ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) บทที่ ๒๒: นางยักษ์เสียชีวิตเพราะเด็กผู้หญิง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๒๒
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
นางยักษ์เสียชีวิตเพราะเด็กหญิง
ศรีนั่งตัวสั่นไม่ขยับ ไม่ขัดขืนหรือทำร้ายนางยักษ์ นางค่อยๆ สอดนิ้วชี้ขวาข้างบนและนิ้วโป้งเข้าในเบ้าตาก่อนจะดึงลูกตาออกอย่างช้าๆ จนในที่สุดมันก็ขาดออกจากกัน เลือดไหลออกมามากกว่าเดิมแต่ข้างขวาจะมากกว่า นางยักษ์กลิ้งลูกตาในมือไปมา ลูกกลมๆ เล็กเปื้อนเลือดนั้นมีวงกลมสีดำอันงดงามอยู่ นางกลิ้งไปสักพักก่อนจะหันด้านลูกตาดำให้ศรีดู
“ดวงตาของเจ้าสวยใช้ได้เลยนะ แต่น่าเสียดายที่ต้องถูกควัก” นางยิ้มเยาะ พลางหยิบขวดน้ำยาวประมาณฝ่ามือแล้วใส่ลูกตาลงไป ข้างในขวดมีน้ำสีน้ำเงินอยู่ เลือดปนกับน้ำพวกนั้นจนเปลี่ยนเป็นสีอื่น
ศรีนั่งหมดแรงอย่างคนไร้วิญญาณ …รู้สึกเจ็บไปหมด แต่ไม่มีแรงเอ่ยอะไร
“แกทำอะไรกับศรีน่ะ!”
แววไพรโกรธแค้นมากที่นางยักษ์ทำร้ายศรี เด็กหญิงสวมแว่นอัญเชิญร่มบ่อสร้างออกมาก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหานางยักษ์แล้วใช้แท่งเหล็กบนร่มแทงเข้าที่ท้องนางซ้ำเติม แววไพรกลั้นหายใจด้วยความที่กลิ่นคาวมันรุนแรงมากเพราะทั้งศรีและนางต่างก็มีบาดแผลโดยเฉพาะเด็กหญิงเกล้ามวยผมเลือดไหลชนิดที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้
…เลือดออกขนาดนี้แต่ทำไมเราถึงยังไม่ตายล่ะ
เคร้ง!
แท่งเหล็กและดาบปะทะกัน อารมณ์เดือดของแววไพรทำให้เธอออกแรงมากกว่าปรกติ กาสะลองตวัดแส้รัดคอนางยักษ์ก่อนจะเหวี่ยงไปชนกับต้นไม้อย่างแรงจนมันหัก
แม้สภาพจะดูน่าอนาถ แต่นางยักษ์ก็ยังคงมีแรงสู้ต่อ นางคิดจะอัญเชิญสัตว์ออกมาแต่พอความเจ็บแล่นปลาบก็นึกได้ว่าถ้าให้อัญเชิญสัตว์ออกมาตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะแค่พยุงแรงกายก็มากพอแล้ว
พงสณะเองอารมณ์ก็เดือดไม่แพ้แววไพร เขาหยิบปืนมาแล้วรัวนิ้วยิงไม่ยั้ง
เขาโกรธตัวเองที่ไม่สามารถห้ามเลือดที่ศรีเป็นเองและนางยักษ์ที่ทำร้ายเธอจนไม่รู้จะลงโทษอย่างไรดี
พงสณะกัดริมฝีปากเพื่อเป็นการไถ่โทษ เลือดซึมแล้วหยดลง …หยดแล้วหยดเล่า ศรีแม้จะเสียเลือดไปมากแต่เธอก็แข็งใจลืมตาดูเขาด้วยความซาบซึ้ง …นี่แหละข้อดีของพงสณะ ภายนอกแม้จะกวนประสาทและยียวนแต่ลึกๆ แล้วความจริงใจที่เขามีให้ก็เป็นของจริง
ไม่มีวันเสื่อมคลาย….
‘เป็นอย่างไรบ้างล่ะ’
ศรีที่มีน้ำตาคลอกลั้นใจไม่ให้ร้องไห้ก่อนจะตอบ
‘อย่างที่เห็น …ว่าแต่ทำไมฉันถึงยังไม่ตายล่ะ ทั้งๆ ที่เลือดออกมาก ป่านนี้น่าจะตายได้แล้วสิ’
ตามที่เธอถาม เลือดนับหยดนับสายต่างหลั่งไหลราวกับฝนที่ไม่อาจหยุดไว้ได้ ดวงตาทั้งสองข้างหลั่งไหลราวกับน้ำตก เลือดจากปากหลั่งราวกับน้ำพุ เลือดจากช่องท้องหลั่งราวกับสายน้ำลำธาร
เสียงแหบหัวเราะชอบใจก่อนจะตอบ
‘มิช้าเจ้าก็จะรู้เอง’ ศรีพยายามลืมตาขึ้นที่ใกล้ปิดเพื่อหาควันปริศนาก่อนจะไอเพราะสำลักเลือด
พื้นหญ้ารกชันค่อยๆ ท่วมด้วยเลือด ว่าวตั้งสติที่ใกล้ดับเพราะทนเห็นร่างโชกเลือดของศรีไม่ได้ ทว่าสุดท้ายเธอก็ไปหาเด็กหญิงเกล้ามวยผมแล้วกอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
…ทำไมกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันแต่ทำไมเราถึงเป็นห่วงท่านพี่ศรีมากถึงเพียงนี้นะ
“ท่านพี่… ท่านพี่ศรี……………”
“พี่…” ศรีไม่มีแรงจะเอ่ยหรือทำอะไร แค่เธอตั้งสติเพื่อสื่อสารผ่านความคิดก็ยากแล้ว เธอพยายามขยับมือหวังจะลูบใบหน้าของว่าวเพื่อปลอบแต่ก็ทำได้แค่กระดิวนิ้วโป้ง
เจ็บใจนัก!
------------------ตึกตัก…! ตึกตัก…!
หัวใจพลันเต้นรัว ศรีพ่นเลือดออกมากองกับพื้น ปวดอกมากจนตัวโยน ว่าวเห็นอาการไม่ดีจึงโอบร่างศรีไว้
โครงกระดูกช่วงปากร้าวไปหมด รวมทั้งเหงือกที่ปวดหนึบๆ ด้วย ดวงตาหลั่งเลือดมากกว่าเดิมแถมยังกระตุกแปลกๆ อีก แล้วยังเรืองแสงสีเลือด ว่าวจ้องตาไม่กะพริบพลางเอ่ยอย่างกังวลแม้จะสงสัยมากก็ตาม
“ท่านพี่ศรี ไปโรงพยาบาลเถิดเจ้าค่ะ ปล่อยไว้แบบนี้อาจถึงฆาตนะเจ้าคะ!”
“พ่ะ…”
“เอ๊ะ…” ว่าวเบิกตาด้วยความฉงน ศรีนิ่งเงียบไปราวกับวิญญาณออกจากร่าง สักพักเธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเป็นช่วงเดียวกับที่ดาบทั้งสองสลายเป็นเถ้าสีแดง เธอเดินไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้ ว่าวมองตามด้วยความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ร่างบางเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือยาวสยายถึงเอว อยู่ในชุดเสื้อยืดทับด้วยสไบกับโจงกระเบนเปื้อนเลือดด้านหน้า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกดดัน ดวงตาใสบัดนี้หม่นหมอง ดวงตาสีดำเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเลือดมันเรืองแสงด้วยสีที่เหมือนกัน มีรูปยันต์ปรากฏอยู่ เคี้ยวยาวโค้งงอจากปาก เด็กหญิงเกล้ามวยผมเช็ดเลือดจากปากและตาออก
เหล่าคนที่กำลังต่อสู้ค่อยๆ ลดอาวุธลงแต่ก็ยังคงเหลือบมองคู่ต่อสู้ พวกเขามองศรีอย่างฉงนบางคนก็มองด้วยความหวาดระแวง ทุกคนไม่เว้นแม้แต่นางยักษ์จ้องตาศรีและเคี้ยวที่โค้งออกมา
กาสะลอง--- เนตรมรณะนี่!
แววไพร--- ศรีเป็นยักษ์เหรอ!
ทุกคนต่างตั้งคำถามในใจกระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทราบคำตอบได้ เก็บคำถามแล้วเฝ้าดูสถานการณ์
ศรีหยุดเดินและลูบตาข้างซ้ายพลางกอดอก ว่าวมองด้วยความฉงนเช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ ความสงสัยเพิ่มขึ้นว่าทำไมจากตอนแรกที่จะเป็นจะตาย เพียงแค่เอ่ยก็กระอักเลือด แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีแรงเดินได้กันล่ะ
“จงบดบังความจริง”
“!!”
ทุกคนแทบจะไม่ละสายตาจากศรีขณะเดียวกันท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงและสว่างขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากดวงจันทร์โผล่พ้นออกจากเมฆสีหม่นได้แล้ว ลมไหววูบไปมาเบาๆ ทว่าสร้างความหวาดกลัวให้บางคน บรรยากาศเย็นเฉียบจนน่าขนลุก สักพักก็มีฝนโปรยปราย
แต่มันไม่ใช่สีใส
---มันเป็นสีเลือด---
แปะ
ก้อนเล็กๆ บางอย่างที่นุ่มนิ่มเหมือนอวัยวะภายในตกลงมาบนศีรษะของบรรพตที่มาทีหลัง เธอหยิบสิ่งนั้นมาดู มันนุ่มมือมีของเหลวสีแดงชโลมอยู่ เมื่อพินิจจนทราบว่ามันคืออะไรแล้วเธอก็หวีดร้อง
“เฮ้ย! เนื้อคนนี่!!”
แปะๆ!
ซ่าๆ!!
ฝนตกลงมาหนักกว่าเดิมพร้อมๆ กับเนื้อที่เปื้อนเลือด ทุกคนหยิบของหรืออาวุธขึ้นมาบัง ว่าวเห็นว่ามันยังไม่มิดจึงอัญเชิญว่าวจุฬาออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณลงในว่าวจนมันมีขนาดใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยว่าวจุฬาขึ้นฟ้าเพื่อป้องกันฝนสีเลือดและเนื้ออวัยวะภายใน
นางยักษ์ตัวสั่น นางถอยไปข้างหลังอย่างช้าๆ นางนึกไม่ถึงว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้
นี่น่ะฤพลังของเนตรยันต์มรณะ
ว่าวมองว่าวจุฬาที่บดบังท้องฟ้าก่อนจะเปลี่ยนไปมองศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมแบมือ แล้วจู่ๆ ก็มีเถ้าสีแดงเข้ามาแล้วสร้างตัวเป็นดาบ เธอจับดาบไว้มั่นและก้าวเดินต่อ
แกรก
ราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือด ดาบส่งเสียงเบาๆ
ศรีกำลังไปหานางยักษ์
ตึก
เด็กหญิงได้มาเยือนแล้ว
---ชิ้ง---
ดวงตาสีเลือดจ้องกับดวงตาสีดำที่ลอกแลกด้วยความระแวง นางยักษ์ตั้งท่าพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ
“ฮึ! โดนไปขนาดนั้นยังมีแรงจะสู้อีกฤ?” นางแค่นเสียงเพื่อแสร้งว่านางไม่เกรงกลัว
เนตรยันต์มรณะนางเองก็พอจะรู้จักว่ามีพลังขนาดไหน ---แต่ไม่นึกว่าจะมีพลังถึงเพียงนี้ แม้มันจะยังแค่มีฝนตกและอวัยวะภายใน ถึงจะมีว่าวจุฬาบังด้วยก็เถอะแต่หากปล่อยไว้ต่อไปมันได้คร่าชีวิตนางแน่ ไม่สิ ไม่ใช่เฉพาะแค่นางแต่รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เป็นศัตรูด้วย
นางยักษ์กลั้นหายใจด้วยความกลัวที่เพิ่มขึ้น ดวงตาเบิกโพลงอย่างตระหนก
“…”
ศรีไม่ตอบนาง แต่ชูดาบข้างขวา เลือดย้อมใบมีดให้กลายเป็นสีแดง ดวงตาสีเลือดจ้องนางยักษ์ไม่วางตา ขณะนั้นบริเวณที่นางยืนอยู่ก็มีฝนสีเลือด อวัยวะภายในและผิวหนังตกลงมามากมาย อวัยวะภายในทับถมกันจนบัง กาสะลองจ้องโดยไม่ละสายตา
ทำไมมันถึงมีเฉพาะแค่นางยักษ์ล่ะ?
นางอดแปลกใจไม่ได้เพราะมีว่าวบังฝนและเนื้ออยู่
ศรีแสยะยิ้มพลางใช้ดาบเฉาะศีรษะนางยักษ์แล้วดันลงมาเฉือนสมอง ผ่านเส้นเลือด ผ่านหลอดลม ปอด กระเพาะ ลำไส้และส่วนอื่นๆ ที่สุดแล้วแต่ใครอยากจะนึกถึงด้วยความหวาดผวา
“กะ… กะ… กรี๊ด…….!!!”
“เฮ้ย!!!”
ยุพินกับเพื่อนในกลุ่มกรีดร้องออกมา บรรพตและเพื่อนผู้ชายหวีดเสียงด้วยเช่นกัน ร่างของนางยักษ์แบ่งเป็นสองซีก เลือดพุ่งออกมามาก มันกระเซ็นโดนศรี กาสะลอง แววไพรและพงสณะ คนอื่นๆ ไม่โดนเพราะตั้งหลักโจมตีไกลออกมา
…ท่ามกลางความหวาดกลัวที่ห้อมล้อมด้วยอวัยวะภายในและฝนสีเลือด ทุกๆ คนตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก แม้บางคนจะตั้งสติได้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์แบบนี้ ศรีแสยะยิ้มพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เธอนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งจากนั้นก็ใช้เล็บจิกกระชากเนื้อนางยักษ์จนเลือดกระเด็นออกมาอีกแล้วทานเนื้อรสคาวแต่เต็มไปด้วยความหวานสำหรับเธอ
ราวกับอยู่ในความฝัน ศรีบดเนื้อด้วยฟันอย่างพึงพอใจ เลือดอุ่นๆไหลจากเนื้อส่งกลิ่นคาวจนแทบจะอาเจียน กาสะลองและเด็กๆ ต่างมอง พวกเขาไม่กล้าขยับไปไหนได้แต่มองศรีทานเนื้ออย่างหิวโหยราวกับอสูรที่ถูกจองจำไม่ได้ทานเนื้ออะไรเลยมาหลายร้อยปี
“เจ้า…” กาสะลองพึมพำถึงศรี แต่เด็กหญิงมีท่าทีไม่ได้สนใจ หูของเธออื้อไปหมด ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นเว้นแต่เสียงหัวใจที่เต็นแรงและเสียงฟันเคี้ยวเนื้อ
“อืม…” ศรีครางในลำคอด้วยความสุขสมในรสชาติของเนื้อนางยักษ์
ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านหลังโดยที่ไม่มีใครตั้งตัวแม้แต่กาสะลองเองก็ด้วย หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้คอตั้งแขนยาว ถือพัดด้วยมือขวาและถือร่มขอบลูกไม้ด้วยมือซ้าย นางยิ้มบางๆ กับร่างเล็กโชกเลือดที่กำลังกัดเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย
พลันแท่งเหล็กทั้ง ๕ ก็โผล่จากพัด หญิงสาวนางนั้นใช้แท่งเหล็กลากไปมาในอากาศเหนือหลังของศรีพลางท่องมนต์ไปด้วยหลังจากนั้นก็มียันต์ปรากฏขึ้นมา
ตึกตัก! ตึกตัก!!
ศรีชะงักไปก่อนจะกุมอกด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมากระทันหัน
“กรี๊ด…!!!”
ทั่วทั้งลานเงียบหริบ มีเพียงเสียงของเด็กหญิงเท่านั้นที่กรีดร้องดังก้องจนแสบแก้วหู
ไม่มีใครปิดหู
ทุกๆ คนหวาดผวาจนไม่กล้าทำอะไร
ดวงตาสีแดงไหวไปมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เขี้ยวค่อยๆ หดหายไป ศรีเบิกตาค้าง ปากอ้าจะกรีดร้องแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา
ตุบ
ร่างของเธอล้มลงนอนกับศพนางยักษ์ มีเสียงแผละตามมา จู่ๆ พลันฝนสีเลือดหยุดตกพร้อมๆ กับเนื้อชโลมเลือด
มันไม่ได้ค่อยๆ หายไป แต่หายวับไปชั่วพริบตา
กาสะลองก้มกายอุ้มศรีก่อนจะออกเดิน
“นางยักษ์ตายแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าก็มิมีความจำเป็นอะไรที่ต้องอยู่อีก” นางเอ่ยไม่ดังนักแต่มากพอที่จะให้ทุกคนได้ยิน ดินขาวพยักหน้าเบาๆ ขนมชั้นหลับตา
ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวก่อนจะก้าวเดิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ