ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
120) บทที่ ๑๑๘ : สัมภาษณ์นักเรียนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑๘
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
สัมภาษณ์นักเรียนใหม่ กับ ผู้คุมกฎที่เฝ้าดู
วานรินทร์หันไปมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง ใบโพธิ์ที่กำลังใช้ช้อนพรวนขุดดินนั้น ก็เหลือบเห็นว่าเพื่อนร่วมงานหยุดไปเลยอดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า ถึงนิ่งขนาดนั้นน่ะ?”
“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีงานอย่างอื่น ขอตัวไปก่อนนะ ถ้ามาทันข้าจะช่วยต่อ”
“โอเค”
ใบโพธิ์มองอีกฝ่ายที่เดินจากไป อย่างสังหรณ์ใจบางอย่างว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นักเลยต้องเพาะเมล็ดพืช
หวังว่าจะไม่มีอะไรล่ะ
“ข้ามิค่อยอยากทำบ่อยนัก เรื่องการรอเงียบ ๆ ให้อีกฝ่ายออกมา …ฉะนั้นแล้วจงเผยตัวออกมาเสียเถิด ผู้ที่ซ่อนกายอยู่” เมื่อมาถึงบริเวณที่ทิ้งใบไม้แห้งและขยะ โดยมีต้นไม้ปลูกอยู่รอบ ๆ วานรินทร์ก็กล่าวอย่างไม่กลัวว่าจะโดนลอบทำร้าย ทั้ง ๆ ที่ตนเองจ้องรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงใดขานกลับมา
ฤๅเราจะรู้สึกไปเอง? แต่สัมผัสนั้นมันชัดเจนอยู่เหมือนกันนี่? ถึงจะเพียงเสียวเวลาก็เถิด
พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินจากบริเวณนี้ไป ขณะนั้นเองผู้ที่มองจากที่ซ่อนกายก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขโทรฯ ออก
.
.
.
พอผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งสองก็เพาะเมล็ดเสร็จ แล้วเดินไปยังบริเวณระหว่างเรือนประถมกับมัธยม ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่ระยะห่างของเรือนก็กว้างพอที่จะตั้งตลาดประมาณ ๓๐ ร้านได้ ซึ่งตลาดที่นี่ก็ดำเนินกิจการโดยบุคลากรในโรงเรียน อาทิ นักเรียนที่หารายได้พิเศษหลังเลิกเรียน และคุณครูที่หาเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายภายในโรงเรียน รวมทั้งผู้อื่นและจุดประสงค์ของแต่ละคน
วานรินทร์ตกลงกับใบโพธิ์ว่าจะพบกันที่ไหน ก่อนที่กบิลปักษาให้เงินเด็กชายความจำเสื่อมด้วย
“ขอบคุณมากเลยนะ เดี๋ยวถ้ามีภารกิจหรืองานอะไรที่ทำได้ ฉันจะคืนให้นะ” ใบโพธิ์กล่าวถึงเรื่องที่ภูรินทร์อธิบายในชั่วโมงประจำชั้น อีกฝ่ายส่ายหน้าก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ข้าให้เลย แต่อย่าให้อ้ายสิรไพรเห็นล่ะ บัดเดี๋ยวจะโดนเอาไป ข้าเองก็ใช่ว่าจะมีเงินมาก คงจะให้เจ้ายืมหรือให้เลยบ่อย ๆ มิได้”
“จะดีเหรอ” ใบโพธิ์มองเงิน ๑๐๐ บาท สำหรับค่าเลี้ยงชีพตลอดของตนเองอย่างรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงกบิลปักษาตนนี้จะไม่มีความเสียดายแฝงอยู่ในแววตา แต่เงินขนาดนี้สำหรับเขาแล้วมันก็มากอยู่ จะรับง่าย ๆ ก็ดูเห็นแก่ตัว
“อีกฝ่ายให้ของแล้วมาพูดแบบนี้ ก็เสียความรู้สึกเหมือนกันนะ” วานรินทร์ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ หรอก แต่เขาใช้วิธีที่ทำให้ใบโพธิ์ต้องยอมรับเงินต่างหาก เด็กชายเกล้าผมทรงหางม้าที่ตัดเหลือเพียงบริเวณช่วงบนศีรษะ จำต้องรับเงินแต่ตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกหนักใจเท่าทีแรก หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายไปซื้ออาหารและเครื่องดื่ม
“หืม? ผัดบะหมี่เหรอ?” ใบโพธิ์ผ่านมาที่ร้านผัดบะหมี่ผัด กลิ่นหอม ๆ ของซอสที่ราดลงไประหว่างผัดพร้อมกับควันร้อนระอุนั้นช่างเย้ายวนจริง ๆ ทว่าในขณะที่กำลังจะหยิบเงินออกมานั้น ก็เหลือบเห็นป้ายราคาเขียนเลข ๔๐
“อะไรกัน ทำไมแพงอย่างนี้ล่ะ?” ใบโพธิ์มองใบตองแผ่นที่ดูแล้ว น่าจะห่อได้เท่ากล่องพลาสติกขายตัว[1]ขนาดทั่วไป ซึ่งหมายความว่าอาหารภายในย่อมไม่มาก เว้นเสียแต่ผู้ทำอาหารจะฝืนยัดใส่ลงไป
ระหว่างที่มองบะหมี่ผัดที่ใส่ในห่อใบตองบนโต๊ะนั้น เจ้าของร้านก็กล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่ซื้อก็ไปร้านอื่นเลยไป! เห็นอย่างนี้ฉันลงทุนไปเยอะเหมือนกันนะ ยังจะบ่นอะไรอีก!” ใบโพธิ์สะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วมองอีกฝ่ายซึ่งเป็นเด็กชายผมสีน้ำตาลเหลือบแดง สวมเสื้อนักเรียนทับด้วยชุดกันเปื้อนแบบเรียบ ๆ ซึ่งกำลังยืนเท้าเอวด้วยมือข้างซ้าย ส่วนอีกข้างถือตะหลิว
“ขอโทษนะ” ใบโพธิ์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด แล้วหันหลังเตรียมจะเดินไปร้านอื่น ทว่าไม่ทันไรก็ถูกใครบางคนจับข้อมือไว้
“นี่ ๆ ถึงไม่พอใจก็พูดดี ๆ ได้นี่ แบบนี้ถึงจะทำอร่อยกว่าร้านอื่นที่ทำบะหมี่ผัดเหมือนกัน แต่ลูกค้าก็คงอดทนไม่ได้ตลอดหรอกนะ จริงไหม? เด็กใหม่” ใบโพธิ์มองผู้มาใหม่อย่างฉงน อีกฝ่ายเป็นเด็กชายตัดผมรองทรง ผมที่ยังอยู่นั้นชี้ตั้ง ๆ พอบอกอุปนิสัยว่าไม่ค่อยอยู่นิ่ง ๆ หรือเรียบร้อนเท่าที่ควรนัก เขี้ยวที่โค้งออกจากปาก รวมทั้งลายที่คล้ายกนกตรงมุมปากนั้น ทำให้ใบโพธิ์หวาดผวาขึ้นมา
อย่าบอกนะว่าจะตายรอบสอง เพราะจะถูกยักษ์ตนนี้กินน่ะ!
ใบโพธิ์คิดอย่างอดไม่ได้ และเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองโดนเด็กชายผู้เป็นยักษ์คล้องแขนกับคอตนเองอยู่
“แกนี่ก็อีกคน ฮึ่ย! ไม่พูดละ เดี๋ยวอาหารไหม้หมด” เด็กชายผมสีน้ำตาลเหลือบแดงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปผัดบะหมี่ต่อ ใบโพธิ์มองทั้งสองสลับไปมาอย่างงุนงง
“อย่าคิดมากเลย อ้ายน้ำเกลือมันก็อย่างนี้แหละ เค็มสมชื่อดีใช่ไหมล่ะ---”
ฟิ้ว!
ฉึก!
กล่าวไม่ทันจบมีดก็พุ่งผ่านเฉียดแก้มไปทะลุผ้า ซี่งคลุมส่วนบนของร้านไว้ที่ฝั่งตรงข้าม เจ้าของร้านที่เป็นเด็กสาววัยมัธยมปลายนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้กลัวมากนัก เพราะการใช้อาวุธเป็นเรื่องปรกติของมิติผกาย
“ใจเย็นสิ แซวเล่นเองนะเพื่อน” กล่าวไปก็ขำไป ใบโพธิ์รู้สึกว่าตนเองใช้เวลากับร้านนี้โดยไม่จำเป็นเกินไปแล้ว เลยตัดสินใจเปิดปากให้อีกฝ่ายที่คล้องแขนอยู่ปล่อย “เอ่อ… ช่วยปล่อยได้ไหม?”
“อ๊ะ? ได้สิ” พออีกฝ่ายปล่อยแล้ว ใบโพธิ์ก็รีบเดินจากไปทันที ทว่าเด็กชายผู้เป็นยักษ์ตามมาด้วย เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่าเจ้าตัวจะทานเขาเป็นอาหารก็ได้ ถึงที่นี่บุคคลจะมีมาก แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไร
“นายตามมาทำไมน่ะ?” ใบโพธิ์ถามหลังจากหยุดเดิน เด็กชายผู้เป็นยักษ์เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะตอบ “ก็นายน่าสนใจนี่ อีกอย่าง ตอนนี้นายดังแล้วด้วยนา ฉันก็ต้องอยากเฝ้าดูบ้างสิ”
“ดัง?” ใบโพธิ์ทวนคำพลางนึกถึงเรื่องที่เพื่อนในห้องเคยสนทนากันถึงตัวเขา “เรื่องตัวแทนยมทูต ผู้นำทางแห่งวายชนม์อะไรนั่นน่ะเหรอ?”
“อื้ม ตอนนี้ก็มีบุคลากรในโรงเรียนเริ่มสืบแล้วล่ะว่านายเป็นใคร ดูอย่างหนังสือพิมพ์เล่มนี้สิ พาดหัวข่าวใหญ่สุด ๆ เลย!” ใบโพธิ์ชะเง้อหน้าไปดูหนังสือพิมพ์ ที่อีกฝ่ายหยิบออกมาจากกระเป๋า ซึ่งมีหัวข้อข่าวพิมพ์ขนาดใหญ่ว่า ตัวจริงหรือตัวปลอม ตัวแทนยมทูตโรงเรียนประดู่แดงศาสตราพิชัย
ใบโพธิ์จ้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาอ่านเนื้อหา
มีนักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่นาม ใบโพธิ์ (นามสกุลไม่มี) นั้นสร้างความแปลกใจทั้งกับโรงเรียนเรา และโรงเรียนอื่น เพราะมีใบหน้าที่เหมือนกับตัวแทนยมทูต ของโรงเรียนประดู่แดงศาสตราพิชัย ที่ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้การตรวจสอบนั้นจะไม่พบยันต์ที่เขามี รวมทั้งวิญญาณที่ไม่ใช่ของมิติผกาย แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ว่านักเรียนที่คาดว่าเป็นตัวแทนยมทูตคนนี้จะไม่ใช่ หากเขาเป็นเช่นนั้นจริงนี่ก็อาจเป็นความลับที่ยังไม่เปิดเผยให้ใครทราบ
ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเพราะอะไร ใบโพธิ์ถึงดึงหนังสือพิมพ์จากมืออีกฝ่าย แล้วอ่านอย่างตั้งใจ
และถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ตัวแทนยมทูตโรงเรียนเราก็เป็นตัวประกันของโรงเรียนประดู่แดงฯ เช่นกัน ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างเสมอกัน กระนั้นหากกล่าวอีกทางหนึ่ง ทางเราก็เสียเปรียบเพราะยังทราบไม่แน่ชัดว่า ที่อยู่กับโรงเรียนตอนนี้เป็นตัวแทนยมทูตจริงหรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่อาจมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ
“นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะ? ประกาศสงครามอะไรกัน?!” ใบโพธิ์เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เด็กชายผู้เป็นยักษ์ยิ้มก่อนจะกล่าว “ดูท่าว่าต้องอธิบายยาวแล้วล่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปที่ลานราชพฤกษ์ โดยที่ใบโพธิ์ลืมไปว่าคราแรกตนมากับวานรินทร์ พอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวไม้ที่ขนาบข้างโต๊ะแล้วเด็กชายตัดผมรองทรงก็กล่าวต่อ
“เรื่องนี้ครูภูรินทร์ยังไม่ได้อธิบายสินะ …ตั้งใจฟังดีล่ะ ๆ ”
“อื้ม”
“มิติผกายอย่างที่ครูภูรินทร์บอกไปแล้ว ว่าเป็นมิติที่ใช้อาคมและเวทมนตร์เป็นเรื่องปรกติ การใช้อาวุธและต่อสู้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน …แน่นอนว่ามีการต่อสู้ สงครามก็ย่อมเกิดอย่างไม่น่าแปลกใจ ซึ่งสงครามระหว่างโรงเรียนทุกโรงเรียนนั้นผู้ที่สั่งให้ทำ คือเอก[2]นายิกา”
พอฟังมาถึงตรงนี้ใบโพธิ์เอ่ยขัดขึ้น
“เอกนายิกาคืออะไร?”
“หญิงผู้ที่เป็นเสมือนพระมหากษัตริย์ อย่างที่ครูบอกไปแล้วว่ามิตินี้บางประเทศไม่มีพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ต่างกับมิตสามัญเท่าไหร่ แต่ต่างกันตรงที่บางประเทศใช้ตำแหน่งอื่นที่มิตินั้นไม่มีมาแทนที่ หนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีเพียงเอกนายิกาเท่านั้นที่เป็นตำแหน่งของหญิงชั้นสูง มีตำแหน่งลงมาด้วย อย่างสัตตะกะนายิกา เปรียบเทียบได้กับเจ้าพระยา จตุรนายิกาเทียบได้กับเสนาบดี
…อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่าแต่ละตำแหน่งจะมีผู้ดำรงอยู่คนเดียวนะ ก็ตามคำเรียกนั่นแหละ สัตตะแปลว่าเลขเจ็ด จตุรแปลว่าเลขสี่ จะว่าไปจตุรนายิกาแต่เดิมมี ๕ คนนะ แต่ละคนเป็นนายิกาประจำแต่ละภาค ทว่ามีนายิกาประจำภาคกลางนั้นมักจะมีอาถรรพ์เกิดขึ้น จนดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน ซึ่งก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว
อ้อ แล้วก็มีอีกตำแหน่ง สุพินทุตะตินายิกา มีทั้งหมด ๗๗ คน ประจำจังหวัดแต่ละแห่ง เทียบได้กับขุนนางหรือเจ้าเมือง ถึงฉันจะเทียบกับบรรดาศักดิ์ในสมัยก่อน แต่หน้าที่ก็ไม่เหมือนกันหรอก แค่ยกมาเผื่อจะเข้าใจง่ายขึ้น”
“อืม… ถึงจะงงบ้าง แต่ก็พอเข้าใจภาพรวมแล้วล่ะ” ใบโพธิ์เอ่ยพลางพยักหน้า ดูเหมือนเด็กชายผู้เป็นยักษ์จะนึกอะไรได้จึงกล่าวต่อ “เอ้อ ลืมประเด็นที่นายถามไป ผู้ที่สั่งให้โรงเรียนทุกโรงเรียนทำสงคราม ก็คือเอกนายิกานี่แหละ”
พอกล่าวถึงตรงนี้ใบโพธิ์ก็รู้สึกว่าจิตใจตนเองคุกรุ่นแปลก ๆ รู้สึกไม่ชอบเอกนายิกาขึ้นมา
ทำไมถึงต้องก่อสงครามขึ้นมาล่ะ?
ใบโพธิ์คิดในใจอยู่เงียบ ๆ พร้อมกับเงาที่ทาบทับลงมาดูอึมครึม อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตจึงกล่าวต่อไปไม่หยุด
“อีกอย่างหนึ่ง ยังมีรองสุพินทุตะตินายิกาด้วยล่ะ …อืม ถึงจะพูดว่าเอกนายิกาเปรียบเสมือนเป็นกษัตริย์ แต่ส่วนใหญ่เราจะเปรียบสุพินทุตะตินายิกาว่าเป็นกษัตริย์ เพราะเราใกล้ชิดกับเขามากกว่า ในโรงเรียนเราวิชาดนตรี ท่านซอ นายิกาประจำจังหวัดชลบุรีก็เป็นครูสอนด้วยล่ะ นายิการะดับนี้ไม่ค่อยถือตัวเสียเท่าไหร่ …บางคนน่ะนะ”
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้น หนึ่งเด็กชายความจำเสื่อมกับยักษ์หันไปมอง ก่อนจะพบว่าผู้ที่กำลังกล่าวถึงนั้นมาผ่านมาพอดี โดยมีนักเรียนในบริเวณลานราชพฤกษ์ยกมือไหว้สวัสดีหญิงสาวคนหนึ่ง นางยิ้มบาง ๆ พร้อมกับหันไปยกมือไหว้ตอบบ้างพอที่จะไหว เพราะนักเรียนมีมาก
“อ๊ะ มาพอดีเลย สวัสดีครับท่านซอ!” ท้ายคำเด็กชายผู้เป็นยักษ์เอ่ยกับซอ นางหันมายิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้รับ “สวัสดี ทำอันใดอยู่ฤ? ชาลา”
“อธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับมิตินี้ให้เพื่อนใหม่ฟังน่ะครับ แล้วท่านซอจะไปไหนเหรอครับ?”
“ข้าจะไปเอาโนตบุคน่ะ มีเอกสารที่จะไว้สอนพวกเจ้า” ได้ฟังดังนั้นเด็กชายเจ้าของนามชาลาก็มีสีหน้าหงอยทันที “เฮ้อ เทอมที่แล้วทำผมเกือบตายเลยนะครับ”
“ข้าว่าตัวข้าออกง่ายแล้วนะ เจ้ามิตั้งใจมากกว่ากระมัง” ซอกล่าวพลางยิ้ม ก่อนจะดีดนิ้วไปที่หน้าผากของชาลา “โห่ ขนาดตัวโน๊ตผมยังจำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการไปจำยันต์ ที่ใช้กับกลอนในการขับร้องล่ะครับ”
“หึ ๆ แก้ตัวไปเรื่อย ปีนี้ตั้งให้ดีแล้วกัน”
“ง่า” ชาลาครางเบา ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย ในขณะที่ซอหันไปสนใจนักเรียนอีกคนแทน “เจ้าน่ะฤ ที่อาจเป็นตัวแทนยมทูตน่ะ”
“ครับ…” ใบโพธิ์ตอบเสียงค่อย รู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เท่าไหร่ “แม้นข้าจะมิไว้ใจเจ้านัก แต่หากเจ้ามิได้ทำการร้ายก็อย่ากังวลเลย” ซอกล่าวพลางยิ้มบาง ๆ เห็นดังนั้นแล้วใบโพธิ์ก็รู้สึกเบาใจขึ้น
“อยู่นี่เอง” ระหว่างนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ใบโพธิ์รู้สึกกังวลขึ้นมาเพราะจำเสียงนี้ได้ …สิรไพร “เจ้าวานรินทร์นี่ใช่การมิได้เลย” เขากล่าวพร้อมกับก้าวเดินมาหา ใบโพธิ์แสดงสีหน้าหนักใจที่เห็นอีกฝ่าย
“วานรินทร์เขาไม่ใช่ทาสนี่ นิสัยที่ชอบข่มคนอื่นเมื่อไหร่จะเลิกสักทีฮะ!” ใบโพธิ์กล่าวอย่างไม่พอใจ สิรไพรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ข่มคนอื่นก็ดีกว่าให้ใครอื่นมาข่มตนแล้วกัน คนอ่อนแอหัวอ่อนก็อย่างนี่ล่ะนะ”
“ฮึ่ย! ว่าฉันว่าได้นะ แต่ให้วานรินทร์เกี่ยวด้วยสิ! เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่แค่ก็ไม่อยากโต้ตอบเพราะไม่อยากมีเรื่อง ไม่เหมือนคนบางคนหรอก ขนาดเจ้าตัวอยู่เฉย ๆ ยังไปยุให้มีเรื่อง สุดท้ายเป็นอย่างไร แพ้กลับมา ไม่น่าเรียกว่าอ่อนแอกว่าหรืออย่างไร!” ใบโพธิ์เอ่ยเสียงดังกว่าเดิม พลางนึกถึงเรื่องที่ศรีกับสิรไพรประลองกัน โดยผลสุดท้ายเด็กชายผมสีขาวแพ้กลับมาสภาพดูไม่จืด ซึ่งดีที่สิรไพรมีพลังฟื้นฟูตัวเร็วเลยกลับมาเป็นปรกติได้ แต่ก็ใช่เวลานานเหมือนกัน
ขวับ!
ตึง!
ซ่า!
สิรไพรอัญเชิญโซ่มาพันร่างอีกฝ่าย และเหวี่ยงไปกระแทกลำต้นราชพฤกษ์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของมิติสามัญ ส่งผลให้ต้นสั่นสะเทือนรวมทั้งใบไม้และกลีบดอกปลิวลงพลิ้วไหว เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ซอ ชลาและคนอื่น ๆ มองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่แปลกใจมากนักเพราะเป็นปรกติ ที่จะมีการทำร้ายร่างกายกัน พร้อมกับมีเสียงซุบซิบดังขึ้น
“เด็กใหม่!” ชาลารีบเข้าไปดูเพื่อนใหม่อย่างกังวล แล้วประคองร่างขึ้น
“ใบโพธิ์!---นี่เจ้า! ต่อหน้าข้ายังกล้าทำอีกฤ?!” ซอหันไปดุสิรไพรที่กำลังแสยะยิ้ม เจ้าตัวไม่รู้สึกรู้สาอะไร กลับกันเขาขบขันมากกว่า “จะทำไมฤ? ยายแก่ อ้ายคนอวดดีทั้ง ๆ ที่ทำอะไรข้ามิได้มันก็สมควรโดนแล้วนี่ ---คิดจะขัดขืนข้ามันยังเร็วไปร้อยปีโว้ย อ้ายนางทาส!” ใบโพธิ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายที่เหมือนอยู่ห่างไกล สติเลือนราง[3]ไม่ชัดเจน รู้สึกเจ็บปวดร้าวไปถึงกระดูก อวัยวะฝั่งที่โดนกระแทกกับต้นไม้นั้นมีรอยถลอก บ้างก็เลือดซึมออกมา
“ไหวไหม?” ชาลาถาม ใบโพธิ์พยายามประคับประคองสติ และเอื้อนเอ่ยตอบอย่างลำบาก “พอ… ไหว”
“ทำอะไรของนาย สิรไพร”
เด็กชายผมสีมอคราม ปลายผมส่วนใหญ่ชี้ออกเล็กน้อย มัดผมปอยหน้าเล็ก ๆ ด้านข้างไว้ สีหน้านิ่งเฉยและบรรยากาศโดยรอบนั้นราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่น่าแปลกที่ยังสัมผัสมันได้อยู่ เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมกล่าวกับสิรไพร
“ว่าอย่างไร เจ้าธนิน อยากได้เจ้านางทาสเรอะ?”
“ไม่เชิงอยากได้ แต่เขาจำเป็นสำหรับฉัน” เด็กชายเจ้าของนามธนินตอบ ใบโพธิ์ที่สติกลับมาครบแล้วมองทั้งสองสลับกันอย่างไม่เข้าใจ ส่วนซอนั้นหันหลังเดินจากไป คงจะทราบอยู่แต่ก่อนว่าสถานการณ์จะดำเนินไปอย่างไร
“ว่าไปแล้วเอ็งเพิ่งย้ายมาเทอม ๒ ตอน ป.๖ นี่ คงมิใช่ว่าก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องกับเจ้านี่ดอกนะ?” สิรไพรถามพลางแกว่งโซ่ไปมา ซึ่งดึงกลับหลังจากเหวี่ยงร่างของผู้ที่ถูกกล่าวถึง
“ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องรู้ และฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าทำอะไรกับใบโพธิ์ หากคิดจะสู้เพื่อขัดคำล่ะก็ ฉันก็ไม่ว่าอะไร” สิรไพรเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ ก่อนจะเอ่ย “ว่าไปข้าก็มิเคยสู้กับเอ็งนี่ ลองดูก็มิเลว”
“อย่ามั่นใจตนเองนักเลย แต่ถ้าจะสู้ก็ต้องไม่ใช่ตอนนี้”
“แล้วหากข้าขัดคำล่ะ?” สิรไพรเลิกคิ้วพลางถาม โซ่ที่หยุดก่อนหน้านี้กลับมาแกว่งอีกครั้ง และเร็วกว่าเดิม อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ก็ช่วยไม่ได้”
“นี่! พวกนายมีเรื่องอะไรกันฉันไม่รู้หรอกนะ แต่จะมาสู้กันด้วยเหตุผลแค่นี้มันไม่งี่เง่าเกินไปเหรอ? ถ้ามีการประลองว่าไปอย่าง แต่ถึงขั้นต้องเลือดออกเพราะเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ!” ใบโพธิ์กล่าวเสียงดังด้วยใจไม่ดี คู่กรณีเหลือบมองเขาก่อนจะชักสายตากลับ
“ข้าจะสู้แล้วมันหนักหัวเอ็งเรอะ?”
“ใช่ หนักมากเลยด้วย!” ไม่อาจทราบได้ว่าเพราะอะไร ใบโพธิ์ถึงรู้สึกโกรธมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ จริงอยู่ที่เขาเป็นบุคคลที่โมโหง่ายบ้าง แต่ก็โกรธยากเช่นกัน
อะไรกัน ทำไมใจเต้นแรงอย่างนี้ รู้สึกกดดันเหมือนกับมีเรื่องก่อนหน้านี้มาทับถม
…เรื่องก่อนหน้านี้?
รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าห่างไกลออกไป กระนั้นร่างกายก็ไม่มีอาการที่แสดงมากกว่านั้นอีก
ภาพซ้อนหรือเปล่า ใบโพธิ์ถึงเห็นหนองเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นเต็มไปหมด รวมทั้งอวัยวะภายในและอาวุธที่สกปรก
‘ผมจะต้องชนะท่านให้ได้ เอกนายิกา’
มีเสียงดังขึ้น ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันส่งโดยตรงผ่านสมองจนดังก้อง …เสียงนั้น… ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
‘แม้เป็นเพียงของปลอม แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตก็ไม่สมควร’
ไม่สิ นั่นเสียงของเขา
‘ในเมื่อท่านขีดเส้นได้ ผมก็ลบเส้นได้เช่นกัน’
ใบโพธิ์พยายามมองภาพเบื้องหน้าที่เลือนราง แต่น่าแปลกใจนักที่เขากลับรู้สึกชัดเจน นั่นหรือไรความทรงจำที่เสียไป
---วูบ---
ภาพเบื้องหน้าดับวูบ พร้อม ๆ กับที่ร่างของเขาล้มลง แต่ยังดีที่ชาลาช่วยประคองอยู่แล้วเลยไม่กระแทกพื้น
“อือ…”
“ตื่นแล้วเหรอ?” แววไพรถามศรีที่นอนหลับแล้วเพิ่งตื่นเมื่อครู่ เจ้าตัวลืมตาปรือและพยายามรวบรวมสติที่หายไปขณะหลับ ก่อนจะตอบเด็กหญิงสวมแว่น
“ใช่จ้ะ อา… หลับไปตอนไหนนี่? ตะวันทับตาแน่ ๆ เลย” ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้กังวลมากนัก ศรีปิดหนังสือที่กางคว่ำไว้ค้างบนหน้าท้อง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วยืดแขนและอวัยวะส่วนอื่น
“ช่วยไม่ได้เนอะ ก็ง่วงนี่” แววไพรยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ว่าแต่ศรีจะออกไปข้างนอกอีกไหม?”
“ไม่หรอกจ้ะ ที่ซื้อมาเหลือเฟือแล้ว ว่าแต่ทำไมเหรอจ๊ะ แววไพรจะไปซื้ออะไรอีกหรือเปล่าฉันจะได้ไปเป็นเพื่อน” ศรีถามกลับ แววไพรส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“ทุ่มครึ่งเป็นต้นไปจะออกไปข้างนอกไม่ได้แล้วน่ะ ผู้คุมกฎสั่งห้ามไว้”
“ผู้คุมกฎ?” ศรีทวนคำ แววไพรพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “อื้ม ตอนนี้ก็ใกล้จะทุ่มแล้ว ชักหิวแล้วสิ ไปหาอะไรกินดีไหม?” ศรีพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากห้องไป
ผ่านไปสักพักเงาสีดำที่มีไอเยือกเย็น ก็ทาบบนประตู้ห้องของทั้งสอง แล้วค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป
จ้อกแจ้ก ๆ
ศรีทานอาหารอย่างกล้ำ ๆ กลืน ๆ เพราะรู้สึกถึงสายตานับร้อยที่มองมา แม้จะไม่ถึงกับจ้อง แต่ก็ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก ดูเหมือนแววไพรจะรู้สึกเช่นเดียวกันเลยหันไปตวัดสายตาใส่ ด้วยแววตาที่ดุดันจนบางคนหันหน้าหนีทันที
“แววไพร… ทำไมพวกเขามองฉันอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?” ศรีกระซิบถามพลางเหลือบ ๆ มองเพื่อน ๆ นักเรียนหญิงที่มาทานอาหารที่โรงอาหารของหอพัก แววไพรตอบก่อนจะตักอาหารใส่ปาก
“อย่าสนใจพวกมันเลย เดี๋ยวเสียอรรถรสในการกินพอดี” ถึงเด็กหญิงใส่แว่นจะกล่าวเช่นนั้น แต่ศรีก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี กระนั้นก็ไม่ซักถามต่อเพราะเกรงว่าเพื่อนคนนี้จะรำคาญและหงุดหงิด
ระหว่างที่การทานอาหารดำเนินไปเกือบปรกตินั้นเอง ก็มีเด็กหญิงผมสั้นจนเกล้ารวบขึ้นสองข้างแล้วยาวเพียง ๔ นิ้ว ในมือข้างขวาถือไมโคโฟนขนาดเล็ก ท่าทางกระตือรือร้น ขนาบข้างซ้ายด้วยเด็กชายสูงเกือบเท่าเด็ก ป.๔ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผมสีส้ม รวบผมส่วนหน้ามาติดไว้ด้วยกิ๊บกลางศีรษะ ทั้งสองเหลือบมองเห็นเลยหยุดทานทั้ง ๆ ที่มือยังถือช้อนและส้อมอยู่
“สวัสดีค่ะ! ดิฉันเด็กหญิง ฆีรตา อนุไพรพร นักเรียนมัธยมต้นปีหนึ่งห้อง ๓ จากชมรมหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม วันนี้จะมาสัมภาษณ์คุณสังรศรี วีรสังฆะ นักเรียนมัธยมต้นปีหนึ่งห้อง ๒ ---ช่วยแนะนำตัวอย่างละเอียดด้วยค่ะ!”
“อะ อะ เอ๋?” ศรีแสดงสีหน้าฉงน แปลกใจและตะลึง ที่อยู่ ๆ ถูกสัมภาษณ์อย่างไม่ทันตั้งตัวและรวดเร็ว ขณะนั้นขนมฟูก็ถ่ายวีดีโอไปด้วย “เดี๋ยวสิจ๊ะ นี่อะไรกัน?”
“ทำตัวสบาย ๆ นะคะ! อย่าเกร็งมาก คิดเสียว่าแนะนำตัวหน้าห้องละกันค่ะ”
นั่นมันก็น่าตื่นเต้นนะ
ศรีคิดอย่างหนักใจ ก่อนที่แววไพรจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่! ตอนนี้เรากินข้าวอยู่นะ ถ้าจะสัมภาษณ์ไว้หลังจากนี้ไม่ได้รึไง?”
“ไม่ได้หรอกค่ะ! ตอนนี้เรื่องของคุณศรีและคุณใบโพธิ์กำลังเป็นที่สนใจมาก หากไม่ทำข่าวตอนนี้ชมรมดิฉันก็แย่สิคะ!”
“แล้วคิดว่าคนถูกสัมภาษณ์เขาไม่แย่เหรอฮะ!” แววไพรตะคอกใส่ อารมณ์เดือดมากขึ้น ศรีเห็นท่าไม่ดีเลยจะเข้าไปห้ามไว้ แต่สุดท้ายสงครามเจรจา (?) ก็ถือกำเนิดขึ้น
“คุณศรีเขาคงไม่งกเหมือนคุณหรอกค่ะ จริงไหมคะ?” ฆีรตาหันไปถามศรี ซึ่งเจ้าตัวไม่ตอบหรือกล่าวอะไร ในขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เหล่านักเรียนมามุงดูโต๊ะของทั้งสอง
“น่า แววไพร ฉันเองก็อยากรู้เรื่องของศรีนะ”
“ใช่ ๆ”
“เปิดเทอมไม่ทันไรก็มีข่าวของเด็กใหม่แล้ว อย่างไรก็ช่วยบอกอย่างละเอียดด้วยนะ!”
ฯลฯ
คำพูดต่าง ๆ ทำให้ศรีหนักใจ ครั้นจะไปปฏิเสธและเดินหนีออกมา ก็เท่ากับว่าไม่ผูกมิตรกับเพื่อนในโรงเรียนใหม่ ด้วยเหตุนั้นทำให้ศรีถอนหายใจอย่างลำบากใจ ก่อนจะกล่าว
“จ้ะ ๆ ช่วยเงียบหน่อยนะจ๊ะ” เสียงค่อย ๆ หายไป แล้วแทนที่ด้วยความเงียบ ถึงจะมีเสียงอื่นดังแว่วมาจากผู้ที่ไม่ได้มาฟังด้วย แต่ก็ไม่ค่อยสะดุดหูเท่าไหร่นัก ส่วนแววไพรก็จำต้องนั่งเงียบตามไปด้วย
“ให้ฉันแนะนำตัวเหรอจ๊ะ?”
“คิด ๆ ดูเปลี่ยนดีกว่าค่ะ ---ฉันจะตั้งคำถามแล้วคุณช่วยตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยนะคะ ไหน ๆ ก็มาถามกับตัวจริงแล้ว ก็อยากได้ข้อมูลที่ถูกต้องมาที่สุดค่ะ”
“จะ จ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้น คำถามแรก จากที่ดิฉันได้ข้อมูลมาว่าคุณมาจากมิติสามัญ เลยอยากทราบว่าทำไมถึงมาเรียนที่นี่ล่ะคะ?”
ศรีคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะตอบตามจริงดีไหม แต่คิดอีกทีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังเลยตอบออกไป
“ปรกติถ้าฉันไปเรียนในโรงเรียนที่มิติสามัญ ก็มักจะมีข่าวที่ไม่ดีของฉันตามไปด้วย ซึ่งก็คือเรื่อง…”
“ช่วยหลีกทางที”
กล่าวไม่ทันจบก็มีเสียงดังขัดขึ้น ศรีรีบหันไปมองเพราะจำเสียงได้ว่าเป็นของใคร นักเรียนคนอื่นต่างก็ละสายตาจากศรีแล้วมองผู้มาใหม่อย่างสงสัยและแปลกใจ
“พี่อสุรา… มาที่นี่ได้อย่างไรคะ?” ศรีถามพร้อมกับจ้องพี่สาวตนเอง อสุรายิ้มบาง ๆ ด้วยความดีใจก่อนจะตอบ “หอพักหญิงมัธยมอยู่ห่างจากที่นี่ไม่เท่าไหร่เอง …แล้วนี่ ทำอะไรอยู่” เด็กสาวหันไปกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ก่อนจะสะดุดที่ฆีรตาและขนมฟู น้ำเสียงเริ่มเยือกเย็น
“เขาจะสัมภาษณ์น่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ? ที่พี่ได้ยินเมื่อกี้ หนูกำลังจะบอกเรื่องที่ไม่ควรพูดของตนเองนี่” ศรีอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เมื่อได้ฟังดังนั้น อสุรากอดอกก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบกับฆีรตา “ก็คิดแล้วว่าต้องเป็นเธอ สงสัยเรื่องศรีเหรอ? มาถามฉันก็ได้นะ”
“ได้จริงเหรอคะ? …อืม ข้อมูลแม่นยำจริง ๆ ด้วย คุณพี่คงหวงน้องสาวน่าดูเลยนะคะ” ฆีรตาคาดจากข้อมูลที่เคยอ่านมา อสุราแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ ไม่สิ เธอเป็นเช่นนั้นแต่แรกแล้ว ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“บางทีฉันก็คิดนะ ว่าน่าชมรมของเธอมันน่ารำคาญ”
“แต่อย่างน้อยชมรมของหนู ก็ทำประโยชน์ให้โรงเรียนหลายครั้งแล้วนะคะ” อสุราไม่เอ่ยอะไรต่อเพราะจนคำพูด เธอจับข้อมือของศรี ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยมีเสียงโวยวายด้านหลังดังตามมา
“เดี๋ยวสิคะคุณพี่! จริง ๆ แล้วหนูรีบนะคะนี่!”
“พี่อสุราคะ จะพาศรีไปไม่ได้นะคะ!”
“ยังไม่ได้ฟังเลย กลับมาก่อน!”
ฯลฯ
อสุราไม่แม้แต่จะเหลือบมอง แต่ศรีหันกลับไปอย่างกังวล ก่อนจะเอ่ยถามกับพี่สาวตนเอง
“พี่อสุรา แล้วเพื่อน ๆ ล่ะคะ?”
“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ …ถ้าน้องลำบากใจก็ไม่น่าจะตอบเลยนะ เรื่องนั้น… เหตุผลที่มาเรียนที่นี่มันมาจากเรื่องที่เป็นแผลใจนี่” เสียงของเด็กสาวเบาลง ศรีสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงนั้น ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ามืออีกฝ่ายจับแน่นจนเหงื่อออก
“…ขอบคุณค่ะ… พี่อสุรา”
ศรีเอ่ยเบา ๆ …เป็นจริงอย่างที่อสุรากล่าว ลึก ๆ แล้วแม้จะเริ่มทำใจได้ แต่ได้ชื่อว่า แผล ก็ยังคงฝังอยู่ …แรก ๆ เจ็บปวดทรมาน พอผ่านไปเริ่มเยียวยาได้จนเลือดหยุดไหล รวมทั้งความเจ็บปวดก็ด้วย ทว่าแผลที่ลึกลงไปจนฝังราก ก็จะกลายเป็นแผลเป็น ที่ถึงแม้จะหายแต่ก็ยังมีร่องรอยของความทรมานอยู่
“แล้วเราจะไปไหนเหรอคะ?” พอผ่านไปสักพักศรีก็กล่าวถาม อสุราชะงักฝีเท้าแล้วหยุดลง “อ๊ะ… พี่… เดินมาโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน ศรีมีที่ไหนอยากไปหรือเปล่า?”
“ก็ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษหรอกค่ะ …และก็ต้องขอโทษด้วยค่ะพี่อสุรา ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว…” ศรีเว้นคำดื้อ ๆ โดยที่อสุรามองเธออย่างตั้งใจฟัง ผู้เป็นน้องคิดอีกทีว่า ถึงนี่จะเย็นมากแล้วแต่ก็ยังพอมีเวลาอยู่กับพี่สาวตนเอง จึงเปลี่ยนคำพูด
“ไม่สิ พอใกล้จะทุ่มครึ่งก็ต้องกลับ เดี๋ยวผู้คุมกฎหอจะไม่พอใจ ถ้ากลับทันก็ได้ค่ะ” อสุรายิ้ม ๆ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะของศรีเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ดีจังที่ตอนนี้ยังมีเวลา แล้วจะไปที่ไหนจ๊ะ?”
“ลานราชพฤกษ์ค่ะ”
“ลานราชพฤกษ์… โอเคจ้ะ” อสุราเอ่ยก่อนจะออกเดิน ตอนนี้ทั้งสองเปลี่ยนเป็นจับมือธรรมดาแล้ว
ระหว่างนั้นเอง ร่างโปร่งแสงหญิงสาวคนหนึ่ง …ไม่สิ นางเป็นวิญญาณ ซึ่งแต่งกายเรียบ ๆ ไม่ตกแต่งอะไรมาก โดยคาดผ้าหน้าอกพาดด้วยสไบผืนยาว ผ้าถุงยาวกรอมเท้านั้นก็มีลายไทยเรียบ ๆ ปิ่นปักผมที่ปักบนมวยนั้นมีลูกห้อยยาวจนเกือบถึงบ่า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนจะเอ่ย
“เย็นมากแล้วนะ ถ้าเพลินจนกลับเกินเวลาข้ามิรู้ด้วย… จะละเมิดกฎตั้งแต่วันแรกแถมยังเป็นเด็กใหม่ …หึ ๆ น่าสนุกแล้วสิ ---เด็กหญิง สังรศรี วีรสังฆะ”
[1] พลาสติกขยายตัว หรือ พลาสติกที่ฟู ผู้ประพันธ์ใช้แทนภาษาอังกฤษที่มักจะเรียกว่า โฟม (Foam)
[2] เอก หมายถึง หนึ่ง (ในเรื่อง ราชันบุปผาไหว้ศพ ใช้การอ่านแบบภาษาสันสกฤต อ่านว่า เอ-กะ)
[3] คำว่า ราง มักจะสับสนกับคำว่า ลาง ที่หมายถึง น. สิ่งหรือปรากฏการณ์ที่เชื่อกันว่าจะบอกเหตุดีหรือเหตุร้าย ว.ต่าง แต่ละ บาง ซึ่งคำว่า ราง หมายถึง จาง, เรื่อ ๆ , ไม่สว่าง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ