ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) บทที่ ๒๖: ความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๒๖
[บรรยายโดยตัวละคร เด็กชาย ธันนะ อรุณทิพย์]
ความฝัน
ทำไมผมถึงแย่อย่างนี้นะ
ถ้าผมสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องศรีได้ก็คงจะดี ในงานปิดเทอมนักเรียนผมแอบลอบสายตามองพงสณะอย่างอิจฉา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เพียงครั้งแรกที่พบกันผมก็รู้สึกไม่ชอบหน้าหมอนั่น
รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้โชคร้าย เจอกับพวกรุกข์ที่ปรกติแล้วต่อให้อยู่มิติสามัญมันก็ชอบมาหาเรื่องผมเป็นกิจวัตร วันไหนไม่หาเรื่องเป็นไม่ได้ ราวกับว่าผมเป็นของเล่นที่เล่นได้ไม่มีเบื่อ แถมยังต้องมาเจอกับเสไพรอีกต่างหาก หมอนี่ก็ใช่จะชอบหาเรื่อง แต่ชอบมาปั่นหัวผมเล่นเสียมากกว่า
ผมเคยนึกสงสัย ทำไมผมกับเจ้ารุกข์หน้าตามันคล้ายกัน หลายคนเคยถามว่าผมกับมันเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า ซึ่งผมก็ให้คำตอบไปว่า ไม่ใช่ บางคนก็กล่าวว่าผมกับรุกข์อาจจะเป็นพี่น้องที่ถูกแยกทางให้เลี้ยงกันคนละบ้าน--- เฮอะ น่าขันนัก เหมือนกับในละครไม่มีผิด แค่คิดว่ามันเป็นจริงก็สะอิดสะเอียนเต็มทนแล้ว
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ ผมก็มักจะเงียบไม่ยอมเล่าให้ใครฟังเว้นแต่บางคนที่ผมเชื่อใจ ผมโดนเพื่อนในโรงเรียนหาเรื่องแทบจะทุกวัน แต่ผมไม่ได้อ่อนแอ บางครั้งผมก็ใช่เล่ห์ในการกำจัดและหลบหนี อันที่จริงก็ไม่อยากมีเรื่องเตะต่อยหรอก ทว่าในสถานการณ์ที่หลบหนีไม่ได้ก็มีแต่ต้องป้องกันและโต้กลับ นั่นเองที่ทำให้ผมโดนคุณครูไปดุ บางครั้งก็ได้รับโทษด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผมมากกว่า เพราะด้วยที่รุกข์เป็นลูกของเศรษฐีจึงได้การผ่อนโทษ บางครั้งก็ไม่โดนด้วยซ้ำไป
มาอีกคน เสไพร หมอนี่มักจะชอบหยอกล้อและแกล้งผม มันก็ไม่ร้ายแรงหรอกแต่น่ารำคาญ ซึ่งมันก็ดีกว่าเจ้ารุกข์หน่อย เขาเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ เพราะด้วยความที่เรียนเก่ง กีฬาก็ดี หน้าตาก็หล่อ…. กล่าวง่ายๆ คือเป็นที่อิจฉาของพวกผู้ชายด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่มีใครลากไปรุมทึ้ง
มันเริ่มตั้งแต่ ป.๓ ในตอนนั้นเสไพรไม่ได้มาหยอกล้อ แต่เขามักจะส่งสายตาบางอย่างที่คาดความหมายได้ยาก บางครั้งก็ยิ้มให้ แววตาของเขามันไม่ได้มีแผนร้ายซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า เพราะบ่อยมากที่เสไพรชอบแอบมองผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหรอก
พอเริ่มในชั้น ป.๔ เสไพรก็มาแวะทักทายผมทุกเวลาอย่างร่าเริง น้อยคนนักที่จะทำแบบนี้ อาจเพราะผมเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่เกือบทุกคนจึงเมินและเย็นชาต่อผม
พอนานวันเข้าเสไพรก็ชอบมาตีสนิทและไปไหนมาไหนกับผม กระนั้นมันก็ยังมีกลุ่มเป็นของตัวเอง บางครั้งผมจึงต้องเดินคนเดียว ไม่สิ เดินกับน้องแท้ๆ ของตนเองด้วย มันชื่อ ทันตะ ตอนแรกมันก็ไม่มีชื่อหรอก… ก็… พ่อแม่หายไปแล้วหรือเสียชีวิตไปแล้วอันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน เลยไม่มีใครตั้งชื่อให้
ผมเคยแอบได้ยินเพื่อนๆ พูดว่าผมกับเสไพรเป็นแฟนกัน ซึ่งเจ้าตัวก็โบกมือปฏิเสธพลางหัวเราะ
‘เดี๋ยวนี้แกอยู่กับไอ้ธันนะบ่อยนี่ เป็นแฟนกันเหรอ?’
‘บ้าเรอะ’ เสไพรหัวเราะ
‘แล้วเป็นอะไรกันเนี่ย?’
‘เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่คนรัก’
‘น้ำเน่า’
แล้วพวกมันก็หัวเราะพร้อมกันท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่ลานภา
บทสนทนานั้นเล่นเอาผมเหงื่อตก ผมไปได้ยินตอนที่มันนั่งทานอาหารและขนมใต้ต้นราชพฤกษ์ ผมลอบมองพวกเขาจากไกลออกมาหน่อย แถมต้นไม้ก็มีมากเลยช่วยซ่อนกายได้สบายๆ
แต่… เดี๋ยวนะ เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่คนรัก ประโยคที่อ้างจากชื่อเพลงนั้นทำให้ผมอยากจะสำรอกเอาของในท้องออกมา มันหมายความอย่างไรกัน อยากรู้นักว่าเสไพรมันคิดกับผมในฐานะอะไร
แต่ถ้าแฟนผมไม่ยอมนะ
ในขณะที่ผมคิดอะไรต่อจากนั้นไปเรื่อยอย่างเพลิดเพลินก็มีใครบางคนมาสะกิดไล่ผม
ผมหันไปมอง---
เสไพร!
“ไง ธันนะ” เจ้าตัวชะโงกหน้ามายิ้มให้ผม ใบหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั้นกลับกลายเป็นบริสุทธ์เมื่อมีแสงมากระทบ ผมปรับสีหน้าให้เยือกเย็นก่อนจะเอ่ย
“มีธุระอะไร”
“ว้า! นายนี่เย็นชาจริงๆ ถามจริงเถอะ นายเป็นคนเย็นชาจริงๆ หรือมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกน่ะ” เขาถามก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม
อันที่จริงผมก็หนีเพื่อนๆ มานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวยาวข้างบ่อบัวเพราะอยู่คนเดียวมันสงบกว่า แต่แย่จริงๆ ที่ดันมันเจอหมอนี่น่ะ
“ก็แล้วแต่จะคิด”
เสียงที่ตอบกลับนั้นเรียบเฉย
“เฮ้อ… น่าเบื่อจังน่อ” เสไพรเอนกายมาซบไหล่ผม ผมรีบถอยห่างเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ แต่เขาก็ยังเขยิบตามมาซบต่อ
“เฮ้ยๆ ถ้าเบื่อนักก็ไปหาอะไรทำสิไม่ใช่มาซบไหล่ฉันแบบนี้” ผมเบ้หน้า เสไพรหัวเราะก่อนจะหลับตา
เฮ้ย อย่าบอกนะว่าหลับน่ะ
“ไอ้ไพร แกตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ผมเอ่ยพร้อมกับดันศีรษะมันให้ออกห่าง ทว่าไม่ถึง ๑๐ วินาทีมันก็กลับมาซบต่อ
โอย… จะมาหลับอะไรตอนนี้เนี่ย
“เออๆ อยากหลับก็ตามใจ แต่ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาระหว่างที่ฉันไปทำธุระก็ช่วยเหลือตัวเองละกัน”
ฟี้…
แน่ะ ท่าทางจะหลับลึกด้วยแฮะ
เจ้าบ้านี่เป็นคนขี้เซาเมื่อไหร่กันนะ ผมคิดพลางถอนหายใจ
…น่าแปลก พอผมมองใบหน้าของเสไพรแล้วรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง… มันอธิบายไม่ถูกเลย ความรู้สึกมันบอกว่าไม่อยากจากเจ้านี่ เหมือนหัวใจถูกเติมเต็ม
อะไรกันที่ถูกเติมเต็ม?
นั่นใครกัน??
รอบกายผมเป็นสีดำ มืดมิด ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอแบบหนังกลางแปลง เขาแต่งกายแบบคนสมัยก่อน หน้าตานั้นคล้ายผมอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหมองเศร้า
มือหนาลูบศีรษะของเด็กชายที่นอนอยู่อย่างอ่อนโยน ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นซีดราวกับใกล้จะลาจากโลก ดูเหมือนสภาพนั้นที่เป็นเหตุให้ชายหนุ่มโศกเศร้า …ใบหน้าของเด็กชายคล้ายกับใครบางคน ผมมองภาพพลางพยายามนึกว่ามันคล้ายใคร ที่รู้ๆ เป็นคนที่ผมรู้จักแน่นอน
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“พ่ะ ขอ---”
เสียงขาดหายพร้อมกับหน้าจอที่เริ่มจะดับ ผมพุ่งตัวไปหามันพร้อมกับตบหน้าจออย่างร้อนรน ไม่นะ--- ไม่! มันจะขาดตอนนี้ไม่ได้ อะไรบางอย่างทำให้ผมอยากรู้ฉากต่อไป เมื่อหน้าจอดับสนิทผมก็ทุบมันหลังจากนั้นร่างผมก็ล้มไปข้างหน้าเพราะหน้าจอมันหายไป
โธ่เว้ย!!
ผมสบถในใจด้วยความขุ่นเคือง ทำไมมันต้องดับตอนนี้ด้วย
“ธันนะ ธันนะ!” ใครบางคนเรียกผม เสียงนี้มันของเสไพรนี่
ดวงตาผมพร่ามัว พร้อมกับความว่างเปล่าที่กลืนกินเข้ามา ผมหลับตาแล้วล้มตัวลง
“ธันนะ… ไม่สบายเหรอ”
ผมลืมตา …อย่าบอกนะว่าหนังกลางแปลงนั่นเป็นความฝัน เฮอะ! น่าขำจริงๆ ที่หัวเสียเพราะกะอีแค่ความฝัน
เสไพรที่เห็นผมลืมตาตื่นก็เผยรอยยิ้มอย่างยินดี โว้ย! ยิ้มอย่างกับฉันใกล้ตายงั้นแหละ เพียงแค่หลับแล้วฝันบ้าๆ บอๆ จะมาห่วงอะไรนักหนา
แต่เพราะความเป็นห่วงนั่นทำให้ผมไม่กล้าพูดอย่างนั้น
“เย้ๆ ธันนะตื่นแล้ว”
ยังจะมายิ้มอีก
ผมมองอย่างเหนื่อยหน่าย ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ หมอนี่ (แต่จะว่าไปผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย) ผมคิดด้วยความรำคาญพร้อมกับดันกายขึ้น สายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าตนเองนอนหนุนตักเสไพร
นอนหนุนตัก?!
“เฮ้ย! แกคิดจะทำอะไรกับฉันน่ะ” พอคิดว่าหมอนี่มันจะทำเรื่องอกุศลผมก็ถอยอย่างว่องไว เสไพรขำคิกคักพลางโบกมือปฏิเสธไปมา
“ใช่ซะที่ไหนกันเล่า!”
“แต่--- มีผู้ชายที่ไหนเขาให้ผู้ชายด้วยกันนอนหนุนตักกันล่ะ ยิ่งเป็นเพื่อนมันยิ่งขนลุกนะเฟ้ย!!” ผมตะคอกพร้อมกับชีหน้าเสไพร เจ้าตัวโยกศีรษะไปซ้ายทีขวาทีเหมือนไม่ใส่ใจกับเรื่องที่ผมกล่าวพลางเอ่ยอย่างขบขัน
“ก็นะ… จะว่าไปฉันเองมีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยสิ”
“!!”
ผมแข็งทื่อ ก็ไม่อยากว่าหรอกที่เขาจะชอบผู้ชายด้วยกัน แต่มาทำแบบนี้กับผมมันก็รู้สึกสยองนะ (มันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล)
“ฮ่าๆ ถึงจะเป็นงั้นนายก็ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันออกจะนิสัยดีไม่ทำเรื่องอย่างที่นายคิดหรอก”
“ยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ! (และที่สำคัญนายก็นิสัยไม่ดีด้วย)”
ถึงตอบไปแบบนั้นเสไพรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เฮ้อ! ก็ต้องทำใจล่ะที่มีเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้น่ะ
“…”
“…”
เงียบ ไม่มีใครเอ่ย เสไพรก็ยังคงยิ้มลอยหน้าลอยตา ผมเองก็ปั้นหน้านิ่งเข้าไว้ หลายคนเคยกล่าวว่าผมเป็นคนเย็นชา แท้จริงแล้วผมเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย แต่ช่างเถอะ คนเราถ้าไม่คุยกันหรือคุยก็ตัดสินที่สีหน้าซึ่งแสดงออกเป็นส่วนใหญ่ประจำแหละ
“ธันนะ…” จู่ๆ เสไพรก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“อะไร?” ผมถาม “นายเคยเหงาไหม?”
ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ตอบ
“ก็บางครั้ง แล้วนายล่ะ”
“เหงา…” คำตอบนั้นทำให้ผมลืมหายใจ “…”
“ช่างเถอะ ช่วยลืมด้วยก็แล้วกันเรื่องที่ถามเมื่อกี้น่ะ”
ไม่ใช่แน่ๆ มันต้องมีอะไร ชั่วแวบหนึ่งผมสังเกตว่าแววตาของเขาเศร้าหมองแต่ก็กลับเป็นสดใสดังเดิม
หลังจากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก สักพักผมก็บอกว่าฉันไปล่ะ เขาพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้
ทำไมถึงต้องทำแบบนี้กับฉัน?
“…”
ผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่างจับจ้องไปที่ท่านมณฑาและศรีที่นั่งอยู่อยู่ใกล้กันแต่ก็ไม่ถึงกับชิด พวกเราเงียบเพื่อที่จะได้ฟังทั้งสองคุยอย่างชัดเจน ผมสังเกตว่าดวงตาของศรีฉายความหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่าง
“มัวแต่เงียบอยู่เช่นนี้เมื่อไหร่มันจะเสร็จกันล่ะ?” จารุถามด้วยเสียงเรียบ เขาแยกตัวมานั่งคนเดียวอีกมุมหนึ่ง ท่านมณฑาหัวเราะเบาๆ แต่สายตากลับแฝงไปด้วยความจริงจัง จากนั้นท่านก็เอ่ย
ท่านมณฑาถามเกี่ยวกับปิ่นปักผม
ศรีตอบ
“ปิ่นปักผมและรัดเกล้าเป็นสมบัติที่ย่ามอบให้หนูค่ะ ท่านฝากไว้ที่พ่อให้นำมาให้หนู กำชับว่าอย่านำมันออกจากผมโดยเฉพาะรัดเกล้าน่ะค่ะ หนูเองก็ไม่เข้าใจ แต่เวลาที่หนูดึงมันออกจะรู้ว่าร่างกายมันเจ็บมากจนทนไม่ไหว”
“แล้วย่าเจ้าล่ะ?”
ศรีตอบ
“หนูเองก็ทราบรายละเอียดไม่มากนัก เพราะท่านเสียชีวิตก่อนที่จะได้พบหน้าหนูเป็นครั้งแรก เหตุการตายเป็นฆาตกรรมค่ะ”
“แล้วใครเป็นคนสังหาร?”
ศรีตอบ สีหน้าของเธอที่แต่แรกเรียบเฉยเริ่มบิดเบี้ยวราวกับแค้นใครบางคน
เธอเล่าเกี่ยวกับฆาตกรว่าเป็นพี่สาวที่เธอรู้จัก ท่านมณฑาพยักหน้าเป็นบางครั้งแต่แววตาแฝงไปด้วยความสงสัย ผมสังเกตว่ามือของศรีกำเหมือนกับจะอดทนกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือคิดไปเอง ดวงตาของศรีมันใสอย่างกับว่าเธอร้องไห้
ร้องไห้?
และอะไรอีกหลายๆ เรื่องที่ท่านมณฑาถามทำให้ศรีกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยได้อีกครั้ง ผมรู้สึกใจหายชอบกล
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ เจ้าไปได้”
“ขอบคุณค่ะ” ศรีกล่าว
แม้การถามตอบจะสิ้นสุดลงแล้วแต่พวกเราก็ยังคงไม่ขยับไปไหนเพราะจะรอดูการสนทนาถามตอบของจารุ
“เงียบๆ ซะเจ้าพวกเด็กเหลือขอ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ