ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

113) บทที่ ๑๑๒ : มิอาจใหญ่กว่ากรรมและโชคชะตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๑๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

มิอาจใหญ่กว่ากรรมและโชคชะตา

               “ชลจร มานี่หน่อยสิ” เด็กสาวสวมแว่น ผมสีดำออกน้ำตาลประดับด้วยติดกิ๊บรูปนก ผู้มีนามว่า ชลจา เท้าคางกับโต๊ะพร้อมกับใช้มืออีกข้างกวักเรียกชลจร เด็กชายผู้เป็นน้องเห็นเช่นนั้นก็วางลังใส่หนังสือ ก่อนจะเดินไปหาพี่สาวตนเอง

               “มีอะไรเหรอครับ?”

               “คุยเรื่องกุ๊กกิ๊ก ในวัยเรียนไงจ๊ะ” ได้ฟังดังนั้นแล้ว ชลจนก็หันหลังเดินเกือบจะก้าวเดินจากไป แต่ชลจากล่าวห้ามได้ทันเสียก่อนที่เขาจะไปไกลกว่านี้

               “มีผู้ใหญ่ที่ไหนเขาสนับสนุนเรื่องนี้กันครับ?” ชลจรกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย ในขณะที่ผู้เป็นพี่ยิ้มแป้น “ก็พี่ไง นี่ จะขึ้น ม.๑ แล้วนะ ไม่คิดจะจีบน้องศรีตรงๆ เหรอ?”

               “ศรี… ทำไมพี่คิดว่าผมชอบเธอล่ะ?” ชลจรมองชลจาด้วยแววตานิ่งๆ เจ้าตัวทำตาล๊อกแล๊กดูน่าหมั่นไส้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

               “แหม ลืมครั้งแรกที่พบกันแล้วเหรอจ๊ะ? ตอนนั้นหัวใจน้องเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เลยนะ” ผู้เป็นน้องนึกย้อนกลับไปวันที่เจอกับศรีครั้งแรก ก่อนจะจ้องผู้เป็นพี่พร้อมสีหน้าจริงจัง

               “เฮ้อ คิดเองเออเองทั้งนั้น นี่ ถึงผมจะชอบศรี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้เธอมา ดูแลเป็นระยะๆ ในบางครั้งก็มีความสุขแล้ว” กล่าวจบชลจรก็หยิบเก้าอี้มานั่ง เพราะคิดว่าเรื่องไม่จบเท่านี้แน่ …ซึ่งดูแล้วท่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

               “แต่จะมีความสุขมากกว่านี้ใช่ไหม หากได้น้องเขามาเป็นแฟนจริงๆ” ชลจรมองซ้ายทีขวาที เพื่อจะหาทางรอดจากการสนทนาเรื่องนี้ พอนึกได้แล้วก็กล่าวและรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ “มีคนมาครับ เดี๋ยวผมไปต้อนรับก่อน”

               “ไม่ต้องมาเนียนเลย เสียงกริ่งไม่ดังนี่ มา มานั่งนี่ เราต้องเคลียร์ให้จบ” แผนของชลจรช่างหลวมจริงๆ เขาเดินกลับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะนั่งลงด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มที

               “แบบนี้ค่อยว่าง่ายหน่อย เอ้า ไหนตอบมาซิว่าหัวใจน้องต้องการอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?” ชลจากล่าวต่อ “ครับ อีกตั้งหลายปี จะรีบมีแฟนไปทำไม”

               “ก็เพราะเดี๋ยวโดนตัดหน้าไงจ๊ะ น้องรักของพี่” ชลจรขนลุกซู่เพราะคำว่า น้องรักของพี่ เขาเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะเอ่ย

               “เธอมีคู่หมั้นแล้ว ผมไม่อยากไปแย่งให้เกิดเรื่องหรอกนะ เดี๋ยวก็โดนครหาว่าเป็นพวกชอบแย่งแฟนคนอื่น”

               “ก็ตอนนี้ยังไม่เป็นแฟนนี่” น้ำเสียงของชลจาฟังดูขัดใจเล็กน้อย “นั่นก็ใช่ แต่ถ้าวันหนึ่งต้องแต่งงานล่ะ ผมจะหักห้ามใจตนเองได้เหรอ อีกอย่างนะ หลายปีเลยทีเดียวที่จะมีโอกาส ป่านนั้นผมก็คงเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นแล้วล่ะ”

               “น้ำขึ้นให้รีบตัก ได้ตอนนี้ พอหมดรักแล้วค่อยบอกเลิกก็ได้นี่”

               “เอาหัวโขกกับโต๊ะห้าสิบครั้งซะ” ชลจรมีสีหน้าจริงจังเพราะคำพูดไม่ดีของพี่สาว เจ้าตัวเองก็หัวเราะคิกคักก่อนจะกล่าว “ล้อเล่นน่า ทำหน้าจริงจังไปได้”

               “นี่ขนาดล้อเล่นนะ ถ้าพูดจริงจะขนาดไหน” ชลจรคิดว่าไม่น่ายอมมาคุยกับชลจาเลย สู้ไปจัดของต่อมีประโยชน์กว่าเสียอีก

                “น่า อย่าคิดมากสิ …จะว่าไปตอนนั้นที่พี่ซื้อของที่ร้านขายอุปกรณ์การเรียน ไม่เห็นว่าน้องศรีจะใส่สร้อยที่น้องให้เลยนี่” ชลจรเผลอจ้องพี่สาวตนเอง พร้อมกับความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ น้อยใจก็ไม่เชิง เหมือนกับว่าถูกลืมมากกว่า เขาก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเบาๆ

               “ก็นะ ผมไม่ได้สนิทหรือมีเยื่อใยที่จะไปให้เธอ ใช้ของที่ผมทำขึ้นมาจนปัจจุบันหรอก เผลอๆ ทิ้งไปแล้วก็ได้”

               “ไม่เอาน่า ถึงไม่ใช้น้องศรีก็คงเก็บไว้อยู่ดี …นี่ พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง รับรองว่าน้องจะต้องดีใจแน่” ผู้เป็นน้องที่รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเผลอเงยหน้ามอง น่าแปลกนักทั้งๆ ที่สมองคิดไม่อยากฟัง แต่หัวใจกำลังบอกเขาว่าต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ

               “เรื่องอะไรเหรอครับ?”

               “ก็ตอนนั้นที่พี่เจอน้องศรีใช่ปะ นั่นแหละพี่ลองทักน้องเขาดู เจ้าตัวก็ยิ้มหวานน่ารักแล้วยกมือไหว้ และถามพี่ว่าน้องเป็นยังไงบ้าง พี่ก็ตอบไปว่าตอนนี้คงกำลังนั่งหน้าเครียดอ่านหนังสือ เขาก็เลยฝากบอกว่าพยายามเข้านะ แววตานี่ตั้งหวังเป็นประกายเชียวว่าน้องจะต้องทำได้ ตอนนั้นพี่ก็เออออว่าจะบอกให้ แล้ว…”

               “เดี๋ยว ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมพี่ไม่เห็นบอกผมเลยล่ะ?” ชลจรขัดชลจาที่กำลังเล่าได้ออกรส เจ้าตัวก็ทำเสียงแสดงความขัดใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองทำไว้

               “ฝากบอกอย่างนี้จะไปตื่นเต้นอะไรเล่า ตอนนั้นพี่คิดว่าจะให้น้องศรีให้กำลังใจน้องอีกที นี่สิถึงจะทำให้ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ …คนที่ตนเองแอบรักมาให้กำลังใจ เป็นใครไม่ใจเต้นหรือดีใจบ้างล่ะ?”

               “ไม่รู้สิครับ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ผมอยากไปทำงานต่อ”

               ชลจรเบือนหน้าหนี พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวเมื่อนึกถึงวันสอบครั้งแรกที่ศรีมาให้กำลังใจ ตอนนี้รู้สึกว่าใบหน้าแดงขึ้นมา …ก็จริงอย่างที่ชลจากล่าว เป็นใครไม่ใจเต้นหรือดีใจบ้างล่ะ เขาเองก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ คือเขานี่แหละเป็นหนึ่งในบุคคลที่ใจเต้นและดีใจ พอคนที่ตนเองแอบชอบมาให้กำลังใจ

               “แหม ที่หลบหน้านี่เขินใช่ไหมล่ะ ตอนนี้ทำใจแข็งเข้าไว้ ต่อจากนี้เลือดสูบฉีดกว่าเดิมแน่ …คิกๆ” ช่วงท้ายๆ ที่ชลจาหัวเราะ ชลจรก็รีบเดินหนีไปทำงานต่อ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่ายเพราะความเขินอาย หากเป็นไปได้เขาคงแทรกแผ่นดินหนีไปแล้วล่ะ

               “เฮ้อ… ความรักช่วงมัธยมต้นนี่น่ารักจริงๆ หวังว่าชลจรจะสมหวังนะ …เด็กแบบศรีหาง่ายเสียที่ไหนล่ะ” ชลจายิ้มบางๆ หากใครได้เห็นก่อนหน้าที่สนทนากับน้องชาย และตอนนี้ล่ะก็จะต้องแทบไม่เชื่อสายตาแน่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้และตรวจรายการหนังสือที่สั่งซื้อ หลังจากที่ทำค้างเพราะแหย่น้องชายเล่น

 

               ทางด้านชลจรที่ออกจากบ้านซึ่งเป็นร้านในตัว กำลังเล่นเผื่อจิตใจจะหายว้าวุ่นได้ ในสมองคิดแต่เรื่องที่ชลจากล่าวและเหตุการณ์ช่วงวันสอบที่ศรีมาให้กำลังใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนศีรษะ อยากจะควักหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุดขว้างทิ้งเพราะรำคาญ และอายตนเองในที

               “เฮ้อ! เมื่อไหร่มันจะหยุดเต้นนะ หนวกหูชะมัด”

               ตอนนี้ชลจรอยากจะหาน้ำสักอย่างมาดื่ม เผื่อจะหายคิดมากได้ และหัวใจที่เต้นแรงอยู่นี้อาจจะหยุดลง ในขณะนั้นเอง เขาก็เหลือบเห็นว่าศรีซื้อน้ำข้าวกล่องจากร้านขายอาหาร ใบหน้าที่เยาว์วัยแต่งดงาม ทำให้เขาเผลอจ้องไปพักหนึ่ง เมื่อได้สติขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกว่าหัวใจยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม …หลังจากปิดภาคเรียนไปเขาก็ไม่ได้พบกับศรีอีก ต้องรอให้เธอออกจากบ้านก่อนนั่นแหละถึงจะพบได้ เพราะทั้งเจ้าตัวและพี่สาวต่างเคร่งครัดเรื่องที่ผู้ชายไม่สมควรเข้าบ้านฝ่ายหญิง

               จะทำอย่างไรดี อยากจะเข้าไปหาเพราะความคิดถึงก็ไม่ได้ กลัวว่าใจจะเต้นแรงจนออกจากอก แต่คิดอีกครั้งก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสที่จะเจอศรีอีก ด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้เขาก้าวไปหาอีกฝ่าย ซึ่งกำลังซื้อของอื่นๆ อยู่ พอไปถึงเท่านั้นแหละก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นจนเกินไปหรือเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาอายกับสภาพตนเองเหลือเกิน ระหว่างนั้นเองศรีก็เงยหน้าจะสินค้าพอดี จึงพบว่าชลจรมาอยู่ข้างๆ เธอจึงกล่าวสวัสดีพร้อมกับรอยยิ้ม แต่พอสังเกตว่าสีหน้าอีกฝ่ายไม่ดี สีหน้าของเธอเลยเปลี่ยนเป็นกังวลแทน

               “ชลจร… สวัสดีจ้ะ …เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?”

               “สวัสดี ฉันไม่เป็นอะไร ช่วงนี้อากาศคงร้อนเลยเหมือนจะเป็นลมน่ะ”

               “มานั่งก่อนไหม ดื่มน้ำเย็นๆ นี่น่าจะรู้สึกดีขึ้นนะ” ชลจรส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะตอบ                “ไม่เป็นไร ว่าแต่ช่วงนี้เธอไม่ไปเล่นสงกรานต์เหรอ?” เขากล่าวพลางเหลือบมองผู้คนบางกลุ่มที่เล่นกัน ศรีมองตามก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วตอบ

               “ไม่ล่ะจ้ะ เห็นแล้วปวดหัวยังไงไม่รู้ อยู่บ้านนั่งเล่นสบายๆ ดีกว่ากันมากเลย”

               “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

               ชลจรเอ่ยเบาๆ โดยไม่มองหน้าเธอ ระหว่างนั้นศรีก็ยื่นขวดน้ำกระเจี๊ยบมาแตะแก้มอีกฝ่าย เจ้าตัวสะดุ้งเพราะความเย็นจากน้ำในขวด แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายและสดชื่น ก่อนที่ดวงตาสีดำสองคู่จะสบกัน พอเธอยิ้มบางๆ เขาก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับความคิดคาดโทษตนเองที่ทำตามใจนึก

               ไม่น่าเลยจริงๆ

               .

               .

               .

               หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกจากร้านมาเดินเล่น และไปยังสวนสาธารณะร้างที่ไร้ผู้คน เหตุผลที่เลือกที่นี่ก็เพราะว่าจะได้ไม่มีใครผ่านไปผ่านมากวนใจ เงียบๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทั้งสองคุยบ้างอะไรบ้างแล้วแต่จะนึกได้ โดยเฉพาะชลจรที่เกร็งจนความคิดรวน แทบจะกรองเป็นคำพูดไม่ได้

               “ว่าแต่ชลจรจะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอจ๊ะ?” ชลจรดูดน้ำกระเจี๊ยบไปสองสามอึกก่อนจะตอบ “ยังไม่แน่ใจน่ะ คิดว่าจะเรียนต่อที่เราเรียนอยู่ ว่าแต่ศรีล่ะจะไปต่อไหนเหรอ?”

               “ก็…”

               ศรีลังเลว่าจะบอกความจริงดีไหม เพราะคิดว่าชลจรจะไม่เชื่อ แต่พอคิดอีกทีเธอก็คาดว่าเขาคงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเท่าที่รู้จักกันมาเขาก็เชื่อและดีต่อเธอมาตลอด …เมื่อตัดสินใจได้แล้วศรีก็เขยิบเข้าไปใกล้ๆ จนชลจรเกือบจะหงายหลังจากชิงช้าที่นั่งอยู่ ระหว่างนั้นศรีก็กระซิบข้างหูของเขาจนริมฝีปากเกือบจะแตะหู ใบหน้าของอีกฝ่ายแดงระเรื่อยิ่งกว่าตำลึงสุก

               “ถ้าฉันบอก นายจะเกลียดฉันไหม?” ชลจรได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ เขามองหน้าศรีก่อนจะถามกลับ “ทำไมฉันต้องเกลียดเธอด้วยล่ะ”

               “ยังไงนะ… เอาอย่างนี้ก่อนละกันนะ ถ้าฉันพูดไปนายต้องเชื่อนะ” ชลจรรู้สึกเกร็งเมื่อศรีมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาพยักหน้าก่อนจะตอบ

               “ได้ บอกมาเถอะ”

               “…โรงเรียนที่ฉันไปสมัครเรียนต่อ ไม่ได้อยู่ที่โลกนี้น่ะ”

ชลจรเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง รู้สึกเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างหยุดไป ทว่าพอนึกอะไรได้จึงหรี่ตาลงดังเดิม

               “ฉันเชื่อ ว่าแต่ชื่อโรงเรียนคืออะไรเหรอ?” ศรีเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ ทั้งๆ ที่ชลจรอาจจะไม่เชื่อ กระนั้นเธอก็ดีใจมากกว่าจะแคลงใจ จึงตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

               “โรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคมน่ะ”

 

               

               มิติผกาย

               บุปผาอาสัญข้ามมายังมิติผกาย และเข้ามาในมิติย่อยอีกที และเดินไปยังปราสาทแบบสมัยทวารวดีซึ่งไร้ผู้คน พอมาถึงตรงที่เป็นเสมือนห้องโถง ก็พบว่าพินทุมานั่งรอบนพื้นอยู่ก่อนแล้ว เธอเดินผ่านไปแล้วนั่งบนที่ประทับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าว

               “ทิวากาลสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่าน…” ยังไม่ทันที่พินทุจะกล่าวจบ บุปผาอาสัญก็ยกมือเป็นเชิงห้ามเสียก่อน

               “อย่าได้เรียกนามนั่นไป”

               “กราบขอประทานโทษเจ้าค่ะ” หากใครได้เห็นพินทุในตอนนี้จะต้องไม่เชื่อสายตาตนเองแน่ เพราะนางมักจะมีท่าทางที่เหมือนจะข่มผู้อื่นด้วยความลับลมคมในของตนเอง ทว่ากับบุปผาอาสัญนั้นนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นอบน้อมและเคารพเสียยิ่งกว่าอะไร

               “อย่าเป็นพิธีมากไปเลย อย่างไรเจ้าก็คอยช่วยเหลือข้าตลอด ถือเสียว่าเป็นสหายแล้วกัน” รอยยิ้มที่มักจะเหยียดแย้มตลอด มาในครานี้กลับดูบางลงจนน่าแปลกใจ พินทุพยักหน้าก่อนจะกล่าว

               “เจ้าค่ะ …ศรีเป็นอย่างไรบ้างฤๅเจ้าคะ?”

               “ดูๆ แล้วคงมิรู้อันใดเกี่ยวกับตนเอง ส่วนบุตรีของซาตานก็คงจะเป็นเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ถูกคำสาปบางอย่างจากราชินีหิมะ เลยยังมิเคยได้พูดพาทีกัน”

               “น่าเสียดาย แต่ก็ดีนะเจ้าคะ หากเรื่องไปเร็วคงหมดความหรรษา แต่ท่านน่าจะสร้างให้มีอะไรมากกว่านี้ คงจะสนุกมากขึ้นเลยเจ้าค่ะ” อาสัญมองพินทุ ก่อนจะวาดริมฝีปากที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

               “อย่างที่เจ้ารู้ดี …ต่อให้ข้ายิ่งใหญ่สักเพียงไร ก็มิอาจใหญ่ไปกว่ากรรมและโชคชะตาได้”

 

 

 

---------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีอีกครั้งนะคะ สองบทก่อนหน้าหนูได้ทำการสลับแล้ว แต่เลขบทยังคงเหมือนเดิม นิยายที่ลงเว็บนี้อาจจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เนื่องจากทำการแก้ไขไม่ได้ อย่างไรก็สามารถอ่านประกอบได้ที่เว็บเด็กดีค่ะ

http://my.dek-d.com/as21-/writer/view.php?id=1094626

ขอบคุณค่ะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา