ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ ๕: คู่หมั้นของเด็กหญิงนาม สังรศรี วีรสังฆะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
คู่หมั้นของเด็กหญิงนาม สังรศรี วีรสังฆะ
ช่างน่าสมเพชนัก
บุกมายังถิ่นของผู้อื่นแล้วหมดสภาพเยี่ยงนี้… เวทนาซะจริง
พินทุยิ้มเย้ยหยันแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย ร่างบางที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น มีบาดแผลทั่วทั้งร่าง การต่อสู้พินทุเป็นผู้มีชัย ส่วนปักษธรคือผู้ปราชัย
“เจ้า… ฟื้นเสียทีสิ” พินทุก้มศีรษะกระซิบข้างหูปักษธร หญิงสาวผู้ทอดกายนอนรู้สึกสัมผัสบางอย่างจึงลืมตาขึ้น ทันทีที่ลืมแล้วพบหน้าของพินทุ นางชักสีหน้าไม่พอใจ พินทุเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ “คิกๆ เจ้าล่ะก็อีกคน รังเกียจข้าดอกฤ”
“บุคคลได้ไม่รังเกียจเจ้าสมองของมันคงจะรวนเป็นแน่”
“กล่าวเช่นนั้นข้าเสียใจนะ” พินทุตัดพ้อแต่ก็ยังคงยิ้ม ใบหน้าของนางที่ยิ้มได้ตลอดทำใหปักษธรไม่พอใจ
เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเยาว์
ไม่เคยมีครั้งไหนที่พินทุจะไม่ยิ้ม
พินทุรู้สึกถึงสายตาที่มองมาของพวกเด็กๆ ศรีสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ นางหันไปทางว่าวก่อนจะเอ่ย
“พงสณะ บรรพตกับพี่ชายเจ้าล่ะ”
“ท่านพี่พงสณะบอกว่าจะไปซื้ออะไรสักอย่างนี่แหละเจ้าค่ะ ท่านพี่บรรพตบอกว่าจะไปซื้อขนมที่ร้านซึ่งวันนี้ลดราคาส่วนท่านพี่บอกว่ามีธุระ เจ้าค่ะท่านแม่”
“อ้ายลูกคนนี้เถลไถลได้ตลอดจริงๆ เลย” แม้จะว่าอย่างนั้นนางก็ยังคงยิ้ม เรื่องของพงสณะบรรพตนางไม่ใส่อะไรมาก พินทุค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะก้าวผ่านประตูแต่ก็หันกลับมาเอ่ยกับ ศรี ธันนะ และว่าว
“หากเจอเจ้าปักเป้าให้ลากมันกลับมาด่วน”
“ทำไมเหรอคะท่านพินทุ” ศรีถามขึ้น พินทุยิ้มแล้วตอบ “ปักเป้ามีกิจที่ยังค้าง ประเดี๋ยวจะกลายเป็นดินพอกหางหมู”
หญิงสาวผมสีครีมมองตามร่างที่ค่อยๆ เคลื่อนหายจากประตู บานประตูพับปิดดังปัง
ปักษธรมองประตูนิ่งก่อนจะนอนอย่างหมดแรง ไม่สนใจอะไรอีก
“เฮ้อ… ให้มันได้เยี่ยงนี้สินะเจ้าคะท่านพี่ปักเป้า” ว่าวตัดพ้อต่อพี่ชายที่ไม่อยู่ หยิบบางอย่างเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขึ้นมา ธันนะและศรีที่เหลือบเห็นคาดว่าคงจะเป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง ว่าวเปิดฝาพับขึ้น แล้วกดแป้นพิมพ์ด้วยความรวดเร็ว ธันนะเห็นดังนั้นจึงเสียมารยาทโดยการชะโงกหน้าดู
“นั่นอะไรน่ะ?” ธันนะถามว่าว แม้เครื่องแบบนี้เขาจะเคยเห็น แต่ดูจากโปรแกรมแล้วระบบการทำงานไม่ค่อยเหมือนที่โลกเดิมเลย ศรีพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของเขา
“เครื่องนี้มันก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่มีโปรแกรมบางอย่างเข้ามาก็เท่านั้นเอง” ว่าวยิ้มก่อนจะยื่นหน้าจอเครื่องอิเล็กทรอนิกส์นั่นให้เขาดูพลางอธิบาย “ที่ท่านพี่ธันนะเห็นอยู่ คือหน้าต่างประวัติของนักเรียน เครื่องนี้ทางโรงเรียนจะจัดให้นักเรียนโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่จะเป็นเพียงบางโรงเรียนที่จัดให้น่ะเจ้าคะ”
“คือ ที่ว่าทางโรงเรียนจัดให้ดูท่าน่าจะใช้ในการเรียนการสอนแล้วยังไว้ใช้ทำอะไรอีกล่ะจ๊ะ” ศรีถามว่าว ธันนะปิดปากเงียบรอฟังคำตอบเช่นเดียวกับศรี
ว่าวตอบ “ใช่เจ้าค่ะ หลายๆ อย่างเลย ตามที่หนูบอกท่านี่ธันนะไปว่ามันก็ไม่แตกต่างอะไรมากนัก เพียงบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน อาทิ เครื่องนี้สร้างโดยผู้ผลิตที่จะมีเฉพาะในโรงเรียนแต่ละที่ ผลิตสายเชื่อมต่อในการเชื่อมข้อมูลกับเครื่องที่ต้องใส่รหัสผ่านซึ่งไม่สามารถเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบได้นอกจากศิษย์เก่าหรือนักเรียนในโรงเรียน นอกจากนั้นแล้วบางโปรแกรมยังใช้ในการจัดการเก็บเอกสารซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์”
ว่าวหยุดพักหนึ่งก่อนจะถาม
“…ฟังแบบนี้อาจจะธรรมดาสินะเจ้าคะ แหะๆ”
“ไม่หรอกจ้ะ อธิบายต่อสิ” ศรียิ้มปลอบๆ ว่าวเห็นดังนั้นก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมาแล้วอธิบายต่อ
“ถ้าให้กล่าวตรงๆ เครื่องนี้ก็คล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์พกพานั่นแหละเจ้าค่ะ ---ฟังแล้วอาจจะกล้ำกลวงนะเจ้าคะ เจ้าเครื่องนี้มันจะใช้เปิดดูว่ามีภารกิจของทางโรงเรียนอะไรบ้างพร้อมกับข้อมูลแจ้งรายละเอียดต่างๆ ---ที่ตอนนี้หนูเอาขึ้นมาก็เพราะว่าจะดูรายละเอียดภารกิจที่ท่านซอบอกไว้น่ะเจ้าค่ะ”
“นี่ว่าว ฉันจะถามอีกอยู่หลายครั้งแต่ลืมทุกที เธอกับแววไพรรู้จักได้ยังไงน่ะ”
รู้จักน่ะเหรอ…
“หนูกับท่านพี่แววไพรเรารู้จักกันได้เพียง ๓ ปีเจ้าค่ะ เดิมทีพี่แววไพรรู้จักมิตินี้แล้วก่อนจะมาที่นี่แล้วเราก็เจอกันเลยรู้จักกันน่ะเจ้าค่ะ” วาจาดอกไม้นั้นแฝงไปด้วยความโกรธ ธันนะที่ฟังคำตอบลอบสังเกตใบหน้าของเธอ ศรีเห็นหน้าของว่าวที่แสดงอารมณ์ไม่พอใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงถาม
“ว่าวจ๊ะ ไม่สบายใจอะไรเหรอ”
“ไม่… ไม่มีเรื่องอันใดดอกเจ้าค่ะ” รอยยิ้มของว่าวนั้นทำให้ศรีหายห่วงเล็กน้อย แต่เพียงเท่านี้เธอก็รู้สึกดี ถึงกระนั้นก็ยังหลอกธันนะไม่ได้ ธันนะหรี่ตาอย่างข้องใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“นี่… ว่าว แล้วกลีบเย้าล่ะ” ธันนะสงสัยมานานแล้ว หลังจากการต่อสู้จบ เขาก็ไม่เห็นกลีบเย้าอีกเลย ว่าวเอียงคอน้อยๆ แล้วยิ้มก่อนจะตอบ “ท่านพี่กลีบเย้ามีกิจน่ะเจ้าค่ะ”
“อ่อ…” เขาครางเป็นเชิงเข้าใจในลำคอ
ปักษธรที่นอนแต่ไม่หลับนั้นฟังพวกเขาอย่างเงียบๆ นางกลอกตาไปมาเหมือนมีเรื่องบางอย่างก่อนจะหลับไปจริงๆ
กลางวัน
พักเที่ยงนี้ว่าวชวนศรี ธันนะและปักษธรมาทานอาหารนอกเรือนเพราะว่าวรู้สึกเบื่ออาหารที่บ่าวทำให้ทาน
ปักษธรแม้จะไม่เต็มใจที่จะมาแต่ก็ยอมมาด้วยเพราะทานอาหารในเรือนมันอึดอัดยังไงชอบกล ทั้งสี่คนเดินเข้าร้านขายก๋วยเตี๋ยวน้ำตกตามที่ปักษธรขอ
ก่อนที่ทั้งสี่จะตะลึงเมื่อเห็นคนที่ว่าวจะตามหาอยู่ที่นี่รวมทั้งอีกคนที่บอกว่าจะมาซื้อขนมที่ลดราคานั่งยิ้มระรื่นตักเส้นและน้ำซุปเข้าปาก
“ฮ๊า… ฮ่าๆๆๆ มาแล้วฤๅพวกเจ้าน่ะ” บรรพตทักทายด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย กลางบนโต๊ะมีถุงผ้าใส่ขนมที่ห่อด้วบใบเตยบางอย่างอยู่ ศรีนึกคาดว่านั่นคงจะเป็นคนขนมที่บรรพตมาซื้อพลางยิ้มบางๆ ตอบ ธันนะและปักษธรปั้นหน้านิ่ง ปักเป้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้ว่าวก่อนจะเอ่ย “ไง น้องสาว มานั่งกับพี่สิเดี๋ยวข้าสั่งอาหารให้”
“ฮึ! หน้าไม่อาย ค้างกิจแล้วมาทานก๋วยเตี๋ยวสบายใจเฉิบเนี่ยน่ะหรือเจ้าคะ ไม่ทราบล่ะ ทานเสร็จเมื่อใดท่านพี่ต้องรีบไปหาท่านแม่ด่วน!” ว่าวหายใจฮึดฮัดอย่างไม่พอใจแต่ก็จำใจลงนั่งโต๊ะเดียวกับปักเป้า เขาตบมืออย่างพอใจที่น้องสาวตนยอมนั่งด้วย อีกสามคนจึงลงนั่งตาม
ร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกนี้เป็นเรือที่ไม่ใหญ่มาก ขนาดพอๆ กับบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง น้ำที่รายล้อมนั้นเป็นระลอกจากแรงบางอย่าง ลมเย็นๆ พัดให้ผ่อนคลาย ศรีนั่งนิ่งพลางคิด
โลกนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกๆ จัง มันเกี่ยวกับอะไรกันนะ
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบเหมือนกับถามว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ศรีรู้สึกว่าลำคอติดขัดไม่สามารถพูดอยากจะเอื้อนเอ่ยกลอนสักบทเป็นการผ่อนคลายไปด้วย
ศรีเปิดริมฝีปากก่อนจะเอื้อนเสียง ว่าวหันมาทางศรีเพราะรู้สึกเหมือนศรีจะทำอะไรบางอย่าง
“…”
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน |
ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม |
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม |
อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม |
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม |
ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม |
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ |
ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย |
เสียงที่ค่อนข้างหวานเอื้อนไพเราะรื่นหู ทุกคนตั้งใจฟังศรีโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“อ่ะ ขอโทษนะ ลืมไปเลยว่าจะทานอาหารน่ะ”
“ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ” ว่าวยิ้มนุ่มนวล ปักษธรพยักหน้าหงึกๆ กับสิ่งที่เธอตอบ ปักเป้าไม่พูดอะไรเพียงตบมืออย่างเดียว
“ศรี เสียงเจ้าเพราะมากเลยนะ ฝึกมาจากไหนหรือ?” บรรพตถามและชมด้วยความรู้สึกจริงไม่ได้แกล้งชม ศรีกล่าวขอบคุณและตอบ “ครูที่พ่อรู้จักน่ะ” ธันนะเอ่ยอย่างเย็นชา
“ยายศรี ท่าทางความบ้าของเธอมันจะพัฒนาไปไกลแล้วนะ”
“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ” ศรีเบือนหน้าหนีด้วยความไม่พอใต เธอมองผืนน้ำที่ระลอกเป็นคลื่นเบาๆ ขณะนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินมาทางโต๊ะพวกเขา
“ศรีจ๊ะ ฉันมีอะไรจะมาให้เธอล่ะ” ศรีที่หงุดหงิดเพราะธันนะหันไปตามเสียงเรียกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเอ่ย “พงสณะ… แกมาทำอะไรที่นี่น่ะ จะตามฉันไปถึงไหนเนี่ย!”
“ศรี มันแปลกตรงไหนกัน อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” พงสณะที่ยืนเบื้องหน้าศรีถือดอกไม้สีขาวไว้ เอ่ยกับศรีอย่างร่างเริงและตัดพ้อแบบเล่นๆ ศรีขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ! ตามฉันเป็นผีเจ้ากรรมนายเวรอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด!” ทุกคนที่เหลือต่างหันมามองทั้งสอง ไม่เพียงแต่พวกเขาแต่ลูกค้าโต๊ะอื่นที่นั่งใกล้ๆ ก็ยังหันมามอง พงสณะจุ๊ปากแล้วพูด
“ใจร้าย… ฉันเป็นคู่หมั้นเธอนะ ฉันก็อยากดูแลเธอในฐานะว่าที่สามีในอนาคตนี่นา” คำว่าคู่หมั้นทำให้ทุกคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเธอถึงกับร้องออกมา “คู่หมั้น!”
“ใช่… พ่อแม่ฉันและพ่อแม่ของศรีตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ฉันแต่งงานกับศรี---”
“เสียใจด้วย คนอย่างนายไม่เหมาะกับศรีหรอก”
“!”
ศรี ธันนะ พงสณะ ปักเป้า บรรพต ว่าวและปักษธรต่างหันไปมองด้านหลังซึ่งเป็นทิศทางเข้าร้าน เด็กหญิงสวมแว่นผมประบ่าถือร่มที่หุบแล้วยืนอย่างอาจหาญ มองพงสณะด้วยสายตาเย็นชา ว่าที่สามีของศรีแสยะยิ้มก่อนจะเอ่ย
“อะไรกัน แววไพร ฉันมีคุณสมบัติพอที่จะแต่งงานกับศรีน่า ทั้งด้านการเงินของครอบครัว การเรียนก็ได้เกรดเฉลี่ยสูงตลอด และที่สำคัญฉันหน้าตาดี”
“แหวะ! ไอตรงหน้าตาดีนี่แหละที่ฉันไม่ยอมรับอย่างแรง แต่ที่สำคัญแม้นายจะดีพอแต่ฉันก็ไม่ยอมหรอก”
“หืม? ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะว่าฉัน…” แววไพรหยุดเพียงเท่านี้ก่อนจะปิดปากเงียบ ทุกคนมองอย่างสงสัย ศรีมองแววไพรก่อนจะถาม
“เพราะว่าอะไรเหรอจ๊ะ”
“ม่ะ ไม่มีอะไรหรอกศรี อะ ก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว” แววไพรว่าพลางยิ้มก่อนจะหลีกตัวให้พนักงานเดินมาวาง ศรีเห็นดังนั้นก็ดีใจ ชามหนึ่งของว่าวเป็นเส้นหมี่อีกชามหนึ่งเป็นเส้นเล็กของศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมปักปิ่นสีเงินสองข้างยิ้มปริก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเส้นทาน เมื่อเธอเคี้ยวคำหนึ่งเสร็จจึงเอ่ยกับพงสณะ
“นายน่ะ เอาดอกไม้มาทำอะไรน่ะ” เธอถามพลางมองช่อดอกไม้สีขาวในมือพงสณะ เขายิ้มทะเล้นแต่นุ่มนวลก่อนจะตอบ “เอามาให้เธอน่ะสิ นี่จ้ะศรี” พงสณะบอกพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้นแล้วยื่นช่อดอกไม้ ศรีเบือนหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ยอมรับ
“ดอกกุหลาบงั้นเหรอ ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่รับ”
“ทำไมล่ะ”
“มันไม่ใช่ดอกไม้ไทยฉันไม่ชอบ ฮึ คิดจะให้ดอกไม้ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะให้ดอกไม้อะไร เรื่องสามัญยังไม่รู้แล้วนับประสาอะไรกับการแต่งงานเป็นฉันท์สามีภรรยา”
ศรีหรี่ตาด้วยความเหนื่อยหน่าย เธอมีสีหน้าไม่พอใจ พงสณะมองทั้งสองเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่โกรธเคือง เขาสังเกตเห็นว่ามือของพงสณะวางลงบนมือของศรีโดยที่เจ้าตัวนั้นไม่รู้สึก เขาพ่นลมจมูกไม่พอใจ
โดยที่เขาเองก็ไม่รู้…
แววไพรเองก็ไม่พอใจ แน่นอนว่าเธอมีเหตุผลเพียงแต่เธอไม่บอกได้แต่เก็บอารมณ์ที่ขุ่นมัวแล้วลงนั่งข้างๆ ศรี และปิดปากเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก เก้าอี้ที่เธอนั่งยังมีอีกหลายตัวของโต๊ะจึงเหลือที่ปักเป้าและบรรพตมานั่งตั้งแต่ทีแรก ทั้งสองเลือกนั่งโต๊ะยาวๆ เพราะจะได้วางของที่ซื้อมาได้
“นี่ พงสณะเจ้าจะวางมือบนมือของศรีอีกนานไหม?”
ปักษธรที่ตั้งแต่มายังไม่ได้พูดอะไรก็เปิดปาก นางรู้จักพงสณะก่อนแล้วส่วนชื่อของศรีนางฟังจากการที่เด็กๆ คุยเรียกชื่อบางครั้ง นางเท้าคางเบื่อหน่าย มืออีกข้างจับช้อนคนกาแฟไปมาที่นางสั่ง หญิงสาวผมสีครีมไม่สบอารมณ์ที่พงสณะมาลวมลามศรีที่มีเพศแม่
ศรีมองนางด้วยความรู้สึกขอบคุณแล้วยิ้มบางๆ ให้นาง
“อะ มือมันเป็นไปเองครับ” พงสณะดึงมือกลับก่อนจะรู้สึกได้ถึงรังสีสังหารจากศรีที่เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นใบหน้าบึ้งตึง เธอพยายามทำใจให้สงบเพราะที่ร้านมีลูกค้ามากเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องวุ่นวาย ปักเป้าที่มองอยู่นานแล้วเอ่ยขำๆ
“ฮ่ะๆ นี่ศรี อ้ายพงสณะมันไมได้วางเฉยๆ ดอกนะ เมื่อกี้ข้ายังเห็นมันแอบใช้มืออีกข้างลูบข้อเท้าเจ้าเลย”
“นี่นาย!” ศรีฟังจบก็ก้มหน้ามองพงสณะด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่า ณ ตอนนี้เธอจะฉีกกระชากตัวเขาให้ละเอียดยิ่งกว่าเศษฝุ่น พงสณะยิ้มแห้งๆ เหมือนจะแก้ตัวแล้วบอก “เอ่อ ศรี นี่เธอเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ”
“ใช่! พงสณะ แกนะแก กลับบ้านได้เมื่อไหร่ฉันฟ้องแม่แน่ว่าแกลวมลามฉันน่ะ!”
ศรีแผดเสียงจนลูกค้าในร้านต้องหันมามอง เด็กผู้หญิงอย่างเธอที่ค่อนข้างหวงเนื้อหวงตัวเพราะจากการที่ผู้ปกครองสอนให้รักนวลสงวนตัวไม่มีทางให้เพศตรงข้ามมาลวมลามในเชิงชู้สาวหรอก!
จู่ๆ ก็มีเสียงตบมือดังขึ้น
“กำลังเล่นอะไรกันอยู่ฤๅ เด็กๆ”
ทุกคนหันไปมองต้นเสียงแล้วพบกับร่างบางที่ถือร่มบ่อสร้าง พินทุเผยรอยยิ้มหวานราวกับเคลือบยาพิษ ช่างเย็นยะเยือกนัก ปักษธรขมวดคิ้วเมื่อสบตากับพินทุก่อนจะเบือนหน้าหนีพร้อมๆ กับหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบๆ ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“ปะ เปล่าค่ะ พวกเราไม่ได้เล่นอะไรกันหรอกค่ะ” ศรีปฏิเสธ พินทุยิ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ