ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

50) บทที่ ๕๐: คดีที่เกี่ยวโยงกับอดีต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๕๐

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

คดีที่เกี่ยวโยงกับอดีต

                มันคือความปรารถนาของข้า

                มีดอรัญญิก… ขอให้มีเพียงสิ่งนี้และเด็กที่ชื่อศรีข้าก็จะสามารถล้างสวรรค์ โลกและนรกได้

                ข้าจะต้องปลิดชีพพวกมัน นายิกา เคยทำงานร่วมกันมาตลอดไยพวกเจ้าถึงทิ้งข้าไป

                …เห็นแก่ตัว

 

                ศารทูลนั่งทานขนมลูกชุบพลางคิดเกี่ยวกับคดีลักมีดอรัญญิกไปด้วย ชิโนโกะเล่นกับอัมพุโดยการโยนขนมโมจิ เกิดเสียงเอะอะหัวเราะคิกคัก ด้วยความรำคาญศารทูลจึงหยิบจานขนมที่ไม่ใช้แล้วเขวี้ยงใส่ศีรษะคนละจาน

                “พวกเจ้าเงียบๆ กันหน่อยสิ” เทสโลเอลเอ่ยแทนศารทูล ในมือถือปากกาเขียนไปด้วย เนื่องจากเป็นวันปิดเทอมเธอจึงต้องทำการบ้าน

                เด็กชายผมสีน้ำตาลอมแดงเดินเข้ามาพร้อมกับกองหนังสือ เขาหัวเราะเบาๆ กับกริยาของเพื่อนๆ ก่อนจะวางหนังสือลงเมื่อมาถึง ที่ๆ เด็กเหล่านี้อยู่เป็นศาลาริมน้ำ ซึ่งในตัวศาลามีชิงช้าแบบเก้าอี้ไม้อยู่ตรงทางเข้าสองด้าน เป็นชิงช้าตัวเล็กๆ ด้านขวาของศาลามีเด็กชายผมสีน้ำเงินนั่งอ่านหนังสืออยู่

                “เป็นคดีที่ธรรมดาแต่คิดอย่างไรมันก็คิดมิออกอยู่ดี”

                “อ้าว ยังไงเนี่ย” เด็กชายผมสีน้ำตาลอมแดงถาม ศารทูลส่ายหน้า

                “มัน… เฮ้อ! ข้าอธิบายมิถูก” เด็กชายคนนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ

                …คดีนี้ก็ยังคงต้องสืบกันต่อไป

 

                หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้ากับโจงกระเบนตัวสั้นเดินเข้าไปในห้องเก็บเอกสารในที่ทำการนายิกา เข้าไปลึกๆ ดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบเอกสารสีหม่นออกเหลืองเนื่องจากมีอายุการใช้งานนานมากแล้ว นางเปิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบถึงสุดท้ายจึงปลดที่หนีบออกแล้วไล่สายตาหาภารกิจที่เคยทำ

                “นายิกาเสียชีวิตไปหนึ่งคน เพราะสังเวยให้กับพิธีกรรมในภารกิจ …ฤๅว่ามันจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างกันนะ” นางพึมพำก่อนจะหยิบเอกสารไปและออกจากห้อง

                ใกล้จบการประชุมแล้ว คงต้องเสียมารยาทเข้าไปหรือนางจะรอการประชุมพรุ่งนี้ดี บัวผ่องตัดสินใจที่จะประชุมวันพรุ่งนี้ ระหว่างเดิน นางสวนกับอรัญญิก นางเคยได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายบาดเจ็บเลยจะเข้าไปถามสารทุกข์สุกดิบเสียหน่อย

                “อรัญญิก อาการดีขึ้นแล้วฤ?”

                “ใช่”

                “อย่าฝืนร่างกายมากเกินไปล่ะ”

                 อรัญญิกยิ้มพลางพยักหน้าซึ่งบัวผ่องเองก็ยิ้มตอบ ทั้งสองเริ่มเดินต่อ

                อรัญญิกเดินมาจนถึงจุดที่นัดไว้กับซอ  หญิงสาวแต่งกายแบบสมัยสุโขทัยหันมาเห็นพอดีจึงยิ้มให้ก่อนจะมาหาอรัญญิกแล้วกอดด้วยความคิดถึง

                “เป็นเช่นไรบ้าง”

                “ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ แล้วท่านซอล่ะเจ้าคะ ท่านมณฑาทำอันใดบ้างฤๅไม่ ข้านอนแทบมิหลับเลยนะเจ้าคะ” อรัญญิกกอดตอบบ้าง ที่นางบอกว่านอนไม่หลับเป็นเรื่องจริง นางเป็นห่วงและกังวลมากที่ซอถูกมณฑาพาไป

                “ข้ามิเป็นไร… จริงๆ” ซอยิ้มบางๆ นั่นเองที่ทำให้อรัญญิกหมดห่วงไปได้ครึ่งหนึ่ง

                ทั้งสองนั่งรถเทียมม้ากลับไปที่เรือน ในใจก็คิดไปว่าเมื่อไปถึงแล้วจะสู้หน้ามณฑาอย่างไร …แต่เรื่องมันคลี่คลายแล้วก็คงไม่เป็นอะไร

                เมื่อมาถึง บุคคลแรกที่พบก็คือมณฑา ซอมองนางสักพักก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ มณฑายิ้มตอบสายตาเหลือบเห็นว่าอรัญญิกมาด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงแววตาว่าจะทำร้ายแต่กลับเป็นแววตาให้อภัย มณฑาพยักหน้าก่อนจะผายมือไปทางประตูเชิญให้ทั้งสองเข้าไปพักผ่อน

                “สวัสดี ซอ อรัญญิก” พินทุกล่าวทักทาย ซอนิ่งไปสักพักเพราะคาดไม่ถึงว่านางจะมา เมื่อสติกลับมาจึงยิ้มก่อนจะทักทายกลับ มณฑาบอกให้บ่าวไปนำขนมรับรองเพิ่มสำหรับซอและอรัญญิก

                “เจ้ามาที่นี่เมื่อใดกัน?” ซอถามก่อนจะจิบชามะลิกลิ่นหอมกรุ่นไปด้วย พินทุเองก็เช่นกัน นางกัดขนมไปคำหนึ่งก่อนจะตอบ

                “มิกี่วันนี้เอง ข้าเพิ่งไปประชุมเมื่อสองสามวันก่อนเจ้าเลยอาจมิเห็นข้าน่ะ”

                “อืม แล้วปักษธรล่ะ มิได้มาด้วยกันฤ?”

                “พรุ่งนี้คงจะมานั่นแหละ” พินทุตอบก่อนจะทานขนมต่อ

                หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งซอนึกถึงเด็กๆ  ได้จึงขอตัวไปพร้อมกับอรัญญิก

 

                “วันนี้นอนด้วยกันนะ”

                “เหอะ

                “นะ!”

                “เหอะ!”

                “เมื่อคืนนี้เรายังเร่าร้อนกันอยู่เลย จะอีกสักคืนก็มิเห็นเป็นไรนี่”

                หญิงสาวผมยาวสีดำเหลือบสีแดงเป็นลอนตรงปลายๆ ประดับด้วยปิ่นปักผมดอกไม้โลหะสีเงิน ผ้าคาดหน้าอกพันแน่นจนรัดรูปเป็นสีดำสลับแดงมีอัญมณีห้อยตรงขอบผ้าไว้ สะโพกบิดเร้าอย่างยั่วยวนใต้ผ้าสีดำขลิบเงินสวยงามพันด้วยผ้าผ้าผืนเล็กยาวปักลวดลายไทยมีสร้อยลูกปัดสีเงินพันระโยงระยาง ราวกับดวงดาวยามรัตติกาล

                นิ้วที่มีเล็บทาสีดำเหลือบแดงนั้นไล้ตามทรวดทรงเอว ริมฝีปากทาสีแดงชาดราวกับเลือดนกเม้มใบหูของิงสาวผมสั้นเกล้าเป็นผมหางม้าปักหวีทรงกนกสีทองแดง

สวมชุดจิตรลดาสีเข้มนุ่งโจงกระเบนที่มีเข็มขัดแบบสมัยใหม่ประยุกต์กับสมัยก่อน สีหน้าของเธอบอกบุญไม่รับที่หญิงสาวแตงกายโทนสีแดง-ดำมาลวมลามตนเองเช่นนี้

                “เมื่อคืนทำอะไรกันเสียที่ไหน ก็นอนเฉยๆ มิใช่ฤ! แล้วนี่เจ้าจะหยุดได้ฤๅยัง!”

                “แหม ข้าก็แค่อยากให้ที่รักสร้างความสุขสมให้ข้าบ้างนี่”

                ระหว่างกล่าวหญิงสาวก็เบียดหน้าอกที่ใหญ่เกินมาตรฐานเบียดกับแขนของอีกฝ่าย จงใจให้ผ้าที่คาดทับหน้าอกเลื่อนลงเพื่อที่จะได้เห็นเนินและร่องอกสีแดงระเรื่อขาวผุดผ่องดุจหิมะ จนกระทั่งมันเลื่อนลงมาจนเกือบจะเห็นยอดอกแลไม่แล หญิงสาวสวมชุดจิตรลดาลอบกลืนน้ำลายกับภาพนั้น นางกลั้นใจก่อนจะดันร่างอีกฝ่ายออก

                “แก่จนป่านนี้ยังคิดเรื่องนี้อีกเรอะ!” ถ้าให้กล่าวตามตรงทั้งสองอายุก็อยู่ในหลักพันแล้ว หญิงสาวริมฝีปากสีแดงจัดไม่สนใจ นางเข้าไปใกล้อีกครั้งก่อนจะโอบคออีกฝ่ายแล้วดึงลงมานอนกับพื้นที่ปูผ้าไว้แล้ว

                “พูดเช่นนี้ข้าเสียใจนะเจ้าคะ”

                คราวนี้นางมีหางเสียงด้วย นางใช้พลังอาคมสร้างโซ่ขึ้นมาเพื่อพันธนาการหญิงสาวเบื้องบนก่อนจะกดท้ายทอยอีกฝ่ายมาจูบ ลิ้นอ่อนนุ่มสอดเข้าไปในปากแล้วตวัดไล้เลียภายในจนน้ำลายไหลเยิ้มตรงมุมปาก มืออีกข้างถอดผ้าคาดอกไปด้วย หน้าอกเปลือยเปล่าปรากฏสู่สายตา หญิงสาวสวมชุดจิตรลดาพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่พ้นอยู่ดี

                หญิงสาวถอนจูบ แย้มริมฝีปากสีแดงชาดแสยะยิ้ม นางไล้หน้าอกไปรอบๆ ก่อนจะลากนิ้วผ่านยอดอกแล้วลากจนมาถึงริมฝีปากก่อนจะใช้ลิ้นเลียนิ้วอย่างช้าแล้วลากต่ำลงไปอีกครั้งจนมาถึงขอบผ้าถุง นางดึงผ้าให้ต่ำจนเกือบเห็นทางลับ

                “กินสิ”

                “…” หญิงสาวผู้เป็นเหยื่อกลั้นหายใจกับภาพที่เป็นอาหารตา รู้สึกว่าหน้าตนเองร้อนผ่าว ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เลือดกำเดาหยดจากจมูกลงสู่เนินอกอีกฝ่าย

                “คิกๆ  อ่อนหัดจริ๊ง! แต่มิเป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง!” นางเอ่ยเสียงสูงแล้วหัวเราะในลำคออย่างนึกสนุก

                หญิงสาวผู้เป็นเหยื่อก้มหน้าลงไล้เลียเนินอก …แย่แล้ว นางถูกปีศาจยั่วกิเลสเสียแล้ว

                แอ๊ด…

                “อะ เอ่อ ขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะ” ผู้ที่มาเยือนคือปักษธรนั่นเอง ปีศาจสาวยั่วกิเลสชักสีหน้าแต่ก็จำใจสวมชุดดังเดิมแล้วยอมปล่อยให้หญิงสาวผู้เป็นเหยื่อหลุดจากพันธนาการ

               

                “อ้ายปักษธร มาขัดอะไรตอนนี้ด้วยเนี่ย!”

                “เจ้านั่นแหละทมิฬ มาทำเรื่องบัดสีอะไรตอนนั้นกัน!”

                “ก็อารมณ์มันขึ้นนี่!”

                “เรอะ!” ปักษธรกับหญิงสาวริมฝีปากสีแดงชาดเจ้าของนามทมิฬเถียงกันไปมาจนเกือบเอะอะในเรือน หญิงสาวสวมชุดจิตรลดาเดินห่างๆ ระหว่างทางที่จะไปห้องโถง

                เมื่อมาถึงแล้วบ่าวก็รีบน้ำขนมรับรองมาวางไว้บนโต๊ะไม้ ทั้งสามนั่งลง ปักษธรเปิดเรื่องที่จะคุย

                “คดีมีดอรัญญิกยังมิคืบหน้าไปไหนเลย เจ้าเองก็เอ้อระเหยลอยชายมิรู้จักทำการทำงานบ้าง ไปขายบริการง่ายกว่ากระมัง”

                “ต๊าย! แรงไปไหมให้ข้าไปขายบริการเนี่ยนะ!” ทมิฬทราบว่าอีกฝ่ายกล่าวถึงอะไร นางเขยิบเข้าไปกอดแขนหญิงสาวสวมชุดจิตรลดาพลางเอ่ยออเซาะไปด้วย

                “ที่รัก… วันนี้อยู่กับข้านะ”

                เฮ้อ! ยายนี่ จริงๆ เลย!

                ปักษธรถอนหายใจก่อนจะหยิบเอกสารที่ตนนำมาวางไว้บนโต๊ะ อีกสองคนละความสนใจมามองแต่ทมิฬไม่วายมาลวมลามที่รักของตน

                “หืม? คดีเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้วน่ะฤ แล้วมันเกี่ยวอันใดด้วยล่ะ?” หญิงสาวสวมชุดจิตรลดาถาม ปักษธรหยิบเอกสารอีกแผ่นวางไว้ก่อนจะตอบ

                “เจ้ายังจำได้ใช่ไหมธาษตรี? บัวผ่องบอกว่าคดีเมื่อตอนนั้นที่นายิกาคนหนี่งถูกสังเวยให้กับพิธีกรรมอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีลักมีด หากนายิกาคนนั้นยังมิตายนั่นก็น่าจะมีโอกาสสูงที่นางจะมาแก้แค้น”

                “ว่าต่อสิ” หญิงสาวสวมชุดจิตรลดาเจ้าของนามธาษตรีกล่าว

                “ถ้าให้กล่าวตรงๆ เจ้าคงคิดว่าคดีอื่นที่นายิกาตายก็น่าจะเกี่ยวข้องใช่ไหม? แต่เผอิญพิษที่อยู่ในศพสมุนผู้ลักมีดมันมีพิษที่นายิกาคนนั้นใช้เป็นของป้องกันตัว

                “?” คราวนี้ทมิฬที่ยังยั่วธาษตรีหยุด แล้วกลับมานั่งดีๆ เพื่อฟัง …ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว

                “งั้นก็…” ทมิฬเอ่ย ปักษธรพยักหน้า

                “ใช่ เป็นเช่นที่ข้ากล่าวตรงต้นเรื่อง คดีนี้ผูกโยงกับคดีเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน”

                “มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน! นางน่าจะตายไปแล้วนี่!!”

                “บางทีคงรอดมาได้เพราะพลังวิญญาณ ถ้าไม่ตายก็คงมีสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดกระมัง” บรรยากาศคุกรุ่น เย็นเยียบจนไม่กล้าหายใจ        

                “ตอนนี้ทางเราก็กำลังสืบหานายิกาคนนั้นอยู่ และได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนด้วย”

                “หืม? อย่าบอกนะว่าส่งนักเรียนมาสืบ”

                “อืม ส่วนหนึ่งที่ข้าเจอก็มาจากโรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคมน่ะ” บรรยากาศกลับมาเป็นเช่นเดิม ธาษตรีรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมา

                “เฮ้อ… งั้นก็อย่าให้เป็นอันใดละกัน”

                ธาษตรีเอ่ยเสียงเรียบ มองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา