ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) บทที่ ๓๘: ความแค้นฝังใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๘
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความแค้นฝังใจ
เมื่อจารุทำงานเสร็จแล้วเขาก็ออกมาเดินเล่นรับลมที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยตามมา กลีบดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่วราวกับเริงระบำใต้แสงจันทร์ จารุเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีหม่น
…สังหรณ์ใจไม่ดี
“…มณฑา”
“!”
จารุหันไปมองรอบๆ ว่าเสียงใคร ผู้ที่เอ่ยชื่อของนางยิกาแห่งภาคกลางคือใครกัน แสดงว่าต้องอยู่กับมณฑาแน่ จารุเป็นบุคคลที่หูดีเช่นสัตว์ป่า ได้ยินเสียงจากระยะไกลได้ เขาเงี่ยหูฟังเพื่อจับเสียงให้ชัดเจน จนทราบว่ามาจากเรือนถัดจากเรือนที่เขาอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงฝีเท้า
“…พอใจ ฤๅยัง?” เสียงชัดกว่าเดิมเมื่อเขาเข้าไปใกล้ ดังมาจากชั้นสองของเรือน ไม่มีแสงสว่างภายในห้อง มีแต่ความมืดที่ยากจะหยั่งถึง
“มณฑา เจ้าอยู่กับใคร?”
จารุถามเบาๆ เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในเรือน แล้วระแวงรอบด้านว่าใครจะมาเห็นเข้า เขารู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ดี นอกจากจะเป็นเรือนของผู้อื่นแล้วเจ้าของเรือนยังเป็นผู้หญิง
แต่เพื่อความปลอดภัย เขาต้องทำ
เดินขึ้นตามบันไดจนมาถึงชั้นสอง เขามองไปรอบๆ แล้วมาหยุดที่หน้าห้องสุดทางเดิน มีเสียงสนทนาแว่วมา กระนั้นก็ชัดเจน จารุตัดสินใจเคาะประตูสองสามครั้ง
“มณฑา เจ้าอยู่กับใคร” เขาถามแบบที่ถามกับตนเอง ภายในห้องเงียบ สิ่งที่ตอบกลับมาคือประตูส่งเสียงดังแกร๊ก คาดว่าบุคคลภายในจะล็อก
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ!”
“…”
“ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้!” จารุหมดความอดทน เขาเสียมารยาทโดยการใช้ดาบฟันประตูไม้แกะสลัก ประตูไม้หักกันแตกออก เผยให้เห็นภาพหญิงสาวสองคนนอนอยู่บนเตียง จารุเบิกตาด้วยความตะลึง เขาพึมพำถามมณฑามที่มีเลือดติดอยู่มุมปาก ดวงตาฉายความกระหายเลือดทำให้เขาใจหายวาบ
“ขัดเสียจริง” มณฑาใช้หลังมือปาดริมฝีปากที่มีคราบเลือดแล้วหยิบพัดติดขอบลูกไม้และดอกกุหลาบห้องประดับมาพัดอย่างอารมณ์ดี ช่างขัดกับแววตาที่ฉายความหงุดหงิดนัก จารุกลั้นหายใจ เมื่อเห็นสภาพอันน่าสังเวชของซอที่นอนอย่างคนไร้วิญญาณมีจุดสองจุดและจุดอื่นๆ ที่มีเลือดซึมออกมา
“เจ้าทำอะไรกับซอ?”
“ตอบแทนกับสิ่งที่นางทำอย่างไรเล่า!” มณฑากล่าวกลั้วหัวเราะ จารุเห็นท่าไม่ดีเลยตั้งท่าดาบไว้
“ข้ามิรู้ดอกนะว่าเจ้าทั้งสองเคยมีเรื่องแค้นเคืองอะไร แต่หากนายิกาคนใดคนหนึ่งตายไป ผู้ที่สังหารมิได้รับโทษเพียงตัดหัวแน่!”
“อะไรกัน? ฉันเพียงแค่ทำให้นางเจ็บเล็กน้อยก็เท่านั้น” มณฑากเอ่ยอย่างไม่ยี่หร่ะพลางใช้มือลูบอีกข้างลูบใบหน้าขาวนวลที่เริ่มซีด หญิงสาวสวมชุดสมัย ร. ๕ เลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย
“ก็นานแล้วนะที่ฉันมิได้ชิมรสโลหิตน่ะ”
“หยุดเลยมณฑา! เจ้าอยากกินโลหิตก็ไปรีดจากพวกหมู หมา กา ไก่สิ มิใช่มาทำกับมนุษย์ด้วยกันเอง!” จารุรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้ากลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไร้ความคิด แววตาที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกนั้นทำให้เขาไม่กล้าหายใจ
ฉัวะ!
จู่ๆ แท่งเหล็กก็ยื่นออกมาจากพัดแล้วสะบัดเข้าที่จารุ ชายหนุ่มในร่างเด็กใช้ดาบรับก่อนจะพลั่กประตูที่เปิดทิ้งไว้ให้กว้างแล้วหนีออกมา มณฑาหัวเราะคิกคักราวกับแมวที่ไล่ต้อนหนูจนมุม
แย่แล้ว….
ณ ห้องแห่งหนึ่งในที่ทำการนายิกา มีนายิกาและรองนายิกาจากเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ จังหวัดละสามคนนั่งตรงโต๊ะประชุม วันนี้มีงานน้อยนายิกาคนอื่นเลยไม่มา
“แม้นเรื่องที่ดาบอรัญญิกถูกลักไปจะเป็นเรื่องของชาวกรุงศรีอยุธยา แต่หากสมบัติชิ้นใดของสยามถูกลักไปก็เป็นปัญหาของเราเช่นกัน” หญิงสาวผมยาวเหลือบสีน้ำเงินโพกผ้าแต่งกายแบบชาวไทลื้อนุ่งโจงกระเบนเอ่ยอย่างเคร่งเคลียด พินทุที่นั่งด้านข้างเอ่ยอย่างสบายๆ เหมือนเรื่องที่สนทนาเป็นเรื่องไกลตัว
“เจ้าจะร้อนรนไปทำไมเล่า? ทางตำรวจ ทหารและนายิกาคนอื่นก็ออกตามหาอยู่ ในมิช้าจะต้องเจอแน่”
“ท่านพินทุ โปรดอย่าประมาทเป็นอันขาดเจ้าค่ะ ศัตรูจ้องเล่นงานเรา แถมกองทัพภูตผีใกล้เข้ามาทุกที เท่ากับว่าสยามถูกประกบสองด้านนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของรองนายิกาพินทุไม่ได้ทำให้นางสะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับทำให้นางยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ข้ามั่นใจว่าเราจะจับได้แน่”
“?” รองนายิกาของพินทุหันมามองเหมือนจะถามว่าทำไม พินทุแย้มริมฝีปากไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพนมมือไหว้
“ข้าขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์”
ปัง
พอพินทุออกจากห้อง ภายในก็เงียบเป็นเป่าสาก รองนายิกาของพินทุถอนหายใจก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมา
“มีสาส์นจากผู้ลักดาบมาว่ามันอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยมีเหรีญพิมพ์รูปวัดมาด้วย เมื่อสองวันก่อนนายิกานามคชินทร์ต่อสู้กับสมุนผู้ลักดาบ นางได้นำโลหิตของมันมาด้วย”
“โลหิต?” หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้านุ่งโจงกระเบนทวนคำ
“นี่อย่างไรล่ะ” รองนายิกาของพินทุมองไปทางหญิงสาวเกล้ามวยผมสองข้างสูงใหญ่ๆ มีรัดเกล้ารูปกนก ปล่อยส่วนที่เหลือลงมา ห่มตะเบงมานนุ่งผ้าสั้นถึงเข่าล้อมด้วยผ้าผืนยาวลวดลายสวยงามมีเกราะอยู่ตรงสะโพก แววตาขี้เล่นของนางเป็นประกายเมื่อหยิบขวดใส่เลือดสีเขียวขึ้นมา
“หมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวคนเดิมถาม นายิกาคนอื่นต่างมองมาที่ขวดเลือดอย่างสนอกสนใจ
“ก็อย่างที่เห็นแหละ บัวผ่อง เลือดนี้มีพลังวิญญาณและพิษบางอย่าง แถมพอเอาไปทำให้ร้อนเลือดก็เปลี่ยนเป็นสีดำ น่าแปลกไหมล่ะ?”
“ก็แปลกอยู่ดอกนะ” หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าาเจ้าของนามบัวผ่องเริ่มผ่อนคลาย หญิงสาวเกล้ามวยผมสองข้างยิ้มขึ้นมา
“พอไปทดลองก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นพิษอะไรเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าสามารถทำให้ดินสลายเป็นดินเหนียวที่แน่นมากๆ ยิ่งกว่ากาวเสียอีกเจ้าค่ะ พูดๆ ไปก็ตลกนะเจ้าคะ คิกๆ”
“พอได้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ เจ้าอายุ ๕๐ แล้วนะ” รองนายิกาของพินทุกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย ทำให้หญิงสาวคนนั้นหน้าเศร้า
“…เจ้าค่ะ”
“เอาเป็นว่าข้าขอจบการประชุมเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ”
รองนายิกาของพินทุกกล่าวก่อนจะลุกขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นนายิกาคนอื่นก็ลุกขึ้นมาพนมมือไหว้แล้วแยกย้ายออกจากห้องไป
บรรพตมาอยู่ที่ร้านยิงตุ๊กตา การยิงปืนเป็นการใช้อาวุธที่เธอถนัดที่สุด ยิ่งปืนยาวๆ จะดีมาก เธอใส่ลูกกระสุนหนังแล้วเล็งก่อนจะยิงเข้าที่ตุ๊กตาสีส้ม มันหล่นลงมาราวกับศัตรูที่เสียชีวิต บรรพตยิ้มอย่างภูมิใจพร้อมๆ กับที่เจ้าของร้านหยิบตุ๊กตามาให้ บรรพตรับมาไว้ก่อนจะเดินออกจากร้านแล้วแกว่งเชือกตุ๊กตาไปอย่างสบายใจ
“เฮ้อ เมื่อไหร่โรงยิมจะเปิดเสียทีนะ อยากซ้อมยิงปืนจะแย่อยู่แล้ว” เธอพึมพำเมื่อนึกถึงสถานที่ซ้อมยิงปืนที่เธอมักจะชอบไปประจำ ระหว่างนั้นเธอก็สะดุดตากับร้านขนมเครปซึ่งมีรพิ ญาติของศรียืนซื้ออยู่ กับหญิงสาวผมสั้นสวมเสื้อลายมังคุด
“อืม… งั้นเอา โกโก้ เยลลี่ ช็อกโกแลตนะครับ”
“แบบนั้นเลี่ยนตายเลยสิ เอางั้นก็ได้ ฮ่ะๆๆ” เพ็ญเอ่ยอย่างขบขัน รพิยิ้มกว้างพลางดูดน้ำจากแก้วในมือไปด้วย บรรพตได้กลิ่นหอมของแป้งลอยมาก็รู้สึกหิวจึงตัดสินใจไปซื้อบ้าง
“อ้าว พี่บรรพต มาซื้ออะไรเหรอครับ?” รพิถาม เพ็ญเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้บรรพต เด็กหญิงสวมแว่นกันลมยิ้มให้เพ็ญและรพิแทนคำตอบก่อนจะสั่งโตเกียว เมื่อสั่งเสร็จรพิก็ถาม
“พี่ศรีหายไปไหนเหรอครับ?”
“ศรีน่ะเหรอ… ข้าเองก็มิรู้เหมือนกันนะ แต่ตอนนั้นเห็นแวบๆ อีกฝั่งกำลังเดินกับเฉาก๊วยอยู่น่ะ” รพิถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรพตที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดจะถามไม่ได้
“แล้วถามทำไมเหรอ ฤๅว่ากลัวศรีจะเจออันตราย”
“ครับ เกิดเหตุการณ์แบบนั้นถ้าผมไม่เป็นห่วงแล้วใครล่ะจะเป็นห่วงพี่ศรี” แววตาของรพิจริงจังขึ้นมา บรรพตพยักหน้าแล้วถาม
“จะว่าไปข้าก็อดสงสัยมิได้จริงๆ ทำไมตอนนั้นดวงตาของศรีถึงเป็นสีแดงขึ้นมาล่ะ?” คำถามนั้นทำให้รพินิ่งไปพักหนึ่ง เขาพึมพำออกมา
“พระจันทร์ถูกเมฆบัง…”
“ฮะ? อะไรนะ??” เพ็ญที่ได้ยินเรื่องน่าสนใจก็ฟังทั้งสองคนคุยกันพลางทำเครปกับโตเกียวไปด้วย
“ช่วงที่พี่ศรีอายุประมาณ ๑๒ ปี เนตรจะตื่นๆ ดับๆ ครับ”
“อ่อ” น้ำเสียงแม้จะไม่ค่อยแปลกใจแต่แววตาฉายความสงสัย รพิกลับไปมองเพ็ญทำขนมต่อแล้วดูดน้ำเงียบๆ
เขาเป็นห่วงศรี
“ได้แล้วจ้ะ”
เพ็ญกล่าวพลางยื่นเครปตามด้วยโตเกียวให้เด็กทั้งสอง รพิกับบรรพตยิ้มลาก่อนจะเดินออกจากร้าน ทั้งสองเดินเคียงคู่กันโดยที่ไม่มีใครเอ่ย
ในที่สุดบรรพตก็อดทนกับความเงียบไม่ได้
“ไป… ปาโป่งปะ” บรรพตชวนเมื่อผ่านช่วงที่มีร้านปาลูกโป่งและยิงตุ๊กตา เธอชี้ไปที่ร้านด้านขวา รพิมองไปที่ร้านสักพักก่อนจะเอ่ย “ครับ”
บรรพตเป็นคนจ่ายเงินค่าลูกดอก ทั้งสองเริ่มปาโป่ง บรรพตได้ ๔ ดอก ส่วนรพิได้ ๒ ดอก เมื่อเล่นเสร็จแล้วทั้งสองก็หัวเราะเหมือนกับว่าตนเองทำเรื่องงี่เง่าอันน่าขบขัน
“สนุกดีเหมือนกันนะครับ”
“อื้ม! แต่แหม อีกแค่ดอกเดียวก็จะได้อยู่แล้วเชียว” บรรพตเอ่ยอย่างเศร้าใจเมื่อนึกถึงกติกาของร้านว่าหากปาได้ ๕ ดอกก็จะได้ของในร้าน รพิขำเบาๆ พร้อมๆ กับที่ทั้งสองเดินตามงานต่อไป
วันที่ ๒ ของงานก็ผ่านไปด้วยดี…
ไม่สิ
…ก็มณฑา ยังล้างแค้นอยู่นี่
เช้า
วันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
…ร้อน
นั่นคือความรู้สึกของดินขาวที่มาเก็บผักในตอนเช้า ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว แม้จะยังไม่เข้าแต่ก็เกือบ นับวันภาวะโลกร้อนยิ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่หยุด ดินขาวจำได้ว่าสมัยเขายังเด็กอากาศมันยังดีกว่านี้เลย
…แต่ก็นะ โลกมันเป็นไปตามเวลานี่
ดินขาวถือตระกร้าเข้าไปในเรือนแล้วเข้าไปที่ห้องครัว เขาพบว่ามีบ่าวอยู่ ๒-๓ กำลังทำอาหาร เขายกมือไหว้สวัสดีก่อนจะเอ่ย
“ข้าเก็บผักมาแล้ว ต้องใช้ผักอะไรอีกฤๅเปล่าครับ”
“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้เขา ดินขาวพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง
ดินขาวคิดว่าจะไปหามณฑา เพราะนางไม่ค่อยได้มาให้เด็กๆ เห็นหน้าเลย ด้วยความสงสัยนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องมา …แต่แล้วเขาก็ชะงักฝีเท้า เมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่มาจากที่ไกลๆ
นั่นมันอะไร?
“แฮ่กๆ”
ดินขาวได้ยินเสียงผู้ชายหอบหายใจจึงรีบหันไปตามต้นเสียง พบว่าที่ผนังอีกด้านมีจารุนั่งยืดขาด้วยสภาพที่ไม่น่ามอง เสื้อราชประแตนขาดจนเผยให้เห็นผิวที่มีรอยบาดแผลสดๆ บางที่ก็สมานแล้ว เลือดเปรอะตามร่าง ส่งกลิ่นคาวเหมือนเหล็ก ดินขาวกลั้นหายใจก่อนจะเข้าไปประคองจารุ
“ท่านจารุ! ไปสู้กับใครมาครับ ถึงได้มีแผลตามตัวถึงเพียงนี้?!”
“…มณฑา แค่กๆ นางจะล้างแค้นซอ ……พอข้าเข้าไปขวางนาง นางก็เลยโมโหจนต้องทำร้ายข้าเนี่ยแหละ” คำตอบนั้นทำให้ดินขาวต้องทวนคำซ้ำเพราะไม่เชื่อ
ไม่จริง เป็นฝีมือท่านมณฑาฤ!
“อย่าไปบอกใครล่ะ ข้ายังมิอยากให้นางติดคุก ข้ามิโกรธนางดอก” จารุเอ่ยจบดินขาวก็พยักหน้า น้ำเสียงที่เหนื่อยล้าของจารุทำให้ดินขาวอดเป็นห่วงไม่ได้
“งั้นไปโรงพยาบาลนะครับ บาดเจ็บหนักขนาดนี้ถ้าปล่อยไว้คงจะแย่”
“ข้ามิไป”
จารุปฏิเสธเหมือนเด็กไม่ยอมทานยา ใบหน้าซีดของเขาทำให้ความกังวลของดินขาวทวีขึ้นเข้าไปอีก ดินขาวคิดว่าจะเป็นจะตายก็ต้องพาจารุไปให้ได้ เขาตัดสินใจประคองจารุขึ้น จากนั้นก็ตะโกนให้บ่าวในเรือนมาช่วย
ฝนตก
มันเป็นสีแดงเหมือนเลือด …ไม่สิ มันคือเลือด สายฝนเลือดโปรยปรายดั่งกลีบกุหลาบ ทว่าในขณะเดียวยกันที่มันเริ่มตกหนักมากขึ้นก็ทิ่มแทงผิวให้หนาว
ศรีเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นอย่างเหม่อลอย …เธอกำลังคิดว่าตนเองมาที่นี่ได้อย่างไร แต่ประเด็นไม่ใช่เรื่องนี้
เรื่องที่ต้องคิดคือ…
ที่นี่คือความฝัน หรือ ความจริง
ต้องเป็นความฝันแน่ๆ
เธอคิดแบบนั้น ก่อนจะเดินตามทางที่ทิวทัศน์รอบๆ ที่เป็นเพียงถนน และด้านข้างที่เป็นด้านล่างคือทะเลสาบ สายลมกระโชกแรงราวจะดึงเธอตกสู่น้ำที่เริ่มเป็นสีแดงเพราะฝนเลือด กลิ่นคาวดุจเหล็กน่าสะอิดสะเอียนไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัว ศรีออกจะรู้สึกอยากลิ้มรสมันเสียมากกว่า
ดวงตาสีดำที่มักจะฉายความเป็นมิตรและอบอุ่น บัดนี้ ได้เผยธาตุแท้ออกมา ความอาฆาต เคียดแค้น เกลียดชัง อยากฉีกกระชากฉายจดจ้องไปที่ร่างหนึ่ง
ยันต์บุษบา อาคมทมิฬ
เด็กหญิงที่ศรีเกลียดที่สุด
ศรีแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่มีเลือดเปื้อน …ทำไมช่วงนี้เธอถึงอยากลิ้มรสเลือดนักล่ะ ภายในคอแห้งจนรู้สึกอยากดื่มของเหลว
…ถ้าร่างที่อยู่เบื้องหน้า สามารถให้เลือดได้ ก็คงจะดี
ศรีเพิ่งทราบว่าตนเองถือดาบเมื่อมือเผลอกำแน่น เท้าในรองเท้านักเรียนก้าวไปข้างหน้า ดัง ตุบ… ตุบ… เด็กหญิงเกล้าผมต่ำสีเงินเหลือบดำยืนนิ่งอย่างสงบราวกับสัตว์เดรัจฉานที่รอสัตว์ประเสริฐมาสังหาร ยันต์ยื่นมือไปหา ศรีเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
๒ นาที ในที่สุดเธอก็มาถึง
ยันต์โอบกอดศรีอย่างอ่อนโยน ช่างขัดกับแววตาที่เรียบเฉย ศรียืนให้ยันต์กอดนิ่งๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า แต่ขอให้ข้าได้กอดเจ้าเช่นนี้ได้ฤๅมิได้?” ยันต์กระซิบข้างหูแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก
“ฉันเกลียดแก… ฉันเกลียดแก…”
แม้ปากจะบอกอย่างนั้นแทนคำตอบ กระนั้นศรีก็ไม่มีท่าทีจะทำร้ายยันต์อย่างที่ตั้งใจไว้ ความอบอุ่นโอบร่างให้สงบ แววตากระหายเลือดของเด็กหญิงเกล้ามวยผมเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อย ดาบหล่นจากมือเพราะเผลอปล่อย มือข้างขวาจับเสื้อของยันต์ราวกับจะกอดแต่ก็ไม่กล้าเสียที
…ฉันเกลียดแก!!
“!!”
ศรีสะดุ้งตื่นจนลืมตาเบิกกว้าง เธอหอบหายใจพลางมองไปรอบๆ กาย พบร่างของยันต์นั่งแต่งบางอย่างใช้ที่เก็บเอกสารเป็นที่รอง ยันต์หันมามองก่อนจะเอื้อมมือลูบใบหน้าของศรีแผ่วเบา ศรีขยับสะบัดหน้าหนีเพราะรังเกียจ ยันต์รู้สึกใจเสียแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้
“แก… แกจะตามจองเวรฉันไปถึงไหน!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ