ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
56) บทที่ ๕๖: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๓
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๓
นานแค่ไหนแล้วนะ… ที่ไม่ได้เจอ
เด็กหญิงผมยาวชี้ปลายออกข้างเป็นชั้นๆ ดูไม่เรียบร้อยมองเชือกที่พันรอบกล่องใส่อุปกรณ์การเขียนบนมุมโต๊ะไม้ซึ่งมีรอยขูดขีด เธอนึกถึงความทรงจำในเยาว์วัย
วันพุธที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เมื่อครั้นไปเรียนวิชามวยที่พระนครศรีอยุธยา เธอพบกับเด็กหญิงเกล้ามวยผมสีดำเงางาม ยาวประบ่า สวมชุดคอกระเช้าสะพายกระเป๋านั่งเล่นชิงช้าที่เริ่มผุพังเต็มที มันส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดแสบหู เด็กหญิงย่นหน้าก่อนจะเข้าไปหา
“นี่ มานั่งทำไมคนเดียว?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา ศรีเงยหน้ามองแล้วยิ้มบางๆ “อยากอยู่คนเดียวน่ะ …ฉันชื่อศรีจ้ะ แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”
“ทำไมฉันต้องตอบ ขอถามหน่อย?” ท่าทางยโสของเด็กหญิงทำให้ศรีกังวล แต่เธอก็ยังทำใจตอบ
“ก็… ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนี่ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อยู่กับใครสินะ” ถูกตามที่ศรีกล่าว วาจานั้นราวกับคมดาบกรีดหัวใจที่บอบบาง เด็กหญิงมองศรีอย่างสับสนและว้าวุ่นในใจก่อนจะเอ่ย
“งั้นเหรอ บอกให้ก็ได้… ฉันชื่อกาญยะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ฉันสนใจชื่อของเธอจัง กาญยะนี่มาจากคำว่ากาญจนบุรีเหรอจ๊ะ?” ศรีถามอย่างใคร่รู้ กาญยะรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารำคาญ แต่ก็ช่วยไม่ได้เลยตอบส่งๆ
“อืม ชื่อจริงของฉันคือยุทธกาญยะ ยุทธย่อมาจากยุทธศาสตร์ ส่วนกาญยะย่อมาจากคำว่ากาญจนบุรี ซึ่งนี้แปลว่าทอง” ถึงจะตอบส่งๆ แต่ศรีคิดว่ากาญยะบอกละเอียดดี เธอถามต่อว่าแล้วถ้ามารวมคำกันจะได้ความว่าอย่างไร
“พอแล้วๆ ถามเยอะจริง”
“อ่ะ เอ่อ ขอโทษนะ”
“ว่าแต่ บ้านเธออยู่ไหนเหรอ ศรี?” ศรีมองกาญยะอย่างลังเล เพราะแม่เธอเคยสอนไว้ว่าอย่าบอกที่อยู่ให้กับเพื่อนที่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน
แต่ถ้าจังหวัดก็คงจะได้กระมัง
“ขอโทษนะ ฉันบอกได้แค่ว่าจังหวัดอะไร ฉันมาจากระยองน่ะ ส่วนกาญยะมาจากกาญจนบุรีสินะ” กาญยะไม่แปลกใจที่ศรีคาดถูก เพราะเธอเพิ่งจะบอกเกี่ยวกับชื่อไป
“อืม… ว่าไปเธอมาทำอะไรที่อยุธยาล่ะ?” ศรีนิ่งไปสักพักเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ตนเองมาที่นี่ ก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจราวกับมาเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ
“มาเรียนวิชามวยน่ะ แล้วกาญยะมาทำอะไรเหรอจ๊ะ?” คำตอบนั้นทำให้กาญยะตะลึง เพราะไม่คิดว่าคนอย่างศรีที่มีท่าทางอ่อนหวานเรียบร้อย (เสียส่วนใหญ่) จะมาเรียนอะไรแบบนี้
“ฉันมาเองก็มาเรียนวิชามวยเหมือนกัน ว่าแต่เธอจะไปเรียนที่สำนักไหนล่ะ?”
“…ฉันจำไม่ได้จ้ะ แต่เดินไปตรงไปข้างหน้าแปบๆ ก็ถึงแล้ว” ศรีชี้ไปทางข้างหน้าพลางตอบไปด้วย กาญยะมอง และก็เป็นอีกครั้งที่กาญยะตะลึง เพราะทางไปสำนักมวยที่ศรีกล่าวเป็นสำนักเดียวกับที่กาญยะจะไปเรียน กาญยะนิ่งไปสักพักก่อนจะนั่งบนชิงช้าข้างๆ ศรี
หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันไปเรื่อยๆ ศรีรู้สึกว่ากาญยะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มเลย ไม่สิ เจ้าตัวไม่ยิ้มเลย ศรีคิดว่ากาญยะคงไม่ใช่คนที่อันตรายนะหรอก เพราะดูแล้วก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาดี เมื่อศรีบอกว่าถึงเวลาไปเรียนแล้วทั้งสองก็เดินไปที่สำนักมวย ระหว่างเดินศรีก็ได้กุมมือกาญยะไว้เบาๆ สัมผัสนุ่มนวลอันอบอุ่นนั้นทำให้กาญยะหลั่งน้ำตาเล็กน้อย เพราะนานแล้วที่เธอไม่ได้รับความรู้สึกแบบนี้
“มาแล้วเหรอ?”
“สวัสดีค่ะครูสินธพ หนูมาแล้วค่ะ” ศรีกับกาญยะยกมือไหว้ เด็กหนุ่มเจ้าของนามสินธพรับไหว้ เขาเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมต้นปีที่ ๓ เขาสวมชุดเสื้อยืดธรรมดา ผมสีดำที่ไม่ได้ตัดแต่งอะไรมากนัก แก้มข้างซ้ายมีรอยแผลเป็น ดวงตาสีดำที่ฉายความดุดันทำให้ศรีขนลุกเล็กน้อย สำหรับศรี สินธพมีบุคลิกที่โหด
แม้เขาจะเป็นนักเรียนชั้นมัธยม แต่ก่อนจะมาที่นี่แม่สอนเธอไว้ว่าถึงสินธพจะยังไม่ใช่คุณครูเต็มตัวแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สอนก็ควรจะเรียกว่าครู
“จะว่าไปคนอื่นๆ หายไปไหนเหรอคะ?” กาญยะถามเสียงเรียบ สินธพที่นั่งทำการบ้านอยู่ตอบเสียงเรียบเช่นกัน “ถ้าหมายถึงพวกผู้ชายที่มาเรียนด้วยก็ไปกินข้าวกลางวันแล้วน่ะ เดี๋ยวรอให้พวกมันกลับมาก่อนแล้วเราจะเริ่มบทเรียน”
“เย้!” ศรีเอ่ยอย่างดีใจ ทว่าถูกสายตาดุดันจากสินธพมองมาเสียก่อนจนศรีต้องเงียบเพราะกลัว กาญยะยิ้มมุมปากอย่างขบขัน
ทั้งสามคนนั่งรอศิษย์เพศชายของสำนักมวยนี้พลางอ่านหนังสือไปด้วย โดยสินธพได้ให้หนังสือวิชามวยกับเด็กหญิงสองคน ศรีรีบรับก่อนจะเปิดหนังสือแล้ววางไว้ตรงกลางระหว่างตนเองและกาญยะ ๒๐ นาที ต่อมาศิษย์เพศชายจำนวน ๕ คนก็มาถึง ระหว่างที่พวกเขาขึ้นบันไดของเรือนไทยนั้นก็พบว่าสินธพยืนถือไม้มะยมอยู่ เด็กชายผิวสีแทน ตาสีดำออกน้ำตาลสะดุ้ง เขาหยุดเดินแล้วปล่อยให้เพื่อนๆ ที่เดินตามหลังก้มหน้าตาเดินนำหน้าไป
ไม่รอช้า สินธพตวัดไม้มะยมเข้ากับขาเด็กชายที่สวมหมวกแก๊ป
เพียะ!
“โอ๊ย! ตีทำไมครับครูสินฯ !” สินธพมองหน้าคนถามอย่างหมั่นไส้ รังสีสังหารแผ่ปกคลุมไปทั่วจนเด็กๆ ต่างขนลุกซู่
“ยังมีหน้ามาถามอีก! พวกแกไปกินข้าวมาจริงเรอะ ไป ๑๕ นาทีแล้วผ่านไปอีก ๒๐ นาที ถามจริงเถอะ พวกแกไปเล่นกันมาใช่ไหม?!!”
“ผม… เอ่อ คือ”
“อ้ำๆ อึ้งๆ แสดงว่าฉันเดาถูกสินะ หึๆ”
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ยๆ !! ผมขอโทษครับครูสินธพ!!” เด็กชายสวมหมวกแก๊ปร้องครวญ เขาหันไปมองเพื่อนๆ เหมือนจะขอความเชื่อเหลือ แต่คงไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนๆ เขาเองก็ทำผิดเหมือนกัน สินธพเห็นเด็กชายมองจึงมองตาม เขายิ้มมุมปากก่อนจะตีไม้มะยมกับมือตนเองเบาๆ
“ใครจะเป็นคิวต่อไป?”
.
.
.
เมื่อสินธพตีเสร็จแล้ว เด็กผู้ชายทั้ง ๕ คนต่างก็ลากสังขารตนไปรักษาแผล
“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยศรี” ศรีสะดุ้ง เธอถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ค้างพลางมองเด็กชายสวมหมวกแก๊ปอย่างเห็นใจ แต่อีกใจก็คิดว่าเขาทำตัวของเขาเองถึงต้องโดนลงโทษแบบนี้
“ปรัก… ขอโทษนะจ๊ะ”
“เฮ้อ! ช่างเถอะ พอแค่นี้ละกัน เจ็บชะมัด” อีกฝ่ายเอ่ยไปน้ำตาเล็ดไปด้วยความเจ็บปวด ศรีมองสักพักก่อนจะสะดุ้งอีกครั้งเพราะเสียงตบหลังจากกาญยะ
ตุบ!!
“อ้าก!!” เด็กชายผิวสีแทนร้องครวญ ตรงหลังของเขาบริเวณที่กาญยะตีเป็นจุดที่สินธพตีมากที่สุด เด็กชายผิวสีแทนผลักกาญยะแล้วรักษาแผลเอง
“คนใจร้าย ตบหลังมาได้นะ” เด็กชายผิวสีแทนอีกคนที่ร่างกายเล็กกว่าใครเขยิบมาช่วยเขา ในขณะนั้นเองสินธพก็เปิดประตูห้องเข้ามา เขาแสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจกับพวกเด็กเหลือขอ
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันจะตีพวกแกก็ยังทำ!”
“โห! ครูสินธพอะใจร้าย ให้เวลาพักเราน้อยไปแล้ว” เด็กชายผิวสีแทนร่างเล็กตัดพ้อ สินธพรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้ร้ายชอบกล เขาชี้ไม้มะยมไปทางอีกฝ่าย
“น้อยเรอะ! เรียน ๖ ชั่วโมนี่มันเยอะตรงไหน เหลือเวลาให้เล่นตั้ง ๘ ชั่วโมง เหลือเฟือจะตาย!”
ฮึ่ย อ้ายเด็กพวกนี้มันน่าฟาดให้หลังหักจริงๆ อะ ไม้ใกล้หักแล้ว ต้องไปหาใหม่
“…” ทุกคนเงียบ สินธพถอนหายใจก่อนจะลดไม้ลงแล้วเอ่ย “ตั้งใจฟังนะ วันนี้จะมีเพื่อนใหม่มาเรียนกับเราด้วย เอ้า กาญยะ แนะนำตัวสิ” ทุกคนมองกาญยะเป็นตาเดียว เธอมีท่าทีอึดอัดแต่ก็พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปรกติ
“สวัสดี ฉันชื่อกาญยะ”
“อืม… พรุ่งนี้จะมีอีกสามคนที่จะมาเรียนกับเราด้วยนะ ---เอาล่ะ แยกย้ายได้ไปฝึกกันมา อีก ๒๕ นาทีฉันจะมา”
“อ้าว แล้วครูจะไปไหนเหรอครับ” เด็กชายผิวขาวซีดผมสีเขียวถาม “เออน่า รีบๆ ไปไป๊ เดี๋ยวถ้าแกทำไม่ได้ฉันฟาดอีกทีแน่” ไม่รอช้าทุกคนลุกขึ้นยืนรู้ดีว่าสินธพทำจริงจึงรีบเดินออกไปจากห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ โดยเฉพาะคนสุดท้ายที่กำลังเดินพ้นประตูนั้นก็ถูกสินธพถีบก้นจนล้มไปนอนกับพื้นนอกห้อง เมื่อลุกขึ้นยืนอย่างเงอะงะก็รีบตามเพื่อนๆ ลงจากเรือนไป
ทุกคนต่างผลัดกันฝึกเป็นคู่ๆ โดยจะสลับกันเป็นฝ่ายรับและฝ่ายรุก โดยการใช้มือ เท้า เข่า ศอกและศีรษะ ซึ่งผู้ชายไม่ค่อยจะจับคู่กับผู้หญิงอย่างศรีกับกาญยะเพราะกลัวลงมือแรงเกินไป จนบางครั้งศรีก็คิดว่าถ้าตนเองมีแรงมากกว่านี้ก็คงจะดีจะได้รับมือง่ายขึ้น
๒๕ นาทีต่อมา สินธพก็กลับมาจากธุระ เขาให้เด็กๆ จับคู่มาประลองมวย (แบบฝึก) โดยที่ความรุนแรงมีไม่มาก ส่วนคนที่ไร้คู่ก็จับกับคนที่ประลองเสร็จแล้วมาประลองด้วยกัน
หลังจากประลองเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปโดยสินธพบอกว่าหากออกไปนอกบริเวณสำนักมวยแห่งนี้จะตีให้แรงกว่านี้ เด็กๆ ต่างหน้าซีดแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจและจึงแยกย้ายกันไปเล่น ศรีพากาญยะไปนั่งเล่นในห้องฝั่งตรงข้ามกับห้องที่เรียน เธอหยิบสมุดและดินสอจากกระเป๋าแล้วกลับหนังสือเป็นแนวนอนเพื่อที่จะวาดได้สะดวกสำหรับทั้งสองคน
ศรีกับกาญยะนั่งวาดบนโต๊ะญี่ปุ่น เด็กหญิงเกล้ามวยผมวาดดอกลีลาวดีอย่างผ่อนคลายในขณะที่กาญยะทำหน้าเคลียดเพราะคิดไม่ออก ศรีเห็นดังนั้นจีงถามว่าเป็นอะไร กาญยะตอบว่าคิดไม่ออก ศรียิ้มแล้วบอกให้กาญยะมองออกไปนอกหน้าต่างเผื่อจะเห็นอะไรแล้วจะได้เป็นแรงบันดาล กาญยะมองตามที่ศรีบอกจนแล้วจนรอดก็คิดไม่ออก เธอนั่งนึกไปเรื่อยๆ จนเผลอนึกถึงบ้านของตนที่อยู่กาญจนบุรีก็คิดได้ว่าจะวาดรถไฟดู
ศรีมองอย่างสนใจพลางยิ้มด้วยความดีใจที่กาญยะนึกได้แล้วก่อนจะกลับไปวาดของตนเองต่อ
กลางคืน
พรึ่บ
ไฟจากเทียนพลันส่องแสงสว่างเมื่อปรักจุดไฟแช็ค เขามองเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ดับ เมื่อมันไหววูบโดยไม่มีท่าทีอย่างนั้นจึงกลับไปนั่งวงล้อมกับเพื่อนๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฮึ่ย ทำแบบนี้ครูจะไม่ว่าเหรอวะ?”
“จุดเทียนแล้วยังจะถามอีกเรอะ มาๆ แกเปิดเรื่องเลย” เด็กชายผมสีเขียวเอ่ย ชื่อของเขาคือเวรี ปรักทำหน้าลำบากใจ
“จะดีจริงๆ เหรอ”
“ดีดิ”
ปรักลังเล เขาคิดว่าถ้าสินธพรู้ว่าพวกเขานั่งล้อมวงเพื่อเล่าเรื่องผีจะต้องเจ็บตัวมิใช่น้อย เขาคิดว่าสินธพตอนโกรธน่ากลัวกว่าผีที่เขาเคยเห็นในภาพยนต์เสียอีก
“…งั้นก็ เรื่องมีอยู่ว่า……..”
สินธพตื่นอย่างไม่ตั้งใจ เขาหันไปมองนาฬิกาที่บอกเป็นเวลา ๕ ทุ่มแล้ว เขากระหายน้ำจึงลุกจากเตียงแล้วออกจากห้องเพื่อที่จะไปห้องครัว
ความมืดกลืนกินทุกสิ่ง เขาเห็นเพียงภาพลางๆ ทว่ายังพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร สินธพหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ จากห้องทางซ้ายเบื้องหน้า
“เรือนไทยที่ชลบุรีมีเรื่องเล่ากันว่ามีครูสอนวิชาดนตรีไทยได้เปิดสำนักสอนวิชา ซึ่งแรกๆ นั้นก็มีเด็กเข้ามาเรียนอยู่เยอะ แต่ด้วยเป็นอะไรที่คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยนิยมกัน…” เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ยิ่งได้ยินชัดมากขึ้น มีแสงลอดจากช่องประตู สินธพแนบหูกับประตูเพื่อจะฟังว่าคุยอะไรกัน และมีเสียงของใครบ้าง
อ้อ ปรักนี่เอง ---ยังไม่เข็ดใช่ไหมอ้ายเด็กเมื่อวานซืน
เขาจำเสียงได้และไม่รอช้าเขาก็ค่อยๆ เปิดประตูสร้างความตกตะลึงและหวาดกลัวให้กับเด็กชายบางคนที่นึกว่าผีมาเปิด
น่าเสียดาย ทำไมเราถึงไม่เอะใจนะว่าพวกนี้มันอาจจะมาเล่นกันกลางดึก ไม่ได้หยิบไม้มาด้วยสิ
“มานี่”
สินธพเอ่ยก่อนจะออกจากห้อง เด็กชายทั้ง ๕ คนรู้สึกถึงลางมรณะที่อยู่เบื้องหน้า…
วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
เช้า
“เฮ้อ…” ศรีถอนหายใจ นี่เป็นอีกครั้งที่เธอต้องรักษาแผลให้ปรัก เจ้าตัวร้องโอดครวญเสียงร้องเหมือนผีก็มิปาน ศรีนึกหมั้นไส้กดสำลีหนักๆ บนแผลเพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บ ปรักร้องเสียงขาดห้วงเหมือนจะตายเต็มที
สินธพยืนยิ้มพลางมองเด็กๆ รักษาแผลด้วยความเอ็นดู (?)
“ก็น่าจะรู้นะว่าทำแบบนั้นต้องเจออะไร”
“ขอโทษครับ…”
“อยากได้โทษเหรอ?” สินธพที่อยากจะเล่นมุกก็ยิ้มเหี้ยมทำเอาปรักหวาดผวาทีเดียว ถ้าอยากได้โทษเขาจัดให้ได้นะ
กาญยะนั่งนิ่งๆ ไม่ได้ไปช่วยเพื่อนรักษาแผล
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ