ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
116) บทที่ ๑๑๕ : เนตรผนึก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เนตรผนึก
“โดดเรียนแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลย” เด็กชายผมสีน้ำตาลแก่ สวมปลอกคอสีดำแบบที่สัตว์ใส่กัน เจ้าของนาม ศวา เอ่ยแซวไปพลางเดินพร้อมกับชลจรที่มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าทำได้ก็ไม่อยากโดดเรียนหรอก …ให้ตายสิ คน ๆ นั้นมาวุ่นวายอีกแล้ว” ชลจรกล่าวอย่างเบื่อหน่าย เพื่อนชายของเขาไม่เอ่ยตอบกลับเพราะคิดอะไรบางอย่าง “ทุกทีพอมีเรื่องประมาณนี้นายก็ไม่สนใจนี่ …อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศรีน่ะ”
“…”
อยากตบปากแรง ๆ สักทีจริง
ชลจรนึกอยากตบปากตนเองขึ้นมา ที่เผลอพลั้งพูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเดาเหตุผลออก เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“เกลียดจริง พวกรู้ใจ”
“แสดงว่าชอบที่ศรีเป็นอยู่สินะ เฮ้อ นายอุตส่าห์แสดงออกแล้วว่าชอบเธอ แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกเป็นเพียงเพื่อนเฉยๆ เลยไม่รู้ใจนาย น่าน้อยใจจริง” ศวายังอุตส่าห์โยงคำที่ชลจรเอ่ยมาล้อเลียนจนได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าตัวจึงตัดสินใจไม่เอ่ยอะไรอีก
เมื่อมาถึงที่หมาย ชลจรก็จ้องผู้ที่มาอยู่ก่อนแล้ว …บุปผาอาสัญ เด็กหญิงผู้มีบรรยายกาศสะอิดสะเอียนและน่ากลัวตลอดเวลา เสมือนกับที่ไหนที่เธออยู่ที่นั่นก็จะมีบรรยากาศที่เหมือนศพมานอนกระจัดกระจายต่อหน้า …ทว่าด้วยเหตุที่เรื่องที่จะกล่าวนี้อาจเป็นภัยต่อศรี เขาจึงจำใจต้องมา
“มีเรื่องอะไรล่ะถึงเรียกมา” ชลจรพยายามทำน้ำเสียงให้เรียบและไม่แสดงความรู้สึก บุปผาอาสัญวาดริมฝีปากแห้งผากที่ซีดก่อนจะเอ่ย “คุณรู้ตัวแล้วสินะคะว่าตนเองมีความสำคัญอย่างไรกับคุณศรี” หากเป็นใครที่ไม่ทราบเรื่องระหว่างพวกเขาคงจะคิดว่าเป็นเรื่องความรัก แต่ผู้ที่รู้เข้าใจได้ทันทีเลยว่าอาสัญหมายถึงอะไร ชลจรเริ่มแสดงสีหน้าขรึม น้ำเสียงที่เอ่ยในต่อมาราบเรียบมากจนน่าใจหาย
“ตั้งแต่ในวันสอบแล้ว ฉันเห็นเธอมองยืนมองศรีจากด้านล่าง …คงไม่ใช่ว่าเธอกำลังปองร้ายอยู่นะ”
“ปองร้าย? แหม คุณก็พูดเกินไป ที่ฉันทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อความสนุกเท่านั้นแหละค่ะ อีกอย่าง ในฐานะที่คุณเป็นอีกคนที่มีพลังในการทำลายล้างพลังของคุณศรี ทำไมถึงไม่ยอมตัดใจจากเธอล่ะคะ? น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเรื่องของคุณกับคุณศรีไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้ตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ พลังของคุณทั้งสองก็ยังคงอยู่”
“…ทีแรกฉันสงสัยนะ ว่าเธอทำเป็นอวดรู้” ชลจรเอ่ยนอกประเด็น อาสัญเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างยียวน อีกฝ่ายพยายามข่มอารมณ์ไว้พร้อมกับกล่าวต่อ “แต่หลังจากที่รู้จักกันไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ได้เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่เธอที่มาหาฉันช่วงก่อนบ่อย ๆ มักจะพูดในสิ่งที่ฉันไม่รู้ รวมทั้งมิตินี้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องของศรีที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ก็ต้องเปลี่ยนความคิดว่าเธอเป็นพวกมีลับลมคมใน… แถมกวนประสาทสุด ๆ”
ชลจรเน้นคำหลัง หลังจากนั้นอาสัญก็ขำเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ” ชลจรไม่ชอบที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจถึงข้อนั้นก่อนจะกล่าวต่ออีกครั้ง “จะว่าไป ทำไมเธอถึงรู้ล่ะว่าต่อให้ตายไปเกิดกี่ภพกี่ชาติ พลังของฉันกับศรีก็จะไม่หายไป?”
“คำถามนี้เด็กอนุบาลก็ตอบได้ ธรรมดามากค่ะ วิญญาณแต่ละดวงจะมีการกำหนดมาแต่กำเนิดแล้วว่ามีพลังแบบไหน แม้จะไปเกิดจนมีการปรับเปลี่ยนหรือลดลงบ้าง แต่ก็จะไม่ถูกทำลายง่าย ๆ เว้นแต่ผู้ใช้อาคมชั้นสูง แต่ในกรณีของศรีดูเหมือนผู้สร้างโลกจะกำหนดแล้วว่าต่อให้ดวงวิญญาณถูกทำลายไปเท่าใด ก็จะสามารถฟื้นกลับมาได้ดังเดิมค่ะ”
“ช่วงแรก ๆ ที่เธอพูดน่าเชื่อหน่อย แต่หลัง ๆ นี่เหมือนกับไปเห็นด้วยตาตนเองเลยนะ” ชลจรจับผิดอีกฝ่าย เจ้าตัวแย้มริมฝีปากมากกว่าเดิมก่อนจะเอ่ย “ก็ในเมื่อฉันเป็น… อ๊ะ ไม่พูดดีกว่าค่ะ เก็บไว้เฉลยตอนท้ายเรื่องนะคะ”
อาสัญกล่าวจบก็หันกลับไปอีกทางแล้วออกเดิน ชลจรที่อุตส่าห์สละเวลามาสนทนากับอีกฝ่ายถึงกับเกือบเดือดขึ้นมา …มาเพื่อคุยเรื่องเท่านี้เองหรือ? มักง่ายไปหน่อยไหม?
“นี่! ฉันไม่คิดนะว่าเธอจะทำลายเวลาที่ฉันอุตส่าห์โดดเรียนมาพบเธอ เพราะเรื่องไม่กี่เรื่อง นี่ ถ้าจะปั่นหัวให้ฉันไปทางต่อไม่ถูกก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ” ไม่บ่อยนะที่ชลจรจะสติหลุด ทำให้ศวาที่ยืนรอเงียบ ๆ เผลอหลุดขำขึ้นมา ทว่าเขาก็พยายามระงับอารมณ์เพราะไม่อยากให้เสียงไปกระตุ้นความโกรธาของเพื่อนตนเองมากกว่าเดิม
“…อย่างที่คุณพูดแหละค่ะว่าฉันกำลังปั่นหัวคุณอยู่ …อยากรู้จริงว่าคุณจะทำอย่างไรหากศรีรู้เรื่องนั้นเข้า” อาสัญหยุดเดินแล้วหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน่าโมโห ชลจรนิ่งไปในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่น
“เรื่องนั้น… ฉะ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรเลย”
“รวมทั้งความรู้สึกของศรีเองก็ด้วย”
ดวงตาสีดำที่ออกซีดของอาสัญนั้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชลจรเสมือนกับจะล้วงล่ำความรู้สึกข้างใน และความลับที่ถูกซ่อนไว้ ชลจรกำมือแน่นเพื่ออดกลั้น ทั้งความโมโหกับอาสัญ และความหวาดหวั่นที่มีต่อศรี เวลาผ่านไปพักหนึ่งชลจรก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ เขาหันร่างกลับไปทางเดิมแล้วเดินจากไปโดยไม่รอเพื่อนที่มาด้วยกัน ศวารีบตามไปทิ้งให้อาสัญอยู่คนเดียว ผู้ที่ยังอยู่ตรงนี้แสยะยิ้มพร้อมกับร่างของตนเองที่สลายไปเป็นเถ้าธุลี
“ชลจร”
“…”
“เฮ้! ชลจร ฉันสงสัย นายมีเรื่องปกปิดอะไรกัน เมื่อกี้หน้านายเครียดมากเลยนะ” ศวาถามในขณะที่ก้าวเดินอย่างเร่งรีบเพื่อตามชลจรให้ทัน อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง
“ไม่มีอะไรหรอก…”
“โกหกไม่เก่งเลยนะ …เฮ้อ ถ้านายไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ถ้ามีเรื่องอะไรบอกฉันได้ทุกเมื่อ เผื่อฉันจะช่วยได้” ชลจรพยักหน้าก่อนจะยิ้มบาง ๆ ศวาเห็นดังนั้นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกเดินอีกครั้งแล้วมุ่งไปที่โรงพลศึกษา ที่ซึ่งศรีกำลังประลองกับสิรไพรอยู่
.
.
.
เคร้ง!!!
โซ่ทุกเส้นถูกตัดในครั้งเดียวเมื่อศรีตวัดดาบสองข้างพร้อมกัน สิรไพรเริ่มเห็นท่าไม่ดีเมื่อทราบว่าต่อให้อีกฝ่ายถูกมัด ตรึง หรือโซ่พุ่งเข้ามาพร้อมกันก็สามารถรับมือได้ หากเป็นคู่ต่อสู้อื่นสิรไพรคงจัดการได้สบาย ๆ แต่กับศรีที่มีดาบซึ่งสามารถตัดโซ่ของเขาได้นั้น ทำให้ผู้เป็นเจ้าของคิดหนัก แม้ใบหน้าจะแสร้งทำเป็นแสยะยิ้มก็ตาม
อาคมนั้น… ชิ มิคุ้มเลยถ้าใช้ต่อกรกับยายนี่
สิรไพรเหลือหนทางเดียว แต่เขาไม่อยากใช้มันเพราะกินพลังวิญญาณไปมาก หากจะใช้กับศรีย่อมไม่คุ้มแน่ ถ้าเป็นในสงครามก็ว่าไปอย่าง
ระหว่างที่คิดนั้น ศรีก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับดาบ เธอตวัดดาบฟาดฟันอย่างรวดเร็วจนสิรไพรที่ว่าเร็วแล้วยังตามไม่ทัน เขาดึงโซ่เข้ามาก่อนจะสะบัดให้ร่างของศรีถอยห่าง
ยายนี่ประมาทมิได้ เห็นมาจากมิติสามัญเลยมิคิดอะไร …แต่ก็มิครามือข้าดอก!
สิรไพรตัดสินใจใช้อาคมชั้นสูง เขาดึงโซ่ทุกเส้นให้กลับมาก่อนที่มันจะหายไป อีกฝ่ายมองเขาอย่างฉงนและระแวงว่าเจ้าตัวมีแผนอันใด สิรไพรแสยะยิ้มก่อนที่สักพักโซ่หลาย ๆ เส้นจะพุ่งจากใต้พื้นแล้วไปยึดบนเพดานล้อมรอบศรี ผู้ที่ถูกขังภายในเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ระหว่างนั้นคู่ประลองก็เอ่ยอย่างได้ใจ
“ฮึ! เจอนี่เข้าไปถึงกับทำอะไรมิถูกเลยเรอะ? แน่จริงออกมาจากกรงโซ่ให้ได้สิ” ศรีเผลอกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ ก่อนที่ดวงตาสีดำจะเหลือบเห็นว่าพื้นที่เธอยืนอยู่มีวงเวทยันต์
ระหว่างนั้นเองชลจรกับศวาก็เดินเข้ามาในโรงพลศึกษาพอดี ทว่าเข้าไปได้ไม่ทันไรก็ต้องหยุดเพราะมีโซ่ขวางไว้เบื้องหน้า สิรไพรสร้างมันขึ้นมาเผื่อศรีออกมาได้จะได้ใช้มันมัดร่าง แต่คราวนี้โซ่ลงพลังอาคมขั้นสูงศรีเลยอาจจะไม่รอดจากพวกมันก็เป็นได้ เด็กหญิงผู้ที่ขังภายในกรงโซ่เหลือบเห็นว่าเพื่อนตนเองมา จึงยิ้มบาง ๆ แม้จะเครียดกับการประลองก็ตาม ฝ่ายชลจรก็ไม่สบายใจจริง ๆ ที่คนที่ตนเองชอบต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
“ศรี…”
เขาพึมพำเบาๆ ศวาเห็นอาการเหม่อลอยของเพื่อนก็อดจะตบบ่าเพื่อนตนเองเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจไม่ได้ ทว่าเจ้าตัวไม่รู้สึกตัว เพราะคราวนี้ชลจรเหม่อมองศรีราวกับต้องมนต์บางอย่าง ศรีเองก็เช่นกัน ทั้งสองสบตาโดยไม่แม้แต่จะกะพริบ พอผ่านไปสักพักดวงตาสีดำของศรีก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเฉกเช่นเลือด ภายในมีรูปยันต์ที่เรืองแสงสีแดงอ่อนแทนรูม่านตา สิรไพรมองคู่ประลองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ศวาเองก็ด้วย เขาหันไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งดวงตาของเจ้าตัวก็เปลี่ยนไป เป็นสีกรมท่าซึ่งมีรูปยันต์อยู่สลับกับเด็กหญิงในกรงโซ่อย่างฉงนและตกตะลึง เพื่อนคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“เนตรยันต์มรณะ… ไม่จริง จะมีอยู่จริงได้อย่างไรกัน?!”
“หมายความว่ายังไง นั่นมันเป็นตำนานไม่ใช่เหรอ?!”
“ท่านครูวีนะ นี่มันอันใดกันครับ?!”
ฯลฯ
เสียงดังเซ็งแซ่จนน่าเวียนศีรษะ แต่พอฟังจับใจความได้คร่าว ๆ ว่าพวกเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องเนตรยันต์มรณะของศรี ซึ่งน่าจะเป็นเพียงตำนาน วีนะยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุกพลางมองศรีด้วยความสนใจมากขึ้น ตอนแรกก็สนใจเรื่องรัดเกล้าและปิ่นปักผมของเด็กหญิงในกรงโซ่ซึ่งได้ฟังจากพินทุแล้ว แต่พอมาได้เห็นภาพหายากการปลดผนึกยันต์มรณะ เขาก็ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก
จะว่าไป ทำไมจู่ ๆ ยันต์ถึงถูกปลดล่ะ?
วีนะคิดด้วยความฉงน ทว่าความสงสัยถูกแทนที่ด้วยความสนใจเมื่อศรีแสดงพลังบางอย่างต่อจากนี้ให้เห็น โซ่ทุกเส้นเกิดรอยร้าวก่อนจะแตกกระจายจนเป็นผงละเอียด ดวงตาทุกคู่เบิกขึ้นด้วยความตกตะลึงเกือบขีดสุด …โซ่ ไม่ได้ถูกตัดเป็นสองท่อนเช่นที่ผ่านมา แต่มันสลายจนแทบจับต้องมิได้ สิรไพรที่เป็นเจ้าของมันแทบพูดไม่ออก อยากจะตะโกนให้ลั่นโรงพลศึกษาว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน ทว่าความใจหายที่เข้ามานั้นทำให้จุกคอจนแม้แต่จะเอื้อนเสียงก็ทำไม่ได้
“อึก…”
สิรไพรกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ราวกับว่ามันเป็นก้อนหินที่ยากจะกลืน เขาพยายามตั้งสติที่เริ่มหลุดเพราะตกตะลึงต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วคิดหาทางจะกำจัดศรีโดยเร็วที่สุด ทว่าก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไร เนตรยันต์มรณะของศรีก็คลายมนต์ผนึกยันต์เวทที่สิรไพรสร้าง ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับดวงตาสีเลือดที่จ้องมาเสมือนกับจะทะลุเข้าไป อีกฝ่ายอยากเบือนสายตาหนีแต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกับว่าศรีสะกดไว้ รูปยันต์ในเนตรเรืองแสงมากกว่าเดิม ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเกิดความผิดปรกติ…
ของเหลวสีแดงส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งเมื่อมันพุ่งออกมาจากช่องทางร่างกายต่าง ๆ …ตา หู จมูกและปาก ภาพนั้นทำให้เกือบทุกคนจ้องด้วยใจระทึกและหวาดหวั่น บางคนมองสิรไพรสลับกับศรีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่าเธอเอาโอกาสไหนไปทำพิธีสาปแช่ง แต่ก็มาคิดอีกทีว่าอาจเป็นเพราะพลังของเนตรยันต์มรณะ ทว่าก่อนที่จะคาดความเป็นไปได้มากกว่านั้นสิรไพรก็ขย้อนอะไรบางอย่างออกมา …มันมาพร้อมกับเลือด เป็นสิ่งที่นุ่มนิ่มยืดหยุ่นซึ่งทุกคนและสรรพสัตว์ต่างก็มี… อวัยวะภายใน เนตรยันต์มรณะสาปแช่งเพื่อทำลายอวัยวะของเจ้าของ ก่อนจะทำให้มันเข้าไปอยู่ในช่องทางเพื่อให้เขาอาเจียนออกมาเช่นนี้ ผู้ที่ถูกคำสาปงอเข่าลงเพราะความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ดีที่เป็นสายเลือดอมตะมิเช่นนั้นคงไม่สามารถยืนหยัดอดทนได้แบบนี้
สิรไพรกัดฟันด้วยความเจ็บใจและอับอายกับสภาพของตนเองในตอนนี้ เขาจ้องร่างอีกฝ่ายราวกับจะฉีกกระชากออกมา
“อ้ายเด็กใหม่! ชักจะได้ใจใหญ่แล้ว!!!” สิรไพรตะโกนลั่นก่อนจะอัญเชิญโซ่ขึ้นมาใหม่ ครานี้มันมาพร้อมกับใบมีดเล่มใหญ่ที่เชื่อมกับปลายโซ่ ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาศรีหมายแทงทะลุ …ทว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป โซ่หลายเส้นนั้นสลายเป็นเถ้าธุลีก่อนจะไปถึงศรี
วีนะและขนมชั้นที่จับตาดูการแข่งอยู่นั้น คิดเหมือนกันว่าฝ่ายชนะคงจะเป็นศรี เพราะอาวุธของสิรไพรที่แทบจะไม่เคยมีใครทำลายได้นั้น ถูกอีกฝ่ายทำลายได้อย่างง่ายดาย แต่ทั้งสองก็ไม่คิดตื้นขนาดนั้น เพราะไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถพลิกเกมกลับมาล้มคู่ต่อสู้ได้ ตอนนี้ก็คงรอดูต่อไปก่อนจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดสภาพจริง ๆ
ระหว่างที่วีนะก้มลงเขียนคะแนนอยู่นั้น ร่างของสิรไพรก็กลายเป็นสีขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ เพราะเลือดทุกหยดในร่างกายของเขาทุกพลังเนตรของศรีดูดออกไปจนหมด ก่อนที่เลือดเหล่านั้นจะลอยไปรวมกลุ่มในอากาศ …สีแดงเข้มกับกลิ่นคาวนั้นช่างเย้ายวนใจสำหรับศรีในตอนนี้จริง ๆ จิตใจพลันมีแรงปรารถนาที่จะได้ลิ้มรสเนื้อนุ่มนิ่มคาวหวาน สัญชาตญาณดิบของยักษ์ที่ถูกผนึกอยู่นั้นเริ่มถูกปลดปล่อย เขี้ยวค่อย ๆ งอกโง้งออกจากเหงือก ตรงมุมปากมีลายไทยเฉกเช่นยักษ์ในตำนานความเชื่อของชาวไทย
เด็กหญิงเกล้ามวยผม ปล่อยผมส่วนที่เหลือลงมานั้นค่อย ๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะใช้ดาบทั้งสองเล่มแทงทะลุเข้าไปในร่างของสิรไพรที่ล้มลงไปนอนนานแล้ว และดันดาบให้กรีดผ่านเนื้อและเยื่อจนเผยให้เห็นเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ รวมทั้งอวัยวะภายในที่มีเมือกห่อหุ้มอยู่ เธอเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหายก่อนจะจิกเล็บมือลงไป แล้วกระชากเนื้อออกมาทานอย่างเอร็ดอร่อย ภาพนั้นอยู่ในสายตาของทุกคน ยกเว้นแต่ชลจรที่หมดสติไปหลังจากที่สบตากับศรีสักพักแล้ว โดยมีศวาประคองอยู่
ท่ามกลางเหตุการณ์ระทึกนั้น คู่หมั้นของยักษิณีตนนี้ก็เข้ามาในโรงพลศึกษาอย่างเร่งรีบเพราะเป็นห่วงคนที่ตนเองรัก ก่อนที่จะหยุดยืนราวกับไม่เชื่อสายตา ถึงจะเคยเห็นศรีทำเช่นนั้นแต่มองกี่ครั้งก็ไม่เคยชินเสียที เขาถอนหายใจราวกับสิ้นหวัง ก่อนจะพนมมือและท่องคาถาบางอย่างเบา ๆ …ฉับพลันดวงตาสีดำของเขาปรากฏรูปยันต์สำหรับผนึกสิ่งชั่วร้าย พร้อมกับรอยยันต์ที่อยู่บริเวณใต้ดวงตา เมื่อเสร็จสิ้นการปลดผนึกเนตรแล้วพงสณะก็พุ่งเข้าไปหาศรีอย่างรวดเร็ว และดึงร่างของเธอให้หันมาสบตากับตนเอง …ราวกับเวลาหยุดลง ศรีเบือนสายตาหนีไม่ได้ เนตรของเธอเริ่มถูกผนึกเพราะเนตรของพงสณะ รวมทั้งร่างยักษ์ก็ด้วย
ศรีค่อย ๆ หลับตาลง ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลง โชคดีที่พงสณะประคองไว้ทันจึงไม่เป็นไร ระหว่างนั้นก็มีเสียงประกาศผลการประลองดังมาจากวีนะ
“ผลออกมาแล้ว ..ศรีชนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ