ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

112) บทที่ ๑๑๐ : บุปผาอาสัญเปรียบได้กับความตาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๑๐

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

บุปผาอาสัญเปรียบได้กับความตาย

                กริ๊ง...

                กริ๊ง……

                …กริ๊ง………

                ศรีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาหลังจากที่หลับไปไม่นาน …สายลมพัดมาให้ความรู้สึกสดชื่น ทว่าพอผ่านไปกลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างน่าแปลกใจ

                “เอ๊ะ… หายไปไหนกันหมด?”

               ศรีถามเบาๆ โดยไม่ต้องการผู้ตอบ เมื่อมองไปรอบๆ แล้วกลับไม่เห็นผู้คนดังเช่นก่อนหน้านี้ เสียงหัวเราะ เสียงน้ำที่กระทบไปมา และบรรยากาศสดใสหายไปราวกับเป็นเพียงภาพฝัน เหลือเพียงหนองน้ำเต็มเส้นทาง ดินสอพองและขันทิ้งไว้เท่านั้น

               “ทุกคนหายไปไหน?”

               นอกจากเสียงสายลมและเสียงเครื่องแขวนไปมาตามลมแล้ว ก็ไม่มีเสียงจากอะไรอีก มีเพียงความเงียบเชียบน่าอึดอัด และความเย็นยะเยือกที่ปกคลุม จนแทบไม่รู้สึกถึงความร้อนของคิมหันต์ฤดู ศรีลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านเพื่อสำรวจ ว่ามีสิ่งใดผิดปรกติหรือไม่

               “นี่มัน… อะไรกัน?” ศรีเอ่ยเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีแดงปนกับน้ำที่หนองบนพื้น …เลือด น่าแปลกนักทั้งๆ ที่สีมันไม่ได้มีความอ่อน แต่เธอกลับไม่เห็น ไม่สิ ต้องกล่าวว่าเลือดไม่ได้มีมาแต่ทีแรกจะถูกกว่า มันเพิ่งมีตอนนี้เอง

               “ทิวากาลสวัสดิ์ค่ะ คุณศรี”

               ศรีหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับเด็กหญิงผมยาวสีดำเกล้าสูงทั้งสองข้าง ผ้าที่มีกะโหลกเล็กกว่าปรกติยึดอยู่ด้านข้างนั้น พันรอบศีรษะผ่านหน้าผาก ดวงตาสีดำที่ลืมไม่เต็มมองศรีด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา ริมฝีปากสีซีดเหยียดยิ้มตลอดเวลา บรรยากาศน่าสะอิดสะเอียน แทบจะทำให้เด็กหญิงเกล้ามวยผมเบือนหน้าหนี ทว่าเธอยังคงฝืนให้ใจแข็งเข้าไว้ เพราะหากเผลอเลยไปจะพลาดพลั้ง …เด็กหญิงที่อยู่ทางด้านขวากลางเส้นทางมีความรู้สึกอันตรายแผ่ออกมา

               “เธอ… ที่มองฉันในวันสอบนี่?”

               คำพูดคำจา และน้ำเสียงต่างจากที่เคยเป็น ศรีขมวดคิ้วเล็กน้อย มือเตรียมจะหยิบปิ่นปักผมออกจากมวยผม อาสัญเหยียดมุมปากยิ้มก่อนจะกล่าว

               “ดูท่าคุณจะระแวงฉันนะคะ ปิ่นปักผมนั่นต่อให้แปลงเป็นดาบ ก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ” ศรีเบิกตาด้วยความตกตะลึงและฉงน เพราะสงสัยว่าอาสัญทราบได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ใครอื่นได้รู้ แม้อีกฝ่ายจะบอกเช่นนั้น แต่ศรีก็ยังคงพึ่งปิ่นปักผมที่สามารถแปลงเป็นดาบได้

               “ที่เธอบอก แสดงว่ารู้อะไรเกี่ยวกับฉันมาดีเลยใช่ไหม?” น้ำเสียงนั้นเรียบและแฝงด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อย ทว่าอาสัญก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับกันเธอรู้สึกสนุกที่อีกฝ่ายตอบสนองเช่นนี้

               “รู้อะไรเกี่ยวกับคุณมาดี? ต้องตอบว่ารู้ลึกรู้จริงคงจะเหมาะกว่านะคะ”

               มือขาวซีดที่สวมถุงมือข้างซ้ายแบบเปิดนิ้วสีดำ ยกกระบอกปืนบาซูก้าที่มีอุปกรณ์เสริม และรูปร่างที่เหลี่ยมกกว่าปรกติ ซึ่งหยิบมาจากไหนก็ไม่อาจทราบได้ มาเล็งที่ศรีโดยที่ดวงตาสีดำจ้องอย่างไม่วางตา มืออีกข้างที่สวมถุงมือแบบเดียวกัน มีแท่งเหล็กยาวสามชิ้นยึดกับถุงมือราวกับกรงเล็บสัตว์ดุร้าย

               เด็กหญิงเกล้ามวยผมเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมา ทว่าเธอพยายามคุมสติไม่ให้เตลิด และทำใจแข็งเข้าไว้ให้มากขึ้น มือข้างขวาหยิบปิ่นปักผมทั้งสองข้าง ก่อนที่เธอจะท่องคาถาให้แปรเป็นดาบไทย

               “ไม่ได้เห็นเสียนานเลยนะคะ ดาบสองเล่มนี้ ที่สิงสถิตของสองพี่น้องยักษา” เป็นอีกครั้งที่ศรีมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ อาสัญไม่ได้รู้ลึกรู้จริงอย่างเดียว แต่รู้ในสิ่งที่ไม่น่าจะมีใครทราบ

               “ถ้ารู้อะไรเกี่ยวกับฉัน ช่วยสละเวลาเล่าให้ฟังหน่อยสิ” อาสัญเงียบไปครู่หนึ่ง โดยที่ริมฝีปากยังคงแย้มไว้ จนอีกฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่าเธอไม่ปวดบ้างหรือ

               “เล่าตอนนี้จะไปสนุกอะไรคะ? สู้ให้เรื่องจบก่อนแล้วเฉลยน่าตื่นเต้นจะไม่ดีกว่าเหรอคะ?”

               “ไม่ดีหรอก เล่าตอนนี้เลย”

               “ไม่ดีกว่าค่ะ”

               ชะ! คิดจะกวนรึไง

               ไม่บ่อยนักที่ความคิด และคำพูดคำจาของศรีจะหยาบคาย โดยส่วนตัวเธอไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น แต่หากรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่น่าวางใจเธอก็จะเปลี่ยนบุคลิกทันที

               ในขณะที่คิดด้วยความหงุดหงิด อาสัญก็เข้ามาประชิดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ศรีเบิกตาด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะรู้สึกถึงความเย็นเชียบของโลหะสามชิ้น อีกฝ่ายจ่อมันที่ข้างหลังคอ เข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยให้พอเฉียดๆ ทว่าเพียงเท่านั้นกลับสร้างรอยบาดแผล บ่งบอกว่าใบมีดแท่งเหล็กคมมากเท่าไหร่ เธอลอบกลืนน้ำลาย พลางทำใจกล้าจ้องอีกฝ่ายที่เหยียดยิ้มอยู่

               “คิดจะฆ่าเหรอ?”

               “ไม่ถึงกับฆ่าหรอกค่ะ แค่ให้บาดเจ็บหนักๆ ก็พอ …ของเล่นอย่างคุณจะให้ฆ่าก็น่าเสียดายอยู่นะคะ”

               ฉัวะ!

               กล่าวจบอาสัญก็ถอยหลังมา พร้อมกับใช้แท่งเหล็กฟันคอศรีที่ด้านข้าง ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาทำให้เธอร้องครวญไม่ออก ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีเส้นเลือดที่อาจทำให้ตายหรือไม่ …จะว่าไป ถึงมีเธอก็ตายไม่ได้อยู่แล้ว

               “อีกอย่าง จะกลัวตายไปทำไม ในเมื่อคุณเองก็เป็นสายเลือดอมตะนี่คะ” ศรีจ้องอีกฝ่ายด้วยความโกรธา …น่าแปลกนักที่แม้จะเคยเจ็บหนักกว่านี้ เมื่อครั้นที่ยักษ์สมุนของผู้ลักมีดมาชิงตาไป แต่พอมาคราวนี้เธอกลับเจ็บปวดมาก

               “ฉัน… ไม่ได้กลัวตาย” น้ำเสียงนั้นแหบลงอย่างน่าแปลกใจ คำพูดนั้นฟังแล้วให้ความรู้สึกอวดเก่ง แต่เธอหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

               …ในเมื่อเป็นสายเลือดอมตะมีอะไรให้กลัวตายด้วยหรือ?

               “มั่นใจมากสินะคะ ว่าคุณไม่สามารถตายได้ …อย่าลืมนะคะ คุณศรี มนุษย์และสรรพสัตว์อย่างเราล้วนเปราะบาง วิธีที่จะทำให้มลายไปนั้น ก็ใช่จะห่างไกลเสียเมื่อไหร่” คำพูดของอาสัญทำให้ศรีเผลอตั้งใจฟังขึ้นมา เพราะสงสัยว่าในเมื่อเป็นสายเลือดอมตะ จะตายได้อย่างไร

               “แล้ววิธีนั้นคือ…”

               กล่าวไม่ทันจบ อาสัญก็พุ่งเข้ามาใช้แท่งเหล็กแทงท้องของศรี จนทะลุออกไปด้านหลัง โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้มองเห็น และรู้สึกตัว ศรีกระอักเลือดออกมา แล้วพยายามฝืนร่างให้มือฟันดาบใส่อีกฝ่าย ทว่าอาสัญกลับถอยห่างทันเสียก่อน เลยเฉียดกับเสื้อที่บริเวณชายลอยขึ้นมาเล็กน้อย

               “อึก…”

               “ไหวไหมคะ?”

               “ถ้าไม่ได้ห่วง และจะช่วยอย่ามาถาม” ศรีกล่าวเสียงลอดไรฟัน รู้สึกเหมือนเส้นประสาทจะขาดเพราะความกวนของอีกฝ่าย

               เกลียดนัก อ้ายพวกถามแล้วไม่ได้เป็นห่วง!

               “อีกอย่าง ถึงไม่ไหวฉันก็ต้องไหว ไม่รู้ว่าเธอจะทำร้ายฉันอย่างไร ตอนนี้ก็อยากสู้ให้สุดความสามารถ”

               “…ฟังดูดีนะคะ แต่อย่าลืมแล้วกัน ว่าชีวิตจริงไม่เหมือนนิยาย”

               เสียงของอาสัญแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ในขณะที่มือเหนี่ยวเพื่อกดไกปืน ศรีถอยหลังเตรียมจะหนี แต่อีกใจก็คิดว่าไร้ประโยชน์ …อานุภาพของบาซูก้าไม่เหมือนปืนอย่างอื่น

               “ชะตาคุณอยู่ในกำมือฉัน จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด…”

               บรรยากาศน่าสะอิดสะเอียน หวาดผวา ตื่นกลัว และความตายที่แผ่ออกมาแทบจะทำให้ศรีล้มลง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว สติเริ่มดับหายเพราะหน้ามืดจะเป็นลม น้ำเสียงที่แผ่วเบา และแหบแห้งนั้นดุจสัญญาณของมฤตยู ดวงตาสีดำที่ผ่านมาเธอมองเห็นเป็นสีนั้น หากมองดีๆ มันซีดเหมือนจนเหมือนคนตาบอด ทำให้ภาพลักษณ์ของอาสัญเหมือนความตายตามนามของเจ้าตัวไม่มีผิด

                …ตั้งแต่เกิดมา นอกจากอสุเรนทร์และอย่างอื่นที่กลัวแล้ว อาสัญนี่แหละที่ทำให้กลัวมากขนาดนี้…

               เบิ้ม!!!

               .

               .

               .

               “เฮือก!!!”

               ศรีสะดุ้งตื่นเพราะความฝัน และหอบหายใจด้วยความตระหนก ดวงตาสีดำมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงและกลัว พบว่าผู้คนเล่นสาดน้ำกันอย่างเป็นปรกติ …น่าแปลกนักทั้งๆ ที่เธอเคยเจออะไรที่น่ากลัวกว่านี้ แต่กลับกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่ว่าเธอหวาดต่อปืนบาซูก้าหรืออาวุธอะไรของอาสัญ แต่เธอกลัวเจ้าของพวกมันต่างหาก

               “แฮ่กๆ … ย่ะ ยมทูต เกิดมาไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน”

               ศรีเผลอพลั้งปากเอ่ยคำว่า ยมทูต อยากบรรยายเพื่อระบายออกมาใจแทบขาด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะยกสิ่งใดมาเปรียบเทียบ ยมทูต… ซาตาน ปีศาจ ภูตผีวิญญาณ ยังเทียบไม่ได้กับอาสัญเลย

               “เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้ชื่อ รู้อะไรเกี่ยวกับฉัน และประสงค์ร้ายล่ะ?”

               และบรรยากาศน่าสะอิดสะเอียน ราวกับอยู่ท่ามกลางศพที่เน่าเปื่อย มันอะไรกัน?

               “เป็นอย่างไรบ้างคะ? ความฝันเมื่อครู่” ศรีขนลุกขึ้นมา ความเย็นเชียบปกคลุมจนแทบไม่กล้าขยับ เธอค่อยๆ เงยหน้ามองเจ้าของเสียง

               “เธอ…”

               “จริงด้วยสิคะ ลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อ บุปผาอาสัญ เรียกสั้นๆ ว่าอาสัญก็ได้ค่ะ” ศรีฟังโดยตั้งสติทุกขณะจิต จ้องอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง ท่าทางนั้นทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ เพราะเธอเหมือนลูกแมวที่ระวังภัย

               “แหม อะไรจะระวังตัวขนาดนั้น ฉันยังไม่ทำร้ายคุณหรอกค่ะ ในความฝันนั่นแค่ทักทายกัน ของจริงยิ่งกว่านี้อีกค่ะ”

               “หากอยู่กันสองต่อสอง อย่าหวังจะได้ตายดีเลย” ศรีกล่าวเสียงแข็ง ความรู้สึกกลัวเริ่มหายไปอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังกลัวจนแทบไม่กล้าขยับ พอเป็นเช่นนั้นแล้วอาสัญก็หัวเราะอีกครั้ง เพราะท่าทางของอีกฝ่ายขัดกับก่อนหน้านี้ในความฝัน ที่จวนเจียนจะตายอยู่รอมร่อ

               “ปากดีไปเถอะค่ะ ในความฝันเมื่อครู่ยังทำสีหน้าเจ็บปวดแท้ๆ …ว่าแต่ทำไมยังไม่เอาผ้าพันแผลที่ตาออกล่ะคะ ได้คืนมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

               “เธอ… อาสัญ รู้อะไรบอกฉันมาให้หมด เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครนอกจากคนในครอบครัว และเพื่อน แต่ทำไมเธอถึงรู้ได้”

               อาสัญเป็นยังไง ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ริมฝีปากที่แย้มยิ้มตลอดดูน่าหมั่นไส้นัก เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าว

               “คิดว่าทำไมล่ะคะ?”

               “ถามกลับคิดจะกวนรึไง?” ความโกรธเข้ามาแทนที่ หากไม่ติดว่าอยู่ในที่ที่มีผู้คน ศรีคงจะแปลงปิ่นปักผมให้เป็นดาบ แล้วฟันให้ร่างอาสัญขาดเป็นสองซีก

               “ฮึ… เริ่มโกรธแล้วเหรอคะ? ยังไม่ทันได้เริ่มอะไรเลย ระวังโดนไฟแห่งความโกรธาแผดเผาตนเองนะคะ ถ้ายิ่งได้คุยกับฉันมากกว่านี้ เส้นประสาทคุณขาดแน่ๆ ค่ะ”

               ศรีแสยะยิ้ม ดวงตาสีดำวาวขึ้นน่าหวาดหวั่น ทว่าอาสัญไม่สะทกสะท้านแต่อย่างไร กลับกันเธอรู้สึกตื่นเต้นที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น

               “…ถ้าอย่างนั้น ร่างของเธอก็คงขาดเป็นสองซีกนั่นแหละ” ศรีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเชียบ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไปโดยไม่กล่าวลา ทางอาสัญเองก็ไม่ถือ เธอเหยียดยิ้มมากกว่าเดิมก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา สรรพนามระหว่างตนเองและอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

               “ของเล่นของข้า ถึงคราจุดจบแล้ว เจ้าจะปากดีได้เช่นนี้อีกฤๅไม่?”

 

               “ศรี… ไม่สบายเหรอจ๊ะ?”

               อสุราถาม เมื่อเห็นว่าน้องสาวตนเองเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ดี เธอหยุดเขียนพวงหรีดก่อนจะเดินเข้าไปหาศรี แล้วพาไปนั่งบนโต๊ะไม้

               “ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกร้อนน่ะค่ะ”

               “เฮ้อ หน้าร้อนอย่างนี้ไม่ดีเลยจริงๆ …เดี๋ยวพี่เขียนพวงหรีดเสร็จแล้วจะไปดูหน้าร้านเอง หนูเองก็มาเขียนพวงหรีดต่อจากพี่แทนนะจ๊ะ”

               อสุราลูบศีรษะศรีเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ ไปหมด ผู้เป็นพี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกลับไปนั่งเขียนพวงหรีดต่อ …ทว่าพอนั่งเขียนไปไม่นาน ศรีก็เดินเข้ามาโอบกอดจากทางด้านหลัง  และซุกหน้าบริเวณคอที่อุ่น อสุราใจเต้นรัวขึ้นมา รู้สึกว่าเลือดในกายพล่านและสูบฉีดกว่าเดิม ระหว่างนั้นเองศรีก็เอ่ยเบาๆ

               “พี่อสุรา… วันนี้นอนห้องเดียวกับหนูได้ไหมคะ?” คำถามนั้นทำให้อสุรานิ่งไปชั่วขณะ ความดีใจเอ่อล้นจนพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง พอผ่านไปสักพักเธอก็กล่าวติดๆ ขัดๆ พร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ

               “ได้สิจ๊ะ” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกล่าวในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายอสุราเพียงคนเดียวที่คิดไปคนเดียว กับศรีในเชิงชู้สาว แต่พอถูกคนที่ตนเองรักชวนเช่นนี้ มีใครบ้างล่ะที่ใจไม่เต้นแรง?

               “ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” ศรีกล่าวเบาๆ โดยที่ไม่รู้ว่าใบหน้าของพี่สาวตนเองเป็นเช่นไร และรู้สึกอย่างไร เธอหลับตาแล้วกอดอสุราอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง พอทำใจสบายได้แล้วก็กลับไปนั่งดังเดิม

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา