ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) บทที่ ๓๙: ความว่างเปล่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๙
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความว่างเปล่า
“…อยู่กับข้าเถิด” คำขอร้องแทนคำตอบนั้นทำให้ศรีจุกในอก เธอเบือนหน้าหนีแล้วเอ่ยเสียงที่ลดเบาลงมา
“ฉัน…”
มณฑานอนหลับตาอยู่นิ่งๆ นางตื่นแล้วเพียงแต่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับซอ นางได้ยินเสียงจะเข้บรรเลงจนเกิดเสียงไพเราะจับใจ
“ซอ…” ในที่สุดนางก็เอ่ย ซอก้มมองมณฑาที่ลืมตาปรือ นางหยุดเล่นจะเข้แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะมณฑาอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้จิตใจของมณฑาแตกตื่นอย่างสุขใจ
“มิโกรธฉันฤ?”
“จะโกรธทำไม่เล่า? ข้าสิต้องถามเจ้าว่าเจ้ามิโกธข้าฤ?” ซอถามพร้อมกับที่จะเข้สลายไปเป็นละอองเพราะนางได้ส่งจะเข้กลับหลังจากที่อัญเชิญมา ซอเขยิบเข้าไปหาก่อนจะยกศีรษะมณฑามานอนบนตักแล้วลูบต่อเบาๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับบุตรที่พลัดพรากจากกันหลายปี
“ข้าทิ้งเจ้าไป แถมหนีหน้าอีก ข้าสมควรจะโดนลงโทษแล้วล่ะ อย่ากังวลไปเลย”
“…” มณฑาเงียบ ซอไม่เอ่ยอะไรเลยลูบศีรษะมณฑาต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดหญิงสาวผมสีทองออกส้มก็หลับไป
ซอยิ้มแล้วจูบหน้าผากเธอด้วยรักแบบแม่กับลูก
หญิงสาวผมสีดำสนิทดุจปีกกา ดวงตาสีดำซีดนั้นดูโรยรา ริมฝีปากแห้งนั้นดูหยาบกระด้าง นางแต่งกายด้วยผ้าคาดอกและผ้าถุงสีแก่ ผ้าคลุมผืนใหญ่สีดำที่คลุมไหล่ไว้ดูลึกลับ รูปลักษณ์นั้นราวกับศพ นางนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าม่านสีเทาล้อมเตียงไว้
หญิงสาวมองถ้วยใส่ยาน้ำสีหม่นที่เหลือเพียงก้น
ถ้วยที่เท่าไหร่แล้วนะที่ข้าดื่มยา
นางหยิบมาดื่มก่อนจะล้มตัวนอนน่าอนาถ
ทำไมกัน… พวกนางถึงทิ้งข้าไป
“อึก”
เสียงจากหญิงสาวผมยาวถึงเอวเรียบตรงมากสีนวลเหลือบสีหงสบาท ประดับสร้อยคาดหน้าปากที่มีชิ้นทองกนกด้านข้าง แต่งกายด้วยผ้าคาดหน้าอกที่ผูกข้างหลังเป็นโบว์กระต่ายใหญ่ๆ ผ้าถุงเกลียวตัวหันพลิ้วทับกางเกงสีดำข้างใน จีบผ้าถุงอยู่ด้านข้าง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ฉายความกังวล
ภาพหญิงสาวคนนั้นทำให้นางเจ็บในอก มือบางแนบไว้ หัวใจที่เต้นตุบๆ ดังจนได้ยิน ไม่รู้ว่าทำไม แต่พอมาอยู่ที่เงียบๆ แล้วเสียงหัวใจทวีความดังเข้าไปอีก
มืออีกข้างถือง้าวไว้ มันสั่นเพราะอาการแตกตื่นที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของนาง
คชินทร์เงยหน้ามองท้องฟ้า เหลือบไปเห็นนง้าวที่ตนถืออยู่ มันเปล่งแสงเป็นเส้นๆ ดูงดงาม ทว่าก็โหดร้ายเมื่อนึกถึงคุณสมบัติของมัน
ป่าสุสานแห่งนี้ช่างเงียบนัก คชินทร์จ้องไปที่ท้องฟ้าสีหม่น น่าแปลก… ทั้งๆ ที่ยังเป็นยามเช้า ทว่าท้องฟ้ากลับหม่นหมองราวกับฝนจะตก
ฝนจะตก?
นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะละความสนใจจากท้องฟ้าแล้วเดินออกจากป่าที่เต็มไปด้วยซากศพและหนอนที่คลานขยุกขยิก กลิ่นน้ำหนองและเลือดชวนให้คลื่นไส้อาเจียนนัก
นางมาที่ทำการของนายิกา รูปปั้นพญานาคชูลำตัวขึ้นอย่างสง่า การแกะสลักและอัญมณีที่ประดับเสริมให้ดูงดงามมากขึ้น ดอกราชพฤกษ์ไม่ค่อยมีออกให้เห็นนัก เพราะไม่ใช่ฤดูของมัน เสียงนกร้องแว่วมาแล้วกลืนหายไปตามสายลมที่กระโชก ตึกที่เป็นที่ทำการนายิกานั้นสร้างตามแบบเรือนไทยภาคกลาง คชินทร์เดินเข้าไปข้างในที่ทำการ
นางสวนกับนายิกาคนอื่นๆ ที่มาจากจังหวัดในภาคกลางและจังหวัดในภาคอื่น บางคนก็ยกมือไหว้สวัสดีซึ่งนางก็ตอบกลับเช่นเดียวกันอย่างเป็นมิตร
หญิงสาวใบหน้าอ่อนเยาว์ดูไม่เหมือนผู้ใหญ่ สวมชุดท่อนล่างแบบวิกตอเรียส่วนท่อนบนสวมแบบชุดจิตรลดา มีผ้าไหมลายไทยคล้องอยู่บนแขน ผมยาวเรียบสีดำคาดด้วยที่คาดผมมีชิ้นกนกสีเงินประดับด้วยปิ่นปักผมข้างละสามอัน รวมเป็น ๖ อัน ดวงตาสีหงดินฉายความเศร้าตลอดเวลามองไปยังคชินทร์ที่ยืนมองนางอยู่เช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” หญิงสาวนางนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ทว่านุ่มนวลอย่างน่าแปลกใจ คชิทร์ไม่เอ่ยแต่ยิ้มให้เป็นเชิงตอบ หญิงสาวรู้ว่านางไม่ชอบสนทนาทางวาจาจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ย
“ศพที่ท่านได้สังหารไว้อยู่ในห้องทางขวาสุดระเบียง เผอิญท่านโคมรัตติกาลต้องการจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ ทางเรามีกระดาษให้เขียนแล้วนะเจ้าคะ”
กล่าวจบทั้งสองก็เดินต่อ ระเบียงที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยผนังทำให้แสงแดดหม่นๆ ฉายบางๆ แล้วก็ค่อยๆ มืดเมื่อฝนเริ่มโปรยปราย เมื่อสุดทางเดินตรงหน้าแล้วหญิงสาวนางนั้นจึงเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะเปิด
ร่างหญิงสาวผมหยักศกสีบัวโรยเหลือบสีแดงเลือดหมู สวมชุดจิตรลดาสีดำทับด้วยสไบสีขาวกับโจงกระเบนสีแก่ สวมสร้อยสีดำ ดวงตาสีลูกหว้านั้นเรียบเฉย คชินทร์ยกมือไหว้ซึ่งอีกฝ่ายก็ไหว้เช่นกัน ข้างหลังหญิงสาวผมหยักศกมีโลงศพทำจากแก้วจึงเห็นศพภายใน คชินทร์มองไปรอบๆ ก่อนจะเขียนกระดาษถาม
“เพราะเหตุใดจึงเรียกข้ามา โคมรัตติกาล”
“ศพที่เจ้าสังหารมีพิษบางอย่าง เลยจะให้เจ้ามาช่วยตรวจสอบ” กล่าวจบโคมรัตติกาลก็เดินไปที่ศพหนึ่ง เป็นศพกินรีที่ร่างเต็มไปด้วยเลือด เลือดสีเขียวนั้นทำให้คชินทร์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“…”
“เป็นพิษที่ร้ายมากเลยล่ะ…” โคมรัตติกาลพึมพำ คชินทร์พยักหน้าก่อนจะหยิบสมุดที่ไม่รู้ว่าเก็บไว้ตรงไหนมาเขียน
ฤๅว่าจะเป็นเจ้ากันนะ…
“เรือนของศรีมันมีบางอย่าง” ขนมชั้นเอ่ยในขณะที่นั่งทานไข่เจียวกับข้าวสวยไปด้วย เฉาก๊วยเงยหน้าขึ้นแก่อนจะถาม
“มีอะไรเหรอ?”
“จำวันนั้นได้ฤๅมิได้? ที่ข้าไปลอบดูเรือนของศรี วิญญาณจ้องจะเล่นงานข้าจนเกือบตาย …จะว่าไป ข้ายังมิเคลียร์เรื่องที่เจ้าปล่อยข้าสู้กับวิญญาณเลยนะ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เฉาก๊วยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเอ่ย
“เอ่อ ตัวเอง ก็ตอนนั้นงานเค้ามันเยอะอะ ถ้าทำไม่เสร็จเค้าโดนครูตีนะ”
“มิต้องมาแก้ตัว! มานี่!” ขนมชั้นที่ลืมไปว่าตนเองยังทานอาหารอยู่เพราะความโกรธได้เดินไปกระชากคอเสื้อของเฉาก๊วยออกมาจากร้าน เจ้าของร้านที่เห็นว่าลูกค้าตนยังไม่จ่ายเงินก็โวยวาย …ทว่าเจ้าของร้านไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่เป็นเด็กประถมที่อายุน้อยกว่าทั้งสอง
“พี่ขนมชั้น! พี่เฉาก๊วย ยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะครับ!!” เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ตะโกนพร้อมกับเดินมานอกร้าน เฉาก๊วยที่ถูกลากไปก็โบกมือแล้วเอ่ย
“เดี๋ยวจ่ายทีหลังนะน้อง!”
“โว้ย!” เด็กชายคนนั้นสบถออกมาอย่างโมโห พร้อมๆ กับที่เด็กชายทั้งสองเดินไปไกลจนตามไปไม่ทันแล้ว…
หายไปนานแล้วนะ…
เด็กสาวผมยาวเรียบหยักศกเล็กน้อยเป็นลอนๆ สีดำสนิทเกล้าเป็นผมหางม้าด้วยเส้นผมปักปิ่นปักผมสองอันในข้างเดียวเป็นอัญมณีและรูปกนก ร่างในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเลยเข่าเดินอย่างเหม่อเมื่อนึกถึงน้องสาวตนที่พลัดหลงหายไปในกรุงเทพฯ ทางตำรวจและผู้คนก็ช่วยกันหา แต่ก็ไม่พบแม้แต่คนที่หน้าตาคล้ายกัน
‘คิดถึงศรีฤ?’ เสียงแหบแห้งถามจากด้านหลัง แต่แทนที่เด็กสาวจะตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนถามกลับตอบเสียงเรียบ
“สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าน้อง” เด็กสาวนามอสุราเดินต่อไปเหมือนคนไม่มีจิตใจ เจ้าของเสียงที่ถามเธอซึ่งเป็นควันลอยตามแล้วค่อยๆ จางหายไป
ใครลักพาตัวศรีไป!!
หญิงสาวผมเรียบตรงปอยผมด้านหน้าเป็นลอนๆ สีดำเงางามยาวเกือบถึงสะโพก สวมเสื้อคอเต่าตัวสั้นโชว์ท้องไม่มีแขนทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังไม่มีแขนตัวสั้น ท่องล่างนุ่งโจงกระเบนที่อีกข้างหนึ่งเป็นกางเกงธรรมดา ทับด้วยผ้ายาวตั้งเลยเอวที่ผ่าด้านหลัง เข็มขัดสั้นรูปกนกและเข็มขัดยาวที่ใส่ลูกกระสุนคาดทับไว้ สวมรองเท้าบูทยาว มือข้างหนึ่งที่แขนติดกับปืนทรงสี่เหลี่ยมวางไว้ข้างแก้วน้ำเคาะโต๊ะไม้เบาๆ มืออีกข้างก็ใช้หลอดคนน้ำเล่นๆ เหมือนจะฆ่าเวลา
ภูพิงค์มาดื่มกาแฟที่ร้านเล็กๆ ซึ่งโครงสร้างทำจากไม้ บรรยากาศดูอบอุ่นเพราะไม่ดูทันสมัยและร้านทำจากไม้เลยทำให้นางผ่อนคลายได้เล็กน้อย
เมื่อไหร่โรงยิมจะเปิดนะ
นั่นคือประเด็นที่นางมาแก้เบื่อที่นี่ ปรกติภูพิงค์จะไปสอนนักเรียนจากโรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคมเรื่องการใช้อาวุธโจมตีระยะไกล นางถนัดการใช้ปืนเลยสอนเรื่องนี้
จะว่าไปช่วงนี้ก็มีคดีเรื่องผู้ลักดาบนี่ ไปสืบหน่อยดีไหมนะ? มิใช่สิ ต้องเรียกว่ามีด
ความเบื่อทำให้นางคิดจะไปเสี่ยงอันตรายเล่น นางไม่เคยกลัวเรื่องนี้ นางอยู่มาเป็นร้อยๆ ปีการที่นางจะพ่ายแพ้เป็นเรื่องยากนัก
ปืนนี้ก็มิค่อยได้ใช้ อยากต่อสู้จังเลย
ดวงตาสีดำมองปืนที่ติดกับแขนซึ่งเชื่อมด้วยแท่งเหล็กที่ติดกับกำไลข้อมือทรงดอกบัว
นางไม่รู้ว่าต่อจากนี้นางจะได้ต่อสู้อย่างสมใจอยาก…
ภูพิงค์หันไปมองท้องฟ้าที่เห็นได้เล็กน้อยเพราะเพดานร้านบัง ฝนตกหนักมาก และนี่ก็คือเหตุผลที่นางยังไม่ไปเสียที ทั้งๆ ที่น้ำเหลือไม่ถึงครึ่ง…
ธันนะนอนอยู่ในเรือนของมณฑา โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาเคลิ้มๆ ไปกับความเย็นและเสียงฝนที่ดังไม่ชัดเพราะปิดหน้าต่างไว้
เขาเข้าสู่นิทรา
เด็กชายพันผ้าพันแผลข้างขวานั่งอยู่ข้างๆ เขา ธันนะไม่รู้ตัวว่าตนอยู่ที่ใด ดวงตาสดำมองเด็กชายคนนั้นที่นั่งเงียบๆ มือประสานกันบนตักอย่างผ่อนคลาย
“นาย…”
“ศรีเป็นอย่างไรบ้าง?” คำถามนั้นทำให้ธันนะเงียบ สักพักเขาก็ตอบ
“เธอสบายดี มีเรื่องบาดเจ็บหนักๆ บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ” เด็กชายคนนั้นพยักหน้า ฝนที่ตกลอดแมกไม้ที่บดบังไม่มิดเกาะตามผิวของเด็กชายทั้งสองแล้วไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลก
จากนั้นความฝันก็หายไปเหลือเพียงความมืดมิดที่เงียบงัน ธันนะหลับสนิท
“หากนายผล่อยให้ศรีต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้ ฉันไม่ไว้ชีวิตแน่”
เด็กชายคนนั้นแท้จริงแล้วใช้อาคมเข้ามาในความฝัน เขายืนก้มมองร่างที่นอนนิ่งอย่างสงบ เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง ฝนสาดกระเซ็นเข้ามาเปื้อนเรื่องเล็กน้อย เสียงดังขึ้น ความเย็นแผ่เข้ามาชวนขนลุก มือซีดขาวยื่นออกมาไปรองฝน
“เรา ศรี และเธอคนนั้นจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกเมื่อไหร่นะ?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ