ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

121) บทที่ ๑๑๙ : การลงโทษของผู้คุมกฎ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๑๙

[บรรยายโดย เด็กชายใบโพธิ์]

การลงโทษของผู้คุมกฎ

               “หมดสติไปเมื่อไหร่กัน?”

               ผมพึมพำเมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกขนลุกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชีวิตของตนเองนับแต่จากนี้จะต้องทนอยู่กับเจ้าผู้ชายผมหงอกนั่น คิดได้ดังนั้นก็หันไปมองรอบ ๆ เพื่อดูว่าเจ้าตัวอยู่ไหม …แล้วก็เป็นจริงดังที่ทราบแก่ใจ

               “ฟื้นแล้วเรอะ?”

               “อะ อืม” ผมครางแทนคำพูด เพราะยังมึน ๆ อยู่ด้วยความที่จู่ ๆ ก็หมดสติไป สิรไพรที่อ่านหนังสือจนถึงเมื่อครู่ปิดมันลง ก่อนจะเดินมาหาผมพร้อมริมฝีปากที่แสยะยิ้ม ผมสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็ป้องกันอะไรไม่ได้

               “ข้าลืมหนังสือไว้ที่ห้อง ไปเอามาให้ทีซิ”

               “อะไรของนายอีกฮะ?! ใช้ฉันเยี่ยงขี้ข้าจริง ตัวเองลืมก็ไปเอาสิ!” ผมกล่าวอย่างหงุดหงิด ด้วยความที่พึ่งฟื้นสติ แถมร่างกายก็ยังปวดอยู่ยังจะใช้ให้ไปเอา และผมเองก็เพิ่งย้ายมาได้ไม่นานจะไปจำเส้นทางได้อย่างไรกันเล่า โรงเรียนก็กว้างสุด ๆ ยังไม่นับนักเรียนอนุบาลและประถมนะ รวมมัธยมกับระดับมหาวิทยาลัยด้วย ถึงหอพักจะห่างจากเรือนประถมไม่ถึงกิโลเมตรก็เถอะ

               “วันก่อนข้าก็พาไปเดินดูแล้วนะ เอ็งยังจำมิได้อีกเรอะ?”

               “นี่ไม่ใช่โรงเรียนของโลกเดิมนะ ถึงจะกว้างมากในขนาดที่จำได้น่ะ” ผมพยายามอดกลั้นอารมณ์เดือด พร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่ตะคอกแล้ว ทว่าดูเหมือนจะพูดดี ๆ เขาก็ยังคงไม่ยอมถึงได้ยิ้มอยู่อย่างนั้น

               “บอกให้ไปเอาก็ไปเอาซีวะ!” สิรไพรใช้โซ่พันธนาการร่างผม ก่อนจะดึงให้ตกจากเตียง ความเจ็บปวดเมื่อตอนเย็นถูกความปวดร้าวตอนนี้ทับถมลงมา ต้องกัดฟันกรอดข่มเสียงไว้ เพราะยังปรับรับความเจ็บปวดได้ไม่พอ

               “ก็ได้! ไปเอาสมุดก็คงดีกว่าอยู่กับคนแบบนายละกัน!”

น้ำตาเล็ดออกมาพร้อมกับที่ร่างถูกเหวี่ยงออกจากห้องส่งเสียงดังตึง! สิรไพรแสยะยิ้มกว้างส่งให้ก่อนจะปิดประตูไป

               ไอ้--- ไอ้บ้าเอ๊ย!

               ผมไม่รู้จะสบถคำหยาบไหนออกมาเพื่อด่ามัน …ดีนะที่ฟ้ายังคงเมตตาให้ว่าร้ายเจ้าผมหงอกนั่นได้ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้จะคิดยังไงกับสิทธิ์ของตนเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

                “แต่… ต้องไปเอาจริง ๆ เหรอ?”

                ผมเอ่ยกับตนเองเบา ๆ พลางทอดสายตามองทางเดินของเรือนหอพักที่ถูกความมืดยามวิกาลโรยลงมา สุดปลายทางนั้นมืดสนิทราวกับจุดหมายอันไร้ขอบเขตเยี่ยงห้วงอวกาศ อากาศที่เย็นเชียบกับบรรยากาศวังเวงทำให้อดคิดถึงสิ่งลี้ลับไม่ได้

                …นี่อย่าบอกนะ ว่าผมต้องย่างกรายผ่านความมืดในค่ำคืนนี้จริง ๆ ?

                .

                .

                .

               สุดท้ายก็มาถึงจนได้

               ---ขนลุกมากเลยครับ!

               เจ้าบรรยากาศที่วังเวงนี้มันอะไรกันแน่?! ดอกราชพฤกษ์ที่น่าจะหมดไปเมื่อย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคมนั้น กลับร่วงโรยอย่างนุ่มนวลอ่อนช้อยดุจบุปผาในแดนวิมาน …มันคงจะสวยกว่านี้นะถ้าอยู่ในตอนกลางวัน แต่ในยามกลางคืนนี้มันสว่างเรือง ๆ ราวกับวิญญาณบริสุทธิ์ บวกกับเรือนไทยที่มีหลายชั้นนั้นเพิ่มความน่ากลัวอย่างไม่ยากเย็น ไหนจะต้นไทรที่มีบ้างซึ่งรากอากาศของมันนี่ ทำให้อดเหลือบ ๆ มองด้านหลังไม่ได้ว่าอยู่ดี ๆ มันจะชอนไชรากอากาศนั่นมาที่คอไหม

               วิ้ว…

               “บรื๋อ” ผมร้องอย่างอดไม่ได้ เมื่อลมพัดผ่านหวิว ๆ เย็นเชียบลูบไล้ตามร่างกาย รู้อย่างนี้เอาเสื้อกันหนาวมาก็ดีหรอก ไม่สิ ถึงนึกได้แต่แรกก็ใช่ว่าจะยืมสิรไพรมาได้ ไปขอเพื่อนห้องอื่นก็ไม่ได้อีกเพราะนี่เวลานอนแล้ว แถมผมยังไม่คุ้นเคยกับเพื่อน ด้วยความที่มาใหม่และกำลังเป็นที่ตั้งข้อสงสัย ว่าเป็นตัวแทนยมทูตอะไรนั่นหรือไม่ทำให้ไม่กล้า

               จะว่าไป จะดีใจหรือเสียใจกันแน่นี่ ถึงไม่ได้อยู่กับสิรไพร แต่แบบนี้มันก็น่ากลัวนะ… มาก ๆ เลยด้วย

               …อยากถอนคำพูดจังเลยครับ

               “แล้วทำไมหมอนั่นถึงลืมได้นี่?”

               ผมพึมพำเพื่อคุยกับตนเอง อย่างน้อยเวลานี้มีเสียงบ้างก็อุ่นใจขึ้น …ถึงจะเป็นเสียงของตนเองก็เถอะ

               พอทำใจให้กล้าขึ้นแล้วก็ก้าวเดินอย่างระแวง และมองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่ไว้ใจ

               เดินมาถึงชั้น ๒ ได้ยินเสียงเหมือนมีใครเดินจากด้านหลังที่เพิ่งขึ้นบันไดมาเมื่อครู่ พอหันไปมองก็ไม่พบใคร

               ค่ะ--- คงคิดไปเองน่า นี่ก็ค่ำแล้วอาจจะง่วงจนสมองเบลอก็ได้

               ผมปลอบใจตนเองด้วยความคิดตื้น ๆ ทั้งที่ลึก ๆ ใจมันฟ้องว่าเมื่อกี้เสียงคนเดินชัด ๆ

               ♪~~ ♫~~

               “!” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดี ๆ มีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น ฟังแล้วน่าจะเป็นปี่                ผมค่อย ๆ มองไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับเด็กหญิงในชุดนักเรียนปกคอบัว ผมสีดำ ใบหน้าเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ในเงา กระนั้นอวัยวะช่วงล่างลงมายังโดนแสงจันทร์กระทบ จึงเห็นว่าผิวสีผิวของเธอซีดขาว …ผมรู้สึกว่าทั้งร่างอุณหภูมิค่อย ๆ ลดลง เหมือนใจหยุดเต้นไปครู่หนึ่ง ขาสั่นทั้ง ๆ ที่อยากวิ่งแต่แม้เพียงก้าวก็ยังทำไม่ได้

              “ผะ ผะ…” ปากสั่นตามไปด้วย แต่ในขณะที่สติยังคงมีอยู่ ผมก็เกิดความรู้สึกที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้

               ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยจัง?

               ผมกลัวผี แต่ใจไม่ปฏิเสธว่าผีมีจริง และรู้สึกคุ้นเคยว่าเห็นมาหลายครั้ง พอมีความรู้สึกเช่นนี้แล้วความตื่นกลัวก็ค่อย ๆ สงบลง

               ผมจ้องเธออย่างสงสัย ทว่าเจ้าตัวไม่มีท่าทีจะเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย พอเห็นผมหาย               กลัวอีกฝ่ายก็หยุดเป่าปี่ ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือออกมา ผมเผลอนึกถึงหนังฯ แนวสยองขวัญที่ผีมันยื่นมือมาแล้วแขนก็ยาวขึ้นมาบีบคอ แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับกัน เด็กหญิงวาดอะไรบางอย่างในอากาศก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา …ให้ความรู้สึกเย็นเชียบ แต่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

               “นี่… ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เจออีกครั้ง ถึงจะรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องกลับชาติมาเกิดอีกคราก็เถิด”

               “อะ อะไร? เมื่อกี้เธอหมายความว่าอะไร?” พอถามออกไป เด็กหญิงก็เดินจากตรงนั้นแล้วหายตัว ผมจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

               เมื่อกี้เธอหมายความว่าอะไร …ชาติที่แล้ว เราเคยมีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นเหรอ?

               เดินต่อไปพร้อมกับความสับสน นับตั้งแต่วันที่ผมจากมิติสามัญมา ชีวิตก็ดูเหมือนจะ               วุ่นวายและมีเรื่องที่ดูท่าว่าจะต้องรอดูต่อไปอีกมาก ทั้งเรื่องที่ตนเองความจำเสื่อม ปริศนาผู้นำทางแห่งวายชนม์ อดีตชาติที่เธอตนเมื่อกี้กล่าวด้วย นี่เปิดเรียนไม่กี่วันก็มีเรื่องชวนสงสัยตั้งหลายอย่าง แต่เอาเถอะ นี่เพิ่งไม่กี่วัน ถ้าเปรียบกับนิยายนี่ก็คงไม่พ้นบทนำกระมัง

               ผมหยุดเดินเมื่อมาถึงหน้าห้องเรียน ในขณะที่จะยื่นมือไปเปิดประตูก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่กลางคืนแล้วประตูจะปิดโดยไม่ผนึกกุญแจได้อย่างไร คิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจ อุตส่าห์เดินมาแต่เจอแบบนี้ก็รู้สึกเบื่อสุด ๆ

                “เจ้าต้องการสิ่งนี้ไหม?” ผมขนลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเย็นแต่แหลมใส พอหันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงสาวแต่งกายเรียบ ๆ ไม่ตกแต่งอะไรมาก โดยคาดผ้าหน้าอกและพาดด้วยสไบผืนยาว ผ้าถุงยาวกรอมเท้านั้นก็มีลายไทยเรียบ ๆ ปิ่นปักผมที่ปักบนมวยนั้นมีลูกห้อยยาวจนเกือบถึงบ่า ผมมองเธอและเลื่อนสายตาไปที่กุญแจซึ่งอีกฝ่ายถืออยู่ …หรือว่านั่นจะเป็นกุญแจห้องเรียน?

                “น่ะ นั่นกุญแจห้องเรียนเหรอครับ?”

                “จ้ะ แต่ฉันคงมิให้เธอง่าย ๆ ดอกนะ” ริมฝีปากสีชมพูที่ซีดนั้นยิ้มแปลก ๆ ผมมองเธออย่างไม่ไว้ใจ จะว่าไปแล้วเจ้าตัวเป็นใครกันถึงได้มีกุญแจห้อง หรือว่าจะเป็นครูที่สอนในโรงเรียนนี้

                “เอ่อ…”

                ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ถ้าจะให้ขอกุญแจมาก็กล่าวได้หรอก แต่ท่าทีและสีหน้าของเธอดูเหมือนจะทำเรื่องแปลก ๆ บอกไม่ถูก

                “มิพูดล่ะ?”

                “คือ… ผมเปลี่ยนใจแล้ว ว่าจะมาเอาของที่ลืม  แต่ไว้ค่อยพรุ่งนี้ก็ได้ครับ” ผมหันหลังเตรียมเดินจากไป แต่รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นเชียบที่ต้นคอ มันค่อย ๆ ลูบไล้ลงมาผ่านคอเสื้อและลึกลงไปถึงอก มือของหญิงสาววนไปวนมาอยู่เช่นนั้น ผมรู้สึกเคลิ้มกระนั้นก็ตระหนกที่โดนลวนลาม

                จะว่าไป… เดี๋ยวก่อนนะ ลักษณะของหญิงสาวคนเมื่อกี้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับ…

                “ฉัน… เจ้าแม่ที่สิ่งอยู่ต้นไทร ผู้คุมกฎของหอหญิงและหอชาย คงปล่อยให้เธอไปโดยไม่ได้รับโทษมิได้ดอกนะ”

                …เจ้าแม่ อย่าบอกนะว่าเป็น เป็น …ผีน่ะ!

                ผมหันหลังขวับ เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เป็นเจ้าแม่พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง เหมือนรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมกันนั้นรากต้นไม้ก็ผุดขึ้นจากพื้นไม้ และรากอากาศที่ไม่อาจทราบได้ว่ามาจากที่ไหน นี่คงไม่ใช่ว่าเป็นพลังอาคมที่ครูภูรินทร์อธิบายในชั่วโมงประจำชั้นนะ!       

                “เฮ้ย!!” ผมอุทานด้วยความตกใจและวิ่งหนีจากตรงนั้นโดยที่สมองไม่ต้องสั่งการ ล้มบ้างเกือบสะดุดบ้างเพราะวิ่งไม่คงที่ พอมาถึงชั้นล่างและออกจากเรือนประถมแล้ว ก็วิ่งต่อไปทางหอพักชายแบบไม่ต้องคิด

                “ครูที่ปรึกษามิได้บอกฤ ว่าห้ามออกจากเรือนที่พักตั้งแต่ทุ่มครึ่งเป็นต้นไปน่ะ?”

                ตูม!

                “เหวอ!”

                รากต้นไม้แทงลงพื้น แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงส่งผลให้ผมล้มลงกับพื้น พอจะลุกขึ้นก็ถูกรากอากาศพันธนาการไว้

                “---อึก”

                “วิกาลนี้คงอีกนาน นักเรียนใหม่เอ๋ย… เจ้าละเมิดกฎของหอพัก อย่าหวังจะได้กลับโดยสวัสดิภาพเชียว” หญิงสาวย่างฝีเท้าเข้ามา ผมมองหาทางหนีทีไล่ด้วยใจที่วิตกสุด ๆ ในขณะวินาทีเป็นตายนั้น ก็เหลือบเห็นว่ามีใครบางคนผ่านมา

                ไม่สิ …มีสองคนที่มา

                “นาย… ใบโพธิ์?” ศรีมองผมอย่างแปลกใจ พอเห็นสภาพโดยรอบที่เต็มไปด้วยรากไม้ รากอากาศและรอยร้าวบนพื้นแล้วเธอก็แสดงสีหน้ากังวล “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?” เธอถามอย่างฉงน ผมละสายตาจากเธอไปมองอีกคนซึ่งเป็นนักเรียนหญิงมัธยมตอนปลาย เกล้าผมหยักศกทรงหางม้า …คงจะเป็นพี่สาวกระมัง ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยคล้ายก็เถอะ

                “ฉัน…” พอจะกล่าวขอความช่วยเหลือ หญิงสาวซึ่งเป็นผู้คุมกฎก็กล่าวขัดขึ้น “อ้าว… ยังมีอีกฤ? แถมเป็นสองคนเสียด้วยสิ”

                “นี่! ห้ามทำอะไรพวกเธอนะ!” ถึงผมจะอยากขอความช่วยเหลือ แต่ไม่อยากให้พวกเขาต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง กระนั้นหญิงสาวก็ไม่สนใจไม่ทีท่าจะสนใจผมแม้แต่น้อย เธอหันไปมองศรีและเด็กสาวอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าอันตรายสุด ๆ

                “เอาล่ะ จะจัดการอย่างไรดีนะ~”

                ผมจ้องรากที่ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทาง ศรีกับเด็กสาวคนนั้นก็จ้องมันเช่นกัน ทั้งสองเตรียมจะอัญเชิญอาวุธออกมา แต่เด็กสาวห้ามศรีไว้ก่อนจะกล่าวอออกมา

                “ศรี น้องคงไม่คิดจะใช้มันใช่ไหม?”

                “แต่… พี่คะ ใบโพธิ์เขากำลังแย่นะคะ”

                “น้องก็อันตรายพอกันนะ!  เอาล่ะ อยู่นิ่ง ๆ เป็นเด็กดีเสียนะ” เด็กสาวคนนั้นอัญเชิญดาบไทยออกมา ถึงจะไม่มีลักษณะพิเศษมาก แต่ยันต์ที่สลักไว้ก็บ่งบอกได้ว่ามันมีพลังอาคมอยู่พอสมควร

                …ในขณะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นนั้น หิมะก็โปรยลงมาอย่างนุ่มนวล…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา