ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) บทที่ ๓๘: ความแค้นฝังใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๘

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ความแค้นฝังใจ

                เมื่อจารุทำงานเสร็จแล้วเขาก็ออกมาเดินเล่นรับลมที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยตามมา กลีบดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่วราวกับเริงระบำใต้แสงจันทร์ จารุเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีหม่น

                …สังหรณ์ใจไม่ดี

                “…มณฑา”

                “!”

                จารุหันไปมองรอบๆ ว่าเสียงใคร ผู้ที่เอ่ยชื่อของนางยิกาแห่งภาคกลางคือใครกัน แสดงว่าต้องอยู่กับมณฑาแน่ จารุเป็นบุคคลที่หูดีเช่นสัตว์ป่า ได้ยินเสียงจากระยะไกลได้ เขาเงี่ยหูฟังเพื่อจับเสียงให้ชัดเจน จนทราบว่ามาจากเรือนถัดจากเรือนที่เขาอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงฝีเท้า

                “…พอใจ ฤๅยัง?” เสียงชัดกว่าเดิมเมื่อเขาเข้าไปใกล้ ดังมาจากชั้นสองของเรือน ไม่มีแสงสว่างภายในห้อง มีแต่ความมืดที่ยากจะหยั่งถึง

                “มณฑา เจ้าอยู่กับใคร?”

                 จารุถามเบาๆ เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในเรือน แล้วระแวงรอบด้านว่าใครจะมาเห็นเข้า เขารู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ดี นอกจากจะเป็นเรือนของผู้อื่นแล้วเจ้าของเรือนยังเป็นผู้หญิง

                แต่เพื่อความปลอดภัย เขาต้องทำ

                เดินขึ้นตามบันไดจนมาถึงชั้นสอง เขามองไปรอบๆ แล้วมาหยุดที่หน้าห้องสุดทางเดิน มีเสียงสนทนาแว่วมา กระนั้นก็ชัดเจน จารุตัดสินใจเคาะประตูสองสามครั้ง                         

                “มณฑา เจ้าอยู่กับใคร” เขาถามแบบที่ถามกับตนเอง ภายในห้องเงียบ สิ่งที่ตอบกลับมาคือประตูส่งเสียงดังแกร๊ก คาดว่าบุคคลภายในจะล็อก

                “ทำอะไรของเจ้าน่ะ!”

                “…”

                “ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้!” จารุหมดความอดทน เขาเสียมารยาทโดยการใช้ดาบฟันประตูไม้แกะสลัก ประตูไม้หักกันแตกออก เผยให้เห็นภาพหญิงสาวสองคนนอนอยู่บนเตียง จารุเบิกตาด้วยความตะลึง เขาพึมพำถามมณฑามที่มีเลือดติดอยู่มุมปาก ดวงตาฉายความกระหายเลือดทำให้เขาใจหายวาบ

                “ขัดเสียจริง” มณฑาใช้หลังมือปาดริมฝีปากที่มีคราบเลือดแล้วหยิบพัดติดขอบลูกไม้และดอกกุหลาบห้องประดับมาพัดอย่างอารมณ์ดี ช่างขัดกับแววตาที่ฉายความหงุดหงิดนัก จารุกลั้นหายใจ เมื่อเห็นสภาพอันน่าสังเวชของซอที่นอนอย่างคนไร้วิญญาณมีจุดสองจุดและจุดอื่นๆ ที่มีเลือดซึมออกมา

                “เจ้าทำอะไรกับซอ?”

                “ตอบแทนกับสิ่งที่นางทำอย่างไรเล่า!” มณฑากล่าวกลั้วหัวเราะ จารุเห็นท่าไม่ดีเลยตั้งท่าดาบไว้

                “ข้ามิรู้ดอกนะว่าเจ้าทั้งสองเคยมีเรื่องแค้นเคืองอะไร แต่หากนายิกาคนใดคนหนึ่งตายไป ผู้ที่สังหารมิได้รับโทษเพียงตัดหัวแน่!”

                “อะไรกัน? ฉันเพียงแค่ทำให้นางเจ็บเล็กน้อยก็เท่านั้น” มณฑากเอ่ยอย่างไม่ยี่หร่ะพลางใช้มือลูบอีกข้างลูบใบหน้าขาวนวลที่เริ่มซีด หญิงสาวสวมชุดสมัย ร. ๕ เลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย

                “ก็นานแล้วนะที่ฉันมิได้ชิมรสโลหิตน่ะ”

                “หยุดเลยมณฑา! เจ้าอยากกินโลหิตก็ไปรีดจากพวกหมู หมา กา ไก่สิ มิใช่มาทำกับมนุษย์ด้วยกันเอง!” จารุรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้ากลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไร้ความคิด แววตาที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกนั้นทำให้เขาไม่กล้าหายใจ

                ฉัวะ!

                จู่ๆ แท่งเหล็กก็ยื่นออกมาจากพัดแล้วสะบัดเข้าที่จารุ ชายหนุ่มในร่างเด็กใช้ดาบรับก่อนจะพลั่กประตูที่เปิดทิ้งไว้ให้กว้างแล้วหนีออกมา มณฑาหัวเราะคิกคักราวกับแมวที่ไล่ต้อนหนูจนมุม

                แย่แล้ว….

 

                ณ ห้องแห่งหนึ่งในที่ทำการนายิกา มีนายิกาและรองนายิกาจากเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ จังหวัดละสามคนนั่งตรงโต๊ะประชุม วันนี้มีงานน้อยนายิกาคนอื่นเลยไม่มา

                “แม้นเรื่องที่ดาบอรัญญิกถูกลักไปจะเป็นเรื่องของชาวกรุงศรีอยุธยา แต่หากสมบัติชิ้นใดของสยามถูกลักไปก็เป็นปัญหาของเราเช่นกัน” หญิงสาวผมยาวเหลือบสีน้ำเงินโพกผ้าแต่งกายแบบชาวไทลื้อนุ่งโจงกระเบนเอ่ยอย่างเคร่งเคลียด พินทุที่นั่งด้านข้างเอ่ยอย่างสบายๆ เหมือนเรื่องที่สนทนาเป็นเรื่องไกลตัว

                “เจ้าจะร้อนรนไปทำไมเล่า? ทางตำรวจ ทหารและนายิกาคนอื่นก็ออกตามหาอยู่ ในมิช้าจะต้องเจอแน่”

                “ท่านพินทุ โปรดอย่าประมาทเป็นอันขาดเจ้าค่ะ ศัตรูจ้องเล่นงานเรา แถมกองทัพภูตผีใกล้เข้ามาทุกที เท่ากับว่าสยามถูกประกบสองด้านนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของรองนายิกาพินทุไม่ได้ทำให้นางสะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับทำให้นางยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

                “ข้ามั่นใจว่าเราจะจับได้แน่”

                “?” รองนายิกาของพินทุหันมามองเหมือนจะถามว่าทำไม พินทุแย้มริมฝีปากไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพนมมือไหว้

                “ข้าขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์”

                ปัง

                พอพินทุออกจากห้อง ภายในก็เงียบเป็นเป่าสาก รองนายิกาของพินทุถอนหายใจก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมา

                “มีสาส์นจากผู้ลักดาบมาว่ามันอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยมีเหรีญพิมพ์รูปวัดมาด้วย เมื่อสองวันก่อนนายิกานามคชินทร์ต่อสู้กับสมุนผู้ลักดาบ นางได้นำโลหิตของมันมาด้วย”

                “โลหิต?” หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้านุ่งโจงกระเบนทวนคำ

                “นี่อย่างไรล่ะ” รองนายิกาของพินทุมองไปทางหญิงสาวเกล้ามวยผมสองข้างสูงใหญ่ๆ มีรัดเกล้ารูปกนก ปล่อยส่วนที่เหลือลงมา ห่มตะเบงมานนุ่งผ้าสั้นถึงเข่าล้อมด้วยผ้าผืนยาวลวดลายสวยงามมีเกราะอยู่ตรงสะโพก แววตาขี้เล่นของนางเป็นประกายเมื่อหยิบขวดใส่เลือดสีเขียวขึ้นมา

                “หมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวคนเดิมถาม นายิกาคนอื่นต่างมองมาที่ขวดเลือดอย่างสนอกสนใจ

                “ก็อย่างที่เห็นแหละ บัวผ่อง เลือดนี้มีพลังวิญญาณและพิษบางอย่าง แถมพอเอาไปทำให้ร้อนเลือดก็เปลี่ยนเป็นสีดำ น่าแปลกไหมล่ะ?”

                “ก็แปลกอยู่ดอกนะ” หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าาเจ้าของนามบัวผ่องเริ่มผ่อนคลาย หญิงสาวเกล้ามวยผมสองข้างยิ้มขึ้นมา

                “พอไปทดลองก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นพิษอะไรเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าสามารถทำให้ดินสลายเป็นดินเหนียวที่แน่นมากๆ ยิ่งกว่ากาวเสียอีกเจ้าค่ะ พูดๆ ไปก็ตลกนะเจ้าคะ คิกๆ”

                “พอได้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ เจ้าอายุ ๕๐ แล้วนะ” รองนายิกาของพินทุกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย ทำให้หญิงสาวคนนั้นหน้าเศร้า

                “…เจ้าค่ะ”

                “เอาเป็นว่าข้าขอจบการประชุมเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ”

                รองนายิกาของพินทุกกล่าวก่อนจะลุกขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นนายิกาคนอื่นก็ลุกขึ้นมาพนมมือไหว้แล้วแยกย้ายออกจากห้องไป

 

                บรรพตมาอยู่ที่ร้านยิงตุ๊กตา การยิงปืนเป็นการใช้อาวุธที่เธอถนัดที่สุด ยิ่งปืนยาวๆ จะดีมาก เธอใส่ลูกกระสุนหนังแล้วเล็งก่อนจะยิงเข้าที่ตุ๊กตาสีส้ม มันหล่นลงมาราวกับศัตรูที่เสียชีวิต บรรพตยิ้มอย่างภูมิใจพร้อมๆ กับที่เจ้าของร้านหยิบตุ๊กตามาให้ บรรพตรับมาไว้ก่อนจะเดินออกจากร้านแล้วแกว่งเชือกตุ๊กตาไปอย่างสบายใจ

                “เฮ้อ เมื่อไหร่โรงยิมจะเปิดเสียทีนะ อยากซ้อมยิงปืนจะแย่อยู่แล้ว” เธอพึมพำเมื่อนึกถึงสถานที่ซ้อมยิงปืนที่เธอมักจะชอบไปประจำ ระหว่างนั้นเธอก็สะดุดตากับร้านขนมเครปซึ่งมีรพิ ญาติของศรียืนซื้ออยู่ กับหญิงสาวผมสั้นสวมเสื้อลายมังคุด

                “อืม… งั้นเอา โกโก้ เยลลี่ ช็อกโกแลตนะครับ”

                “แบบนั้นเลี่ยนตายเลยสิ เอางั้นก็ได้ ฮ่ะๆๆ” เพ็ญเอ่ยอย่างขบขัน รพิยิ้มกว้างพลางดูดน้ำจากแก้วในมือไปด้วย บรรพตได้กลิ่นหอมของแป้งลอยมาก็รู้สึกหิวจึงตัดสินใจไปซื้อบ้าง

                “อ้าว พี่บรรพต มาซื้ออะไรเหรอครับ?” รพิถาม เพ็ญเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้บรรพต เด็กหญิงสวมแว่นกันลมยิ้มให้เพ็ญและรพิแทนคำตอบก่อนจะสั่งโตเกียว เมื่อสั่งเสร็จรพิก็ถาม

                “พี่ศรีหายไปไหนเหรอครับ?”

                “ศรีน่ะเหรอ… ข้าเองก็มิรู้เหมือนกันนะ แต่ตอนนั้นเห็นแวบๆ อีกฝั่งกำลังเดินกับเฉาก๊วยอยู่น่ะ” รพิถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรพตที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดจะถามไม่ได้

                “แล้วถามทำไมเหรอ ฤๅว่ากลัวศรีจะเจออันตราย”

                “ครับ เกิดเหตุการณ์แบบนั้นถ้าผมไม่เป็นห่วงแล้วใครล่ะจะเป็นห่วงพี่ศรี” แววตาของรพิจริงจังขึ้นมา บรรพตพยักหน้าแล้วถาม

                “จะว่าไปข้าก็อดสงสัยมิได้จริงๆ ทำไมตอนนั้นดวงตาของศรีถึงเป็นสีแดงขึ้นมาล่ะ?” คำถามนั้นทำให้รพินิ่งไปพักหนึ่ง เขาพึมพำออกมา

                “พระจันทร์ถูกเมฆบัง…”

                “ฮะ? อะไรนะ??” เพ็ญที่ได้ยินเรื่องน่าสนใจก็ฟังทั้งสองคนคุยกันพลางทำเครปกับโตเกียวไปด้วย

                “ช่วงที่พี่ศรีอายุประมาณ ๑๒ ปี เนตรจะตื่นๆ ดับๆ ครับ”

                “อ่อ” น้ำเสียงแม้จะไม่ค่อยแปลกใจแต่แววตาฉายความสงสัย รพิกลับไปมองเพ็ญทำขนมต่อแล้วดูดน้ำเงียบๆ

                เขาเป็นห่วงศรี

                “ได้แล้วจ้ะ” 

                เพ็ญกล่าวพลางยื่นเครปตามด้วยโตเกียวให้เด็กทั้งสอง รพิกับบรรพตยิ้มลาก่อนจะเดินออกจากร้าน ทั้งสองเดินเคียงคู่กันโดยที่ไม่มีใครเอ่ย

                ในที่สุดบรรพตก็อดทนกับความเงียบไม่ได้

                “ไป… ปาโป่งปะ” บรรพตชวนเมื่อผ่านช่วงที่มีร้านปาลูกโป่งและยิงตุ๊กตา เธอชี้ไปที่ร้านด้านขวา รพิมองไปที่ร้านสักพักก่อนจะเอ่ย “ครับ”

                บรรพตเป็นคนจ่ายเงินค่าลูกดอก ทั้งสองเริ่มปาโป่ง บรรพตได้ ๔ ดอก ส่วนรพิได้ ๒ ดอก เมื่อเล่นเสร็จแล้วทั้งสองก็หัวเราะเหมือนกับว่าตนเองทำเรื่องงี่เง่าอันน่าขบขัน

                “สนุกดีเหมือนกันนะครับ”

                “อื้ม! แต่แหม อีกแค่ดอกเดียวก็จะได้อยู่แล้วเชียว” บรรพตเอ่ยอย่างเศร้าใจเมื่อนึกถึงกติกาของร้านว่าหากปาได้ ๕ ดอกก็จะได้ของในร้าน รพิขำเบาๆ พร้อมๆ กับที่ทั้งสองเดินตามงานต่อไป

                วันที่ ๒ ของงานก็ผ่านไปด้วยดี…

                ไม่สิ

                …ก็มณฑา ยังล้างแค้นอยู่นี่

 

                เช้า

                วันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                …ร้อน

                นั่นคือความรู้สึกของดินขาวที่มาเก็บผักในตอนเช้า ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว แม้จะยังไม่เข้าแต่ก็เกือบ นับวันภาวะโลกร้อนยิ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่หยุด ดินขาวจำได้ว่าสมัยเขายังเด็กอากาศมันยังดีกว่านี้เลย

                …แต่ก็นะ โลกมันเป็นไปตามเวลานี่

                ดินขาวถือตระกร้าเข้าไปในเรือนแล้วเข้าไปที่ห้องครัว เขาพบว่ามีบ่าวอยู่ ๒-๓ กำลังทำอาหาร เขายกมือไหว้สวัสดีก่อนจะเอ่ย

                “ข้าเก็บผักมาแล้ว ต้องใช้ผักอะไรอีกฤๅเปล่าครับ”

                “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้เขา ดินขาวพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง

                ดินขาวคิดว่าจะไปหามณฑา เพราะนางไม่ค่อยได้มาให้เด็กๆ เห็นหน้าเลย ด้วยความสงสัยนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องมา …แต่แล้วเขาก็ชะงักฝีเท้า เมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่มาจากที่ไกลๆ

                นั่นมันอะไร?

                “แฮ่กๆ”

                ดินขาวได้ยินเสียงผู้ชายหอบหายใจจึงรีบหันไปตามต้นเสียง พบว่าที่ผนังอีกด้านมีจารุนั่งยืดขาด้วยสภาพที่ไม่น่ามอง เสื้อราชประแตนขาดจนเผยให้เห็นผิวที่มีรอยบาดแผลสดๆ บางที่ก็สมานแล้ว เลือดเปรอะตามร่าง ส่งกลิ่นคาวเหมือนเหล็ก ดินขาวกลั้นหายใจก่อนจะเข้าไปประคองจารุ

                “ท่านจารุ! ไปสู้กับใครมาครับ ถึงได้มีแผลตามตัวถึงเพียงนี้?!”

                “…มณฑา แค่กๆ นางจะล้างแค้นซอ ……พอข้าเข้าไปขวางนาง นางก็เลยโมโหจนต้องทำร้ายข้าเนี่ยแหละ” คำตอบนั้นทำให้ดินขาวต้องทวนคำซ้ำเพราะไม่เชื่อ

                ไม่จริง เป็นฝีมือท่านมณฑาฤ!

                “อย่าไปบอกใครล่ะ ข้ายังมิอยากให้นางติดคุก ข้ามิโกรธนางดอก” จารุเอ่ยจบดินขาวก็พยักหน้า น้ำเสียงที่เหนื่อยล้าของจารุทำให้ดินขาวอดเป็นห่วงไม่ได้

                “งั้นไปโรงพยาบาลนะครับ บาดเจ็บหนักขนาดนี้ถ้าปล่อยไว้คงจะแย่”

                “ข้ามิไป”

                จารุปฏิเสธเหมือนเด็กไม่ยอมทานยา ใบหน้าซีดของเขาทำให้ความกังวลของดินขาวทวีขึ้นเข้าไปอีก ดินขาวคิดว่าจะเป็นจะตายก็ต้องพาจารุไปให้ได้ เขาตัดสินใจประคองจารุขึ้น จากนั้นก็ตะโกนให้บ่าวในเรือนมาช่วย

 

                ฝนตก

                มันเป็นสีแดงเหมือนเลือด …ไม่สิ มันคือเลือด สายฝนเลือดโปรยปรายดั่งกลีบกุหลาบ ทว่าในขณะเดียวยกันที่มันเริ่มตกหนักมากขึ้นก็ทิ่มแทงผิวให้หนาว

                ศรีเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นอย่างเหม่อลอย …เธอกำลังคิดว่าตนเองมาที่นี่ได้อย่างไร แต่ประเด็นไม่ใช่เรื่องนี้

                เรื่องที่ต้องคิดคือ…

                ที่นี่คือความฝัน หรือ ความจริง

                ต้องเป็นความฝันแน่ๆ

                เธอคิดแบบนั้น ก่อนจะเดินตามทางที่ทิวทัศน์รอบๆ ที่เป็นเพียงถนน และด้านข้างที่เป็นด้านล่างคือทะเลสาบ สายลมกระโชกแรงราวจะดึงเธอตกสู่น้ำที่เริ่มเป็นสีแดงเพราะฝนเลือด กลิ่นคาวดุจเหล็กน่าสะอิดสะเอียนไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัว ศรีออกจะรู้สึกอยากลิ้มรสมันเสียมากกว่า

                ดวงตาสีดำที่มักจะฉายความเป็นมิตรและอบอุ่น บัดนี้ ได้เผยธาตุแท้ออกมา ความอาฆาต เคียดแค้น เกลียดชัง อยากฉีกกระชากฉายจดจ้องไปที่ร่างหนึ่ง

                ยันต์บุษบา อาคมทมิฬ

                เด็กหญิงที่ศรีเกลียดที่สุด

                ศรีแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่มีเลือดเปื้อน …ทำไมช่วงนี้เธอถึงอยากลิ้มรสเลือดนักล่ะ ภายในคอแห้งจนรู้สึกอยากดื่มของเหลว

                …ถ้าร่างที่อยู่เบื้องหน้า สามารถให้เลือดได้ ก็คงจะดี

                ศรีเพิ่งทราบว่าตนเองถือดาบเมื่อมือเผลอกำแน่น เท้าในรองเท้านักเรียนก้าวไปข้างหน้า ดัง ตุบ… ตุบ…  เด็กหญิงเกล้าผมต่ำสีเงินเหลือบดำยืนนิ่งอย่างสงบราวกับสัตว์เดรัจฉานที่รอสัตว์ประเสริฐมาสังหาร ยันต์ยื่นมือไปหา ศรีเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

                ๒ นาที ในที่สุดเธอก็มาถึง

                ยันต์โอบกอดศรีอย่างอ่อนโยน ช่างขัดกับแววตาที่เรียบเฉย ศรียืนให้ยันต์กอดนิ่งๆ

                “ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า แต่ขอให้ข้าได้กอดเจ้าเช่นนี้ได้ฤๅมิได้?”  ยันต์กระซิบข้างหูแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก

                “ฉันเกลียดแก… ฉันเกลียดแก…”

                แม้ปากจะบอกอย่างนั้นแทนคำตอบ กระนั้นศรีก็ไม่มีท่าทีจะทำร้ายยันต์อย่างที่ตั้งใจไว้ ความอบอุ่นโอบร่างให้สงบ แววตากระหายเลือดของเด็กหญิงเกล้ามวยผมเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อย ดาบหล่นจากมือเพราะเผลอปล่อย มือข้างขวาจับเสื้อของยันต์ราวกับจะกอดแต่ก็ไม่กล้าเสียที

                …ฉันเกลียดแก!!

                “!!”

                ศรีสะดุ้งตื่นจนลืมตาเบิกกว้าง เธอหอบหายใจพลางมองไปรอบๆ กาย พบร่างของยันต์นั่งแต่งบางอย่างใช้ที่เก็บเอกสารเป็นที่รอง ยันต์หันมามองก่อนจะเอื้อมมือลูบใบหน้าของศรีแผ่วเบา ศรีขยับสะบัดหน้าหนีเพราะรังเกียจ ยันต์รู้สึกใจเสียแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้

                “แก… แกจะตามจองเวรฉันไปถึงไหน!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา