยก็จะเป็นบ้านธรรมดาแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นตัวเมืองที่มิติผกาย ศรีคิดว่าดีจังเพราะทำให้เหมือนย้อนกลับไปในสสมัยก่อนและจะได้อนุรักษณ์ไว้ด้วย
หลังจากนั้นก็ไปที่ตลาดน้ำ เรือค้าขายสัญจรไปมาไม่หนาแน่นนัก อสุราเห็นเรือที่เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ชวนเด็กๆ ไปซื้อมาทานซึ่งก็นั่งทานอยู่ตรงบนพื้นไม้ ในขณะที่ทานไปศรีก็คิดไปพลาง ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ขายชามละ ๑๕ ถ้ามากกว่านี้ก็ ๒๕ ซึ่งราคาต้นๆ ไม่ค่อยมีขายนัก …ดีจัง
ทานเสร็จก็เดินเล่นชมสินค้ามีการจจับจ่ายซื้อบ้าง
“ศรี อยากได้อะไรไหมฉันจะซื้อให้”
“ขอบคุณนะแต่ไม่เป็นไร” ศรีกล่าวอย่างเกรงใจ พงสณะส่ายหน้าพลางยิ้ม “ได้ไงล่ะ เธอเป็นว่าที่ภรรยาฉันนะ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นเป็น ‘ไรเลย” กล่าวจบพงสณะก็จูงมือศรีแล้วเดินนำเพื่อนๆ รังสีสังหารแผ่มาจากทุกคนซึ่งเดินตามทั้งสองคนไปยกเว้นรพิและธันนะที่ยังเดินค่อยๆ อยู่
“กรี๊ด! กล้าดียังไงมาจับมือศรียะ!”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ!”
“ปล่อยมือน้องสาวฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ฟึ่บ
พงสณะพาศรีไปอย่างว่องไวจนเมื่อถึงตรงที่แยกเป็นสองทางแววไพร ว่าวและอสุราก็คลาดสายตา อสุรากำมือแน่น กัดฟันกรอดเธอรีบเข้าไปทางที่คาดว่าทั้งคู่จะไปส่วนว่าวและแววไพรก็ไปอีกทาง
“นี่ จะพาฉันไปไหนน่ะ?”
ศรีถามอย่างหงุดหงิดที่อยู่ดีๆ ถูกพาไปไหนก็ไม่รู้แถมยังเป็นผู้ชายอีก พงสณะยิ้มหน้าบานเขาไม่ตอบอะไรศรีจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คนนัก ศรีหวาดหวั่นในใจว่าเขาอาจจะพามาทำเรื่องมิดีมิร้ายแต่แล้วก็คาดผิดเพราะแท้จริงแล้วพงสณะจะพาเธอไปนั่งเรือเล่นเมื่อเขาคุยกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง (ชั้นมัธยมปลาย) เมื่อคุยกันเสร็จแล้วเขาก็จ่ายเงินและกวักมือเรียกศรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“มานี่สิ ไปนั่งเรือเล่นกัน”
“อะ ---เอ๋!” อุทานไม่ทานขาดคำพงสณธก็ดึงเธอนั่งบนเรือ เขารีบปลดเชือกจากไม้ซึ่งเป็นที่ยึดก่อนจะพายเรืออย่างว่องไว
จากตอนแรกที่โมโหเพราะอีกฝ่ายพามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เปลี่ยนเป็นอยากขอบคุณ เพราะเรือนแล่นผ่านเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แม้จะไม่ได้มีอะไรมากนอกเสียจากต้นไม้หลากพันธ์หลากชนิดแต่ก็ให้ความรู้สึกร่มรื่นเป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย สายลมพัดมาเบาๆ … ดีนะที่ทั้งสองมาช่วงบ่ายไม่อย่างนั้นได้ร้อนแน่
“ชอบไหม?”
“อื้ม ชอบมากเลยล่ะ ขอบคุณนะพงสณะ!” ศรีกล่าวด้วยความดีใจ พงสณะยิ้มอย่างอ่อนโยนต่างจากปรกติที่มักจะชอบยิ้มทะเล้นไม่ก็ยิ้มสดใส
ดีใจจังที่ศรีชอบ
“ไม่เป็นไร เธอต้องการอะไรฉันก็ให้ได้ทุกอย่างแหละ อืม… จริงๆ แล้วเรือที่เช่ามาเป็นไว้โดยสารชมดอกไม้ข้างทางอย่างที่เราผ่านมาน่ะ” ศรีฟังพลางพยักหน้าแล้วหันไปสนใจข้างทางต่อ
“อยากไปทางไหนต่อล่ะ” พงสณะถามขึ้นเมื่อหยุดพายเรือ ศรีหันไปมองเขาอย่างฉงนแล้วมองไปข้างหน้าพบว่ามีเรือนไทยสองที่
“ทางที่ ๒ น่ะ”
“โอเค” รับคำจบพงสณะก็ไปทางที่สองซึ่งเป็นเรือนไทยแบบภาคเหนือ เขาพายไปตรงจุดที่ไว้เทียบท่าก่อนจะเดินลงจากเรือแล้วช่วยพยุงศรีขึ้น
“ที่นี่คืออะไรเหรอ?”
“ก็พิพิธพัณฑ์เกี่ยวกับภาคเหนือน่ะ” พงสณะตอบในขณะที่ทั้งคู่เดินไปด้วย
ขอบคุณนะ พงสณะ
ศรีกล่าวในใจ เธอยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่พงสณะทำเพื่อเธอ…
[1] เพลง พ่อแง่ แม่งอน คำร้อง เกษม ชื่นประดิษฐ์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลินสุเทพ ขับร้อง สวลี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ