ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
46) บทที่ ๔๖: ความรักเริ่มเลือนหาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความรักเริ่มเลือนหาย
ในขณะที่นึกถึงความฝันนั้นจนเหม่อ พงสณะก็เริ่มสอดมือเข้ามาในเสื้อ ศรีสะดุ้งเพราะความรู้สึกวาบหวิว เธอจับข้อมือพงสณะแล้วกล่าว
“ตรงนั้นไม่ต้องก็ได้นะ”
“แต่ฉันอยากเช็ดอะ”
“เกรงใจ”
คำนี้ศรีกล่าวประชดเท่านั้นไม่ได้เกรงใจจริงๆ สีหน้าเหนื่อยหน่ายกับคู่หมั้นที่มีนิสัยหื่นกะล่อนทำให้ศรีอาลัยกับชีวิตตนเอง พงสณะเงยหน้ามองเธอที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับหลังจากที่จ้องแต่จะหาทางลวมลามเธอด้วยวิธีเช็ดตัว
ใบหน้าขาวดุจดอกมะลิของเด็กหญิงนั้นเป็นสีแดงระเรื่อเพราะอุณหภูมิของร่างกาย ดวงตาสีดำดั่งรัตติกาลนั้นเยิ้มราวกับน้ำหวาน พงสณะรู้สึกว่าหน้าตนเองร้อนกว่า ใจเขาเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล หน้าท้องที่เผยแวบๆ ใต้เสื้อที่ถกขึ้นเล็กน้อยนั่นยิ่งทำให้ดูเย้ายวนมากขึ้น
ศรี… ฉันสัญญาว่าถ้าได้เธอมาครองแล้วแต่งงานกันฉันจะให้สินสอดเธอมากกว่าสิบล้านเลย!
พงสณะคิดพลางจ้องเธอไม่วางตาด้วยความรู้สึกที่โลภมากขึ้น ถ้าเพื่อให้ได้เด็กหญิงเกล้ามวยผมมาครอง เขาก็ยินดีจะทำทุกอย่างไม่ว่าต้องแลกอะไรก็ตาม
“เฮ้ยๆ! พอแล้วๆ” ขนมชั้นตบศีรษะพงสณะไปหนึ่งทีกลัวว่าเพื่อนใหม่ตนจะกลายเป็นอาหารตา พงสณะชักสีหน้าก่อนจะเขยิบออกห่างในใจก็บ่นขนมชั้นไปด้วยที่เข้ามาขัดจังหวะการเสพขนมหวาน (?) ศรีล้มตัวนอนแล้วข่มตาหลับ แต่พอหลับตาเท่านั้นแหละความเหนื่อยก็เข้ามาแทรกจนยากที่จะลืมตาตื่น
ว่าวจัดการให้ทุกคนออกไปเล่นข้างนอก แล้วตนเองก็ตามไปก่อนจะปิดประตูลงเบาๆ สักพักก็มีเด็กชายสองคนหน้าตาเหมือนกันเข้ามา เขาก็คือคนที่ไปเยี่ยมศรีเมื่อครั้นตอนเธออยู่โรงพยาบาลนั่นเอง
“เห… เหมันต์… คิมหันต์…” ศรีที่ลืมตาตื่นเพราะรู้สึกถึงแรงสั่นของพื้นเนื่องจากเด็กชายสองคนเดินก็ถามขึ้นอย่างยากลำบาก เด็กชายผมสีดำปลายสีทองแดงนาม คิมหันต์ทำตาดุใส่เป็นเชิงว่าอย่าพูดอะไรมาก ศรีจึงผิดปากเงียบแล้วรอฟังว่าเขาจะเอ่ยอะไร
“อย่าพูดอะไรล่ะ อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ”
เดิมทีเธอไม่สบายก็ขยับแทบไม่ได้อยู่แล้ว เลยฉงนที่เขากล่าวแบบนี้ เหมันต์นั่งรออย่างสงบอยู่ด้านหลัง ขณะนั้นเองคิมหันต์ก็หยอดของเหลวสีแดงขุ่นลงไปที่ลูกตาข้างซ้ายของศรี เธอเผลอเบิกตากว้างเพราะแตกตื่นทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เขาทำได้สะดวกขึ้น
“มัน…” คืออะไร
“บอกแล้ว ‘ไงว่าอย่าพูด” ในน้ำเสียงมีความหงุดหงิดแฝงอยู่ ศรีกระวนกระวายกลัวว่าเด็กชายสองคนนี้จะทำร้ายเธอ แต่ความทรงจำในอดีตที่พวกเขาคอยช่วยเหลือก็ผุดขึ้นมาเลยได้แต่นอนนิ่งๆ
“พวกฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก วางใจได้” เหมันต์เอ่ยขึ้น ดวงตาของเขาไม่มีแววสังหารแม้แต่น้อย นั่นจึงทำให้เธอวางใจได้ระดับหนึ่ง
“…”
“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย… เธออยากได้ดวงตาไหม ---คราวนี้เธอพูดนะ” คิมหันต์ถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง ศรีมองทั้งสองคนสลับกันก่อนจะเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ขอบคุณจริงๆ นะ แต่ฉัน…” ยังไม่ทันเอ่ยจบคิมหันต์ก็ปิดปากเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“ถ้าจะตอบแบบนี้ทีหลังอย่าตอบ” ศรีจ้องคิมหันต์พลางบ่นในใจว่า เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะตอบอะไรก็ยังจะถามอีก ถ้าไม่ตอบจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้
“อ่ะ” ภาพที่มองเห็นนั้นบิดเบือนจนม้วนตัวราวกับน้ำวน ดวงตามองอะไรไม่ชัด ในอกวาบขึ้นอย่างน่าตกใจ ศรียื่นมือจะขอความช่วยเหลือ …แต่สายไป สติของเธอดับไปแล้ว คิมหันต์กุมมือข้างที่ยื่นมาแล้วบีบเบาๆ
“ดื้อจริง ดวงตาที่จะให้มิใช่ของข้านี่” คิมหันต์บ่น เหมันต์ยักไหล่ก่อนจะเอ่ย
“ก็เจ้ามิอธิบายให้นายท่านฟังแล้วท่านจะรู้ฤ?”
“เฮ้อ!” คิมหันต์นึกเสียใจที่ตนไม่ได้อธิบายให้ศรีฟัง เขาหยิบกล่องเล็กๆ กว่าฝ่ามือเล็กน้อยทำจากไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม เหมันต์จ้องกล่องนั้น ดวงตาของเขาฉายความฉงน คิมหันต์เองก็เช่นกันเขารู้สึกหนักใจเมื่อนึกถึงคำพูดของบุคคลที่ให้กล่องนี้แก่เขา
‘นำไปให้ลูกของข้าเสีย’
ให้กล่องไม่เท่าไหร่แต่สิ่งที่อยู่ในกล่องนั่นแหละที่ทำให้เขาหนักใจเข้าไปอีก
คิมหันต์เปิดกล่อง มีห่อผ้าเล็กๆ สีขาวอยู่ภายใน เหมันต์เขยิบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ เขาจ้องมันไม่วางตาพลางเอ่ยไปด้วย
“ดวงตาของพ่อแท้ๆ ศรีสินะ”
“ใช่แล้ว ท่านพี่คิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับนายท่านอย่างไรล่ะ มีครั้งหนึ่งที่นายท่านเคยสงสัยเกี่ยวกับพ่อแม่ตน หากบอกไปว่าลูกตาเป็นของพ่อตน นายท่านต้องร้อนรนถามเราแน่”
“อืม… ในเมื่อนายท่านไม่ยอมรับดวงตา เราก็ปกปิดเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรเสียความจริงก็ต้องเปิดเผย” เหมันต์กล่าว คิมหันต์ไม่เอ่ยอะไร ได้เพียงแต่กุมกล่องไว้เบาๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างที่เป็นสีฟ้ากับขาวสดใส ช่างขัดกับอารมณ์ของเด็กสามคนนัก
เด็กชายฝาแฝดออกจากเรือนไป เขาเห็นร่างเด็กชายเป็นสีทึบเพราะแสงทาบและเพราะเงาร่มไม้ทำให้มองไม่ค่อยเห็นชัดนัก คิมหันต์ถอนหายใจก่อนจะยื่นกล่องให้
“ลูกของท่านมิยอมรับ”
“…” เด็กชายคนนั้นค่อยๆ หันหน้ามาหาเขาสองคน ทั้งสองมีท่าทีอึดอัดกับความสงบที่แฝงไปด้วยความกดดัน แววตาโหยหาและอาลัยนั้นทำให้ไม่กล้าเอ่ยอะไร เด็กชายใต้ร่มเงาไม้รับกล่องมาก่อนจะถือไว้นิ่งๆ ดวงตาของเขามองมันด้วยความคิดถึง ไม่ใช่ดวงตาแต่เป็นลูกตน
“เจ้า… กลับไปหาลูกเจ้าเสียเถิด ยิ่งเจ้าหลบหน้านายท่านเท่าไหร่ นายท่านจะยิ่งทุกระทมและเกลียดเจ้ามากขึ้นนะ” คิมหันต์เอ่ย เด็กชายคนนั้นยังคงเงียบ
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ ไปกันเถิด คิมหันต์” เหมันต์กล่าว เพราะไม่อยากไปจี้ปมในใจของอีกฝ่ายต่อจึงพาคิมหันต์ไปด้วย
…ปล่อยให้ผู้เป็นบิดาของนายตนหลั่งน้ำตาเงียบๆ และเก็บความคับแค้นที่มีต่อผู้เป็นภรรยาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ น้ำตาสะท้อนแสงอาทิตย์ เปล่งประกายท่ามกลางเงาร่มไม้
มณฑานั่งแกะสลักผลไม้เป็นลวดลายด้วยมีดเล็กๆ ที่ศาลาริมสระบัว น้ำในบ่อสะท้อนภาพของท้องฟ้าไม่ชัดเจนนัก ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ยามเช้าทำให้ความฝันในอดีตเลือนลาง
กึก!
นางเหม่อไป สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเผลอทำมีดกรีดนิ้ว เลือดสดๆ ซึมออกมา มณฑาจ้องเลือดอย่างกระหายและเผลอไล้เลียนิ้ว
“ท่านมณฑา”
“!” หญิงสาวผมลอนสีทองออกส้มสะดุ้ง กาสะลองเดินเข้าไปใกล้ๆ มณฑา เมื่อเห็นบาดแผลนั้นก็ตกใจนางรีบเข้ามาดูอาการแล้วถามร้อนรน
“ท่านมณฑา โดนมีดแกะสลักใช่ไหมเจ้าคะ รีบไปทำแผลบัดเดียวนี้เถิดเจ้าค่ะ” กาสะลองพยุงร่างมณฑาขึ้น แต่อีกฝ่ายไม่ยอม มณฑาดันร่างให้ห่างก่อนจะนั่งดังเดิม
“ท่านมณฑา…”
“ออกไป…” นางเอ่ยเสียงแผ่ว กาสะลองทำท่าจะเข้าไปอีกแต่ก็ถูกมณฑาใช้พัดตบเสียก่อน
“ฟังมิรู้เรื่องฤๅเยี่ยงไร! ฉันบอกให้ออกไป!!” มณฑาตวาดจนกาสะลองหวาด หญิงสาวห่มสไบนั่งกับเก้าอี้ไม้ก่อนจะโอบกอดร่างบางในชุดขาหมูแฮมสมัยรัชกาลที่ ๕แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“…” มณฑาเผลอทำมีดกับผลไม้หล่นเพราะคาดไม่ถึงว่ากาสะลองจะขัดคำสั่งตนและมากอดเช่นนี้ กาสะลองยิ้มบางๆ ก่อนซุกเข้าไปที่ซอกคอขาวผ่องที่มีเส้นผมสีทองออกส้มชายคอ
“ท่านรักข้าฤๅไม่เจ้าคะ?” นางกระซิบ มณฑาพยายามดันร่างให้ออก ทว่าแรงของกาสะลองมีมากกว่านางในตอนนี้นัก
“ฉัน… รักเธอ” มณฑาตอบแทบไม่มีเสียง กาสะลองยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเอ่ย
“ข้าเองก็รักท่าน… รักมากๆ เลยเจ้าค่ะ”
กาสะลองลูบไล้แขนของมณฑาเบาๆ ที่บดบังด้วยแขนเสื้อลูกไม้ มณฑาหันไปมองกาสะลองตรงๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป กาสะลองยิ้มมุมปากพลางดันร่างมณฑาให้พิงกับพนักเก้าอี้ศาลาก่อนจะค่อยๆ จูบริมฝีปากมณฑา หญิงสาวผมสีทองออกส้มเบิกตาตะลึง
ทว่าเมื่อถูกรสสัมผัสจากริมฝีปากอีกฝ่ายดูดดื่มก็หมดเรี่ยวแรงที่จะดันร่างให้ออกห่าง นางกลับยิ่งชอบใจเสียด้วยซ้ำ มณฑาโอบคอของกาสะลองก่อนจะกดท้ายทอยให้จูบลึกเข้าไปอีก
“อ๊ะ!” มณฑาสะดุ้งเมื่อกาสะลองพยายามจะถกเสื้อลูกไม้ที่ทับด้วยผ้าแพรผูกเป็นโบว์ขึ้น หน้าท้องขาวนวลน่าสัมผัสเผยสู่ตากาสะลอง รองนายิกายิ้มมุมปากกับใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของนายิกาตนก่อนจะจูบหน้าท้องแล้วไล้เลียเบาๆ
“กาสะลอง… ตรงนี้คือ… ศาลา… มิ… มิได้นะ… อ๊ะ!” ความรู้สึกวาบหวิวทำให้มณฑาแทบจะพูดไม่เป็นคำ กาสะลองยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจก่อนจะเอ่ย
“ถ้ามิใช่ตรงนี้… ก็ต่อได้สินะเจ้าคะ”
“กาสะลอง… นี่เธอ…” มณฑาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัวและต้องการในเวลาเดียวกัน กาสะลองแสยะยิ้มก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายขึ้นแล้วจูบแก้ม
“มอบความบริสุทธิ์ให้ข้าเถิด ท่านมณฑา”
นนทรีนั่งบนรถเทียมม้าเงียบๆ โดยที่บ่าวได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าทำอะไร นนทรีกำตุ๊กตาดินเผารูปตัวคนไว้ในมือก่อนจะใช้มีดทิ่มลงไป
จึก! จึก! จึก!
“กาสะลอง …เจ้ากล้าแย่งความรักเพียงหนึ่งเดียวของข้าไปฤ? มันจะมากไปแล้ว!!”
ความกดดันแผ่ไปทั่ว อายสังหารเย็นเยียบแทบทำให้บ่าวที่รออยู่ขนลุก ดวงตาสีม่วงนั้นยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่ ความอาฆาตฉายชัด นนทรีกัดริมฝีปากก่อนจะทิ้งตุ๊กตาลงแล้วทุบมันด้วยเท้า
ข้าเกลียดเจ้า!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ