ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ ๔: ผู้ที่มาเยือน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๔

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ผู้ที่มาเยือน

                “มีดอรัญญิก ---มีดที่ถูกลักไปน่ะฤๅเจ้าคะ?” ว่าวถามซอ นางพยักหน้าตอบแล้วพูด “ช่วงนี้ปิดเทอมกลางภาคใช่ไหม วันหยุดนี้ทางโรงเรียนเจ้าได้มอบหมายภารกิจให้”

                “ภารกิจอะไรเหรอว่าว” ศรีกระซิบถามว่าว ว่าวมองศรีแล้วตอบ “ที่มิตินี้โรงเรียนบางประเทศส่วนใหญ่จะมีภารกิจให้ทำเจ้าค่ะ ซึ่งถ้าทำสำเร็จจะได้รับเงินในการจ่ายค่าห้องพักที่โรงเรียนหรือใช้อย่างอื่น แต่หากทำสำเร็จแล้วได้เบาะแสของศัตรูมาก็จะได้รับรางวัลพิเศษเจ้าค่ะ” ศรีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ธันนะทำเป็นไม่สนใจแล้วฟังว่าวอธิบาย ซอเห็นทั้งสองถามตอบเสร็จจึงอธิบายต่อ

                “ภารกิจที่ว่ามิใช่ให้ตามล่าผู้ลัก แต่ให้สืบหาเบาะแสที่พอจะเป็นข้อมูลในการตามหา”

                ซออธิบายไปเรื่อยๆ ในขณะที่ศรีกำลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับมิตินี้ มิติซึ่งแยกออกจากมิติที่ตนเองอยู่ ศรีคาดว่าธันนะอาจจะเข้าใจมากกว่า เพราะลอบมองแววตาของเขา พบว่าแววตาที่เย็นชานั้นแฝงไปด้วยความตั้งใจอยู่ เธอหลุบตามองตักตนเอง ครุ่นคิด แม้เพื่อนๆ ที่มิตินี้รวมทั้งผู้อาวุโสจะอธิบายแล้วแต่เธอรู้สึกว่าเหมือนมีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะ

                ใกล้จะเข้านอน ซอบอกให้ว่าวเดินหาห้องที่เหมาะแก่ศรีและธันนะได้พัก ซอบอกทั้งสองว่าให้อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วนางจะส่งกลับ ศรีไม่ได้คิดอะไรมากเพราะคิดว่านางก็คงส่งกลับแต่ธันนะยังไม่วางความคิด เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดต้องให้อยู่ที่นี่ไปก่อน

                ---มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ

                ธันนะคิด

                “ที่ห้องนี้เจ้าค่ะ” ว่าวยิ้มพลางใช้มือผายไปที่ประตูห้อง ศรียิ้มตอบแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบใจจ้ะว่าว”

 ว่าวไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มเป็นการตอบรับ ธันนะมีสีหน้าบอกไม่รับบุญเพราะหงุดหงิดกับเรื่องการพักที่มิตินี้ ทั้งสามเดินเข้าไป

                เตียงปูด้วยผ้าสีขาว หมอน ผ้าห่มและหมอนข้างวางไว้ ภายในห้องแทบไม่มีฝุ่นให้เห็น ศรีคิดว่าคงมีบ่าวมาทำความสะอาดทุกวัน ธันนะมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย เขาเห็นว่าที่ห้องนี้มีตู้หนังสือเยอะมากจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากนอนในห้องที่มีแต่หนังสือ สักวันหนังสือคงถล่มใส่ศีรษะไม่วันนี้ก็วันหน้า

                ---แต่เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าให้นอนห้องเดียวกันน่ะ

                “ห้องนี้คือที่พักของท่านพี่ศรี ห้องของท่านพี่ธันนะอยู่ข้างซ้ายมือเจ้าค่ะ” ธันนะคลายใจ นึกว่าจะต้องนอนห้องเดียวกับผู้หญิงซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงต้องหาอะไรสักอย่างมากั้นนั่นแหละ เดี๋ยวถ้าทำอะไรลงไปจะโดนข้อหาทำมิดีมิร้ายผู้หญิง

                ว่าวเรียกธันนะให้ไปห้องข้างๆ มีเพียงศรีที่อยู่ในห้องนี้ ศรีมองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดกับร่างหนึ่งซึ่งนั่งบนกรอบหน้าต่าง เธอตกใจที่อยู่ดีๆ ก็มีคนเข้ามา ซึ่งคนผู้นั้นก็คือพินทุนั่นเอง นางยิ้มให้ศรีพลางหมุนร่มที่พาดบ่ก่อนจะเอ่ย

                “ศรี อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเช่นไร”

                “ก็… ดีค่ะ ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันค่ะ”

                “ที่นี่เป็นเรือนของข้า ข้าย่อมรู้ดีแล้วจะเข้าออกเมื่อไรก็ได้” นางกล่าวพลางแกว่งขาไปมา ศรีสังเกตว่าผ้าถุงของนางผ่าข้าง คาดว่าจะได้เดินหรือขยับตัวได้สะดวก เธอมองใบไม้สีทองปลายแหลมซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะภาคเหนือที่เสียดสีกันไปมายามเมื่อนางเคลื่อนไหว พินทุลงจากกรอบหน้าต่างก่อนจะเดินไปลูบหัวศรี

                “เจ้า… มิใช่คนธรรมดาดอกนะ รู้ตัวไหม?” นางก้มหัวกระซิบข้างหูศรี เธอรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างที่นุ่มและชื้นไล้หูไปมา ในที่สุดศรีก็รู้เมื่อพินทุแลบลิ้นไล้เลียริมฝีปากตนเอง ศรีตอบสิ่งที่นางถาม

                “ไม่ทราบค่ะ…”

                “หึๆ เอาเป็นว่าเมื่อใดที่ข้าจะเฉลยข้าก็จะทำ” ศรีสงสัยว่าทำนี่มันหมายความว่าอย่างไรแทนที่นางจะบอกว่าบอก พินทุเหยียดกายขึ้นก่อนจะพนมมือแล้วสวดบางอย่าง วงเวทยันต์ต่างๆ ปรากฏใต้ร่างศรี เธอตะลึงกับเหตุการณ์ ณ ตอนนี้ ปิ่นปักผมสีเงินของเธอเรืองแสงเบาบาง เมื่อพินทุเห็นดังนั้นจึงสั่งศรี

                “ศรี ดึงปิ่นปักผมออกเดี๋ยวนี้”

                “ม่ะ ไม่ได้ค่ะ พ่อกับแม่บอกหนูว่าห้ามดึงออกเด็ดขาดค่ะ” ศรีจำได้ว่าพ่อกับแม่สั่งเธอไว้แบบนั้น เธอจึงดื้อไม่ยอมทำตามที่นางสั่ง แต่เมื่อพินทุมองด้วยดวงตาเย็นเยียบเธอจึงยอม มือของเธอสั่น กังวลอย่างบอกไม่ถูก

                ถ้าเกิดถอดออกจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ

                ชิ้ง…

                ทันทีที่ปิ่นปักผมทั้งสองข้างถูกนำออก ดวงตาของศรีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปมาเรืองๆ เรืองแสงสีแดงฉาดเหมือนเลือดแลน่ากลัว ปิ่นปักผมของเธอค่อยๆ ยาวขึ้นก่อนจะเปลี่ยนรูปร่าง

                ---เป็นดาบ---

                ดาบที่เธอถือมีสัญลักษณ์ประดับไม่เหมือนกัน ข้างขวาเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีเพชรสีแดงฝังอยู่ ข้างซ้ายเป็นลายกนก พินทุยกมุมปาก ดวงตานั้นฉายแววสนุก นางเอ่ย

                “คิกๆ เจ้านี่น่าสนใจเหมือนกันนะ”

                ดวงตาของศรีพร่ามัว สติค่อยๆ ดับหาย

                “ยักษิณี”

                ตุบ

                ร่างบางเล็กล้มลงนอนกับพื้น ใบหน้าของพินทุนั้นเต็มไปด้วยความบันเทิง นางนั่งท่าเทพธิดาสอดมือเข้าไปใต้ร่างของศรีก่อนจะช้อนขึ้นมาอุ้มบนตัก ใบหน้าที่สงบของศรีซุกในอ้อมกอดของนาง พินทุลูบหัวเบาๆ แล้วกระซิบข้างหู

                “เรื่องของเราข้ายังจำได้ดี รวมทั้งคนอื่นด้วย …ศรี เจ้าเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ข้าอยู่มาอายุย่างเข้าหลายร้อยพันปี ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เจ้าจะไม่คิดแค้นกับอีกร่างหนึ่งของเจ้าด้วยเถิด…”

                ประโยคนั้นไม่ได้เข้าหูเลยแต่กลับกลายเป็นความฝันของศรี

                ชาติที่แล้ว… เธอไปทำกรรมอะไรไว้นะ

                อีกร่าง… คือศัตรูของเธอ

                มาหลายภพชาติ………

                ในความฝัน นานแล้วที่ไม่ฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นได้โอบร่างเธอไว้ ยามที่เธอร้องไห้จากการถูกกลั่นแกล้งของคนในตระกูล เด็กผู้หญิงคนนั้นก็จะปลอบใจเธอ เด็กผู้หญิงเปนเพื่อนคนแรกของเธอ หาใช่นางผีตนนั้นที่คอยเข่นฆ่าผู้ที่กลั่นแกล้งศรี ทั้งสองมักจะเล่นด้วยกัน… แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่นั่นก็เป็นความสุขแรกของเธอ อ้อมกอดนี้อบอุ่นกว่าอ้อมกอดของพ่อแม่ ศรีรู้สึกอย่างนั้น

                วันนี้ทั้งสองก็คุยกัน

                “อีกมิติหนึ่งเหรอ? น่าสนใจจัง” เด็กผู้หญิงคนนั้นถาม ศรีหลับตาแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วล่ะ ที่นี่มีบ้านเรือนที่เป็นเรือนไทย ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีนะ”

                “ฉันอยากไปบ้างจัง”

                “งั้นไปไหมจ๊ะ ฉันจะพาไป”

                “ไม่ได้หรอก ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้” รอยยิ้มเศร้านั้นทำให้ศรีรู้สึกสงสาร ถึงที่นี่จะเป็นเพียงความฝันแต่เธอก็ไม่อยากเห็น ศรีสงสัยสิ่งที่เด็กผู้หญิงบอก เธอถาม

                “ทำไมล่ะ”

                “แม้ที่นี่จะเป็นเพียงความฝัน แต่ฉันมีตัวตนอยู่จริงๆ นะศรี ฉันไม่ใช่อีกร่างหนึ่งของเธอ แต่ฉันเป็นเพียงผู้ที่ถูกขัง…”

                “ขัง? ฉันช่วยมั้ย”

                เด็กหญิงส่ายหน้า

                “ไม่ได้ๆ ฉันยังไม่รู้วิธีเลย ถึงจะรู้ก็ต้องใช้เวลาหน่อย” ดวงตาของเด็กหญิงนั้นมีน้ำปริ่มออกมาแล้วไหลอาบแก้ม ศรีสงสารเพื่อนของตนจับใจ ปากของเธอสั่นเหมือนจะร้องไห้ตาม เธอเขยิบตัวเข้าไปกอดเพื่อนรักแล้วพูดเบาๆ

                “ไม่ได้ก็ไม่ได้จ้ะ แต่ฉันจะรอนะ อย่าร้องไห้เลย …เพื่อนรักของฉัน” เด็กผู้หญิงคนนั้นซุกคอของศรีแล้วสะอื้น ศรีลูบหลังเธอไปมาอย่างอ่อนโยน เธอเฝ้ารอที่สักวันเพื่อนคนนี้จะออกไปสู่โลกภายนอกไม่อยากให้จมปรักอยู่ในความฝัน

                …เพื่อนของเธอร้องไห้ อยากปลอบต่อจัง

                แต่ภาพเบื้องหน้ารางเลือนเป็นสีขาวก่อนที่ดวงตาของศรีจะค่อยๆ ลืมขึ้น

                .

                .

                .

                วันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                “ศรี”

                “…”

                แสงเบาบางส่องกระทบตาจนพร่ามัวแล้วชัดเจน เช้าแล้ว สุริยะเคลื่อนมาแทนที่เดือน เธอพบว่าด้านข้างเธอมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกับเธอนอนอยู่ ผมตัดสั้นนั้นด้านข้างยาวคลอเคลียหูและลำคอ สวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีน้ำตาล เข็มขัดที่ซองใส่ปืนคล้องไว้อยู่สองข้าง ---ศรีรู้สึกคุ้นหน้าเขา เธอทบทวนความทรงจำ …เมื่อเธอนึกได้ว่าเขาคือใครจึงเรียกชื่อ

                “พงสณะ”

                “ใช่จ้ะ ฉันเอง” เขายิ้มทะเล้นให้ศรี เธอเคลื่อนมือขึ้นก่อนจะใช้มือตะปบเข้าที่ศีรษะของพงสณะแล้วกระแทกลงกับพื้น

                ตึง!!

                “แกมาทำอะไรที่นี่ฮะ!!”

                พื้นห้องของศรี (ชั่วคราว) สะเทือนจนคนที่อยู่ในบริเวณใต้ถุนนั้นถึงกับสะดุ้ง ซึ่งก็คือบรรพตและปักเป้านั่งเอง ทั้งสองสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบขึ้นบันได เมื่อเข้ามาในห้องของศรีบรรพตก็ชิงถามเป็นคนแรก

                “เกิดอะไรขึ้นฤ”

                “บรรพต หมอนี่มาอยู่ในห้องฉันได้ยังไงกันน่ะ!” ศรีถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง บรรพตยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย “พงฯ บอกว่ารู้จักเจ้าเลยอยากมาเยี่ยมน่ะ เอ่อคือ… ใจเย็นก่อนนะศรี”

                “ไม่เย็นแล้ว! แกกล้าดียังไงมาทำมิดีมิร้ายฉันกันฮะ!!”

                ศรีต่อว่าพงสณะพร้อมกับใช้มือโยกศีรษะเขากระแทกพื้นไปมาจนสติของเขาเริ่มจะดับหาย ปักเป้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบดึงเสื้อศรีแล้วกระชากออกมา แต่เธอก็ยังรั้นดิ้นรนเพื่อที่จะจัดการพงสณะจึงกระแทกแขนเข้าใส่ท้องปักเป้าอย่างแรงจนเขาต้องกุมท้องอย่างเจ็บปวด ก่อนที่เธอจะตะปบศีรษะพงสณะอีกครั้ง

                “ศรี! ฉันขอโทษ!!---แอ่ก” ร่างกายของพงสณะหยุดการเคลื่อนไหว บรรพตและปักเป้าเบิกตากว้างตกใจระคนสงสัย ศรีค่อยๆ ถอยออกมาแล้วจ้องร่างนั้น

                เป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าเราทำแรงไป?

                “พงสณะ… นี่ พงสณะ นาย…” ความกังวลมีมากขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ศรีลองเอามมือไปอังจมูก ---ไม่มีลมหายใจ

                มันอาจจะกลั้นหายใจหลอกเราก็ได้

                ศรีเปลี่ยนตำแหน่งไปแตะอกข้างซ้ายของเด็กชายในชุดเสื้อเชิ้ต …ไม่มีอะไรสั่นเลย

                หัวใจไม่เต้น

                บ้าน่า!

                ศรีเขย่าร่างที่นอนนิ่ง น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาแล้วหยดลง ปักเป้าและบรรพตรู้สึกใจหาย ทั้งสามเรียกพงสณะ ระหว่างนั้นประตูห้องก็ค่อยๆ แง้มเล็กน้อย…

                “พงสณะ! นายอย่าเป็นอะไรไปนะ พงสณะ!!”

                “แบร่!!”

                หงึก…

                พงสณะลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วแลบลิ้นใส่ศรี เธอตกใจมาก จากความเศร้าที่มีต่อเขาแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ศรีแผดเสียงใส่เขา

“ตาบ้า! ฉันตกใจมากเลยนะ รู้ตัวมั้ย!” น้ำเสียงนั้นสั่นเพราะโกรธและเศร้า พงสณะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ย

                “ก็ฉันอยากรู้นี่ว่าถ้าฉันตายไปเธอจะร้องไห้ให้ฉันมั้ย แต่เมื่อกี้เสียงเธอมันสั่นๆ นะ… หรือว่าเธอร้องไห้เพราะรักฉันน่ะ”

                “บ้า! นายเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ต้องร้องสิ” ระหว่างที่ทั้งสองเถียงกันไปมานั้นเอง ประตูห้องก็แง้มกว้างก่อนที่จะมีร่างเล็กเข้ามา ปักเป้าที่รู้สึกตัวก่อนหันไปมองก็พบว่าผู้ที่เข้ามาก็คือ…

                “นาย…”

                “ฉันชื่อ ธันนะ อรุณทิพย์ แล้วนายล่ะ” น้ำเสียงของธันนะนั้นเย็นเยียบ แต่ไม่แข็งกระด้าง สายตาที่คมกริบนั้นมองปักเป้านิ่ง เด็กชายสวมเฮดโฟนลอบกลืนนั้นลายก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ปักเป้า นั่นคือนามของข้า…”

                “แล้วเธอล่ะ” สายตาเบนไปทางบรรพต เธอที่รู้สึกตัวหลังว่าเขาเข้ามาสะดุ้งก่อนจะตอบ “บะ บรรพต”

                “อืม แล้วแกล่ะ” ธันนะหันไปถามพงสณะ สรรพนามเปลี่ยนไป ศรีรู้สึกแปลกใจว่าพบกันครั้งแรกไม่น่ามีเรื่องเคืองกัน หรือเพราะธันนะรู้สึกไม่ถูกชะตากับพงสณะกัน พงสณะจ้องมองธันนะเช่นเดียวกับที่เขาจ้อง เหมือนมีไอบางอย่างแผ่รอบๆ ตัวทั้งสอง ช่างมืดมัวนัก บรรพตเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย

                “อ่ะ เอ่อ นี่ ทั้งสองคนน่ะ มีเรื่องอะไรกัน”

                “…”

                “…”

                ธันนะและพงสณะไม่ตอบ ทั้งสองต่างจ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้

                ตูม…!!!

                ระหว่างนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองนอกหน้าต่างที่เปิดไว้รวมทั้งธันนะพงสณะที่เลิกสงครามจ้องตา

                ทุกคนวิ่งลงมานอกเรือนพบกับร่างบางสูงระหง นุ่งผ้าถุงลายกระหนกสีน้ำตาลทอง สวมชุดกิโมโนชั้นนอกทับกับตะเบงมานสีแดงเลือดหมู ผมยาวสีครีมไหวไปมาตามแรงลมประทะเมื่อครู่ ดวงตาสีแดงฉาดจ้องมาทางพวกเขา หญิงสาวผู้นั้นแผดเสียงถามลั่น

                “พินทุอิอยู่ที่ไหน!!” นางง้างสายคันธนูกับลูกธนูก่อนจะสวดคาถาบางอย่าง ปลายลูกศรมีไฟสีฟ้าติดขึ้นราวกับดวงวิญญาณที่ทำร้ายผู้คน ศรีแปลกใจที่อยู่ดีๆ นางก็ถามถึงคนที่นางถาม

                พินทุอิ……  ท่านพินทุน่ะหรือ

                พรึ่บ!!

                วูบ!!

                “ถอย!!” ปักเป้าตะโกนบอกทุกคน พวกเขาวิ่งไปข้างหลัง ---ไม่ทันแน่ ลูกธนูโดนเราแน่ บรรพตคิดวิตก เหงื่อซึมตามฝ่ามือแต่สิ่งที่เธอคาดแปรเปลี่ยนเมื่อมีบางอย่างมากั้นไว้

                …ชิ้ง…

                วูบ…

                ฉึก…!!

                ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าไปปะทะกับลูกธนูของหญิงสาวผมสีครีม นางละลึงและแปลกใจ

                ตู้ม!!!

                แรงมหาศาลของการปะทะส่งผลให้เกิดแรงลม ฝุ่นดินกระจายว่อนไปทั้วรัศมีของบริเวณนี้ ทุกคนต่างเอามือบังหน้าเพื่อกันฝุ่นเข้าตา สักพัก ฝุ่นก็ค่อยจางหายลงสู่พื้นและอากาศ เผยให้เห็นร่างบางเล็กโพกผ้าก้องจู๊ด (ชั้นใน) และก้องเป้า (ชั้นนอก) ไหมพรมแดงติดคล้องคอเสื้อ กระโปรงจับจีบเพื่อประยุกต์ สวมกางเกงสีดำข้างใน พู่ไหมติดชายเสื้อ และผ้าที่คาดเอวนั้นผูกหลวมไม่เก็บชายปล่อยลงมามีลูกปัดและพู่ไหมห้อย

                การแต่งกายวันนี้ของกลีบเย้านั้นเป็นไปตามแบบเผ่าเย้า [1]ศรีอดที่จะชื่นชมความงดงามของการแต่งกายเฉพาะชนเผ่าไทยภาคเหนือ (ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่เผ่าของไทย) เส้นผมหยักศกปลิวตามแรงลมที่ค่อยๆ เบาบาง ท่ายืนเตรียมง้างยิงลูกธนูนั้นช่างสง่างาม หญิงสาวผมสีครีมยิ้มมุมปากอย่างสมเพช

                “เจ้า… เจ้าเองดอกฤ นางพินทุอิหายหัวไปไหน!” นางไม่ได้ยิงลูกธนู กลีบเย้ามองนางอย่างเย็นชาพลางตอบ

                “ท่านพินทุมิได้อยู่ที่นี่ดอกท่านปักษธร ได้โปรดกลับไปที่ของท่าน ท่านทำเช่นนี้จะเป็นการรบกวนผู้อื่น”

                “นางเด็กนี่! กล้าดีเยี่ยงไรมาสอนข้า ……ได้… ข้าจะดับลมหายใจก่อนเจ้าพินทุอิละกัน!” นางแผดเสียงก่อนจะง้างสายธนูแต่มีบางอย่างมาขวางหน้า แท่งเหล็กสลักลวดลายกนกสวยงามประกายแสงงดงาม นางแสยะยิ้มยินดีเมื่อผู้ที่เข้ามาขวางคือใคร

                “มาจนได้สินะ ต้องให้ข้าปลิดชีพเด็กนี่ก่อนสินะถึงจะยอมโผล่หัวโผล่หางมา!” นางเอ่ยกับร่างบางที่สูงระหงในชุดเสื้อแขนยาวมีผ้าทับเฉียงปลายห้องลงมาข้างหน้า ใบไม้สีทองปลายแหลมกระดิกไปมา ผ้าถุงผ่าข้าง ข้างในสวมกางเกงลีบเนื้อไว้ นางผู้ที่จะต่อกรกับปักษธรยื่นปลายมีดที่ยืนจากด้ามจับร่มบ่อสร้าง ประชิดหมายจะบั่นคอให้ขาด

                “หึๆ… สงบจิตสิปักษธร” พินทุยิ้มบางๆ อย่างเย้ยหยัน ปักษธรถลึงตาใส่นาง พินทุไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปทางพวกศรีแล้วเอ่ย “เด็กๆ ขึ้นเรือนอาบน้ำอาบท่านะ ประเดี๋ยวข้าจะไป อยู่นอกเรือนมันอันตราย” น้ำเสียงเป็นห่วงของนางไม่มีความเสแสร้ง

                ปักษธรโทสะที่นางไม่สนใจตนเอง นางใช้มือปัดปลายมีดก่อนจะยกหัวเข่ากระแทกเข้าใส่ท้องของพินทุ ร่างบางกระเดนออกห่างหลายเมตร หญิงสาวผมสีครีมพุ่งตัววิ่งไปก่อนจะกำหมัดมือและชกเข้าไปที่ใบหน้าพินทุ นางไม่ยี่หร่ะ จับมือนั่นบิดแล้วใช้มีดจากด้ามร่มบ่อสร้างจ้วงเข้าใส่ท้อง

                “อั่ก…” เลือดทะลักออกจากปาก ไหลนองพื้นหยาดหนืดเหนียว ปักษธรล้มลงนั่ง

                “จะคุยก็มาดีๆ สิ หากเจ้ามาอย่างสงบข้าอาจจะเตรียมอาหารรสโอชาที่ดีเลิศต้อนรับก็ได้นะ”

[1] เผ่าเย้า คือชนเผ่าที่อพยพจากจีน ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติมองโกลอยด์ คืออยู่ในตระกูลจีนธิเบต ปรากฏครั้งแรกในเอกสารบันทึกของประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง โดยปรากฏในชื่อ ม่อ เย้า มีความหมายว่าไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา