ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) บทที่ ๒๑: ควักดวงตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒๑

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ควักดวงตา

                ซอสีเครื่องสายเพื่ออัญเชิญวิญญาณออกมาสามตน วิญญาณทั้งสามล้วนเป็นผู้หญิงแต่งกายคล้ายๆ นางเพียงแต่ไม่สวมเครื่องประดับหรือเกล้ามวยผมจึงปล่อยให้มันรุ่มร่ามไป แขนขวาถูกตัดจากช่วงไหล่แต่ใส่แขนเทียมแทน วิญญาณแต่ละตนแต่งกายตามภาคกำเนิดของตน

                ตนหนึ่งแต่งกายเป็นชุดสำหรับเซิ้ง นางปล่อยผมยาวที่เรียบตรงสีเงินประดับด้วยดอกไม้สีส้ม

                ตนที่สองแต่งกายเป็นชุดชาวไทลื้อ ผมยาวเกือบถึงกลางหลังนั้นเป็นสีแดง

                ตนที่สามแต่งกายเป็นชุดชาวข่า ผมยาวสีดำปลายสีน้ำตาล

                วิญญาณทั้งสามไม่มีทีท่าขยับ ปราศจากอาวุธ กระนั้นนางยักษ์ก็ไม่วางใจ นางและท่านกาสะลองยุติการต่อสู้แล้วมองท่านซอและวิญญาณ

                “เอาล่ะ มาเริ่มกันเถิด” ท่านซอเอ่ยพร้อมกับขยับมือและลากไปด้านข้างหลังจากนั้นวิญญาณก็สร้างอาวุธด้วยพลังวิญญาณแล้วจู่โจมนางยักษ์และเสือ

                ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะจบด้วยการนองเลือดเป็นแน่

 

                โซค่อนและปักเป้านั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเอร็ดอร่อย เด็กชายสวมแว่นหยิบแก้วมาดื่มน้ำก่อนจะเอ่ย

                “ปักเป้า ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

                “…” ไม่มีเสียงตอบกลับ ปักเป้ายังคงนั่งก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยว โซค่อนแคลงใจว่าทำไมคู่สนทนาถึงทำตัวเหมือนไม่รู้สึกต่อสิ่งใด ---แล้วในที่สุดเขาก็ทราบว่าเด็กชายเป็นอะไร

                เฮดโฟนครอบหูปักเป้า สายของมันเชื่อมกับโทรศัพท์ …ที่แท้เขาก็ฟังเพลงอยู่นั่นเอง

                ฟึ่บ

                โซค่อนถอดเฮดโฟนออกแล้วเอ่ยอีกครั้ง

                “มัวแต่ฟังเพลงอยู่ได้ สนใจฉันบ้างก็ได้นะ”

                “เจ้ามิน่าสนใจ” ปักเป้าตอบกลับเหมือนคนไม่มีอารมณ์ เด็กชายสวมแว่นรู้สึกว่าคำพูดของเพื่อนมันไปกระตุ้นเส้นประสาทแปลกๆ

                เด็กชายสวมเฮดโฟนคงจะมีอารมณ์ตอบหรอก แพ้การปาลูกโป่งกับเด็กข้างเรือนเป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจจริงๆ

                “เดี๋ยวเหอะ ว่าแต่นายมีโทรศัพท์ปะ จะยืมโทรฯ หาเพื่อนน่ะ”

                “มี”

                “งั้นขอยืมหน่อย”

                “อืม” ปักเป้าอนุญาตก่อนจะถอดสายเฮดโฟนแล้วหยิบโทรศัพท์ให้ โซค่อนรับมาและกดปุ่มโทรฯ ออก

                “ฮัลโหล…”

                “[โซค่อน เจ้าอยู่ที่ไหน]” ปลายสายรับและถามเขาอย่างร้อนรน โซค่อนยิ้มแบบสบายๆ พลางตอบ

                “อยู่ที่กรุงเทพฯ”

                “[ดีๆ สิ เจ้าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ ล่ะ”

                “ก็อยู่ตรง---” โซค่อนลอกแลกสายตาพร้อมกับตอบ คุยไปได้สักพักเขาก็เลิกการสนทนาแล้วทานก๋วยเตี๋ยวต่อ

                อีกไม่นานเพื่อนๆ ของเขาก็จะมาแล้วล่ะ

 

                มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านร้านต่างๆ พร้อมกับกวาดสายตาหาเพื่อนตน เด็กชายผิวสีแทน รูปร่างใหญ่มีกล้ามเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างของเค้ามีแผลเป็นปรากฏอยู่ เขาเดินนำหน้าเพื่อนๆ อีก ๕ คนเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ เขาก็เอ่ย

                “เฮ้อ… ให้มันได้เยี่ยงนี้สิ ดันตื่นสายจนทำให้พลัดพรากจากกัน ต้องมาตามหาอีก” น้ำเสียงของเด็กชายไม่ได้แสดงความโกรธ เสียงนั้นเอ่ยอย่างอ่อนโยน หากเป็นคนอื่นได้ยินคงแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นคนพูด เพราะหน้าตาดุดันนั้นช่างขัดแย้งกับคำพูดที่นุ่มนวลนัก

                เด็กหญิงเกล้าผมสีส้มสองข้างถักเปีย ติดหมวกเล็กกว่าฝ่ามือไว้บนผม เธอเอ่ยอย่างขบขำกับคำพูดของเด็กชาย

                “ฮ่ะๆ นั่นสิ ถึงโซค่อนจะชอบตื่นเช้าแต่พอทำงานจนดึกก็เป็นแบบนี้ทุกที”

                “อืม… ขอนอกเรื่องหน่อยละกัน พวกเจ้าว่าผู้ลักดาบนี่เอาดาบไปทำไมกัน?” เด็กชายผมสีน้ำเงินสวมเสื้อโค้ทสีน้ำเงินเอ่ยเสียงเรียบ เด็กชายผิวสีแทนพยักหน้า หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

                ท่ามกลางความเงียบงำ เด็กชายผมสีน้ำตาลอมแดงก็ขมวดคิ้วอย่างแคลงใจกับบางสิ่งบางอย่าง

                ร่องรอยก็ไม่ค่อยมีให้เห็น จะบอกว่าเป็นคดีง่ายๆ ก็ไม่ใช่ …มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่า

                .

                .

                .

                และพวกเขาก็มาถึง งานปิดเทอมนักเรียนเต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน ในตอนนั้นที่เด็กชายผิวสีแทนกังวลว่าจะหาเจอไหมนั่นเอง โซค่อนก็กระโดดพลางโบกมือไปมา เด็กชายผิวสีแทนยิ้มอย่างระอาก่อนจะเดินนำเพื่อนๆ ไปหา

                แล้วในที่สุดพวกเขาก็มารวมกลุ่มกัน ---๑ คน

                “แล้วที่เหลือล่ะ” เด็กชายผิวสีแทนถาม โซค่อนยิ้มแล้วตอบ “ก็กระจายตัวไปเล่นหมดแล้วล่ะ สบายใจได้ เพราะฉันนัดพวกมันไว้แล้ว”

                “งั้นฤ”

                ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก เด็กชายสวมแว่นยิ้มแล้วกวักมือก่อนจะเดิน เพื่อนๆ ของเขามองหน้ากันเป็นเชิงถามว่าตามไปดีไหม เด็กหญิงผมเกล้าผมสองข้างยักไหล่ก่อนจะเดินตามไป เมื่อเป็นดังนั้นคนอื่นๆ เลยตามด้วย

                “โซค่อน เจ้าว่าท่านครูให้เราร่วมสืบหาเบาะแสคนร้ายทำไมน่ะ” เด็กชายผิวสีแทนถาม “ฉันจะรู้รึ”

                “เจ้าชอบสอดรู้ไปทั่ว เรื่องนี้มีฤที่เจ้าจะไม่รู้”

                “น่า เดี๋ยวรู้เองแหละ” โซค่อนยิ้มด้วยความนึกสนุก เรื่องนี้มันจะไปสนใจทำไมเล่า สู้เอาเวลามาสงสัยแกะรอยเบาะแสคนร้ายมันมีประโยชน์กว่านัก

                คุณครูคาดีน่าบอกว่าท่านซอส่งข้อมูลมา ผู้ลักดาบให้เหรียญมาเพราะอยากยั่วให้ท่านตามมายังสถานที่อันเป็นกับดัก  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันต้องการให้ไปสถานที่ที่พิมพ์เป็นรูปบนเหรียญ แต่ท่านยังไม่ได้ไปถึง ---มันน่าแปลกอยู่แฮะ นานแล้วนะที่ท่านยังอยู่ที่นี่ แล้วทำไมผู้ลักดาบหรือสมันของมันยังไม่มาหาเอง

                ---หรือว่า---

                “แย่แล้ว!”

                “มีอะไรฤโซค่อน” เด็กชายผิวสีแทนและคนอื่นๆ มองเขาด้วยความตกใจ โซค่อนขมวดคิ้วและตอบ

                “ท่านซอตกอยู่ในอันตราย!!”

                “!!”

 

                ฉัวะ!

                ใบมีดเคียวตวัดใส่นางยักษ์อย่างแรง เลือดสาดต้องแสงดวงจันทร์เปล่งประกายท่ามกลางความมืด วิญญาณแห่งภาคอีสานแสยะยิ้ม ณ ตอนนี้ฝ่ายนางและฝ่ายศัตรูต่างยืนอยู่ในอากาศบนวงเวท การต่อสู้ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นดินต้องอาศัยพลังวิญญาณไม่น้อย หากนางเป็นมนุษย์อาจจะไม่เหนื่อยขนาดนี้ วิญญาณแห่งภาคอีสานหอบหายใจก่อนจะตวัดเคียวอีกครั้ง

                นางยักษ์หลบแล้วฟันดาบลงอาคมเข้าที่คอนาง แม้จะเจ็บปวดแต่วิญญาณแห่งภาคอีสานก็ไม่ร้องได้แต่กัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวด ยังดีที่นางเคยโดนพวกหมอผีเถื่อนทำร้ายมาแล้วนางจึงชิน แต่ขืนปล่อยไว้มีหวังวิญญาณได้ลาจากโลกนี้อีกครั้งแน่

                ฝ่ายวิญญาณเผ่าไทลื้อใช้ขวานฟันเสือ มันร้องคำรามและพุ่งเข้ามา วิญญาณเผ่าข่าใช้ใบมีดไม่มีด้ามจับขนาดเท่ากับคนสองคนต่อกันฟันเข้าที่หน้าเสือ กาสะลองเข้ามาเสริม นางสะบัดแส้ใส่ คราวนี้ใส่พลังวิญญาณธาตุไฟเข้าไปด้วย

                ซอนั่งหายใจติดๆ ขัดๆ นางต้องใช้พลังวิญญาณอย่างมากในการควบคุมวิญญาณแถมต้องใช้พลังสร้างวงเวทเพื่อให้ตนยืนอยู่บนอากาศได้เพื่อดูการเคลื่อนไหววิญญาณของนาง

                วิญญาณชาวข่าเหลือบเห็นผู้เป็นนายหน้าซีดจึงเอ่ยอย่างเป็นห่วง

                “ท่านซอเจ้าคะ ถ้ามิไหวก็ไปพักเถิด ต่อจากนี้ข้าจะใช้พลังวิญญาณของตนเอง” วิญญาญชาวข่าโจมตีและรับไปด้วย วิญญาณอีกสองตนหันมายิ้มให้ซอเป็นเชิงว่าพวกนางไม่เป็นไรจริงๆ

                “เข้าใจแล้ว พวกเจ้าเองถ้ามิไหวก็อย่าฝืนละกัน”

                “เจ้าค่ะ” วิญญาณทั้งสามตอบรับก่อนจะหันไปโจมตี

                ซอค่อยๆ เลื่อนวงเวทแล้วกระโดดเมื่อใกล้ถึงพื้น พบกับร่างหญิงสาวถักเปียนอนแทบไม่ขยับร่าง ซอรักษานางจนแผลสมานหมดแล้ว แต่อาการภายในหนักมาก

                “อึก!”

                “อรัญญิก เจ้ายอมแพ้ต่อความเจ็บปวดเถิด! ขืนปล่อยไว้เช่นนี้มันจะอันตรายถึงชีวิตเจ้านะ!!”

                “ม่ะ มิไป… เจ้าค่ะ” อรัญญิกดื้อรั้นไม่ยอมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซอกัดริมฝีปากด้วยความโกรธ …ทำไมอรัญญิกถึงได้ดื้อถึงเพียงนี้ นางเป็นห่วงซะจนไม่รู้จะเป็นห่วงอย่างไรแล้ว

                แม้อรัญญิกจะเคยเจ็บมากกว่านี้มาหลายครั้งแล้วจนนางชินกับความเจ็บปวด กระนั้นซอก็ไม่อาจละเลยได้

                นางและอรัญญิกร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันอุปสรรคเสี่ยงตายมาด้วยกันตลอด…

                แล้วจะให้มาตายเพราะเรื่องแค่นี้น่ะหรือ?

                ---นางไม่ยอมหรอก!

                ถ้าดื้อนักก็จะทำให้จำยอมละกัน

                ซอค่อยๆ โน้มตัวลงพร้อมกับจับคางหญิงสาวถักเปียไว้แล้วประทับจุมพิตบนริมฝีปาก หญิงสาวผู้น้อยเบิกตากว้างเพราะคาดไม่ถึงว่าหญิงสูงศักดิ์ผู้เป็นนายจะลดตัวมาจูบกับหญิงอันมีศักดิ์ต่ำเช่นเธอ

                ท่านซอกำลังโกรธเพราะเป็นห่วงเราสินะ

                อรัญญิกนึกด้วยความรู้สึกผิด หากซอจูบนางนั่นหมายความว่าซอกำลังโกรธเพราะเป็นห่วงนั่นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ซอบดขยี้ริมฝีปากเหมือนจะสั่งสอน ซึ่งอรัญญิกก็ไม่ขัดขืน

                ซอเริ่มหายโกรธแล้วจึงถอนริมฝีปากออก

                “ถ้าคราวหน้ายังดื้อเช่นนี้อีกละก็ อย่าหวังเลยว่าข้าจะทำเพียงแค่จูบ”  ใบหน้างดงามนั้นเรียบเฉย นางลุกขึ้นยืนก่อนจะอุ้มอรัญญิกให้อยู่ในอ้อมกอด หญิงสาวถักเปียไม่กล้าขัดขืน

                “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ”

                หลังจากนั้นซอก็พาอรัญญิกมาถึงโรงพยาบาล เมื่อพยาบาลเห็นว่านายิกาหนึ่งในสามแห่งภาคกลางมาเยือนก็รีบเข้ามาหาแล้วถาม ซอบอกอาการของอรัญญิก พยาบาลพยักหน้า อรัญญิกถูกส่งตัวให้ไปรักษา ซอเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง

                ขอโทษด้วยนะอรัญญิก ข้าเป็นห่วง… ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องทรมาน…

               

                นางยักษ์รู้สึกว่าตนเสียเปรียบมากเพราะมีกำลังไม่พอ

                “น่าผิดหวังจริงๆ นึกว่าเป็นลูกสมุนของผู้ลักดาบจะเก่งกว่านี้เสียอีก” กาสะลองเยาะเย้ย นางยักษ์อารมณ์เริ่มเดือดจึงฟันเข้าที่คอเมื่ออีกฝ่ายเผลอ กลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนคลุ้ง ของเหลวสีแดงพุ่งออกมามากมาย ศีรษะหญิงสาวหลุดออกจากคอ

                “หัวหลุดจนได้ มัวแต่เย้ยข้าจนตัวตายเยี่ยงนี้ หึๆๆ!”

                “ข้ายังมิตาย”

                “!”

                “ข้ามีสายเลือดอมตะต่อให้สังหารเช่นไรก็มิอาจดสิ้นลมหายใจได้ดอก” ร่างไร้ศีรษะสะบัดแส้อีกครั้ง นางยักษ์คาดไม่ถึงว่ากาสะลองจะเป็นพวกสายเลือดอมตะ

                แย่แล้ว! เราเสียเปรียบขนาดนี้เชียวฤ? เราตนเดียวมิมีสายเลือดนั่นแถมยังมีกำลังน้อยอีก!!

                วิญญาณชาวไทลื้อตวัดขวานเข้าที่ขาเสือ คราวนี้นางกดลึกมากจนขามันขาด กระนั้นเสือก็ไม่ยอมแพ้ เส้นเลือดหลายเส้นค่อยๆ โผล่ออกจากบาดแผล มันดิ้นขยุกขยิก วิญญาณชาวไทลื้อแสยะยิ้มพลางกล่าวด้วยความขบขัน

                “หึๆ เคี้ยวยากเสียจริง”

                ฝ่ายกาสะลอง

                นางยักษ์โจมตีและรับพลางนึกถึงสิ่งที่คนๆ นั้นพูด

                ‘อ้อ ช่วยเอาเนตรนั้นมาให้ข้าหน่อยได้ไหม?’

                ‘เนตร?’ นางยักษ์กล่าว ‘อืม เจ้าก็น่าจะรู้ดีนะว่าท่านต้องการอะไร’ เสียงชายหนุ่มนั้นเอ่ยอย่างอ่อนแรง

                ‘เรื่องนั้นข้ารู้ดี ว่าแต่มันอยู่ที่ไหนล่ะ?’

                ‘อสูรแห่งตระกูลวีรสังฆะ’

                ‘มันเป็นใคร’ นางยักษ์ถาม ชายหนุ่มเงียบไปพักก่อนจะตอบ ‘สังรศรี’

                ฉัวะ!

                ดาบฟันแส้จนมันขาด กระนั้นแส้ก็ยังสะบัดไม่หยุด

                ‘มัน… แล้ว… ท่านต้องการอะไร’

                ‘…ประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง’

                ดาบอรัญญิกท่านผู้นั้นต้องการไปใช้ทำอะไรกัน? คนอย่างท่านมิมีทางชิงไปเพราะหวังบัลลังก์แน่

                แล้วเอาไปทำอะไร?

                แต่ว่า… ถ้าเราจับเด็กที่ชื่อสังรศรีนั่นไว้แล้วชิงเนตรเป็นตัวประกันก็…

                “อะไร?” กาสะลองถามเมื่อนางยักษ์ยิ้ม นางยักษ์เบิกตาโพลงพร้อมกับตอบ

                “ชัยชนะมันอยู่ในกำมือข้าแล้ว”

                “!”

                กล่าวจบนางยักษ์ก็กระโดดลง วิ่งไปบนหลังคาบ้านเรือน กาสะลองเห็นดังนั้นจึงตามไปด้วยความรู้สึกระวนกระวาย หมายความว่าอย่างไรที่ชัยชนะอยู่ในกำมือนางยักษ์

 

                เมฆค่อยๆ เคลื่อนตัวบดบังดวงจันทร์อันงดงาม ช่างหม่นหมองนัก ศรีเงยหน้ามองอย่างไม่สบายใจ ยุพินเห็นเช่นนั้นจึงถามอย่างเป็นห่วง

                “ศรี เป็นอะไรไปเหรอ?”

                “ม่ะ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มแบบฝืนๆ ทำไมเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยนะ

                วูบ…

                บางสิ่งบางอย่างกระตุกในดวงตาข้างขวาของเธอ

                “น่ะ นั่นมันอะไรน่ะศรี?!” ยุพินชี้ที่ตาของเธอ ศรีกุมตาข้างขวาพร้อมกับตอบ “ฉะ ฉะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ!”

                ดวงตาเรืองแสงเป็นสีแดงเข้มเหมือนเลือด ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วดวงตา ยุพินเห็นท่าทางศรีไม่ดีเพราะทรุดกายลงไปจึงพยุงเธอขึ้น

                “กลับไปพักก่อนไหม?”

                “ไม่จ้ะ”

                ตึก…!

                “โอ๊ย!!” หัวใจเต้นแปลกๆ รู้สึกว่าอวัยวะภายในบีบตัวแน่น น้ำตาเอ่อออกมาพร้อมๆ กับเลือดที่ไหลจากดวงตา

                แปะ

                “กรี๊ด…!! แย่แล้ว ศรี--- ศรี”

                “เฮ้ย! ศรี เธอเป็นอะไรน่ะ! เฉาก๊วยได้ยินเสียงจึงมาหาเธอ ใบหน้าซีดเผือดของเธอทำให้เฉาก๊วยไม่สบายใจมาก

                “ยุพิน เธอพาศรีไปที่โรงพยาบาลที”

                “อื้ม!

                ศรี…

                ธันนะที่แยกจากศรีไปหลายเมตรเพิ่งวิ่งมาถึง ภาพเธอที่หลั่งเลือดจากตาและเส้นเลือดที่ผุดขึ้นชัดเจนนั้นในอ้อมกอดยุพินทำให้ใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

                “เฉาก๊วยระวัง!” ขนมชั้นเอ่ยเมื่อเห็นนางยักษ์พุ่งตัวจากข้างบนจะฟันดาบเข้าที่หลังเด็กชาย เฉาก๊วยทันตัวจึงหลบแล้วชกเข้าที่ท้องนางแล้วซ้ำเติมเหวี่ยงขาเตะเข้าที่หน้า  

                หากกำจัดเด็กพวกนี้ได้การจับตัวสังรศรีนั่นก็ง่าย แต่ดูท่าเด็กพวกนี้มันจะมีฝีมือในการต่อสู้ซะด้วยสิ

                น่าเบื่อ!

                นางยักษ์คิดอย่างเหนื่อยหน่าย นางเปลี่ยนใจหันไปแย่งตัวศรีจากยุพินแล้วพาดบ่า อาการของเด็กหญิงหนักมากขึ้น เลือดทะลักจากปากหยดกองบนพื้น พงสณะที่มาทีหลังเห็นผู้เป็นที่รักใกล้เข้าเขตภพอื่นทนไม่ได้จึงหยิบปืนยิง

                “ป้าคิดจะทำอะไรศรีน่ะ!”

                “เรียกข้าว่าป้าเรอะ! อ้ายเด็กบ้า!!” นางยักษ์เดือดดาล นางหลบกระสุนแล้วพุ่งตัวไปฟันพงสณะ เขาใช้สันมือฟันข้อมือนางอย่างแรงจนดาบร่วง

                “ศรี! แข็งใจไว้นะ”

                “ฉะ… อ่อก!!” เลือดไหลไม่หยุด นางยักษ์มองด้วยหางตาพลางแสยะยิ้ม ถ้าศรีอาการหนักขนาดนี้ก็ง่ายแล้วล่ะ เพราะเธอคงไม่มีแรงดิ้นรนจากนาง

                นางยักษ์เตะพงสณะก่อนจะก้มเก็บดาบแล้วรับมีดจากขนมชั้นที่ฟันเข้ามา นางยักษ์สร้างวงเวทที่มองไม่เห็นและเดินขึ้นไปก่อนจะหนีจากตรงนี้มุ่งไปทางอื่น ดวงตาพร่ามัวของศรีมองเห็นเพื่อนๆ ที่ตามมานั้นเลือนราง

                ทำไม… ถึงมีแต่คนคิดร้ายกับเรา       

                ‘แค่เนตรตื่นตัวเล็กน้อยก็หมดแรงแล้วฤ? มิขืนใจดิ้นรนล่ะประเดี๋ยวก็ถูกสังหารดอก’ เสียงเดิมถามเธอ มันแหบพร่าและน่าขนลุกนัก ศรีตอบในใจ

                “มัน… ไม่มีแรงเลย”

                ‘งั้นฤ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ตายอย่างไรความหมายล่ะนะ อ่อนแอเสียจริง’

                ใช่ เรามันอ่อนแอ ไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออดีต …ถ้าไม่ได้ผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ละก็ป่านนี้เราอาจไม่รอดแล้วก็ได้

                ตุบ!

                นางยักษ์โยนศรีลงหลังจากมาถึงพื้นที่โล่งแต่เต็มไปด้วยหญ้าขึ้นรกชัน ศรีไอเป็นเลือดออกมา นางยักษ์แสยะยิ้มก่อนจะคว้าคอเสื้อเธอแล้วกระชาก

                “ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้นะ เพียงแต่ถ้าเจ้ามอบดวงตาให้”

                “ค่ะ ค่ะ ดวง………… ตา… ดวงตาของหนูมันมีอะไร?! แค่กๆ!!” ศรีถามอย่างยากลำบาก นางยักษ์แค่นเสียงหัวเราะก่อนจะตอบ

                “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้ามิรู้ว่าตัวเองมีเนตรนั่นอยู่น่ะ”

                “เนตร?”

                “หึๆ เนตรยันต์มรณะไงล่ะ!”

                แกรก

                ดาบจ่อที่คอของเด็กหญิง ศรีเบ้หน้าแล้วเบือนหนีแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งใบหน้าไว้

                ‘เจ้าจะอ่อนแอไปถึงเมื่อไหร่! มีแต่คนปกป้องเจ้าแต่เจ้ามิคิดจะปกป้องตนเองบ้างเลยฤ? ใช้ดาบนั่นสิ…’ ศรีพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น แต่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างไล้ผมเธอไปมา เจ้าของเสียงนั้นปรากฏตัวเป็นควันที่มีเพียงเธอที่เห็น มันรวมตัวที่ปิ่นปักผม

                ‘แล้วฉันจะเชื่อได้ยังไงว่ามันปลอดภัยต่อตัวฉัน’ ถ้าตอบในใจก็ไม่มีปัญหาเพราะเพียงแค่เธอคิดอีกฝ่ายก็ได้ยิน คู่สนทนาหัวเราะแล้วตอบ

                ‘ข้าก็มิอาจรับประกันได้ดอก แต่… ถ้าเจ้ามิใช้เสียตอนนี้แล้วเจ้าจะเสียใจไปตลอดชีวิต’

                ‘…’ เลือดไหลออกมาไม่หยุด เพียงแค่ข่มความเจ็บปวดก็ยากพอแล้ว ยังต้องมาใช้ความคิดตัดสินใจอีก

                จะใช้หรือไม่ใช้?

                เธอถามกับตัวเอง

                ‘ฉัน… จะใช้”

                ‘ดีมาก’

                วูบ

                รอบๆ ตัวเธอเป็นสีดำ ปรากฏอักขระสมัยก่อนร้อยเรียงรอบตัวเธอเป็นวงกลมหลายชั้น …ตัวอักษรในสมัยนี้กับสมัยก่อนก็คล้ายกันเพราะฉะนั้นการจะอ่านก็ไม่มีปัญหา เว้นแต่ออกเสียงผิดบ้างก็เท่านั้น ศรีท่องตาม เมื่อท่องใกล้ถึงบรรทัดสุดท้ายของแต่ละชั้นปิ่นปักผมก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พวกมันก็เรียงตัวรวมกลุ่มแล้วเปลี่ยนเป็นดาบ

                มันอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว…

                ศรีข่มความกลัวก่อนจะจับดาบ ความมืดสลายตัว ศรีมองหน้านางยักษ์อย่างแน่วแน่แม้ในใจยังแอบหวาดกลัวก็ตาม

                ศรีกำมือดาบทั้งสองข้างแน่นก่อนข่มความเจ็บปวดแล้วใช้ดาบแทงเข้าที่ท้องนาง ศรีลุกกายท่อนบนขึ้นแล้วกระแทกด้ามดาบเข้าที่หน้า นางยักษืทนความเจ็บปวดไม่ได้จึงกลิ้งกายกับพื้น เด็กหญิงรีบถอยจากตรงนั้นก่อนจะชี้ปลายดาบ

                “แค่กๆ! อย่าคิดนะว่าหนูเป็นเด็กแล้วจะทำอะไรก็ได้น่ะ!!” น่าแปลกอาการเจ็บปวดบรรเทาลงแล้ว ดวงตากระตุกแปลกๆ มันเรืองแสงเป็นสีแดง ศรีไม่สนใจความเจ็บแล้วเดินเข้าไปแทงนางอีกครั้ง

                “อึก! จะ เจ้า… ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเด็กเช่นเจ้าจะมีฝีมือในการต่อสู้ด้วยน่ะ”

                “ก็ไม่เชิงหรอก แค่อาศัยช่วงทีเผลอโจมตีก็เท่านั้นแหละ” เสียงของเธอเรียบเฉย เธอโกรธนางที่มาทำร้าย ไฟเผาความเจ็บปวดและความหวาดกลัว

                นางยักษ์ข่มความเจ็บปวดพลางกัดริมฝีปาก นางฟันดาบแต่ไม่โดนเพราะศรีถอยมาก่อน เธอรับดาบก่อนจะปัดมันแล้วฟัน นางยักษ์รับพร้อมกับใช้ขาเตะเธอ ศรีล้มตัวไปนอน นางยักษ์ลงดาบอีกครั้งแต่ศรีใช้ดาบสองด้ามมาไขว้กันรับไว้ เธอดันดาบออกแล้วเตะ

                ชิ! ผิดคาด เราประมาทไป ท่าทางนางเด็กนี่ไม่น่าเคยผ่านการต่อสู้แต่ทำไมมันถึงดูคล่องนักล่ะ

                เคร้ง!!

                ดาบประทะกัน ไม่มีใครยอมใคร ดวงตาสองคู่สบกันไม่ให้คลาดสายตา จากนั้นทั้งสองคนก็ผละจากกัน ดาบสามเล่มรับฟันไปมาไม่มีทีท่าถอย นางยักษ์พยายามหาช่องโหว่ นางสังเกตว่าศรีไม่ค่อยสนใจช่วงล่าง มัวแต่ฟันเข้าที่ท้องและคอ

                ตอนนี้ล่ะ!

                ศรีฟันเข้าที่คอแต่นางยักษ์หลบได้ก่อนจะก้มตัวลงแล้วฟันจากเอวผ่านหน้าท้อง เลือดส่งกลิ่นคาวน่าพะอืดพะอม ศรีเบิกตาโพลงก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังโดยไม่เหลือบมองจนชนกับต้นไม้ นางยักษ์ยกมุมปากอย่างได้ชัยก่อนจะเดินช้าๆ ไปหาเธอ เด็กหญิงเกล้ามวยผมกุมท้องไว้กระนั้นเลือดก็ไม่ยอมหยุด อาการจากตอนในงานกำเริบอีกครั้ง เลือดไหลจากตาอย่างรวดเร็วอวัยวะภายในก็บีบตัวแน่นกว่าเดิม

                ย่ะ อยากทานอะไรสักอย่างที่คาวจัง…

                ความรู้สึกอยากทานเนื้อของสิ่งมีชีวิตมันคืออะไรกันนะ?

                แกร๊ก!

                ปลายดาบจ่อที่ตา มันเฉียดมาก ศรีลืมเปลือกตาครึ่งหนึ่งเพราะกลัวโดน

                “หากมิอยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็ยอมจำนนให้ข้าควักลูกตาเสียดีๆ!” นางยักษ์เชิดใบหน้าขึ้นเหมือนจะเหยียดหยาม เป็นช่วงเดียวกับที่ศรีทรุดกายลงไปนั่งในท่าเหยียดขา

                 ศรีหอบหายใจ รู้สึกว่ากระดูกร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะที่บริเวณปากมันปวดเหมือนจะแตกให้ได้เลย

                “ไม่…”

                “ยังจะปากดีอีกเรอะ!”

                ปึก!

                นางยักษ์เหยียบท้องศรีอย่างแรง ศรีเบิกตาโพลงเอื้อนเสียงไม่บอก เลือดทะลักออกมามากกว่าเดิมพร้อมๆ กับที่เลือดพุ่งออกจากปาก

                “งั้นข้าขอเลยละกัน!!” นางยักษ์กดดาบใต้คิ้ว เลือดซึมออกมา

                “ย่ะ---”

                ฉัวะ!!

                ดวงตาข้างขวาปริรอยที่ดาบลงไว้เป็นทางจากใต้คิ้วเลยแก้มใต้ตามาเล็กน้อย ของเหลวสีแดงไหลส่งกลิ่นทับถมกับกลิ่นเลือดจากส่วนอื่นๆ

                กาสะลองและเพื่อนๆ ของศรีมาถึงก็พบกับร่างยักษ์กำลังใช้ดาบสอดใต้ลูกตาเธอ แววไพรทรุดกายลงเพราะทนกับภาพนั้นไม่ได้ดินขาวกับยุพินที่อยู่ข้างๆ ช่วยพยุงร่างไม่ให้ล้ม ร่างกายของเด็กหญิงสวมแว่นสั่นพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ว่าวปิดปากก่อนจะเอ่ยพร้อมๆ  กับเพื่อนคนอื่นๆ

                “ศรี!!”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา