ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
35) บทที่ ๓๕: เก็บความลับไว้ต่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เก็บความลับไว้ต่อ
.
.
.
ศรีซัดเด็กชายตาสีทองไปสามทีแล้วก่อนจะลากเขามาที่ไม่ค่อยมีผู้คน ธันนะและเด็กชายเผ่าไทลื้อตามด้วย ใจจริงไม่อยากมาหรอกแต่กลัวศรีจะเป็นอะไรไปก็เลยมาด้วย …แต่ท่าทางเด็กชายจะน่าเป็นห่วงมากกว่าเธอเสียอีก
พลั่ก!!
ตุบ!!
ผัวะ!!
“อั่ก!!” ร่างเด็กชายตาสีทองกระเดนไปนอนกับพื้น ศรีก้าวไปหาก่อนจะเหยียบท้องเขาแล้วขยี้กดๆ เข้าไปแล้วเธอก็กระแทกส้นเท้าใส่ท้อง ธันนะกับเพื่อนของเด็กชายมองอย่างเสียวสันหลัง
“ข้าขอถอนคำพูด! ข้าผิดไปแล้ว!!”
“ดี!” ศรียิ้มอย่างน่ากลัว เด็กทั้งสามมองสภาพเด็กชายอันน่าสยดสยอง (?) อย่างขนลุก
ศรี… ฉันไม่นึกเลยนะว่าเธอจะน่ากลัวขนาดนี้น่ะ
ใบหน้าที่อยู่ในเงามืดค่อยๆ กลับมาอยู่ในแสงสว่าง รอยยิ้มพึงพอใจวาดขึ้นก่อนจะยิ้มกว้าง
“งั้นเราไปเดินเล่นต่อเถอะจ้ะ”
เด็กชายชาวไทลื้อเข้ามาพยุงร่างเพื่อนแล้วจากไปพร้อมๆ กับที่พวกศรีกลับเข้าไปในงาน
“ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ ข้าว่าข้าเก่งสุดแล้วนะ แต่ยายนั่นเก่งมากเลยว่ะ ผู้หญิงอะไรแรงเยอะอย่างกับยักษ์!” เด็กชายตาสีทองไม่พอใจมาก เพื่อนชาวไทลื้อมองเขาแล้วยิ้มเยาะ
“เจ้าผยองมากเกินไปจนประมาทอย่างไรล่ะ ข้าจะบอกอะไรให้ ผู้หญิงสมัยนี้แกร่งกว่าผู้ชายเช่นเรามาก …หมายถึงบางคนนะ”
“เฮอะ!” เด็กชายสบถอย่างหงุดหงิดและแค้นในเวลาเดียวกัน
คอยดู หากเจอกันอีกทีข้าเอาจริงแน่!
เป็นห่วงท่านซอจัง
อรัญญิกมองหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นางพยายามไม่หันไปอีกด้านเพื่อนที่จะได้ไม่เห็นมณฑา ในหัวนึกถึงแต่ซอซึ่งไปไหนก็ไม่รู้ มณฑามองแผ่นหลังในชุดผู่ป่วยก่อนจะกวาดสายตาไปมองรอบห้องพยาบาล ในห้องพื้น ผนัง เพดานทำจากไม้ ช่วยให้ห้องดูอบอุ่นต่างจากที่ทำด้วยปูน สายตากลับมาจ้องอรัญญิกอีกครั้ง ดวงตาสีส้มบัดนี้เยือกเย็นนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นและเจ็บใจ ทำไมนางถึงต้องไล่ตามซอขนาดนี้
ฉันอยากให้เธอลิ้มลองความขมขื่นจริงๆ ซอ!
“มิคิดจะคุยกับฉันหน่อยฤ?”
“…”
มณฑาแสยะยิ้ม พลางนึกว่าอรัญญิกจะทนไปได้สักกี่น้ำ จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของซอที่เดินเข้ามา อรัญญิกที่ได้ยินเสียงประตูเปิดก็รีบหันมาด้วยความดีใจ ซอยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวโดยที่ไม่คิดจะสนใจมณฑาซึ่งจดจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“ดีขึ้นฤๅยัง?”
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ …เอ่อ ท่านซอ ขอถามได้ไหมเจ้าคะ” ซอเลื่อนเก้าอี้มานั่งแล้วยิ้มบางๆ ให้เป็นเชิงว่าถามได้
“เด็กที่ชื่อศรีบาดเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมยังรอดล่ะเจ้าคะ?”
“ศรีเป็นสายเลือดอมตะเลยมิเป็นไรน่ะ แต่น่าแปลกนะ เป็นคนมิติสามัญมิน่าจะมีนี่” อรัญญิกขมวดคิ้ว ซอเห็นดังนั้นจึงอธิบายต่อ
“ฤๅว่าคนที่มิติผกายนี้จะออกไปสร้างเรือนที่มิติสามัญ”
“แต่มีเรื่องที่น่าสงสัยกว่านั้นเจ้าค่ะ” สีหน้าของอรัญญิกจริงจังกว่าซอ ทำให้ซอที่กำลังจะยิ้มสบายๆ ต้องหน้าเคลียดไปด้วย อรัญญิกเห็นแบบนั้นเลยกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะที่ทำให้บรรยากาศเสีย แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากปล่อยไปอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ในภายหน้า โซค่อนโทรฯ มาบอกข้าว่าศรีมีเนตรประจำตระกูลน่ะเจ้าค่ะ”
“เนตรประจำตะกูล?” ซอทวนคำนั้นอย่างสงสัย อรัญญิกพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ย
“เนตรยันต์มรณะ เป็นเนตรที่จะมีเพียง ๕ คนในตระกูลที่จะมีมาแต่กำเนิด เนตรนั้นหากไม่ได้รับการฝึกฝนที่ดีพอจะควบคุมไม่ได้จึงต้องมีของที่ลงอาคมติดตัวไว้ หากออกห่างเมื่อใดเนตรก็จะตื่น ช่างน่าแปลกใจจริงๆ เจ้าค่ะ รัดเกล้ากับปิ่นปักผมที่ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตัวผนึก แต่ไยเนตรถึงตื่นล่ะเจ้าคะ”
เงาเริ่มบดบังใบหน้าซอ อรัญญิกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยเขยิบกายไปหาซอ หญิงสาวสูงศักดิ์ที่รอโอกาสนี้รีบประกบริมฝีปาก ลิ้มรสความหวานบนริมฝีปากอย่างกระหาย อรัญญิกแตกตื่นแล้วพยายามดันร่างให้นายตนออกห่างแต่ซอก็กดศีรษะอรัญญิกให้แนบกับเตียงแล้วบดขยี้ มณฑาอ้าปากเหวออย่างตะลึงแต่ก็กลับไปยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ท่ะ ท่านซอ… อื้อ!” ซอสอดลิ้นเข้าไปแล้วไล้เลียเนื้อภายในอย่างสนุก หญิงสาวถักเปียหมดแรงเพราะรสจูบและการเล้าโลมของอีกฝ่ายที่ลูบไล้ร่างกายตน
ก็มืดแล้วน่ะนะ แต่อย่าลืมละกันว่าฉันยังอยู่
มณฑามองทั้งสองอย่างเพลิดเพลินราวกับว่าดูละครรอบค่ำ เมื่อซอออกห่างจากอรัญญิกแล้วมณฑาก็เอ่ยขึ้น
“หวานแหววจังนะ ลืมไปแล้วฤว่าฉันอยู่ที่นี่น่ะ”
“…” หญิงสาวทั้งสองยังไม่เอ่ยอะไร มณฑาคลี่พัดออกก่อนจะโบกให้ลมปะทะหน้าตน แม้ในห้องจะมีเครื่องปรับอากาศแต่นางก็ชอบแบบนี้มากกว่า
“ทำเป็นเงียบ ยโสจริงนะเธอน่ะ”
“เพราะเหตุใดเจ้าต้องคอยราวีข้าอยู่เช่นนี้” ซอไม่ตอบแต่ถามพร้อมกับจ้องหญิสาวผมหยักศก มณฑายิ้มแฝงไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาสีส้มจ้องกลับไปอย่างเคียดแค้น
“ก็รู้อยู่ดอกว่าอยู่มาเป็นร้อยๆ ปีแล้วจึงทำให้ลืมง่าย แต่เรื่องนี้เธอมิน่าจะลืมกันง่ายๆ เลยนะ”
“เรื่องอันใด?”
“ซอ เธอหยามฉันมากเลยนะ” ซอหุบพัดก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาซอที่ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ดวงตาของนางแฝงไปด้วยความกังวลและไม่พอใจที่มณฑายังตอแยตนเองไม่เลิก
“ก็แล้วเรื่องเรื่องอันกัน---”
เพี๊ยะ!!
ยังไม่ทันถามจบมณฑาที่เดินมาใกล้ก็ใช้พัดตบหน้าซอไม่ยั้งมือ สร้างความตกตะลึงให้กับซอและอรัญญิก หญิงสาวถักเปียกัดริมฝีปาก ร่างกายสั่นเพราะความโกรธที่มีคนมาทำร้ายนายตน อรัญญิกไม่รอช้า หยิบดาบขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอของมณฑาข้ามไหล่ซอ นางถามเสียงรอดไรฟัน
“กล้าดีเยี่ยงไรมาทำร้ายท่านซอ!!”
“หุบปาก! ไปถามซอเถิดว่านางเคยทำอะไรกับฉันบ้าง!!” มณฑาตะคอก นางข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ซอหันกลับมาพร้อมกับลูบแก้มตนเบาๆ ดวงตาเหม่อลอยไปที่พื้น หูรับฟังคำต่อไปพร้อมกับหวนนึกถึงอดีตไปด้วย
“นางซอมันหลอกฉัน---! สะใจมากนักใช่ไหมที่เห็นฉันโดนลงทัณฑ์แล้วมาเล่นกับฉันทุกวี่วันอย่างหน้าตาเฉย เธอทิ้งฉันไปมิพอ แต่เธอกลับเพิกเฉยฉันราวกับว่าฉันเป็นของเล่นขยะที่ใช้แล้วก็ทิ้ง!!”
ซอยกมือขึ้นเป็นเชิงว่าอย่าทำร้ายแล้วมองมณฑาที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ความโกรธที่พุ่งออกมาราวกับลาวาที่จะละลายทุกสิ่ง ใบหน้าแบบเอเชียผสมกับยุโรปนั้นบิดเบี้ยวเพราะอารมณ์ที่เดือดขึ้น ซอเงียบ สักพักนางก็ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยอย่างเหม่อลอยราวกับคนที่จมปรักกับอดีตในความฝัน
“นั่นสินะ ตอนนั้นเจ้าน่าสนใจมาก และก็น่ารักเหมือนตุ๊กตาตะวันตกมากเลย จากตอนแรกที่ข้าแค่อยากเล่นเพราะเบื่อชีวิตที่กิน นอนและก็ฝึกเล่นดนตรีไปวันๆ นับวันก็ยิ่งอยากอยู่กับเจ้า”
“…” มณฑาเงียบบ้าง ริมฝีปากงดงามถูกกัดจนเลือดน่าลิ้มรสซึมออกมา ซอหรี่ตาลงแล้วเอ่ยต่อ …เสียงของนางช่าวแผ่วเบานัก
“ข้ามีอรัญญิกมิพอเลยไปหาเจ้าแทบจะทุกวัน โกหกว่ามีธุระแต่จริงๆ แล้วก็ไปหาเจ้า” อรัญญิกหลุบตาลงด้วยความน้อยใจที่ซอโกหก
“…”
“…นี่คือเรื่องของเรา” ซอกล่าว มณฑาจ้องนางราวกับจะฉีกกระชากให้เลือดเนื้อสาดทั่วห้องพลางถาม
“แล้วอย่างไร?”
“ข้าทนมิไหวกับการที่เจ้าถูกซ้อมอย่างเข้มงวด มันทำให้เจ้ามิอาจมาพบข้าได้สะดวก …ข้าเลยสังหารมารดาเจ้า”
“!” อรัญญิกหน้าซีด หญิงสาวผู้งดงามและอ่อนโยนไม่น่าจะทำเรื่องอันน่าโหดร้ายและบาปหนาอย่างการปลิดชีพแม่ผู้อื่นได้ แต่ก็นั่นแหละความจริง มณฑายิ้มเยาะพร้อมกับจ้องตานางเข้าไปลึกๆ เพื่อเค้นความจริง
“หึๆๆ! นี่สินะด้านมืดของเจ้า อ้ายสารเลวอย่างเธอมันก็มีดีแค่รูปโฉมและก็ปัญญา! ว่าอย่างไร ไปรับโทษตัดหัวดีไหม!!” ความโกรธทะลักออกมาราวกับน้ำพุที่กระจายตัวอย่างรุนแรง น้ำตาเอ่อคลอเพราะความโศกเศร้าที่แม่ตนถูกปลิดชีพ เงามืดทาบทับบนใบหน้า อรัญญิกและซอรู้สึกถึงจิตสังหาร บรรยากาศห้องเริ่มเย็นเชียบ
“…”
“…ฮึก ฮึก หึๆ… เรื่องนั้นฉันก็แค้นอยู่ดอก… ฮึก แต่เรื่องที่ข้าแค้นยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่เจ้าทิ้งข้าไปแล้วมิกลับมาอีกแถมพอเจอหน้ากันก็ผ่านฉันราวกับว่าฉันเป็นเศขยะ! ซอ......... เธอมีอะไรจะแก้ตัวไหม!!”
“…”
“ทำไมเธอถึงเย็นชากับฉัน?” มณฑาลดเสียงให้ไฟมอดลง น้ำเสียงเย็นเยียบนั่นทำให้ซอรู้สึกใจหาย ทว่านางก็ไม่แสดงความรู้สึก นางตอบคำถามนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ข้ามิได้เกลียดเจ้านะมณฑา แต่ข้ามิมีหน้าสู้หน้าเจ้าอย่างไรล่ะ”
“…” คราวนี้เป็นมณฑาบ้างที่เงียบเพื่อจะฟัง
“เหตุการณ์นั้นทำให้ข้าถูกไล่ออกจากสำนักดนตรีของท่านแม่ โชคดีที่ท่านเมตตาข้าเลยให้เงินจำนวนหนึ่งและมอบเรือนให้ข้าได้สร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อมิต้องระเหเร่ร่อนอย่างน่าสมเพช หลายครั้งที่ข้าพยายามคุยกับเจ้า แต่เพราะเจ้าได้เป็นนายิกานั่นทำให้ข้ามิกล้าสู้หน้าเจ้าเพราะกลัวว่าจะทำให้เจ้าทนเห็นหน้าข้ามิได้อาจลงมือสังหาร …แต่ ข้าก็สมควรได้รับโทษนี่นะ………”
“…”
“…เพราะงั้น…” ซอยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้ามณฑาอย่างทะนุถนอม สร้างความแปลกใจให้แก่เจ้าตัวและอรัญญิกมากเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะทำอย่างเป็นมิตรกับมณฑา ซอเอ่ยเบาๆ ราวกับว่าอยากให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ลงทัณฑ์ข้าสิ ข้าพร้อมแล้ว …ทีนี้เจ้าจะได้สบายใจอย่างไรล่ะ…”
“มิได้นะเจ้าคะ!”
“อรัญญิก! หยุด!” คำนั้นเฉียบขาดและหนักแน่นนักทำให้ผู้น้อยเช่นอรัญญิกต้องตัวแข็งเพราะหวาดกลัวและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน …นางมิอาจขัดคำสั่งนายตนได้
ได้แต่มองกระต่ายเข้าถ้ำเสือ
“…งั้นก็”
“…”
“คืนนี้กลับไปนอนกับฉัน”
“!” อรัญญิกเบิกตากว้างเพราะคาดไม่ถึง มือกำแน่นอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถึงทำได้ซอก็คงไม่ให้นางทำแน่ มณฑาเปลี่ยนสีหน้าด้านลบมาเป็นด้านบวกพลางยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก
มิยอมแน่
“ตกลงตามนั้น คืนนี้ข้าจะไปนอนกับเจ้า”
“ท่านซอ…” อรัญญิกเอ่ยเสียงแผ่ว มณฑาเลิกคิ้วสูงแล้วหัวเราะในลำคอ
“เจ้าต้องยอมนะ”
“ข้าล่ะปวดหัวกับยายสามคนนี้จริงๆ ทะเลาะกันได้ทุกทีที่เผลอ” ขนมชั้นเอ่ยอย่างเหบื่อหน่ายในขณะที่โซค่อนและซีอาห์หัวเราะราวกับชมละครตลกก็ไม่ปาน ขนมชั้นเห็นดังนั้นจึงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ยังขำอีกเรอะ!”
“ฮ่ะๆ” ดูเหมือนจะหยุดไม่ได้ขนมชั้นเลยถอนหายใจแล้วหยิบขนมเบื้องใส่ปากทานต่อ แล้วมองการปะทะอาวุธและแม่ไม้มวยไทยตามที่เด็กหญิงสามคนเคยร่ำเรียนมา
อยากรู้จริงว่าศรีมันทำยาเสน่ห์ใส่ฤๅอย่างไรพวกมันถึงคลั่กรักจนต้องฆ่าแกงเพื่อให้ได้มา
“โธ่ น้องสาวข้า ผู้ชายดีๆ มีอีกถมเทไปต้องมาแย่งผู้หญิงเพียงคนเดียวที่แต่งตัวอย่างกับผีมิมีผิด” ปักเป้าเองก็หดหู่ไม่แพ้ขนมชั้นเช่นกัน ขนมชั้นเลยตบหลังเขาเป็นการปลอบ ระหว่างนั้นเองเฉาก๊วยก็โบกมือเรียกท่ามกลางลูกค้าที่นั่งล้อมบ่อปลาก่อนจะตโกน
“นี่! มาตักปลาแก้เคลียดกันไหม?!”
“ขอบใจ แต่ข้ามิอยากเล่นน่ะ!” ขนมชั้นตะโกนตอบกลับเพื่อนตน เฉาก๊วยทำหน้าซึมก่อนจะบริการลูกค้าต่อไป
คาตานะกับเสไพรยืนอยู่หลังต้นไม้พลางมองเด็กกลุ่มนั้นด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“สองคนนั้นจำอะไรได้ไหม?” คาตานะถาม “ดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลย” เสไพรตอบอย่างกังวล คาตานะยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย
“เอาเถิด นี่แค่จะเริ่มนะ สงครามมันกำลังจะเริ่ม รีบทำให้พวกเขาจำได้ละกันเผื่อชีวิตของพวกเขาถูกพรากไปแล้วจะไม่ได้พูดคำนั้น”
“…อือ”
คำที่อยากบอกกับพวกเขานั้นเขาเก็บมันไว้ในใจมาหลายปี รอให้เกิดมายังชาติหน้าเพื่อที่จะได้บอกอีกครั้ง อ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นราวกับความฝันที่ยากจะตื่นขึ้นมา เสไพรกำมือแน่นแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น คาตานะมองด้วยความสงสาร แต่เขาก็ไม่ได้ปลอบอะไร ได้เพียงแต่มองท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่แสนจะมืดมิดเพื่อวิงวอนให้เธอและเขาคนนั้นจำเรื่องราวชาติก่อนๆ ได้เสียที
บทที่ ๓๖
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ