ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) บทที่ ๒๗: โกมุท อดีตตำนานการล่มสลายของโรงเรียนราชพฤกษ์วิทยาคม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๒๗
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
โกมุท อดีตตำนานการล่มสลายของโรงเรียนราชพฤกษ์วิทยาคม
ดูเหมือนบทสนทนาจะถามเกี่ยวกับย่าศรีเป็นส่วนใหญ่ ศรีตอบอะไรไม่มากนักเพราะเรื่องของย่าเธอเองก็ไม่ค่อยได้ยินเลย
“แปลก… เพราะเหตุใดเรื่องของย่าเจ้าถึงมิค่อยมีใครรู้เลยล่ะ” จารุเอ่ยด้วยความสงสัย
“แปลกอย่างไรเหรอ?” ศรีถาม “แต่ก่อนเรื่องของย่าเจ้าใครๆ ก็รู้ ข้าจึงแปลกใจน่ะสิ”
รพิมองทั้งสองอย่างฉงน
พี่ศรีไม่รู้ก็ไม่แปลกแต่พวกผู้ใหญ่ก็รู้แต่ทำไมถึงไม่ยอมเล่าให้พี่ศรีฟังล่ะ
“อ่า… ดูเหมือนนายจะรู้เรื่องของย่าฉันดี งั้นช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมจ๊ะ” ศรีกล่าว
“ก็ได้อยู่ดอกนะ แต่เรื่องที่ข้ารู้มันเป็นจริงฤๅเปล่าก็อีกเรื่อง เพราะข้ากับโกมุทเองก็เคยรู้จักกัน แต่พอนางมีอายุได้๑๒ ปี ข่าวคราวของนางก็มิค่อยมีใครรู้”
ศรีและเพื่อนๆ ของเธอจับจ้องไปที่จารุเพื่อฟังเรื่องที่เขาจะเล่า
“ช่วงนั้นระหว่างที่นางยังเรียนอยู่ประถม เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ภูตผีที่หลุดจากนรกเข้าทำร้ายผู้คนไปทั่ว โดยเฉพาะนักเรียนล้มตายไปจำนวนมาก วิญญาณพวกเขาถูกวิญญาณจากนรกกลืนกินจนเป็นพวกเดียวกับมันและทำร้ายนักเรียนที่ยังมีชีวิตอยู่
ทางโรงเรียนและคุณครูทุกท่านก็พยายามจะช่วยแต่พวกมันมีมากและร้ายกาจกว่าที่คิดพวกคุณครูจึงตายตาม ในปีนั้นการศึกษามิเหมือนสมัยนี้… หมายถึงมิติผกายนะ แต่ก่อนภาคปฏิบัติอย่างการจับอาวุธต่อสู้ก็ให้เริ่มใช้เมื่อขึ้นมัธยม ส่วนประถมจะศึกษาเกี่ยวกับคาถาอาคมแทน กระนั้นก็ยังเรียนวิชาอื่นด้วย เพราะเหตุนี้ทำให้นักเรียนประถมตายมากกว่านักเรียนมัธยมและนักศึกษา
อย่างไรเสียพวกคาถาอาคมมันก็ยากกว่าการต่อสู้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เพราะต้องจำคาถา เป็นเรื่องที่รู้ดีว่าเป็นภาษาอื่นเลยจำยากและต้องตั้งสมาธิสูงอยู่ นักเรียนประถมคนไหนต่อสู้ด้วยอาวุธที่ลงอาคมก็ดีไป เพราะบางบ้านก็สอนมาอยู่แล้วแต่คนที่มิเคยสิที่จะแย่
คุณครูและนักเรียนบางคนพยายามจะทำพิธีกรรมในการส่งวิญญาณไปยังนรก แต่โชคร้ายที่พิธิกรรมแบบนั้นมันต้องใช้เลือดของผู้ทำพิธีสังเวย หากไม่แกร่งจริงเสียเลือดไปมากก็มิรอดแน่ คุณครู นักศึกษา และ นักเรียนที่ทำแบบนั้นจึงล้มตาย
แต่น่าแปลก… มีเพียงนักเรียนหญิงคนเดียวที่สามารถทำอย่างที่ข้าเล่าได้ทุกอย่าง แม้จะเสียเลือดเนื้อไปมากก็ยังมีชีวิตรอด… โกมุทนั่นเอง นางใช้ดาบที่แปลงจากปิ่นปักผมของตระกูลมากำจัดวิญญาณร้าย นางเองก็เป็นนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุดในระดับชั้น และด้วยความที่ตระกูลนางเป็นตระกูลที่ขึ้นชื่อคาถาอาคมและวิชาการต่อสู้ไทย โกมุทจึงได้รับการศึกษามามากพอสมควร ด้วยเหตุนั้นทำให้นางรอดมาได้
อ้อ จริงสิ มีอีกคน เด็กชายที่เป็นคู่หมั้นโกมุท ปู่ของศรี ลินจง เขาได้อันดับสองนักเรียนที่เรียนเก่งในระดับชั้น เขาต่อสู้คู่เคียงกับโกมุทมาโดยตลอด เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างเรื่องนี้ก็ยังคงฝ่าฟันไปกับโกมุท
กระนั้น บุคลากรในโรงเรียนก็ยังล้มตายลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ… จนสุดท้ายก็แทบจะมิเหลือใคร นักเรียนระดับชั้นอนุบาลตายทุกคน ป.๑ ป. ๒ ตายมิเหลือใคร ป. ๓ มีมิถึง ๑๐ คน ป. ๔ และป. ๕ มีมิถึง ๒๐ คน ส่วน ป. ๖ ก็มิมิถึง ๓๐ คน นอกนั้น มัธยมและนักศึกษามีมิถึง ๘๐ คน จำนวนนี้นับเป็นระดับชั้น ลองคิดดูละกันว่ามันร้ายแรงเพียงใด ส่วนคุณครูก็มมิถึง ๖๐ ท่าน”
“…”
ไม่อยากจะเชื่อ นั่นคือความคิดของทุกคน ไม่คาดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ นักเรียนเสียชีวิตไปมากจนน่าใจหาย
…ช่างโหดร้ายเหลือเกิน…
“เรื่องมิได้จบเพียงนั้น โกมุทได้ตัดสินใจทำพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งหากดวงมิแข็งจริงก็ต้องตายแน่ เพื่อนๆ ของนางซึ่งอยู่ชั้น ป.๖ รวมตัวกันทำพิธี สังเวยโลหิตวิญญาณ มันร้ายแรงกว่าพิธีที่นักเรียนคนอื่นๆ ทำ นักศึกษาและคุณครูเองก็เข้าร่วมพิธีด้วย แม้บางคนจะล้มตายเพราะทนพลังของพิธีกรรมมิไหว
แล้วในที่สุดเรื่องมันก็จบลง …เหลือเพียงความเงียบวังเวง และเลือดที่หนองเต็มไปหมด ทุกคนที่มีชีวิตรอดถูกเรียกให้ไปรวมตัวกันที่โรงพลศึกษา และทำพิธีสวดส่งวิญญาณคุณครูและนักเรียนที่เสียชีวิต
ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านเหลือเพียงโกมุทเท่านั้นเพราะถูกเรียกตัวส่วนลินจงก็ตามไปด้วย โกมุทถูกสั่งให้ออกจากโรงเรียน แต่ลินจงไม่ยอมจึงขอลาออกด้วย”
“ทำไม… ถึงโดนไล่ออกล่ะ” ศรีเอ่ยอย่างกังวล เพื่อนๆ ของเธอเองก็เช่นกัน
จารุมองพวกเธอปราดหนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เรียบ
“นอกเหนือจากนี้ข้าก็มิรู้อะไรแล้ว”
คำตอบนั้นทำให้เหล่าเด็กประถมทำหน้าเศร้า จารุมองพวกเขานิ่งๆ แต่ดูเหมือนเขาจะนึกเรื่องที่ลืมไปสนิทได้จึงกล่าวขึ้นมา
“เอ้อ… เจ้ากับเด็กชายนั่นน่ะ เพิ่งมาใหม่ อยู่ที่มิติสามัญสินะ จึงมิรู้จักข้าน่ะ” จารุเอ่ยกับศรีและธันนะ
“ก็… รู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ ชื่อของนายก็คือจารุ” ศรีมองเขาอย่างฉงนแต่นั่นทำให้จารุถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะเขาถูกเขาใจผิดบ่อยอยู่เหมือนกันในเรื่อง......
“เฮ้อ! อีกคนแล้ว จะบอกอะไรให้ประดับสมองหน่อยเถิด ข้ามีอายุเลย ๑๐๐ ปีแล้ว เพราะฉะนั้นจงเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกข้าซะ”
“ต่ะ! ต้องขอโทษด้วยค่ะลุง” ศรียกมือไหว้ด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด แต่คำว่าลุงที่เธอเรียกจารุทำให้เขาเดือดขึ้นมา
“มิใช่! เรียกข้าว่าท่านสิ!”
บทสนทนานั้นทำให้เหล่าเด็กๆ หัวเราะคิกคักซึ่งศรีก็พลอยขำไปด้วย จารุหงุดหงิดเพราะเด็กพวกนั้นจึงหยิบกาน้ำลายกนกเขวี้ยงอย่างแรงใส่เฉาก๊วยซึ่งนั่งหน้าสุดทำให้เด็กชายผมเกรียนหงายหลังตึงทับบรรพตซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ทั้งสองร้อยโอดครวญ
“อะไรครับท่านจารุ! ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”
“เจ้าและเพื่อนๆ หัวเราะข้า!” จารุเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ก็หัวเราะกันทุกคนแล้วทำไมถึงมาลงที่ผมล่ะ!
“ก็เพราะว่าเจ้านั่งหน้าสุดอย่างไรล่ะ มันลงโทษง่ายดี”
“โห อะไรอะ!”
หลังจากนั้นบรรพตก็ตบเฉาก๊วยและบ่นด้วยเสียงที่เหมือนผู้ชาย เฉาก๊วยบ่นว่า “อะไรอีกเนี่ย” และโต้กลับเพื่อนๆ ขำทั้งสองไม่สนใจจารุที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับคนเดียว เขานั่งคิดเรื่องศรี
หนอยแน่ะ ข้ายังมิคิดบัญชีที่เจ้าทำเลยนะศรี ถึงเจ้าจะมิได้ก่อเรื่องเดือดร้อนแต่เจ้าก็เป็นเหตุที่ทำให้มีเรื่อง ถึงจะเป็นหลานโกมุทข้าก็มิปล่อยไว้ดอกนะ!
โกมุท
นั่นสินะ… ป่านนี้เจ้าจะไปเกิดเป็นอะไรนะ หลายปีแล้วที่เรามิได้พบกันเลย
ฤๅเจ้าจะยังมิไปผุดไปเกิด?
ณ บนหลังคาเรือนไทยผสมตะวันตกสวยงามมีเหล่าเด็กต่างชาติยืนอยู่โดยที่มีเด็กชายผิวสีคล้ำเชื้อชาติไทยเป็นคนนำ
“แหม โซค่อนเนี่ยตื่นสายจริงๆ นะ อย่างนี้ฟ้องครูคาดีน่าดีกว่าเนอะ” เด็กหญิงผมสีฟ้าสวมชุดยูคาตะสีเรียบๆ เอ่ยอย่างขบขันพลางมองไปที่กลุ่มเด็กๆ เบื้องล่างในอีกเรือน
“ก็แล้วแต่เจ้านะ หึๆ…” เสียงเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ของเด็กหญิงผมสีทองเหลืองเกล้าสองแกะต่ำเป็นลอนสวยห่มสไบและผ้าถึง สะโพกของเธอมีปืนสีเงินอยู่ด้วย
“ชิโนโกะ อัมพุ เงียบๆ หน่อย ข้ากำลังใช้ความคิด” เด็กชายผิวคล้ำนามศารทูลเอ่ยกับเด็กหญิงทั้งสอง แต่กระนั้นพวกเธอก็ยังไม่หยุดยังหยอกล้อศารทูลอีก
“จริงจังไปไหม?” เด็กหญิงผมสีฟ้าเจ้าของนามชิโนโกะล้อเลียนศารทูล เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะหยิบดาบและกระแทกด้ามของมันลงศีรษะเธอ
“จะมิให้ข้าจริงจังได้อย่างไร นี่มันเรื่องสำคัญเลยนะ”
ชิโนโกะกุมศีรษะลูบป้อยๆ พลางฟังไปด้วย
“ถ้าเรื่องดาบอรัญญิกล่ะก็จะไปกังวลทำไม? ในเมื่อนี่มันเรื่องของทางนั้นส่วนเราก็แค่มาช่วยสืบหาเบาะแสก็เท่านั้นเอง” เด็กหญิงผมสีทองเหลืองเจ้าของนามอัมพุเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“แม้มันจะมีผลต่อกรุงศรีอยุธยาแต่มันก็ส่งผลต่อทั้งประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของข้ากับเจ้านะ!” แน่นอนว่าอัมพุเองก็เป็นคนไทยแต่เป็นลูกครึ่งอังกฤษด้วย นั่นเองที่ทำให้เธอเงียบ
“ก็จริงอยู่หรอกนะที่ศารทูลพูดน่ะ แต่ลองดูนี่ก่อนเป็นไง” เด็กชายผมสีน้ำเงินสวมเสื้อโค้ทสีน้ำเงินเชื้อชาติฟิลิปปินส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ศารทูล เด็กชายผิวคล้ำรับมันไว้ก่อนจะคลี่อ่าน
“…”
“ข้าว่ามันไม่ใช่การลักดาบแบบจริงจังหรอก แค่ดูเหมือนจะเชื้อเชิญให้ไปหาเสียอย่างเดียวมากกว่านะ แต่เหตุผลเพราะอะไรเรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้”
“ในเมื่อเจ้าดูออกแม้จะยังแค่คาดเดาแต่ทำไมนายิกาถึงมิแคลงใจล่ะ?” ศารทูลทำหน้าไม่เข้าใจพลางจดจ้องที่ใบหน้าของเด็กชายผมสีน้ำเงิน
“ก็คงบางท่านแหละ แต่ถึงจะรู้อย่างไรเสียถ้าไม่ตามจับก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมผู้ลักดาบถึงต้องทำแบบนี้”
น้ำเสียงราบเรียบของเขาช่างขัดกับน้ำเสียงร้อนรนของเด็กชายผิวสีคล้ำนัก
“นี่! แล้วพวกเราจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานไหม? ฉันเมื่อยนะ” เด็กหญิงเกล้าผมสองข้างถักเปียติดหมวกเล็กๆ ถามด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่ายสุดขีด
“ในเมื่อนั่งแล้วทำไมถึงเมื่อยล่ะ?” เด็กชายผมสีน้ำตาลอมแดงถามกลับแทนเพื่อนคนอื่นๆ เด็กหญิงทำหน้าไม่พอใจแล้วพูดเสียงดัง
“ก็มันไม่ถนัดแล้วแข็งเป็นร่องอะ!”
“นั่งต่อไป เดี๋ยวพวกเขาคุยเสร็จเราก็ลงไป”
ศารทูลที่หลบสายตาเด็กชายผมสีน้ำเงินเอ่ย สมองและใจของเขายังคงคิดแต่เรื่องผู้ลักดาบอรัญญิก
ศรีขอตัวมาอยู่คนเดียว เธอลูบตาที่ถูกผ้าพันแผลปิดไว้ …มันโหวงเหวง… อีกส่วนหนึ่งของร่างกายมันหายไป
เนตรยันต์มรณะนั่นมันคืออะไรกัน?
“สงสัยเหรอ เรื่องของตัวเองยังมิรู้แล้วจะไปทำอะไรได้เนี่ย?”
เสียงเด็กชายคนหนึ่งถามอย่างล้อเลียนแต่แฝงความจริงจังด้วย ศรีหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วพบร่างเด็กชายนุ่งโจงกระเบนทับด้วยเสื้อตัวนอกของยูคาตะ ริมฝีปากวาดขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ
ศรีเบิกตาด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่
“คาตานะ! นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ศรีถามคาตานะที่ยืนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกต่อสิ่งใด เขาเอนศีรษะไปมาก่อนจะเอ่ย
“ก็…”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ