ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.52K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
49) บทที่ ๔๙: ความฝันที่ไร้เสียง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๙
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
ความฝันที่ไร้เสียง
หนูลืมตาขึ้น …ฝันนั่นอีกแล้ว หนูเคยฝันถึงเด็กผู้หญิงที่บอกว่าเป็นลูกของหนูครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ฝันซ้ำกันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เหมือนกับว่าเป็นลางร้าย
หนูมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ หนูคาดว่าเพื่อนๆ คงถูกเรียกให้ไปช่วยกระมัง เมื่อลองขยับแขนก็รู้สึกว่าร่างกายพอใช้งานได้แล้ว ดังนั้นหนูจึงดันกายนั่งก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเพื่อหาหนังสือมาอ่าน พออ่านได้ ๓ คำเท่านั้นศีรษะก็ปวดขึ้น ดวงตาเองก็เช่นกัน หนูยกเลิกการอ่านก่อนจะนอนดังเดิมเพราะคาดผิดว่าร่างกายตนเองยังฟื้นตัวไม่ดีพอ
“เป็นอย่างไรบ้าง” มีผู้หญิงถามหนู หนูคาดเดาจากน้ำเสียงที่นุ่มแต่แฝงไปด้วยความอันตราย หนูลืมตาขึ้นเพื่อมองเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร ก็พบว่าเป็นบุคคลที่หนูคาดไม่ถึงว่าจะมาเยือน
“…ท่าน พินทุ…”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” ท่านกล่าวพลางยิ้มก่อนจะนั่งท่าเทพธิดาข้างขวา หนูเงยหน้ามองให้ชัดก่อนจะถาม
“ท่านเดินทางตั้งแต่เมื่อใดกันคะ?”
“มิกี่วันเอง ติดธุระเลยมาที่นี่ช้าน่ะ”
ขณะที่ท่านตอบและอธิบายไปด้วยหนูก็เผลอมองท่านด้วยความชื่นชมและหลงใหล ใบหน้าขาวสะอาด ผมยาวเกล้าสูงขึ้นเกินจริงนั้นเป็นสีดำยาวสลวยถึงสะโพก ปักด้วยปิ่นใบไม้ไหวสีเงินตามด้วยดอกพญาเสือโคร่ง สร้อยสีเงินที่เป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวคว่ำนั้นสลักลวดลายสวยงาม เสื้อคอสูงแขนยาวสีน้ำเงินทับด้วยสไบสีฟ้า ราวกับพระจันทร์ที่ฉายยามเย็น ผ้าซิ่นสีน้ำตาลเหมือนพื้นดินที่อยู่ใต้ฟ้า
ลักษณะการแต่งกายเสมือนกับว่าเป็นหยินหยางอย่างไรชอบกล เป็นความงามที่แบ่งสูงต่ำ…
“เหม่ออันใดอยู่ศรี?” ท่านพินทุโน้มหน้าลงมาพลางลูบหน้าของหนูไปด้วย จนรู้สึกถึงความร้อนใบหน้าตนที่อบอ้าวเพราะท่านแนบมือมา
“ก็… เอ่อ ตอบตามตรงแบบไม่ได้ยอนะคะ …ท่านสวยมากเลยค่ะ” หนูมองไปทางอื่นเพราะอายกับคำตอบตนเอง ท่านหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“แหม ขอบคุณนะสำหรับคำชม นานแล้วที่มิมีใครชมข้าเช่นนี้” หนูเหลือบๆ มองท่าน ท่านพินทุหัวเราะให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งบาน
“ลองมาทำพิธีนี้ไหม?” จู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนเรื่อง หนูกลับไปมองท่านดังเดิม พบว่าแววตาของท่านฉายแววสนุกตื่นเต้นอยู่ ทำให้หนูเผลอกลั้นหายใจครู่หนึ่ง
“พิธีอะไรเหรอคะ?”
“ตัวตายตัวแทน” คำตอบนั้นทำให้หนูจ้องหน้าท่านโดยลืมว่าเสียมารยาท …ตัวตายตัวแทนเนี่ยนะ
“…”
“รู้จักตุ๊กตาเสียกบาล[1]ไหม พิธีที่ใส่เล็บหรือเส้นผมของเจ้าของที่มีเคราะห์ไปพร้อมกับตุ๊กตาเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนเพื่อหลอกผีน่ะ”
“เอ่อ… หนูพอจะทราบค่ะ แต่ขอไม่ทำนะคะ”
“งั้นข้าทำเองก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็น ‘ไรค่ะ” หนูพยายามปฏิเสธ ถ้าคาดเดาไม่ผิดท่านพินทุคงคิดว่ามีผีเจ้ากรรมนายเวรตามหนูจนหนูเป็นไข้เลยคิดจะพิธีตัวตายตัวแทน
…แต่ไม่เอาหรอก ถึงจะเคยใช้ไสยศาสตร์มาก่อนแต่มาทำกับตัวเองมันก็แปลกๆ นะ
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เมื่อหนูปฏิเสธอีกครั้งท่านก็ยอม หนูหลับตา คราวนี้ขอให้ได้นอนจริงๆ เถอะ
“?”
จู่ๆ ท่านพินทุก็นอนข้างหนูโดยที่ใช้หมอนอีกใบทรงสี่เหลี่ยมมาหนุน หนูหันไปมองท่านด้วยความคาดไม่ถึง นายิกาเช่นท่านลดตัวมานอนแบบนี้ช่างน่าแปลกใจจริงๆ ท่านพินทุยิ้มพลางกวักมือเหมือนเป็นเชิงว่าให้หนูเข้าไปใกล้ๆ ท่าน หนูจึงเขยิบไปหา พอถึงกายท่านก็เอื้อมแขนมากอดหนู ทว่าหนูไม่ได้ออกห่างจากท่าน ร่างกายกลับยิ่งเข้าไปซุกหาความอบอุ่นอีกต่างหาก
ในขณะที่ตาเกือบจะปิดลงนั้นเองก็มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น หนูไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่ง
ทว่าไม่ใช่ เมื่อผู้ที่เข้ามาก็คือ
“ท่านพินทุ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนูจะดีกว่าค่ะ” ฟังเสียงก็ทราบว่าเป็นพี่อสุรา หนูรีบตื่นขึ้นจนร่างกายเผลอจะลุกตามไปด้วยทว่าท่านพินทุก็กอดหนูไว้แน่น ท่านดึงหนูเข้าไปกอดมากกว่าเดิมจนหนูเกือบหายใจไม่ออก
“แหม สีหน้าเจ้าดูล้ามากเลยนะ ไปพักผ่อนเสียดีกว่า ข้าจะดูแลน้องสาวเจ้าเอง”
“ท่านพินทุ ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะสำหรับความช่วยเหลือ” หนูมองพี่อสุราที่ยังคงมีสีหน้าเคลียดแฝงไปด้วยความหึงหวง… เอ๊ะ หวงงั้นเหรอ หนูจับน้ำเสียงได้ว่าท่านไม่พอใจมาก
“กรุณากลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ”
“งั้นก็ได้” ท่านพินทุคลายอ้อมกอดแล้วลุกขึ้น ความอบอุ่นหายไปจนหนูเผลอจะเข้าไปกอดท่านแต่พี่อสุราได้เข้ามาดึงหนูอย่างรวดเร็วแล้วกอดแน่นยิ่งกว่าท่านพินทุ
ท่านพินทุมองหนูกับพี่อสุราพลางยิ้ม แววตาฉายความสนุก หนูฉงนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรได้แต่มองท่านออกจากห้อง
“พี่…”
“ถ้าเกิดคราวหน้าปล่อยให้คนแปลกหน้ามากอดอีกพี่ตีจริงด้วย!” พี่อสุราดุจนหนูไม่กล้าเอ่ยอะไร หนูเขยิบร่างกายหันไปกอดท่านตรงๆ แล้วซุกหน้าหาความอบอุ่นอีกครั้งพลางอ้อนไปด้วย
“หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ พี่อสุรา อย่าตีหนูเลยนะคะ” ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีพี่จะขู่ว่าจะตีแต่ก็ไม่ทำจริงสักครั้ง และหนูก็มักจะเอ่ยแบบนี้ แม้จะรู้ว่าท่านไม่ทำแต่ที่เอ่ยไปก็เพราะอยากให้พี่รู้สึกเอ็นดูหนูเพื่อนที่จะได้หายโกรธ
“เฮ้อ…” ได้ผลด้วย หนูได้ใจจูบแก้มท่านไปหนึ่งทีซึ่งท่านก็ทำกลับก่อนจะรู้สึกถึงความชื้นบริเวณใบหู พี่อสุราขบหูของหนูนี่เอง
หลังจากนั้นท่านก็ดึงหนุลงไปนอนดังเดิมก่อนจะหลับ …การได้นอนในอ้อมกอดใครสักคนมันทำให้มีความสุขมากเลยล่ะ
อยากอยู่แบบนี้… ไปนานๆ จัง…
…นี่คือความฝันสินะ
หนูมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ทุกคนล้วนแต่งกายแบบสมัยก่อน ใบหน้าสกปรกเพราะทำงาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เห็นหนู เพราะขนาดหนูยืนขวางก็ไม่มีใครมองแบบเจาะจง
ก็ความฝันนี่นะ ผู้ฝันก็คือผู้ชมนั่นแหละ
หนูเดินไปเรื่อยๆ พบว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทำงานไปด้วยคุยกับลูกของตนไปด้วย มีเด็กชายและเด็กหญิง …ไม่แน่ใจว่าจำผิดหรือเปล่า หน้าเด็กหญิงเหมือนกับเด็กหญิงในความฝันเมื่อตอนนั้นเลย ส่วนเด็กชายและพ่อแม่ของเขารู้สึกคุ้นๆ หน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าคล้ายใคร
หนูเลิกคิดก่อนจะเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะอย่างไรเสียในความฝันผู้แสดงก็ไม่ได้สนใจผู้ชมอยู่แล้วนี่ (เป็นการเปรียบเปรยนะ)
หนูไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา แต่ดูจากกริยาแล้วพวกเขาคงมีความสุขมาก หนูเผลอยิ้มออกมาด้วยความยินดี อยากให้พวกเขาเป็นแบบนี้ไปตลอด ทว่าดูเหมือนความสุขต้องหยุดเท่านี้เมื่อมีใครบางคนตะโกนบางอย่าง หนูไม่ได้ยินแต่ดูจากสีหน้าคงเป็นเรื่องร้าย
มีทหารเข้ามา ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นชาวพม่า พวกเขาฆ่าผู้คนจนแทบไม่เหลือ เปลวเพลิงลุกโชน ผู้คนที่รอดต่างหนีไม่คิดชีวิตโดยที่ไม่ลืมคนในครอบครัวตนเองด้วย
…แน่นอนว่าครอบครัวที่หนูดูอยู่ก็เป็นเช่นกัน ฝ่ายชายพยายามที่จะให้ฝ่ายหญิงพาลูกหนีไป แต่เธอไม่ยอมยังคงรั้นที่จะอยู่กับเขา ฝ่ายชายคงจะหมดความอดทนเลยแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดแล้วผลักเธอออกไปแล้วหยิบมีดขึ้นมาเพื่อที่จะฆ่าทหารพม่า ฝ่ายหญิงหมดทางเลือกจึงพาลูกของตนวิ่งหนีไป
ในขณะที่วิ่งนั้นเธอก็หันไปมองผู้เป็นสามีด้วยน้ำตาที่นองหน้า ดวงตาสีขาวดำเริ่มเป็สีแดงระเรื่อจนเห็นเส้นเลือดบางๆ
…และแล้วภาพก็หายไป เหลือไว้เพียงความมืดมิดที่ยากจะหยั่งถึง
หนูลืมตาตื่นจากนิทรา รู้สึกว่าแก้มชื้นจนกระทั่งมือแผลแตะขอบตาจึงทราบว่าเป็นน้ำตา …ช่างน่าเศร้าจริงๆ แม้หนูจะไม่รู้ว่าทั้งสองและลูกจะได้เจอกันอีกไหมแต่เพียงแค่คิดว่าฝ่ายอาจตายเพราะต่อสู้กับทหารก็เศร้ามากแล้ว
“ฮึก… ฮือ” หนูนี่แย่จริง เป็นเพียงความฝันยังรู้สึกเศร้าใจได้ มันสมจริงมากเลย หนูกลั้นเสียงไม่ให้พี่รู้เพราะกลัวท่านจะเป็นตื่นมาแล้วเห็นอาจทำให้เป็ห่วงหนู แต่น้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด
ดูเหมือนว่าพี่อสุราจะรู้สึกตัวจึงลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าหนูร้องไห้ท่านก็เบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจและเป็นห่วง ท่านรีบลูบศีรษะหนูเพื่อปลอบพลางถาม
“ศรี เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?”
“หนูฝันร้าย…ฮึก มัน… เหมือนจริงมากเลยค่ะ ฮึก ฮือๆ” พี่อสุราเช็ดน้ำตาให้ หนูกอดท่านแน่นมากกว่าเดิมพลางซุกหน้าไปด้วย ท่านไม่เอ่ยอะไรอีกได้เพียงแต่กอดหนูแน่นขึ้น ความอบอุ่นแผ่เข้ามาจนเริ่มหายเศร้า
…นี่ความฝันอะไรกัน
“อืม… อาการดีขึ้นแล้ว กินยานี่เสียหน่อยร่างกายก็ใช้งานได้แล้วล่ะ” ท่านจารุเอ่ย รอบๆ ตัวหนูมีเพื่อนๆ มานั่งดูด้วย จะว่าไป พอกล่าวถึงอาการหนูก็นึกถึงท่านอรัญญิก ป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
“ท่านอรัญญิกอาการเป็นอย่างไรเหรอคะ?”
“อืม… ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วล่ะ แต่ไปประชุมที่ทำการนายิกาอยู่ บัดเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงก็คงจะมา” ท่านตอบเสียงเรียบอย่างที่ชอบท่าน หนูกล่าวขอบคุณก่อนจะรับยามาดื่มอีกสองถ้วย แต่ก่อนจะดิ่มนั้นก็ถามท่านอีกครั้ง
“จะว่าไปอาการของหนูก็หนักแต่ทำไมถึงออกมาเร็วกว่าคะ?” พอนึกดีๆ มันน่าแปลกใจมากเลยนะ เลือดไหลขนาดนั้นทำไมหนูถึงพักฟื้นเพียงหนึ่งคืน ถึงจะเป็นสายเลือดอมตะก็เถอะ แต่แบบนี้มันก็แปลกๆ
“ร่างกายเจ้ามีพลังวิญญาณบางอย่างช่วยไว้เลยฟื้นตัวเร็วมาก แต่ของอรัญญิกมิมีพลังวิญญาณแบบเดียวกับเจ้าเลยใช้เวลามากกว่าน่ะ”
หนูพยักหน้ากับคำตอบนั้นก่อนจะดื่มยาเข้าไปจริงๆ รสขมอมหวานทำให้หนูเบ้หน้าเพราะมันไม่เข้าสุดๆ แต่เพื่อร่างกายและไม่ให้เสียน้ำใจเลยดื่จนหมดก่อนจะรับอีกถ้วยมาดื่ม
ต่อจากนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ…
[1] ตุ๊กตาเสียกบาล หมายถึง ตุ๊กตาที่ใส่กระบะกาบกล้วยพร้อมทั้งเครื่องเช่นผี เพื่อแทนตัวเจ้าของ อาจเรียกได้สองอย่างว่าตุ๊กตาเสียกบาลหรือตุ๊กตาเสียกะบาน ที่เรียกกันว่าตุ๊กตาเสียกบาลนั่นเพราะได้มีการหักคอตุ๊กตาแต่มีบุคคลที่เห็นแตกต่างว่าหากทำให้ตุ๊กตาชำรุดจะทำให้ผีโกรธจึงเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาเสียกะบานแทนโดยที่ไม่ต้องหักคอตุ๊กตา
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
ความฝันที่ไร้เสียง
หนูลืมตาขึ้น …ฝันนั่นอีกแล้ว หนูเคยฝันถึงเด็กผู้หญิงที่บอกว่าเป็นลูกของหนูครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ฝันซ้ำกันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เหมือนกับว่าเป็นลางร้าย
หนูมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ หนูคาดว่าเพื่อนๆ คงถูกเรียกให้ไปช่วยกระมัง เมื่อลองขยับแขนก็รู้สึกว่าร่างกายพอใช้งานได้แล้ว ดังนั้นหนูจึงดันกายนั่งก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเพื่อหาหนังสือมาอ่าน พออ่านได้ ๓ คำเท่านั้นศีรษะก็ปวดขึ้น ดวงตาเองก็เช่นกัน หนูยกเลิกการอ่านก่อนจะนอนดังเดิมเพราะคาดผิดว่าร่างกายตนเองยังฟื้นตัวไม่ดีพอ
“เป็นอย่างไรบ้าง” มีผู้หญิงถามหนู หนูคาดเดาจากน้ำเสียงที่นุ่มแต่แฝงไปด้วยความอันตราย หนูลืมตาขึ้นเพื่อมองเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร ก็พบว่าเป็นบุคคลที่หนูคาดไม่ถึงว่าจะมาเยือน
“…ท่าน พินทุ…”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” ท่านกล่าวพลางยิ้มก่อนจะนั่งท่าเทพธิดาข้างขวา หนูเงยหน้ามองให้ชัดก่อนจะถาม
“ท่านเดินทางตั้งแต่เมื่อใดกันคะ?”
“มิกี่วันเอง ติดธุระเลยมาที่นี่ช้าน่ะ”
ขณะที่ท่านตอบและอธิบายไปด้วยหนูก็เผลอมองท่านด้วยความชื่นชมและหลงใหล ใบหน้าขาวสะอาด ผมยาวเกล้าสูงขึ้นเกินจริงนั้นเป็นสีดำยาวสลวยถึงสะโพก ปักด้วยปิ่นใบไม้ไหวสีเงินตามด้วยดอกพญาเสือโคร่ง สร้อยสีเงินที่เป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวคว่ำนั้นสลักลวดลายสวยงาม เสื้อคอสูงแขนยาวสีน้ำเงินทับด้วยสไบสีฟ้า ราวกับพระจันทร์ที่ฉายยามเย็น ผ้าซิ่นสีน้ำตาลเหมือนพื้นดินที่อยู่ใต้ฟ้า
ลักษณะการแต่งกายเสมือนกับว่าเป็นหยินหยางอย่างไรชอบกล เป็นความงามที่แบ่งสูงต่ำ…
“เหม่ออันใดอยู่ศรี?” ท่านพินทุโน้มหน้าลงมาพลางลูบหน้าของหนูไปด้วย จนรู้สึกถึงความร้อนใบหน้าตนที่อบอ้าวเพราะท่านแนบมือมา
“ก็… เอ่อ ตอบตามตรงแบบไม่ได้ยอนะคะ …ท่านสวยมากเลยค่ะ” หนูมองไปทางอื่นเพราะอายกับคำตอบตนเอง ท่านหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“แหม ขอบคุณนะสำหรับคำชม นานแล้วที่มิมีใครชมข้าเช่นนี้” หนูเหลือบๆ มองท่าน ท่านพินทุหัวเราะให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งบาน
“ลองมาทำพิธีนี้ไหม?” จู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนเรื่อง หนูกลับไปมองท่านดังเดิม พบว่าแววตาของท่านฉายแววสนุกตื่นเต้นอยู่ ทำให้หนูเผลอกลั้นหายใจครู่หนึ่ง
“พิธีอะไรเหรอคะ?”
“ตัวตายตัวแทน” คำตอบนั้นทำให้หนูจ้องหน้าท่านโดยลืมว่าเสียมารยาท …ตัวตายตัวแทนเนี่ยนะ
“…”
“รู้จักตุ๊กตาเสียกบาล[1]ไหม พิธีที่ใส่เล็บหรือเส้นผมของเจ้าของที่มีเคราะห์ไปพร้อมกับตุ๊กตาเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนเพื่อหลอกผีน่ะ”
“เอ่อ… หนูพอจะทราบค่ะ แต่ขอไม่ทำนะคะ”
“งั้นข้าทำเองก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็น ‘ไรค่ะ” หนูพยายามปฏิเสธ ถ้าคาดเดาไม่ผิดท่านพินทุคงคิดว่ามีผีเจ้ากรรมนายเวรตามหนูจนหนูเป็นไข้เลยคิดจะพิธีตัวตายตัวแทน
…แต่ไม่เอาหรอก ถึงจะเคยใช้ไสยศาสตร์มาก่อนแต่มาทำกับตัวเองมันก็แปลกๆ นะ
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เมื่อหนูปฏิเสธอีกครั้งท่านก็ยอม หนูหลับตา คราวนี้ขอให้ได้นอนจริงๆ เถอะ
“?”
จู่ๆ ท่านพินทุก็นอนข้างหนูโดยที่ใช้หมอนอีกใบทรงสี่เหลี่ยมมาหนุน หนูหันไปมองท่านด้วยความคาดไม่ถึง นายิกาเช่นท่านลดตัวมานอนแบบนี้ช่างน่าแปลกใจจริงๆ ท่านพินทุยิ้มพลางกวักมือเหมือนเป็นเชิงว่าให้หนูเข้าไปใกล้ๆ ท่าน หนูจึงเขยิบไปหา พอถึงกายท่านก็เอื้อมแขนมากอดหนู ทว่าหนูไม่ได้ออกห่างจากท่าน ร่างกายกลับยิ่งเข้าไปซุกหาความอบอุ่นอีกต่างหาก
ในขณะที่ตาเกือบจะปิดลงนั้นเองก็มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น หนูไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่ง
ทว่าไม่ใช่ เมื่อผู้ที่เข้ามาก็คือ
“ท่านพินทุ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนูจะดีกว่าค่ะ” ฟังเสียงก็ทราบว่าเป็นพี่อสุรา หนูรีบตื่นขึ้นจนร่างกายเผลอจะลุกตามไปด้วยทว่าท่านพินทุก็กอดหนูไว้แน่น ท่านดึงหนูเข้าไปกอดมากกว่าเดิมจนหนูเกือบหายใจไม่ออก
“แหม สีหน้าเจ้าดูล้ามากเลยนะ ไปพักผ่อนเสียดีกว่า ข้าจะดูแลน้องสาวเจ้าเอง”
“ท่านพินทุ ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะสำหรับความช่วยเหลือ” หนูมองพี่อสุราที่ยังคงมีสีหน้าเคลียดแฝงไปด้วยความหึงหวง… เอ๊ะ หวงงั้นเหรอ หนูจับน้ำเสียงได้ว่าท่านไม่พอใจมาก
“กรุณากลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ”
“งั้นก็ได้” ท่านพินทุคลายอ้อมกอดแล้วลุกขึ้น ความอบอุ่นหายไปจนหนูเผลอจะเข้าไปกอดท่านแต่พี่อสุราได้เข้ามาดึงหนูอย่างรวดเร็วแล้วกอดแน่นยิ่งกว่าท่านพินทุ
ท่านพินทุมองหนูกับพี่อสุราพลางยิ้ม แววตาฉายความสนุก หนูฉงนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรได้แต่มองท่านออกจากห้อง
“พี่…”
“ถ้าเกิดคราวหน้าปล่อยให้คนแปลกหน้ามากอดอีกพี่ตีจริงด้วย!” พี่อสุราดุจนหนูไม่กล้าเอ่ยอะไร หนูเขยิบร่างกายหันไปกอดท่านตรงๆ แล้วซุกหน้าหาความอบอุ่นอีกครั้งพลางอ้อนไปด้วย
“หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ พี่อสุรา อย่าตีหนูเลยนะคะ” ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีพี่จะขู่ว่าจะตีแต่ก็ไม่ทำจริงสักครั้ง และหนูก็มักจะเอ่ยแบบนี้ แม้จะรู้ว่าท่านไม่ทำแต่ที่เอ่ยไปก็เพราะอยากให้พี่รู้สึกเอ็นดูหนูเพื่อนที่จะได้หายโกรธ
“เฮ้อ…” ได้ผลด้วย หนูได้ใจจูบแก้มท่านไปหนึ่งทีซึ่งท่านก็ทำกลับก่อนจะรู้สึกถึงความชื้นบริเวณใบหู พี่อสุราขบหูของหนูนี่เอง
หลังจากนั้นท่านก็ดึงหนุลงไปนอนดังเดิมก่อนจะหลับ …การได้นอนในอ้อมกอดใครสักคนมันทำให้มีความสุขมากเลยล่ะ
อยากอยู่แบบนี้… ไปนานๆ จัง…
…นี่คือความฝันสินะ
หนูมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ทุกคนล้วนแต่งกายแบบสมัยก่อน ใบหน้าสกปรกเพราะทำงาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เห็นหนู เพราะขนาดหนูยืนขวางก็ไม่มีใครมองแบบเจาะจง
ก็ความฝันนี่นะ ผู้ฝันก็คือผู้ชมนั่นแหละ
หนูเดินไปเรื่อยๆ พบว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทำงานไปด้วยคุยกับลูกของตนไปด้วย มีเด็กชายและเด็กหญิง …ไม่แน่ใจว่าจำผิดหรือเปล่า หน้าเด็กหญิงเหมือนกับเด็กหญิงในความฝันเมื่อตอนนั้นเลย ส่วนเด็กชายและพ่อแม่ของเขารู้สึกคุ้นๆ หน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าคล้ายใคร
หนูเลิกคิดก่อนจะเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะอย่างไรเสียในความฝันผู้แสดงก็ไม่ได้สนใจผู้ชมอยู่แล้วนี่ (เป็นการเปรียบเปรยนะ)
หนูไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา แต่ดูจากกริยาแล้วพวกเขาคงมีความสุขมาก หนูเผลอยิ้มออกมาด้วยความยินดี อยากให้พวกเขาเป็นแบบนี้ไปตลอด ทว่าดูเหมือนความสุขต้องหยุดเท่านี้เมื่อมีใครบางคนตะโกนบางอย่าง หนูไม่ได้ยินแต่ดูจากสีหน้าคงเป็นเรื่องร้าย
มีทหารเข้ามา ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นชาวพม่า พวกเขาฆ่าผู้คนจนแทบไม่เหลือ เปลวเพลิงลุกโชน ผู้คนที่รอดต่างหนีไม่คิดชีวิตโดยที่ไม่ลืมคนในครอบครัวตนเองด้วย
…แน่นอนว่าครอบครัวที่หนูดูอยู่ก็เป็นเช่นกัน ฝ่ายชายพยายามที่จะให้ฝ่ายหญิงพาลูกหนีไป แต่เธอไม่ยอมยังคงรั้นที่จะอยู่กับเขา ฝ่ายชายคงจะหมดความอดทนเลยแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดแล้วผลักเธอออกไปแล้วหยิบมีดขึ้นมาเพื่อที่จะฆ่าทหารพม่า ฝ่ายหญิงหมดทางเลือกจึงพาลูกของตนวิ่งหนีไป
ในขณะที่วิ่งนั้นเธอก็หันไปมองผู้เป็นสามีด้วยน้ำตาที่นองหน้า ดวงตาสีขาวดำเริ่มเป็สีแดงระเรื่อจนเห็นเส้นเลือดบางๆ
…และแล้วภาพก็หายไป เหลือไว้เพียงความมืดมิดที่ยากจะหยั่งถึง
หนูลืมตาตื่นจากนิทรา รู้สึกว่าแก้มชื้นจนกระทั่งมือแผลแตะขอบตาจึงทราบว่าเป็นน้ำตา …ช่างน่าเศร้าจริงๆ แม้หนูจะไม่รู้ว่าทั้งสองและลูกจะได้เจอกันอีกไหมแต่เพียงแค่คิดว่าฝ่ายอาจตายเพราะต่อสู้กับทหารก็เศร้ามากแล้ว
“ฮึก… ฮือ” หนูนี่แย่จริง เป็นเพียงความฝันยังรู้สึกเศร้าใจได้ มันสมจริงมากเลย หนูกลั้นเสียงไม่ให้พี่รู้เพราะกลัวท่านจะเป็นตื่นมาแล้วเห็นอาจทำให้เป็ห่วงหนู แต่น้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด
ดูเหมือนว่าพี่อสุราจะรู้สึกตัวจึงลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าหนูร้องไห้ท่านก็เบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจและเป็นห่วง ท่านรีบลูบศีรษะหนูเพื่อปลอบพลางถาม
“ศรี เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?”
“หนูฝันร้าย…ฮึก มัน… เหมือนจริงมากเลยค่ะ ฮึก ฮือๆ” พี่อสุราเช็ดน้ำตาให้ หนูกอดท่านแน่นมากกว่าเดิมพลางซุกหน้าไปด้วย ท่านไม่เอ่ยอะไรอีกได้เพียงแต่กอดหนูแน่นขึ้น ความอบอุ่นแผ่เข้ามาจนเริ่มหายเศร้า
…นี่ความฝันอะไรกัน
“อืม… อาการดีขึ้นแล้ว กินยานี่เสียหน่อยร่างกายก็ใช้งานได้แล้วล่ะ” ท่านจารุเอ่ย รอบๆ ตัวหนูมีเพื่อนๆ มานั่งดูด้วย จะว่าไป พอกล่าวถึงอาการหนูก็นึกถึงท่านอรัญญิก ป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
“ท่านอรัญญิกอาการเป็นอย่างไรเหรอคะ?”
“อืม… ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วล่ะ แต่ไปประชุมที่ทำการนายิกาอยู่ บัดเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงก็คงจะมา” ท่านตอบเสียงเรียบอย่างที่ชอบท่าน หนูกล่าวขอบคุณก่อนจะรับยามาดื่มอีกสองถ้วย แต่ก่อนจะดิ่มนั้นก็ถามท่านอีกครั้ง
“จะว่าไปอาการของหนูก็หนักแต่ทำไมถึงออกมาเร็วกว่าคะ?” พอนึกดีๆ มันน่าแปลกใจมากเลยนะ เลือดไหลขนาดนั้นทำไมหนูถึงพักฟื้นเพียงหนึ่งคืน ถึงจะเป็นสายเลือดอมตะก็เถอะ แต่แบบนี้มันก็แปลกๆ
“ร่างกายเจ้ามีพลังวิญญาณบางอย่างช่วยไว้เลยฟื้นตัวเร็วมาก แต่ของอรัญญิกมิมีพลังวิญญาณแบบเดียวกับเจ้าเลยใช้เวลามากกว่าน่ะ”
หนูพยักหน้ากับคำตอบนั้นก่อนจะดื่มยาเข้าไปจริงๆ รสขมอมหวานทำให้หนูเบ้หน้าเพราะมันไม่เข้าสุดๆ แต่เพื่อร่างกายและไม่ให้เสียน้ำใจเลยดื่จนหมดก่อนจะรับอีกถ้วยมาดื่ม
ต่อจากนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ…
[1] ตุ๊กตาเสียกบาล หมายถึง ตุ๊กตาที่ใส่กระบะกาบกล้วยพร้อมทั้งเครื่องเช่นผี เพื่อแทนตัวเจ้าของ อาจเรียกได้สองอย่างว่าตุ๊กตาเสียกบาลหรือตุ๊กตาเสียกะบาน ที่เรียกกันว่าตุ๊กตาเสียกบาลนั่นเพราะได้มีการหักคอตุ๊กตาแต่มีบุคคลที่เห็นแตกต่างว่าหากทำให้ตุ๊กตาชำรุดจะทำให้ผีโกรธจึงเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาเสียกะบานแทนโดยที่ไม่ต้องหักคอตุ๊กตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ