ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.32K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) บทที่ ๓๔: เด็กหญิง สังรศรี วีรสังฆะเป็นคนอันตราย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะเป็นคนอันตราย
ศรีเบิกตาโตด้วยความตะลึงและคาดไม่ถึง ก่อนที่เธอจะได้ถามว่าเป็นอย่างไรบรรพตก็เข้ามา
“ท่านจารุคุยกับศรีอะไรฤๅเจ้าคะ? ข้าขอตัวศรีไปเที่ยวงานนะเจ้าคะ” พอเข้ามาก็ดึงศรีอย่างแรงจนเจ้าตัวหงายหลัง “แอ่ก!”
บรรพตมองศรีแล้วยิ้มแห้งๆ ก่อนจะกล่าว
“ขอโทษนะ เผอิญข้าตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
ศรีดันกายขึ้นก่อนจะลุกจากพื้นเดินตามบรรพตไป เธอหันไปมองจารุที่นั่งเงียบๆ แม้เธอจะยังคงค้างคาใจกับเรื่องที่จารุอธิบายแต่ถ้าฟังต่อไปนี้ก็มีความรู้สึกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ คิดได้ดังนั้นเด็กหญิงเกล้ามวยผมและปล่อยที่เหลือลงมาสยายก็หันหน้ากลับไปมองทางแล้วปล่อยความคิดอันแสนน่าหดหู่ให้ลอยตามสายลมยามเย็นที่พัดมาเบาๆ
“ไง จะเอาปีกหรือน่อง”
“หัวใจ”
“ถ้าหัวใจก็หมดแล้วล่ะ สนใจจะกินเท้ามันปะ?” เด็กชายผู้ที่หน้าตาคล้ายธันนะยิ้มกวนๆ ธันนะเผยสีหน้าเหนื่อยอ่อนพลางตอบ
“อะไรก็ได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างแก” พอได้ฟังคำตอบนั้นอีกฝ่ายก็กระชากคอเสื้อกล้ามเขาแล้วรั้งเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างโมโห
“อย่ามาทำปากดีให้มันมากนักเลยอ้ายธันนะ ฉันล่ะโครตจะหงุดหงิดที่แกมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่อยากมีเรื่องเจ็บตัวก็อย่าโผล่หัวโผล่หางมาบ่อยละกัน!” กล่าวจบรุกข์ก็ปล่อยเสื้อของธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามเซเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลักเพื่อโต้ตอบ
“ฮึ! อันที่จริงฉันก็ไม่อยากโผล่หัวโผล่หางออกมาบ่อยนักหรอก แต่แกเถอะระวังให้ดีละกัน หัวจะหลุดออกจากบ่าเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ลย” ธันนะยิ้มมุมปากอย่างที่ไม่ค่อยชอบทำนักเพราะเขาชอบแสดงสีหน้าเย็นชาเสียมากกว่า รุกข์ที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ก็ยิ้มเย้ยหยันกลับไปพลางกล่าวอย่างผยอง
“ใครกันแน่ที่ต้องพูดคำนั้น! ธันนะเอ้ย! แกยังไม่ประสีประสาอะไรกับมิตินี้ก็ต้องระวังแหละว่ะ ดีไม่ดีถูกวิญญาณครอบงำใครกันล่ะจะช่วยแก?!”
ใครกันล่ะจะช่วยแก?!
คำนั้นก้องอยู่ในหัวราวกับจะสะท้อนความผิดของตนเอง ธันนะจอจ้องใบหน้ารุกข์อย่างหวาดกลัว ใครกันล่ะจะช่วยเขา?
…ศรี
ชื่อนั้นผุดขึ้นมาราวกับจะปกป้องเขา ธันนะเม้มริมฝีปากก่อนก้าวออกจากร้าน เขากล่าวกับรุกข์โดยที่ไม่หันหน้าไปมอง
“นั่นสินะ… ใครกันล่ะ?”
“ตัวแกนะโว้ยอ้ายงั่ง!” รุกข์โวยวายอย่างโมโห ตัวธันนะไม่รู้อะไรนับประสาอะไรกับรุกข์ที่ไม่ใช่ตัวเขา ธันนะยิ้มมุมปากจากนั้นก็เอ่ยเบาๆ
“ศรี… เธอจะช่วยฉันใช่ไหม?”
ฟิ้ว…
สายลมพัดผ่านเอาคำตอบกลืนหายไปในแสงสลัวยามเย็น เบื้องหน้าเขามีเด็กหญิงเดินกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วย เธอสวมชุดเสื้อยืดกับโจงกระเบนทับด้วยผ้าไหมลายไทยสีแก่เป็นสไบและมีกระเป๋าสะพายห้อยอยู่ ผมยาวสลวยสีดำสนิทยาวถึงเอวดุจรัตติกาลนั้นดูงดงามนักประดับด้วยรัดเกล้สีเงินาฝังอัญมณีสีแดงเหมือนเลือดและปิ่นปักผมสีเงินรูปกนก ดวงตาสีดำนั้นฉายความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ช่างน่าค้นหาและน่ามองในเวลาเดียวกัน ใบหน้าขาวดุจดอกมะลินั้นมีสีฝาดแบบดอกกาสะลองระเรื่อน้อยๆ ดูนุ่มนวลน่าสัมผัส…
…ธันนะมองภาพนั้นอย่างเหม่อยลอยราวกับว่าเด็กหญิงคนนั้นมีมนต์สะกดให้ผู้พบเห็นต้องหยุดมองความงามของตน ริมฝีปากสีแบบดอกเล็บมือนางนั้นแย้มน้อยๆ ด้วยความยินดีเมื่อพบเด็กชาย ศรีกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาก่อนจะตบหน้าเขาเบาๆ
“ธันนะ เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” คำพูดนั้นเสมือนเวททำลายมนต์ ธันนะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้เย็นชาแก้เขินเมื่อรู้ว่าตนตกหลุมเสน่ห์เด็กหญิงคนนี้
ยายศรีเนี่ยอันตรายจริงๆ ไม่ได้ฆ่ายักษ์อย่างเดียวแต่โปรยเสน่ห์ไปทั่วเลย …น่ารักจริงๆ
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน
เมื่อกี้เราคิดว่ายายนี่มันน่ารักเรอะ! เกล้าผมจุกแต่งชุดแนวโบราณอย่างกับผีมันน่ารักตรงไหนเนี่ย!
ธันนะล่ะอยากเขกศีรษะตนเองสักร้อยที ดันคิดอะไรไม่เข้าท่า
นี่ก็ครั้งแรกที่เรามองแบบเต็มๆ ตา (เพราะที่ผ่านมาเราเอาแต่เชิดใส่อย่างเดียว)
ศรีเอียงคอน้อยๆ อย่างฉงนก่อนจะยิ้มหวาน รอยยิ้มนั่นทำให้ธันนะเผลอใจเต้นแรงขึ้นมา เขาพยายามไม่สบตาเธอเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าตนร้อนผ่าว
“สีหน้านายดูเหนื่อยจัง ดื่มน้ำมะพร้าวไหมจ๊ะอาจจะทำให้นายสดชื่นขึ้นก็ได้นะ” ศรีกล่าวอย่างเป็นห่วงก่อนจะยื่นแก้วดินเผาที่มีลวดลายดอกลีลาวดีให้ ธันนะมองมันสักพักก่อนจะหยิบแก้วมาดูดน้ำจากหลอด ศรียิ้มบางๆ เมื่อเห็นภาพนั้น ดูจากสีหน้าเขาแล้วดีขึ้นจริงๆ
ยายศรี ฉันรู้แล้วว่าทำไมพวกแววไพรกับพงสณะมันถึงรักเธอกันนักหนา ฮึ ก็เล่นทำแบบนี้ใครที่เขลาจะตกหลุมก็ไม่แปลก
หือ?
ธันนะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามือของยุพินลูบสะโพกศรีอยู่อย่างหลงไหล มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
“ศรี… ไปนั่งทานผัดซีอิ๊วกันเถอะ” ยุพินกล่าวเบาๆ ด้วยความหิวเพราะอยากทานศรีมากกว่าอาหาร ศรีไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้นเลยตอบรับไปด้วยรอยยิ้ม
“จ้ะ ธันนะนายก็ไปด้วยกันสิ” ศรีชวนเด็กชายไปด้วย ในขณะที่เขากำลังจะส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธยุพินก็จับข้อมือศรีไปที่ร้านทันที ธันนะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยตามไปด้วยอย่างมึนๆ
กลิ่นอาหารโชยอบอวลในร้าน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของลูกค้าและผู้คนภายนอกไม่ได้ทำให้สติของยุพินลอยกลับมา ตอนนี้สิ่งที่เธอคิดมีเพียงร่างอรชรนุ่มนวลน่าสัมผัสนั้นทำให้เธออดใจแทบไม่ไหว …น้ำลายเผลอไหลออกมา ศรีเห็นดังนั้นจึงหยิบกระดาษทิชชู่ของร้านเช็ดให้ ยุพินสะดุ้ง ใบหน้าของเธอเขินอาย เด็กหญิงเกล้ามวยผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“เหม่ออะไรเหรอจ๊ะ?” น้ำเสียงเป็นห่วงนั่นทำให้ยุพินใจเต้นแรงขึ้นมาและหน้าแดงกว่าเดิม ธันนะที่มองทั้งสองเงียบๆ ก็ไม่พอใจกระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ดูดน้ำอย่างเงียบๆ จากหลอดสีใส
ไปๆ มาๆ ดูเหมือนคนเจ้าชู้แฮะ มีความสุขมากนักหรือไงที่ทำให้คนอื่นใจเต้นแรง
ตึกๆ
มีใครบางคนเข้ามาใกล้ธันนะจากทางด้านหลัง เสไพรเข้ามาใกล้ธันนะก่อนจะดึงเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มานั่งแล้วเอ่ย
“ศรี ดูแลเจ้านี่ดีๆ ล่ะ มันเป็นเด็กดูแลตนเองไม่ได้”
“เอ๊ะ รู้จักชื่อฉันได้อย่างไรกัน ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?” คำถามซื่อๆ นั่นทำให้เสไพรหัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดู จนธันนะนึกหมั่นไส้ขึ้นมา เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เสไพรมองตามก่อนจะตอบโดยไม่หันมาคุยกับศรีดีๆ
“เสไพร พงพิษ”
“อ่า ฉันชื่อ---” เสไพรยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ศรีมองอย่างฉงน
“สังรศรี วีรสังฆะใช่ไหมล่ะ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ” ถามจบเสไพรก็หยิบแก้วของธันนะมาดูดอย่างไร้มารยาท จนเจ้าของที่นั่งไม่สบอารมณ์อยู่แล้วต้องมีอารมณ์เดือด
“อ้ายเสไพร!”
“อะไร? เป็นเพื่อนกันแบ่งนิดแบ่งหน่อยไม่ได้รึไง?” คำถามกวนๆ นั่นทำให้ธันนะแทบอยากจะยกเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาฟาดศีรษะคนก่อกวนใบหน้าบอกบุญไม่รับทำให้เสไพรหัวเราะ ศรียื่นมือจะไปห้ามแต่ก็ถูกยุพินรั้งไว้ พอหันไปก็พบกับใบหน้าเรียบเฉย
ฮึ! ก้างขวางคออย่างแกจะมาทำไมเนี่ยอ้ายธันนะ!
ยุพินไม่พอใจธันนะมาก แต่ก็ระงับอารมณ์ไม่ให้ตักอาหารที่ร้อนใส่ศีรษะธันนะ
ช่างเถอะ แค่ได้ลวมลามศรีก็ยังดี
เธอคิดพลางมองศรีที่กำลังแยกจานให้แต่ละคน ก่อนที่ตนเองจะทาน ทุกท่าทางของศรีสะกดให้ยุพินหยุดมอง ยุพินเห็นว่าบริเวณปากศรีมีคราบน้ำอาหารเปื้อนอยู่เลยอาศัยจังหวะนี้ดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดให้เพื่อสัมผัสผิวบางๆ นั่น
“ขอบคุณนะ”
“จ้า” ยุพินลอบยิ้มมุมปาก จะว่าไปนี่ก็เวลากลางคืนแล้วพาศรีไปที่เงียบๆ แล้วลวมลามต่อก็น่าจะดี แต่หวังว่าพอถึงตอนนั้นจะไม่มีมารผจญมาขวางล่ะ
จุ๊บ
ยุพินอดใจไม่ไหวเลยหอมแก้มศรีไปหนึ่งที เด็กหญิงเกล้ามวยผมหันมามองอย่างฉงนก่อนจะคลี่ยิ้มและหอมแก้มยุพินกลับไป ยุพินหน้าแดงและใจเต้นเร็ว …ตื่นเต้นและเขินอายที่คนที่ตนเองชอบมาทำแบบนี้ให้ด้วย ธันนะอ้าปากเหวอกับภาพนั้นส่วนเสไพรก็ยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจอะไรแต่ในใจเขานั้นลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ว่าเขาชอบศรีแต่เพราะอยากให้เธอคู่ครองกับธันนะ
ฮึ! ต้องเป็น พ สิที่จะได้หอมแก้ม ม
ไม่สิ สถานะตอนนี้ พ กับ ม ยังเป็นเด็ก ทำแบบนั้นคงไม่เหมาะ ถ้ายังไงผมจะช่วยนะครับ
เสไพรลอบยิ้มมุมปากเมื่อรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่พร้อมจะสังหารได้ทุกเมื่อ มาแล้วสินะ ตัวช่วย
“ก็ว่าหายหัวไปไหน ที่แท้ก็ลากศรีมามอมยานี่เอง” แววไพรแสยะยิ้มอย่างนึกเกลียดชัง พร้อมกับว่าวที่มองมาเหมือนจะเชือด ยุพินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะทานผัดซีอิ๊วอย่างสบายใจ ยิ่งไปกระตุกต่อมของเด็กหญิงสองคนมากขึ้น
“พูดแรงไปไหม? ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก!” กล่าวจบยุพินก็หยิบปืนขึ้นมาแล้วรัวนิ้วยิงไม่ยั้ง แววไพรกางร่มบ่อสร้างบังแล้วพุ่งตัวใช้แท่งเหล็กจะแทงแต่ก็ไม่โดน ศรีเริ่มกระวนกระวาย ลูกค้าต่างซุบซิบกันอย่างตื่นเต้นและกังวล แม่ค้าเริ่มโวยวายเมื่อเห็นว่าเด็กๆ จำทลายข้าวของร้านตน
“พอเถอะจ้ะ! ฉันขอร้องล่ะนะ!” ศรีตะโกนแข่งกับเสียงในงานและเสียงอาวุธปะทะกัน เสไพรหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มอย่างยินดีจนธันนะต้องมองอย่างสงสัยแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะความสุขมากที่ได้เห็นการทะเลาะแบบนี้
ทีนี้ พ และ ม ก็จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
เสไพรมองกลุ่มการต่อสู้นั้นที่กำลังจะออกไปต่อสู้ด้านนอกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในร้านให้มากกว่านี้ ธันนะเท้าแขนกับโต๊ะแล้วกุมหน้าผากด้วยมือสองข้างอย่างเหนื่อยใจ ศรีเองก็ไม่แพ้กัน จะตามไปก็คงห้ามไม่อยู่ ได้แต่ภาวนาในใจให้ใครสักคนมาหยุดศึกนี้
“อ๊ะ เพิ่งนึกได้ว่ามีร้านเปิดใหม่ ฉันขอตัวก่อนล่ะ” เสไพรกล่าวลาก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ธันนะและศรีมองตามอย่างฉงน
“ท่ะ ทานต่อเถอะจ้ะ”
ศรีเอ่ยก่อนจะทานอาหารต่อ ธันนะถอนหายใจกับชีวิตของเขาที่แต่ก่อนอยู่อย่างสงบ …แม้อดีตจะไม่ค่อยน่าประทับใจแต่ความอบอุ่นในครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวก็ทำให้เขาลืมมันไปได้บ้าง
…แต่ก็ไม่นานหรอก
ธันนะเผลอนึกถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยเกล้ามวยผม ตอนนี้เธอคงจำเรื่องนั้นไม่ได้แล้วล่ะ มันก็นานพอสมควร การที่เธอจะลืมก็ไม่แปลก
“ศรี เธอจำเรื่องนั้นได้ไหม?” ธันนะถามเบาๆ ศรีมองเขาอย่างฉงนก่อนจะยิ้มน้อยๆ แบบไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ?”
“ช่างเถอะ”
ที่ธันนะถามไปก็แค่ไม่มีอะไรจะคุย ศรีมองเขาสักพักแล้วก็ยิ้มแล้วก็ทานต่อดังเดิม เด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองสีสันไฟจากร้านต่างๆ ที่เปล่งแสงท่ามกลางความมืดที่กลืนกินทุกสิ่ง
เสไพรมองทั้งสองคนจากด้านหลังร้านข้างๆ เขายิ้มอย่างเหนื่อยใจ อุตส่าห์หาโอกาสให้อยู่กันสองต่อสองยังไม่คว้าโอกาสเลย
แทนที่น้ำขึ้นแล้วจะรีบตักนะ พ
“เฮ้อ! แย่จังว่ะ ถ้าข้ารีบไปก็คงดีดอก” เด็กชายสวมเสื้อสีน้ำตาล ผมชี้ปลายแหลม ตาสีทองหม่นๆ ดูสะดุดตานั้นมองขนมในมือตนอย่างหงุดหงิด เพื่อนเขาที่แต่งชุดแบบชาวไทลื้อตาม่วงหัวเราะกับสีหน้าของเพื่อนตน
“เอาน่า อย่างน้อยท่านลำดวลก็มีน้ำใจแบ่งให้เรานะ เจ้าไปวิ่งรอบพื้นที่บ้านท่านเสือโคร่งกลับมากินอะไรหวานๆ ก็คงจะดี”
“หวานแบบนี้มิอยากกินดอกว่ะ มีถั่วอะไรก็มิรู้ เอียนชะมัด ข้าล่ะเกลียดขนมแบบไทยจริงๆ เซ็ง!” ศรีที่นั่งทานอย่างสงบก็มีอันต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนธันนะตกใจ
แก… แกดูถูกขนมไทยเรอะ!
รังสีสังหารแผ่ปกคลุมจนลูกค้าโต๊ะข้างๆ หน้าซีด ธันนะมองเธออย่างหวาดกลัว เหมือนตอนนั้นที่เขาดูถูกผู้หญิงเลย ศรีมองเด็กชายที่ดูถูกขนมไทยอย่างอาฆาต ก่อนจะกระโดดขึ้นเก้าอี้และกระโดดถีบเด็กชายตาสีทองอย่างแรง สร้างความตกตะลึงและตกใจให้แก่ลูกค้าและเด็กชายทั้งสอง
เด็กชายชาวไทลื้อก้มดูกระวนกระวายที่เพื่อนตนบาดเจ็บแต่เขารู้สึกถึงรังสีอำมหิตจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีม่วงดั่งดอกอัญชันสบกับดวงตาสีดำดุจรัตติกาลที่เย็นยะเยือกราวกับนรกโลกันต์ที่พร้อมจะแข็งให้เด็กชายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง เด็กชายตาสีทองยันกายขึ้นก่อนจะตวาดใส่ศรีอย่างเดือด
“เอ็งเป็นใครวะถึงมาถีบข้าน่ะ!!”
“เป็นใครไม่สำคัญเท่าที่แกมาดูถูกขนมชาติตัวเอง!!”
นั่นไง ศรีของขึ้นแล้วไหมล่ะ!
“อะไรวะ?” เด็กชายตาสีทองขมวดคิ้วอย่างฉงน ศรีแสยะยิ้มราวกับยักษ์ที่เจอมนุษย์ตัวจ้อย
“ดูท่าจะไม่เข้าใจสินะจ๊ะ?”
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะเป็นคนอันตราย
ศรีเบิกตาโตด้วยความตะลึงและคาดไม่ถึง ก่อนที่เธอจะได้ถามว่าเป็นอย่างไรบรรพตก็เข้ามา
“ท่านจารุคุยกับศรีอะไรฤๅเจ้าคะ? ข้าขอตัวศรีไปเที่ยวงานนะเจ้าคะ” พอเข้ามาก็ดึงศรีอย่างแรงจนเจ้าตัวหงายหลัง “แอ่ก!”
บรรพตมองศรีแล้วยิ้มแห้งๆ ก่อนจะกล่าว
“ขอโทษนะ เผอิญข้าตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
ศรีดันกายขึ้นก่อนจะลุกจากพื้นเดินตามบรรพตไป เธอหันไปมองจารุที่นั่งเงียบๆ แม้เธอจะยังคงค้างคาใจกับเรื่องที่จารุอธิบายแต่ถ้าฟังต่อไปนี้ก็มีความรู้สึกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ คิดได้ดังนั้นเด็กหญิงเกล้ามวยผมและปล่อยที่เหลือลงมาสยายก็หันหน้ากลับไปมองทางแล้วปล่อยความคิดอันแสนน่าหดหู่ให้ลอยตามสายลมยามเย็นที่พัดมาเบาๆ
“ไง จะเอาปีกหรือน่อง”
“หัวใจ”
“ถ้าหัวใจก็หมดแล้วล่ะ สนใจจะกินเท้ามันปะ?” เด็กชายผู้ที่หน้าตาคล้ายธันนะยิ้มกวนๆ ธันนะเผยสีหน้าเหนื่อยอ่อนพลางตอบ
“อะไรก็ได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างแก” พอได้ฟังคำตอบนั้นอีกฝ่ายก็กระชากคอเสื้อกล้ามเขาแล้วรั้งเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างโมโห
“อย่ามาทำปากดีให้มันมากนักเลยอ้ายธันนะ ฉันล่ะโครตจะหงุดหงิดที่แกมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่อยากมีเรื่องเจ็บตัวก็อย่าโผล่หัวโผล่หางมาบ่อยละกัน!” กล่าวจบรุกข์ก็ปล่อยเสื้อของธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามเซเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลักเพื่อโต้ตอบ
“ฮึ! อันที่จริงฉันก็ไม่อยากโผล่หัวโผล่หางออกมาบ่อยนักหรอก แต่แกเถอะระวังให้ดีละกัน หัวจะหลุดออกจากบ่าเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ลย” ธันนะยิ้มมุมปากอย่างที่ไม่ค่อยชอบทำนักเพราะเขาชอบแสดงสีหน้าเย็นชาเสียมากกว่า รุกข์ที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ก็ยิ้มเย้ยหยันกลับไปพลางกล่าวอย่างผยอง
“ใครกันแน่ที่ต้องพูดคำนั้น! ธันนะเอ้ย! แกยังไม่ประสีประสาอะไรกับมิตินี้ก็ต้องระวังแหละว่ะ ดีไม่ดีถูกวิญญาณครอบงำใครกันล่ะจะช่วยแก?!”
ใครกันล่ะจะช่วยแก?!
คำนั้นก้องอยู่ในหัวราวกับจะสะท้อนความผิดของตนเอง ธันนะจอจ้องใบหน้ารุกข์อย่างหวาดกลัว ใครกันล่ะจะช่วยเขา?
…ศรี
ชื่อนั้นผุดขึ้นมาราวกับจะปกป้องเขา ธันนะเม้มริมฝีปากก่อนก้าวออกจากร้าน เขากล่าวกับรุกข์โดยที่ไม่หันหน้าไปมอง
“นั่นสินะ… ใครกันล่ะ?”
“ตัวแกนะโว้ยอ้ายงั่ง!” รุกข์โวยวายอย่างโมโห ตัวธันนะไม่รู้อะไรนับประสาอะไรกับรุกข์ที่ไม่ใช่ตัวเขา ธันนะยิ้มมุมปากจากนั้นก็เอ่ยเบาๆ
“ศรี… เธอจะช่วยฉันใช่ไหม?”
ฟิ้ว…
สายลมพัดผ่านเอาคำตอบกลืนหายไปในแสงสลัวยามเย็น เบื้องหน้าเขามีเด็กหญิงเดินกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วย เธอสวมชุดเสื้อยืดกับโจงกระเบนทับด้วยผ้าไหมลายไทยสีแก่เป็นสไบและมีกระเป๋าสะพายห้อยอยู่ ผมยาวสลวยสีดำสนิทยาวถึงเอวดุจรัตติกาลนั้นดูงดงามนักประดับด้วยรัดเกล้สีเงินาฝังอัญมณีสีแดงเหมือนเลือดและปิ่นปักผมสีเงินรูปกนก ดวงตาสีดำนั้นฉายความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ช่างน่าค้นหาและน่ามองในเวลาเดียวกัน ใบหน้าขาวดุจดอกมะลินั้นมีสีฝาดแบบดอกกาสะลองระเรื่อน้อยๆ ดูนุ่มนวลน่าสัมผัส…
…ธันนะมองภาพนั้นอย่างเหม่อยลอยราวกับว่าเด็กหญิงคนนั้นมีมนต์สะกดให้ผู้พบเห็นต้องหยุดมองความงามของตน ริมฝีปากสีแบบดอกเล็บมือนางนั้นแย้มน้อยๆ ด้วยความยินดีเมื่อพบเด็กชาย ศรีกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาก่อนจะตบหน้าเขาเบาๆ
“ธันนะ เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” คำพูดนั้นเสมือนเวททำลายมนต์ ธันนะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้เย็นชาแก้เขินเมื่อรู้ว่าตนตกหลุมเสน่ห์เด็กหญิงคนนี้
ยายศรีเนี่ยอันตรายจริงๆ ไม่ได้ฆ่ายักษ์อย่างเดียวแต่โปรยเสน่ห์ไปทั่วเลย …น่ารักจริงๆ
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน
เมื่อกี้เราคิดว่ายายนี่มันน่ารักเรอะ! เกล้าผมจุกแต่งชุดแนวโบราณอย่างกับผีมันน่ารักตรงไหนเนี่ย!
ธันนะล่ะอยากเขกศีรษะตนเองสักร้อยที ดันคิดอะไรไม่เข้าท่า
นี่ก็ครั้งแรกที่เรามองแบบเต็มๆ ตา (เพราะที่ผ่านมาเราเอาแต่เชิดใส่อย่างเดียว)
ศรีเอียงคอน้อยๆ อย่างฉงนก่อนจะยิ้มหวาน รอยยิ้มนั่นทำให้ธันนะเผลอใจเต้นแรงขึ้นมา เขาพยายามไม่สบตาเธอเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าตนร้อนผ่าว
“สีหน้านายดูเหนื่อยจัง ดื่มน้ำมะพร้าวไหมจ๊ะอาจจะทำให้นายสดชื่นขึ้นก็ได้นะ” ศรีกล่าวอย่างเป็นห่วงก่อนจะยื่นแก้วดินเผาที่มีลวดลายดอกลีลาวดีให้ ธันนะมองมันสักพักก่อนจะหยิบแก้วมาดูดน้ำจากหลอด ศรียิ้มบางๆ เมื่อเห็นภาพนั้น ดูจากสีหน้าเขาแล้วดีขึ้นจริงๆ
ยายศรี ฉันรู้แล้วว่าทำไมพวกแววไพรกับพงสณะมันถึงรักเธอกันนักหนา ฮึ ก็เล่นทำแบบนี้ใครที่เขลาจะตกหลุมก็ไม่แปลก
หือ?
ธันนะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามือของยุพินลูบสะโพกศรีอยู่อย่างหลงไหล มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
“ศรี… ไปนั่งทานผัดซีอิ๊วกันเถอะ” ยุพินกล่าวเบาๆ ด้วยความหิวเพราะอยากทานศรีมากกว่าอาหาร ศรีไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้นเลยตอบรับไปด้วยรอยยิ้ม
“จ้ะ ธันนะนายก็ไปด้วยกันสิ” ศรีชวนเด็กชายไปด้วย ในขณะที่เขากำลังจะส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธยุพินก็จับข้อมือศรีไปที่ร้านทันที ธันนะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยตามไปด้วยอย่างมึนๆ
กลิ่นอาหารโชยอบอวลในร้าน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของลูกค้าและผู้คนภายนอกไม่ได้ทำให้สติของยุพินลอยกลับมา ตอนนี้สิ่งที่เธอคิดมีเพียงร่างอรชรนุ่มนวลน่าสัมผัสนั้นทำให้เธออดใจแทบไม่ไหว …น้ำลายเผลอไหลออกมา ศรีเห็นดังนั้นจึงหยิบกระดาษทิชชู่ของร้านเช็ดให้ ยุพินสะดุ้ง ใบหน้าของเธอเขินอาย เด็กหญิงเกล้ามวยผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“เหม่ออะไรเหรอจ๊ะ?” น้ำเสียงเป็นห่วงนั่นทำให้ยุพินใจเต้นแรงขึ้นมาและหน้าแดงกว่าเดิม ธันนะที่มองทั้งสองเงียบๆ ก็ไม่พอใจกระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ดูดน้ำอย่างเงียบๆ จากหลอดสีใส
ไปๆ มาๆ ดูเหมือนคนเจ้าชู้แฮะ มีความสุขมากนักหรือไงที่ทำให้คนอื่นใจเต้นแรง
ตึกๆ
มีใครบางคนเข้ามาใกล้ธันนะจากทางด้านหลัง เสไพรเข้ามาใกล้ธันนะก่อนจะดึงเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มานั่งแล้วเอ่ย
“ศรี ดูแลเจ้านี่ดีๆ ล่ะ มันเป็นเด็กดูแลตนเองไม่ได้”
“เอ๊ะ รู้จักชื่อฉันได้อย่างไรกัน ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?” คำถามซื่อๆ นั่นทำให้เสไพรหัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดู จนธันนะนึกหมั่นไส้ขึ้นมา เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เสไพรมองตามก่อนจะตอบโดยไม่หันมาคุยกับศรีดีๆ
“เสไพร พงพิษ”
“อ่า ฉันชื่อ---” เสไพรยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ศรีมองอย่างฉงน
“สังรศรี วีรสังฆะใช่ไหมล่ะ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ” ถามจบเสไพรก็หยิบแก้วของธันนะมาดูดอย่างไร้มารยาท จนเจ้าของที่นั่งไม่สบอารมณ์อยู่แล้วต้องมีอารมณ์เดือด
“อ้ายเสไพร!”
“อะไร? เป็นเพื่อนกันแบ่งนิดแบ่งหน่อยไม่ได้รึไง?” คำถามกวนๆ นั่นทำให้ธันนะแทบอยากจะยกเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาฟาดศีรษะคนก่อกวนใบหน้าบอกบุญไม่รับทำให้เสไพรหัวเราะ ศรียื่นมือจะไปห้ามแต่ก็ถูกยุพินรั้งไว้ พอหันไปก็พบกับใบหน้าเรียบเฉย
ฮึ! ก้างขวางคออย่างแกจะมาทำไมเนี่ยอ้ายธันนะ!
ยุพินไม่พอใจธันนะมาก แต่ก็ระงับอารมณ์ไม่ให้ตักอาหารที่ร้อนใส่ศีรษะธันนะ
ช่างเถอะ แค่ได้ลวมลามศรีก็ยังดี
เธอคิดพลางมองศรีที่กำลังแยกจานให้แต่ละคน ก่อนที่ตนเองจะทาน ทุกท่าทางของศรีสะกดให้ยุพินหยุดมอง ยุพินเห็นว่าบริเวณปากศรีมีคราบน้ำอาหารเปื้อนอยู่เลยอาศัยจังหวะนี้ดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดให้เพื่อสัมผัสผิวบางๆ นั่น
“ขอบคุณนะ”
“จ้า” ยุพินลอบยิ้มมุมปาก จะว่าไปนี่ก็เวลากลางคืนแล้วพาศรีไปที่เงียบๆ แล้วลวมลามต่อก็น่าจะดี แต่หวังว่าพอถึงตอนนั้นจะไม่มีมารผจญมาขวางล่ะ
จุ๊บ
ยุพินอดใจไม่ไหวเลยหอมแก้มศรีไปหนึ่งที เด็กหญิงเกล้ามวยผมหันมามองอย่างฉงนก่อนจะคลี่ยิ้มและหอมแก้มยุพินกลับไป ยุพินหน้าแดงและใจเต้นเร็ว …ตื่นเต้นและเขินอายที่คนที่ตนเองชอบมาทำแบบนี้ให้ด้วย ธันนะอ้าปากเหวอกับภาพนั้นส่วนเสไพรก็ยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจอะไรแต่ในใจเขานั้นลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ว่าเขาชอบศรีแต่เพราะอยากให้เธอคู่ครองกับธันนะ
ฮึ! ต้องเป็น พ สิที่จะได้หอมแก้ม ม
ไม่สิ สถานะตอนนี้ พ กับ ม ยังเป็นเด็ก ทำแบบนั้นคงไม่เหมาะ ถ้ายังไงผมจะช่วยนะครับ
เสไพรลอบยิ้มมุมปากเมื่อรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่พร้อมจะสังหารได้ทุกเมื่อ มาแล้วสินะ ตัวช่วย
“ก็ว่าหายหัวไปไหน ที่แท้ก็ลากศรีมามอมยานี่เอง” แววไพรแสยะยิ้มอย่างนึกเกลียดชัง พร้อมกับว่าวที่มองมาเหมือนจะเชือด ยุพินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะทานผัดซีอิ๊วอย่างสบายใจ ยิ่งไปกระตุกต่อมของเด็กหญิงสองคนมากขึ้น
“พูดแรงไปไหม? ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก!” กล่าวจบยุพินก็หยิบปืนขึ้นมาแล้วรัวนิ้วยิงไม่ยั้ง แววไพรกางร่มบ่อสร้างบังแล้วพุ่งตัวใช้แท่งเหล็กจะแทงแต่ก็ไม่โดน ศรีเริ่มกระวนกระวาย ลูกค้าต่างซุบซิบกันอย่างตื่นเต้นและกังวล แม่ค้าเริ่มโวยวายเมื่อเห็นว่าเด็กๆ จำทลายข้าวของร้านตน
“พอเถอะจ้ะ! ฉันขอร้องล่ะนะ!” ศรีตะโกนแข่งกับเสียงในงานและเสียงอาวุธปะทะกัน เสไพรหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มอย่างยินดีจนธันนะต้องมองอย่างสงสัยแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะความสุขมากที่ได้เห็นการทะเลาะแบบนี้
ทีนี้ พ และ ม ก็จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
เสไพรมองกลุ่มการต่อสู้นั้นที่กำลังจะออกไปต่อสู้ด้านนอกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในร้านให้มากกว่านี้ ธันนะเท้าแขนกับโต๊ะแล้วกุมหน้าผากด้วยมือสองข้างอย่างเหนื่อยใจ ศรีเองก็ไม่แพ้กัน จะตามไปก็คงห้ามไม่อยู่ ได้แต่ภาวนาในใจให้ใครสักคนมาหยุดศึกนี้
“อ๊ะ เพิ่งนึกได้ว่ามีร้านเปิดใหม่ ฉันขอตัวก่อนล่ะ” เสไพรกล่าวลาก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ธันนะและศรีมองตามอย่างฉงน
“ท่ะ ทานต่อเถอะจ้ะ”
ศรีเอ่ยก่อนจะทานอาหารต่อ ธันนะถอนหายใจกับชีวิตของเขาที่แต่ก่อนอยู่อย่างสงบ …แม้อดีตจะไม่ค่อยน่าประทับใจแต่ความอบอุ่นในครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวก็ทำให้เขาลืมมันไปได้บ้าง
…แต่ก็ไม่นานหรอก
ธันนะเผลอนึกถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยเกล้ามวยผม ตอนนี้เธอคงจำเรื่องนั้นไม่ได้แล้วล่ะ มันก็นานพอสมควร การที่เธอจะลืมก็ไม่แปลก
“ศรี เธอจำเรื่องนั้นได้ไหม?” ธันนะถามเบาๆ ศรีมองเขาอย่างฉงนก่อนจะยิ้มน้อยๆ แบบไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ?”
“ช่างเถอะ”
ที่ธันนะถามไปก็แค่ไม่มีอะไรจะคุย ศรีมองเขาสักพักแล้วก็ยิ้มแล้วก็ทานต่อดังเดิม เด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองสีสันไฟจากร้านต่างๆ ที่เปล่งแสงท่ามกลางความมืดที่กลืนกินทุกสิ่ง
เสไพรมองทั้งสองคนจากด้านหลังร้านข้างๆ เขายิ้มอย่างเหนื่อยใจ อุตส่าห์หาโอกาสให้อยู่กันสองต่อสองยังไม่คว้าโอกาสเลย
แทนที่น้ำขึ้นแล้วจะรีบตักนะ พ
“เฮ้อ! แย่จังว่ะ ถ้าข้ารีบไปก็คงดีดอก” เด็กชายสวมเสื้อสีน้ำตาล ผมชี้ปลายแหลม ตาสีทองหม่นๆ ดูสะดุดตานั้นมองขนมในมือตนอย่างหงุดหงิด เพื่อนเขาที่แต่งชุดแบบชาวไทลื้อตาม่วงหัวเราะกับสีหน้าของเพื่อนตน
“เอาน่า อย่างน้อยท่านลำดวลก็มีน้ำใจแบ่งให้เรานะ เจ้าไปวิ่งรอบพื้นที่บ้านท่านเสือโคร่งกลับมากินอะไรหวานๆ ก็คงจะดี”
“หวานแบบนี้มิอยากกินดอกว่ะ มีถั่วอะไรก็มิรู้ เอียนชะมัด ข้าล่ะเกลียดขนมแบบไทยจริงๆ เซ็ง!” ศรีที่นั่งทานอย่างสงบก็มีอันต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนธันนะตกใจ
แก… แกดูถูกขนมไทยเรอะ!
รังสีสังหารแผ่ปกคลุมจนลูกค้าโต๊ะข้างๆ หน้าซีด ธันนะมองเธออย่างหวาดกลัว เหมือนตอนนั้นที่เขาดูถูกผู้หญิงเลย ศรีมองเด็กชายที่ดูถูกขนมไทยอย่างอาฆาต ก่อนจะกระโดดขึ้นเก้าอี้และกระโดดถีบเด็กชายตาสีทองอย่างแรง สร้างความตกตะลึงและตกใจให้แก่ลูกค้าและเด็กชายทั้งสอง
เด็กชายชาวไทลื้อก้มดูกระวนกระวายที่เพื่อนตนบาดเจ็บแต่เขารู้สึกถึงรังสีอำมหิตจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีม่วงดั่งดอกอัญชันสบกับดวงตาสีดำดุจรัตติกาลที่เย็นยะเยือกราวกับนรกโลกันต์ที่พร้อมจะแข็งให้เด็กชายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง เด็กชายตาสีทองยันกายขึ้นก่อนจะตวาดใส่ศรีอย่างเดือด
“เอ็งเป็นใครวะถึงมาถีบข้าน่ะ!!”
“เป็นใครไม่สำคัญเท่าที่แกมาดูถูกขนมชาติตัวเอง!!”
นั่นไง ศรีของขึ้นแล้วไหมล่ะ!
“อะไรวะ?” เด็กชายตาสีทองขมวดคิ้วอย่างฉงน ศรีแสยะยิ้มราวกับยักษ์ที่เจอมนุษย์ตัวจ้อย
“ดูท่าจะไม่เข้าใจสินะจ๊ะ?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ