ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) บทที่ ๒๕: แว่วเสียงท่ามกลางดอกรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒๕

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

แว่วเสียงท่ามกลางดอกรัก

                “ท่านจารุ ค่ะ คือว่ามัน…” ยุพินเอ่ยเหมือนจะหาข้อแก้ตัว

                “ใครใช้ให้มาทำเสียงรบกวนชาวบ้านชาวช่อง? แล้วนี่มันอะไร? เศษระเบิดเกลื่อนไปหมด”

                ว่าวหน้าซีดเมื่อได้ยินคำว่าเศษระเบิด

                “…”

                ไม่มีใครเอ่ยอะไร

                ศรีกับธันนะมองจารุด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นใคร ทั้งๆ ที่จารุท่าจะเป็นเด็กประถมแต่ทำไมท่าทางเขาเหมือนผู้อาวุโสเลยล่ะ

                “เรื่องมันเป็นอย่างไร ไหนเล่ามาซิ ---ดินขาว เจ้าเล่ามา”

                “ค่ะ ครับ คือ พวกเราให้เพื่อนใหม่ดื่มน้ำเปลี่ยนเพศ เธอชื่อสังรศรี ชื่อเล่นชื่อศรีครับ ตอนที่เจ้าตัวแต่งเป็นชายแววไพรและยุพินก็มากระแซะหยอกล้อแต่นั่นทำให้ว่าวไม่พอใจ อันนี่ข้าก็มิแน่ใจว่าโกรธหรือเปล่า พอเถียงกันไปกันมาพวกเธอก็เปิดศึกกันครับ”

                ดินขาวจริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะเล่าความจริงเพราะกลัวบุคคลทั้งสี่นั้นโกรธ กระนั้นว่าว แววไพรและยุพินก็ไม่โกรธเพราะพวกเธอรู้ดีว่าต่อให้โกหกหรือเบี่ยงเบนอย่างไรจารุก็ต้องทราบอยู่ดี อีกอย่างพวกเธอก็เห็นใจเขาที่ต้องมาเล่าประจัญหน้าจารุด้วย ส่วนศรีนั้นเธอเป็นบุคคลที่ไม่กล้าปกปิดความจริงกับสิ่งที่ตนทำผิดจึงไม่โกรธดินขาวเช่นกัน

                “แล้วเจ้าเด็กที่ชื่อศรีมันใครล่ะ? เจ้าใช่ฤๅมิใช่??” จารุหันมาถามศรีเพราะเขาไม่เคยเห็นเธอ

                “ฤว่าจะเป็นเจ้า?” จารุหันไปถามธันนะเพราะไม่เคยเห็นเช่นกัน เด็กหญิงเกล้ามวยผมพยักหน้าส่วนเด็กชายสวมเสื้อกล้ามส่ายหน้า  ศรีตอบแล้วขอโทษจากใจจริง

                “ฉันเอง ขอโทษนะที่ทำให้เดือดร้อน”

                “หืม?” จารุจ้องใบหน้าของศรีอย่างไม่วางตา สายตาเห็นปิ่นปักผมและรัดเกล้าฝังอัญมณีสีแดงสามชิ้น ศรีรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกจ้องจึงหลบตาและก้มหน้าลงเล็กน้อย เธอถามเขา

                “มีอะไรเหรอจ๊ะ?”

                ศรีพยายามมองหน้าจารุ เห็นว่าสีหน้าของเขามีความตะลึง จารุอ้าปากที่สั่นก่อนจะเอ่ย

                “โกมุท! เจ้า… เจ้าตายไปแล้วนี่ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าใช้อาคมน่ะ!!”

                “โกมุท? ใครวะ??” ขนมชั้นถามเฉาก๊วย ผู้ถูกถามส่ายหน้า ซึ่งคนอื่นๆ ก็ต่างถามกับเพื่อนข้างๆ เช่นกัน ทุกคนต่างสงสัยกับสิ่งที่จารุถามว่าบุคคลที่ชื่อโกมุทนั้นเป็นใครกัน

                “ฉะ ฉันไม่ใช่… เดี๋ยวนะ โกมุทนี่ชื่อจริงชื่อว่าอะไรเหรอ?” ศรีส่ายหน้าแล้วโบกมือปฏิเสธพลางถาม จารุจ้องศรีแล้วตอบ

                “โกมุทสินธุ์ วีรสังฆะ--- นี่เจ้าความจำเสื่อมฤถึงได้ถามอะไรเช่นนี้น่ะ?!”

                “ไม่ใช่แล้วๆ !” ชื่อที่จารุตอบนั้นทำให้ศรีทำอะไรไม่ถูก… โกมุทสินธุ์ วีรสังฆะ นั่นมันชื่อของ……

                “เจ้า…”

                “ท่านเสียชีวิตไปแล้ว… โกมุทสินธุ์… เป็นย่าของฉันเอง ฉันเป็นหลานท่าน” เสียงที่เอ่ยนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน คำพูดของเธอทำให้จารุและเพื่อนๆ ของเธอตะลึงตาไม่กะพริบ จารุเอ่ยอย่างยากลำบาก

                “เหมือนมาก… ถึงจะเป็นหลานแต่ใบหน้ามันเหมือนกันจนแทบแยกมิออก……”

                ศรีก้มหน้า พอนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้นย่าของเธอถูกฆ่าแล้วมันทำให้เธอเจ็บปวดมาก …ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอหน้าย่าแต่แล้ว… ทุกอย่างมันก็พังหมด

                เพราะเด็กหญิงคนนั้น

                จารุพยายามตั้งสติไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้เพียงเพราะเห็นคนที่เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว จารุทำสีหน้าให้เรียบเฉยก่อนจะเอ่ย

                “เราคงต้องคุยกันหน่อยล่ะ”

 

                พวกเด็กๆ กลับมานั่งในศาลาอย่างเดิมพร้อมด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตสังหารที่มาจากเด็กหญิงสามคน ศรีนั่งถอนหายใจเงียบๆ พลางมองดอกบัวอย่างเหม่อลอย โซค่อนสะกิดไหล่เธอก่อนจะถาม

                “เอ่อ… ขอโทษนะที่ถามน่ะ ย่าเหมือนเธอมากเลยเหรอ?”

                “จ้ะ ใครๆ ก็พูดว่าฉันเหมือนย่ามากเลย ไม่เฉพาะแต่รูปร่างหน้าตา กระทั่งน้ำเสียงที่เหมือนและนิสัยก็คล้ายๆ กันอีก”

                “ว่าแต่เจ้าเคยเห็นย่าเจ้าไหม?” เทสโลเอลเข้ามาแทรกจนโซค่อนมองค้อน ศรีพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมอง

                “เคยจ้ะ แต่… ในร่างที่เป็นศพแล้ว”

                “อะไรนะ!”

                เด็กเกือบทุกคนในศาลาหันมาถาม บางคนก็ฟังที่พวกเธอคุยอยู่แต่ไม่อยากถามซ้ำเติม ธันนะก็มองตามอย่างฉงนแต่ก็ฟังต่อแบบเงียบๆ

                “ก็… ในวั้นนั้นที่ฉันไปเยี่ยมท่านครั้งแรก ท่านก็ถูกใครบางคนฆ่า ฉันไม่แน่ใจนะว่าใครเป็นคนทำ แต่ฉันมองไปที่นอกหน้าต่างเห็นใครบางคน รูปร่างเป็นเด็กผู้หญิง ฉันพยายามเพ่งสายตามองว่าเป็นคนรู้จักหรือเปล่า… แล้วสังเกตเห็นว่าคนนั้นเกล้าผมต่ำสีดำ …เธอยิ้มแล้วปากขยับเหมือนจะพูดอะไร”

                “แล้วตกลงเจ้ารู้จักไหม?” ซีอาห์เข้ามาแทรกถาม ศรีขมวดคิ้วอย่างลำบากใจก่อนจะตอบตะกุกตะกัก

                “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ลักษณะดังกล่าวเหมือนพี่ที่ฉันรู้จักน่ะ”

                “แล้วชื่ออะไรล่ะ??”

                 คราวนี้ทุกคนที่เข้ามาคุยกับเธอถามพร้อมกัน

                “…นภางค์ นั่นคือชื่อของพี่ แต่ไม่ใช่พี่แท้ๆ ของฉันนะ”

                “อ่า ขอบคุณนะที่เล่าน่ะ และก็ขอโทษนะที่ถาม เธอคงจะรู้สึกแย่ที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น” โซค่อนเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง ศรีส่ายหน้าพลางยิ้ม

                “ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะอย่างไรท่านก็ชราแล้วไม่รู้ว่าจะเสียชีวิตเพราะโรคที่รุมเร้าตามอายุหรือการฆ่าก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่”

                เฉาก๊วยเคยได้ยินข่าวที่ย่าเธอเสียชีวิตเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบที่เธอเล่า รพิเองก็เช่นกัน

                “เฮ้อ… ไม่น่าถามเลยเรา” โซค่อนเอ่ยหลังจากเดินออกห่างมาแล้ว เขาเห็นเพื่อนชายผมสีชาเขียวยืนนิ่งๆ อยู่จึงถาม

                “เป็นอะไรล่ะเซอาห์?”

                เซอาห์ส่ายหน้า

                “เอ้อ ว่าแต่เจ้าพวกศารทูลมันหายไปไหนอะ?”

                เซอาห์ส่ายหน้า

                “เฮ้อ! หายไปไหนนะ ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนผีเลยแฮะ” คำประชดนั้นทำให้เด็กชายผมสีชาเขียวยิ้มขบขัน

                อยากพูดได้บ้างจัง

 

                “ท่ะ ท่านซอ”

                อรัญญิกลืมตามองหน้าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ซอยิ้มอย่างยินดีที่อรัญญิกฟื้น

                “อรัญญิก เจ็บมากไหม?”

                “ก็เจ็บอยู่เจ้าค่ะ แต่มิเป็นอะไรแล้ว” อรัญญิกตอบซอด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า เสียบแหบพร่าของนางเหมือนคนใกล้สิ้นชีวิตจนซออดไม่ได้ที่จะกุมมือสีซีดของอรัญญิก

                “เจ็บมากแล้วทำไมถึงมิตามข้าล่ะ?” คำพูดนั้นเป็นนัยว่าถ้าจะเจ็บขนาดนี้แล้วทำไมอรัญญิกไม่ไปตามนางมาช่วยทีแรกล่ะ หญิงสาวถักเปียหลุบตาลงเพราะไม่กล้าสู้หน้า ทำให้ซอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

                “ว่าอย่างไร?”

                “ข้ามิมีเรื่องจะแก้ตัวเจ้าค่ะ ขอให้ข้าหายก่อนแล้วทำโทษนะเจ้าคะ” อรัญญิกเอ่ยอย่างรู้สึกผิดแต่นั่นกลับทำให้ซอไม่พอใจ นางเอ่ยอย่างหงุดหงิด

                “ทำไมจึงคิดเช่นนั้น?”

                “ก็… ข้าเองก็มิรู้เช่นกันแต่สิ่งที่ข้าทำมันมิน่าให้อภัยน่ะเจ้าค่ะ”

                “ฮึ งั้นฤ?”

                “เจ้าค่ะ…” อรัญญิกก้มหน้าลงแล้วหลบตาซอที่จ้องมองมา ซอเอื้อมมือไล้แก้มอรัญญิกอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำให้อรัญญิกรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกลนัก ซอยิ้มมุมปากพลางเอ่ย

                “หึๆ แย่จังนะ ข้ารู้สึกว่าถ้าตัวข้ารอเจ้าให้หายก่อนจะทนมิไหว”

                “!?”

                อรัญญิกเบิกตากว้างอย่างตะลึงเมื่ออยู่ๆ ซอชักมือออกจากหน้าแล้วหยิบมีดออกมาเฉือนเสื้อสำหรับผู้ป่วยจากบนลงล่าง นางละออกจากเสื้อเมื่อเห็นว่าเสื้อมันแยกออกเป็นสองฝั่ง เผยให้เห็นเนื้อผิวสีขาวนวล ซอเลื่อนสายตาจากบริเวณสะดือไปมองที่อก ร่องอกที่เผยเล็กน้อยนั้นมันทรมานใจผู้ที่มองนัก

                อรัญญิกหน้าแดงฉ่าเมื่อเสื้อถูกเฉือนแถมโดนจ้องอีก นางเอ่ยด้วยความร้อนรนและอับอาย

                “ท่ะ ท่าน… ท่านซอ ท่านทำอะไรน่ะเจ้าคะ?!”

                “ก็… ทำโทษเจ้าอย่างไรล่ะ”

                “ท่ะ---”

                “จะถึงยามทิวาแล้ว จะทานอะไรล่ะ?” ซอพยายามจะไม่ยิ้มเพราะรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งอรัญญิก ผู้ถูกถามเอ่ยตะกุกตะกักเพราะยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่

                “อาหารที่นี่ก็มีนี่เจ้าคะ ประเดี๋ยวก็มีคนนำมาให้ เพราะฉะนั้นมิต้องดอกเจ้าค่ะ”

                “ทำลายน้ำใจเสียจริง ข้าฤอุตส่าห์ทำของโปรดมาให้เจ้าแต่เจ้ากลับปฏิเสธอย่างมิใยดี น่าเสียดายจริงๆ” ซอตัดพ้อแล้วหันไปทางที่จะพอซ่อนรอยยิ้มไว้ได้ การได้แกล้งอรัญญิกมันช่างมีความสุขเสียจริง อรัญญิกทำอะไรไม่ถูกจึงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย

                “มิใช่เจ้าค่ะ ขะ ข้าต้องขออภัยด้วย ข้ามิคาดคิดว่าท่านจะเมตตาทำอาหารให้ข้า”

                “แสดงว่าเจ้าจะทานอาหารที่ข้าทำใช่ฤๅมิใช่?”

                “ท่ะ ทานเจ้าค่ะ”

                “…” ซอไม่เอ่ยอะไร นางยิ้มอย่างเริงร่าพร้อมกับหยิบกล่องไม้สำหรับบรรจุอาหารจากตรงโต๊ะข้างเตียง หญิงสาวถักเปียมองตามอย่างสนใจ ซอเปิดกล่องไม้แล้วยื่นให้อรัญญิกดูด้วยความภาคภูมิใจที่นางได้ทำอาหารให้หญิงสาวตรงหน้า

                “ลองชิมดูสิ”

                “ตกลงท่านทำให้ข้าทานฤๅให้ข้าชิมกันแน่น่ะเจ้าคะ?”

                “ทั้งทานทั้งชิมนั่นแล”

                อรัญญิกมองนายิกาผู้เป็นนายอย่างละเหี่ยใจ อุปนิสัยของซอก็ไม่แย่ ออกจะเข้าขั้นดีสมเป็นหญิงสูงศักดิ์ด้วยซ้ำไป แต่ติดนิสัยที่เอาแต่ใจแบบเงียบๆ ก็เท่านั้นเอง แต่บางครั้งหากมองอีกมุมหนึ่งอุปนิสัยแบบนี้ก็น่ารักดี

                อรัญญิกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น

                “ท่านซอนี่เอาแต่ใจแบบเงียบๆ นะเจ้าคะ” นางเอ่ยล้อเลียน โดยที่ลืมไปว่ามันเสียมารยาทต่อนายิกาเช่นซอ กระนั้นซอก็ไม่โกรธ แต่เกิดอาการงอนก็เท่านั้น

                “กล้ามากนักที่พูดเช่นนี้” ซอเอ่ยพร้อมกับหันหน้าไปอีกทาง อรัญญิกมองตามแล้วพยายามยื่นหน้าไปง้อ

                “งอนแล้วๆ ท่านซองอนแล้ว!” นางเอ่ยพลางหัวเราะคิกคักทำให้เส้นเลือดของซอแทบจะแตก

                “ฮึ! ทานเงียบๆ ไปเลยเจ้าน่ะ ถ้ามิทานข้าจะมิให้ทานอาหารและมิให้ใครมานำให้เจ้าทานเช่นกัน!”

                “ฮ่ะๆ มิล้อแล้วก็ได้เจ้าค่ะ”

                อรัญญิกรับกล่องอาหารจากซอที่ไม่ยอมหันหน้ามาเสียที นั่นทำให้ผู้รับพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย …คนอะไรน่ารักจริงๆ เลย ภายนอกเป็นสตรีที่งดงามและสง่าผ่าเผย ทั้งรูปกาย วาจา และสติปัญญา เสมือนหงส์ในวรรณคดีไม่มีผิด ทว่าความงามของซอนั้นมากกว่าหงส์นัก

                แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงเปลือกที่สร้างเพื่อป้องกัน กระนั้นนางก็ยังมีความจริงใจอยู่

                อรัญญิกนึกถึงเรื่องนั้นพลางตักปลาและข้าว นางมองมันพลางยิ้มอย่างเหม่อลอย

                หากได้ครองคู่กับท่านซอก็คงจะดีมิใช่น้อย

                “อรัญญิก”

                “เจ้าคะ” หญิงสาวถักเปียหันไปมองผู้ที่เรียก ซอยิ้มบางๆ หลังจากที่ทำใจหายงอนอรัญญิก แล้วเอ่ย

                “ข้าเล่นซอให้ฟังดีไหม นั่งๆ นอนๆ แบบนี้ถ้าได้ผ่อนคลายอย่างอื่นด้วยก็คงจะดี”

                “นั่นสินะเจ้าคะ กรุณาเล่นให้ข้าฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พูดจบซอก็ตั้งท่าพร้อมกับซอสามสายในมือ นางไม่ไดนั่งพับเพียบเพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ อรัญญิกคาดว่าซอวางมันไว้พิงกับโต๊ะข้างเตียง ผู้บรรเลงยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะขยับนิ้วและที่สี

                ฝีมือมิมีตก สมแล้วที่ได้รับการยกย่องว่าเล่นซอได้เก่งที่สุด ไพเราะเหลือเกิน

                เสียงซอสามสายนั้นช่างอ่อนหวานนัก อบอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้น สื่อให้รู้สึกว่ามันมาจากใจของผู้บรรเลง

                นั่นแหละ คือความรู้สึกของซอที่มีต่ออรัญญิก

               

                พินทุยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก เมื่อมองภาพหญิงสาวสองนางกำลังยิ้มอย่างเปี่ยมสุข พินทุลากนิ้วไปตามผิวน้ำที่มีดอกราชพฤกษ์ลอยอยู่  ผิวน้ำปรากฏภาพซอและอรัญญิก หญิงสาวถือร่มบ่อสร้างเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับว่าคำพูดที่นางเอ่ยนั้นเป็นความลับ

                “ดอกรักกำลังจะเบ่งบานแล้วสินะ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา