ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
109) บทที่ ๑๐๘ : ความสมดุลที่ไม่ดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๘
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความสมดุลที่ไม่ดี
ห้องแห่งหนึ่งในเรือนไทยนั้นกว้างขวางนัก ตู้วางหนังสือเรียงกันแทบจะไกลสุดลูกหูลูกตา แสงลอดเพียงรำไรจากช่องว่างเหนือหน้าต่าง ส่องกระทบหญิงสาวผมเรียบยาวเกือบถึงกลางหลัง ผมสีไข่ที่ไม่ค่อยสยายนั้นดัดลอนเล็กๆ เพียงปลาย เกล้าเป็นมวยพันด้วยผ้าสีอ่อนและประดับด้วยปิ่นใบพาย ใส่สร้อยรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแกะสลักลายไทยละเอียด คล้องผ้าคลุมผืนไม่หนานัก ผ้าถุงที่มีจีบหน้านางนั้นก็ถักลายวิจิตรไม่แพ้กัน ผ้าชั้นในที่จับจีบเป็นเกลียวยาวโผล่พ้นระพื้นจนปกคลุม
มือเรียวแต่ไม่บางนั้นหยิบหนังสือจากชั้นแล้วเปิดอ่านทั้งยืน ระหว่างที่ไล่สายตาไปตามอักษรในแต่ละบรรทัดก็รู้สึกว่ามีใครมองอยู่ นางยิ้มบางๆ พลางปิดหนังสือก่อนจะหันไปมอง
“หิมะตกเช่นนี้ออกมาร่างกายจะมิดีนะจ๊ะ ถ้าช่วยมิได้จริงๆ สวมอะไรป้องกันหน่อยก็ดี” ใบหน้างานแบบผู้เยาว์เช่นสาวแรกรุ่นนั้นมักจะมีความง่วงแสดงเสมอ วนิดาปิดปากก่อนจะหาวแล้วตอบผู้เป็นแม่บุญธรรม
“อากาศเช่นนี้แหละที่ลูกชอบ ว่าแต่ท่านแม่มิทำอย่างอื่นฤๅเจ้าคะ?” วนิดาถามบ้าง เพราะทุกครั้งที่นางมาพบกับแม่ของตนเองก็มักจะเห็นว่าท่านชอบอ่านหนังสือเสมอ หรือในบางครั้งที่เขียนบ้าง แต่นอกเหนือจากนี้นางก็ไม่เคยเห็นว่าทำอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เหมือนกับลูกนั่นแหละ ที่ชอบนอนเป็นกิจวัตรน่ะจ้ะ” ผู้เป็นแม่เองก็เช่นกัน เพราะบ่อยครั้งที่นางไปพบกับวนิดาก็มักจะเห็นว่านอนไม่ก็เล่นกับแมวเสมอ แต่ยังดีที่ทำนอกเหนือจากนี้มากกว่านางนัก
“อย่างน้อยลูกก็ทำอะไรหลากหลายกว่าท่านแม่นะเจ้าคะ”
วนิดากล่าว ทุกคำที่เอ่ยมักจะอ้อแอ้และงัวเงียเสมอ นางทำท่าจะเซแลไม่แล ซึ่งก็เป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีสักคราที่จะล้มลงไปนอนกับพื้น ลักษณะเช่นนี้ที่คล้ายกับแมวขี้เซานั้นทำให้ผู้เป็นแม่เอ็นดูมิใช่น้อย นางขำเบาๆ ในลำคอก่อนจะเดินเข้าไปจูงมือให้นั่งบนเก้าอี้กับโต๊ะ โดยเบื้องหลังมีตู้วางหนังสืออยู่ซึ่งใหญ่และยาวมาก พอนึกถึงเรื่องนี้วนิดาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามออกไป
“ท่านแม่ ลูกอยากรู้จริงว่าหนังสือที่หอสมุดนี้ทำไมถึงมีมากล่ะเจ้าคะ?” ในขณะนั้นผู้เป็นแม่ก็ยกถาดที่มีถ้วยน้ำวางอยู่มาวางบนโต๊ะ นางแย้มริมฝีปากบางๆ ก่อนจะตอบพลางนั่งข้างๆ ลูกสาวตนเอง
“…หนังสือทุกเล่มนี้ก็มิมีเจ้าของและได้รับการบริจาคน่ะจ้ะ เก็บมาหลายศตวรรษเลยมีมากอย่างไรล่ะ” ที่นางกล่าวไม่เกินจริงเลย เพราะเก็บมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่มีการบันทึกลงใบลานและพัฒนาต่อๆ มาจนเป็นหนังสือ ยิ่งออกเดินทางไปยังประเทศอื่นและซื้อมาบ้างหรือเจอมาเลยเก็บที่หอสมุดนี้ด้วย
“เช่นนั้นฤๅเจ้าคะ…” เอ่ยก่อนจะยกถ้วยที่ใส่น้ำชามะลิซึ่งส่งกลิ่นหอมหวานกรุ่น ความร้อนที่ไม่มากจนเกินไปช่วยคลายหนาวได้ดีทีเดียว
“ว่าแต่ลูกมีกิจอันใดฤๅจ๊ะ ถึงมาเยือนที่หอสมุดนี้?”
“มาหาหนังสืออ่านน่ะเจ้าค่ะ ที่เรือนอ่านหมดทุกเล่มแล้วหลายรอบเลยเบื่อ …ว่าแต่ท่านแม่จะว่าไหมเจ้าคะหากลูกจะขอยืมหนังสือที่นี่กลับไป”
“มิว่าดอกจ้ะ อยากอ่านเล่มไหนก็ยืมไปได้เลย”
“เว้นเสียแต่เล่มนั้นกับหนังสือที่อยู่ในส่วนลึกของหอสมุดสินะเจ้าคะ”
วนิดาพินิจสมุดใบลานที่วางบนโต๊ะนี้ ซึ่งผู้เป็นแม่วางมือทับมันทั้งสองข้าง อักขระลายสือไทยที่ซีดจางแล้วทำให้นางปวดตาบอกไม่ถูก ใบลานที่ขึ้นสีเหลืองและขาดๆ บ่งบอกชัดเจนว่าผ่านการใช้งานและมีอายุมากเพียงใด
“ใช่จ้ะ… เพียงเล่มนี้และในส่วนที่ลึกของหอสมุดเท่านั้นที่แม่ให้ยืมมิได้” ผู้เป็นแม่ก้มมองพลางตอบไปด้วย ดวงตาหรี่ลงซึ่งฉายแววความรู้สึกที่บอกไม่ได้ วนิดาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถามต่อ
“เป็นความลับฤๅเจ้าคะ”
“ยิ่งกว่านั้นอีกจ้ะ”
“แย่จริง…”
วนิดากล่าวเบาๆ กับตนเองก่อนจะดื่มน้ำต่อ ระหว่างนั้นเองก็มีใครบางคนมาเยือนที่หอสมุดนี้ แม่ของนางวางถ้วยแล้วลุกขึ้นเดินไปหาและกล่าวทักทาย
“ลางสังหรณ์บอกว่าท่านจะมิได้คุยเรื่องงาน… ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านพินทุ” อีกฝ่ายยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ “ใช่แล้วล่ะธีระ …วนิดา ข้าขอคุยกับแม่ของเจ้าสักประเดี๋ยวนะ”
วนิดาพยักหน้าโดยที่ใจหวาดระแวงว่าพินทุจะทำการไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้เคืองแต่อย่างใด ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ พินทุกับแม่ของวนิดาเจ้าของนาม ธีระนิศา ปัณณพรญาดา (นิศาหรือธีระ) ไปสนทนากันอีกฝั่งของตู้หนังสือ ทว่าอีกฝั่งที่กล่าวนั้นหาไม่ได้เป็นเพียงตู้เดียววนิดาเลยฟังไม่ได้ จึงทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำเงียบๆ …หากไปยืนใกล้ๆ ก็เกรงว่าจะถูกจับได้เสียก่อน
.
.
.
“ช่วงนี้ท่านผู้สร้างโลกมาเยือนไหม?” พินทุถามโดยไม่มีการเกริ่นอะไรก่อน ทว่ากลับธีระรู้สึกเฉยๆ เลยไม่แสดงท่าทีตกใจออกมา “มิมาเลยเจ้าค่ะ แล้วท่านผู้สร้างฯ ไปเยือนหาท่านพินทุไหมเจ้าคะ?”
“มีบ้าง แต่ก็ปีละครั้ง” พินทุตอบ ดวงตาสีดำมองสมุดใบลานของธีระ พอนึกอะไรได้จึงถามต่อ “ว่าไปเจ้าแทบมิเคยให้มันอยู่ห่างตัวเลยนะ ปล่อยวางบ้างก็ได้”
“ท่านหละหลวมไปจริงๆ สมุดใบลานนี้เป็นความลับสำคัญต่อมิติผกายนะเจ้าคะ” สีหน้ายังคงเป็นเช่นเดิม ทว่าความรู้สึกเคร่งขรึมนั้นแผ่ออกมาจนสัมผัสได้ชัดเจน พินทุหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“อย่างไรเสียก็ต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเฉลยให้ทุกคนประจักษ์แจ้ง ตอนนี้หรือภายหน้าก็มิต่างดอก …เอาเถิด รอให้เรื่องคลี่คลายแล้วเฉลยก็ดีเหมือนกัน อีกอย่าง เจ้าคิดเหมือนข้าฤๅไม่ที่ท่าผู้สร้างสร้างโลกนี้ได้แย่มาก”
“หมายถึงมิติผกายใช่ไหมเจ้าคะ” ธีระเริ่มเปิดหนังสืออ่านไปพลางสนทนา พินทุไม่ใส่ใจที่อีกฝ่ายเสียมารยาทนัก นางตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ใช่”
“ข้าเองก็มิอยากคิดในแง่ร้ายดอก แต่มิตินี้น่าเบื่อตามที่ท่านกล่าวจริงๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ”
“แทนที่จะสร้างให้ดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายก็มิพ้นกลับไปวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนมิติเดิม …เฮ้อ สรรพสัตว์ กรรมและโชคชะตานี่เข้าใจยากเสียจริง” พินทุแสดงสีหน้าอย่างเบื่อหน่าย ทว่าไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด ธีระเงยหน้าจากหนังสือก่อนจะกล่าว
“เหมือนที่ท่านพินทุเคยกล่าวนั่นแหละเจ้าค่ะ นิยายที่มีโครงเรื่องแนวเดียวกันถึงจะซ้ำซาก แต่ก็อ่านได้เพลินๆ ในกรณีนี้ก็คงเช่นกันค่ะ”
พินทุเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจพลางยิ้มมุมปาก
“นั่นน่ะสามปีแล้วนะ ยังจำได้อีกฤ?” ธีระยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “เจ้าค่ะ”
“ดีเหมือนกันนี่ ยังอุตส่าห์จำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วย” น้ำเสียงของพินทุนั้นไม่ได้ฉายความชื่นชมแต่เป็นความชอบใจ
“มิได้ตั้งใจดอก สมองจดจำข้อมูลเองน่ะเจ้าค่ะ”
“หืม? เจ้าเป็นคนความจำดีฤ?” พินทุถามต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เจ้าค่ะ น่าแปลกนักทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว …มิใช่สิ หลายพันปีเลยที่ข้าจำเรื่องต่างๆ ได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยก็จำได้ดี มีบ้างที่ลืมแต่ก็มิถึงกับมากน่ะเจ้าค่ะ”
“แสดงว่าจำเหตุการณ์เรื่องที่หญิงสาวนางหนึ่งเกิดจากนางฟ้าและราชันแห่งยักษ์ได้สินะ” ธีระเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายถาม ความสงสารฉายผ่านแววตา ก่อนที่นางจะแสร้งยิ้มบางๆ เพื่อกลบเกลื่อน
“พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วยังมิพอใจท่านผู้สร้างอยู่เลยเจ้าค่ะ” แม้จะไม่ได้ตอบ แต่คำนั้นเป็นเชิงบอกว่ายังคงจำได้อยู่ …ครู่หนึ่งที่ดวงตาของพินทุฉายแววเศร้าสร้อยนั้น ตัวนางก็กล่าวโดยพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติ
“ข้าเองก็เหมือนกัน”
“บุคคลเช่นท่านน่ะฤๅมิพอใจ? ทั้งๆ ที่น่าจะทำให้ท่านสนุก” พินทุเงียบไปพักหนึ่ง ทบทวนความคิดและความรู้สึกของตนเอง
…มีเพียงมิกี่เรื่องที่จะทำให้ข้ารู้สึกเช่นนั้น…
“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” คำกำกวมนั้นทำให้ธีระเงยหน้ามามองแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ บางครั้งผู้อื่นและพินทุไม่เข้าใจว่าธีระอ่านไปพลางสนทนาได้อย่างไร คนเราต่อให้ฝึกมาแยกประสาทการรับรู้ได้ แต่แบบธีระนี่ทำได้เสียจนไม่น่าเชื่อ
“ยังพูดจากำกวมเหมือนเดิมเลยนะเจ้าคะ”
“ก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ ชอบกล่าวเป็นปริศนา” ธีระเป็นเช่นนั้นจริง กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจหรือเคืองแต่อย่างใด นางเงียบไปจนอีกฝ่ายชักเริ่มจะเริ่มเบื่อขึ้นมา พินทุคิดเรื่องที่จะสนทนาแล้วกล่าวต่อ
“ว่าแต่เจ้าคิดว่าศรีจะได้ชะตาต่อไปอย่างไร?”
“ตกนรกเจ้าค่ะ”
“ตอบมิคิดเลยนะ แต่ข้าก็คาดไว้เช่นนั้นเหมือนกัน …บุตรสาวของคู่ชีวิตต้องห้าม มาเกิดในชาตินี้แล้วหวังว่าจะมิกระทำการเขลาล่ะ”
“…กระทำการเขลา… นั่นสินะเจ้าคะ ต่อให้ผ่านไปกี่ปีกี่ภพก็ยังคงเหมือนเดิม บางครั้งข้าก็มิอยากให้เบื้องบนและเบื้องล่างลบความทรงจำของสรรพสัตว์เลย” พินทุยิ้มมุมปากด้วยความขบขันก่อนจะกล่าว
“น่าเบื่อแย่เลยนะ ถ้าจำได้ก็จะมิกระทำการเขลาอีก …โลกสมดุลเพราะมีความผิดกับความถูกต้องนะ เหมือนแสงอย่างไรล่ะ มีแสงสว่างย่อมมีเงามืด สองสิ่งนี้อยู่คู่กันมาช้านานแล้วนะ” ธีระเงียบไปพลางทบทวนความคิด ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยอมรับและเข้าใจ
“ท่านพินทุกล่าวถูกแล้ว เช่นเดียวกับภพที่มีนรกกับสวรรค์สินะเจ้าคะ …นรกเปรียบเสมือนสีดำ สวรรค์เปรียบดั่งสีขาว ส่วนภพโลกนั้นดุจเป็นสีเทา”
“กระนั้นผู้คนก็ยังคงชอบสีขาว ในขณะที่สีดำยังคงอยู่ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็มิสมดุล …อา เรื่องนี้อธิบายยากจริงๆ” พินทุเงยหน้ามองเพดาน หากเป็นท้องฟ้าความคิดของนางคงล่องลอยไปไกลแล้วล่ะ
“จะว่าไปเริ่มคุยนอกเรื่องอีกแล้ว เจ้าคิดว่าท่านผู้สร้างจะปลดปล่อยให้ศรีออกจากการควบคุมของโชคชะตาไหม?” พินทุกล่าวต่อ อีกฝ่ายเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาหรี่ลงอย่างพินิจก่อนจะตอบเบาๆ
“ถามท่านผู้สร้างเองมิดีกว่าฤๅเจ้าคะ?”
ณ ตอนนี้ศรีกับพงสณะกำลังนั่งพายเรือชมดอกบัวโดยมีอสุรานั่งท้ายหลัง …จะว่าไปศรีก็ไม่ค่อยพายเรือนสักเท่าไหร่ ตามจริงเธอไม่ได้เป็นเช่นนี้แต่เพราะได้เห็นสิ่งที่ตนเองชอบก็เลยลืมหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ นี้ไป ทว่าอีกสองคนก็ไม่โกรธแต่อย่างใด กลับกันนั่นเป็นโอกาสที่จะได้ใช้แววตาปะทะกันจนเหมือนมีพลังงานไฟฟ้าผ่านไปมา เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต่างคนต่างไม่พอใจที่ศัตรูหัวใจมาอยู่ด้วย กระนั้นศรีก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ระหว่างนั้นพงสณะก็ขยับเข้าใกล้ๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังกลัวอสุราอยู่
“เป็นพี่ก็ทำหน้าที่ของคนเป็นพี่ซะ อย่างไรเสียศรีก็ต้องแต่งงานกับผม”
“ชะ! อ้ายเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ดูเสียก่อนเถอะว่าศรีจะยอมไหม …ในฐานะที่ฉันเป็นพี่และคอยดูแลศรีมาตลอด ก็ย่อมรู้ว่าภายหน้าหากต้องแต่งงานกับแกจริงๆ จะเป็นอย่างไร อย่ามั่นใจให้มากนักเลยน่า!” วาจานั้นเต็มไปด้วยความแดกดัน แม้ตอนนี้จะทะเลาะกันอยู่ศรีก็ยังคงไม่รู้ตัวอีกเช่นเคย อาจเพราะทั้งสองกระซิบกันกระมังเลยไม่ได้ยิน
“ฮึ่ม! ถ้าศรีได้รู้เหตุผลที่ต้องแต่งงานจริงๆ ผมเชื่อว่าเธอจะต้องยอมแน่” อสุราเงียบไปครู่หนึ่ง แปลกใจเมื่อได้ยินว่าเหตุผลที่ต้องแต่งงานกันจริงๆ “…นี่แกจะบอกว่าที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายให้แต่งกัน ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเพื่อนกันเหรอ?”
“ใช่… เหตุผลที่ผมกับศรีต้องแต่งงานก็เพราะว่า… ผมมีพลังที่จะผนึกและทำลายล้างพลังของเธอ แล้วการแต่งงานจะเป็นพิธีเชื่อมวิญญาณไปในตัวด้วย หากรู้เรื่องนี้ศรีจะต้องยอมแต่งงานแน่ พี่อสุราน่าจะรู้นี่ว่าหากเป็นเรื่องของคนที่ตนเองรัก ก็ไม่อยากทำให้เดือดร้อน”
ที่พงสณะกล่าวหมายถึง ศรีคงไม่อยากให้ผู้อื่นและคนที่ตนเองรักเดือดร้อนเพราะพลังตนเอง ฉะนั้นแล้วการแต่งงานที่เป็นเสมือนพิธีเชื่อมวิญญาณจะเป็นการผนึกและทำลายล้าง ด้วยเหตุนั้นหากไม่อยากให้เดือดร้อนเธอจะต้องยอมเพื่อปกป้องทุกคนแน่ พอคิดมาถึงตรงนี้อสุราก็นิ่งเงียบ ดูเหมือนศรีจะรู้สึกว่าว่าบรรยากาศเปลี่ยนแปลง จึงหันไปมองด้วยความฉงน พอเห็นว่าผู้เป็นพี่มีสีหน้าไม่ดีจึงกังวลขึ้นมา
“พี่อสุรา… เป็นอะไรเหรอคะ?”
ระหว่างที่ถามนั้นพงสณะก็เบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น …ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดต่ออสุรา แต่เขารู้สึกไม่ดีต่อศรี ลึกๆ แล้วดีใจที่อสุรามีท่าทีเช่นนั้น เพราะหมายความว่าเธอจะต้องพยายามตัดใจจากศรีแน่
“เปล่าจ้ะ ปะ เราพายเรือกันต่อเถอะนะ” ศรีอ้าปากจะซักถามต่อ แต่พอคิดว่าในเมื่อพี่สาวตนเองกลับมามีสีหน้าร่าเริงแล้วก็ไม่ควรถามให้มากความ เพราะจะทำให้เจ้าตัวอึดอัดและคิดมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนั้นเธอจึงหุบปากแล้วยิ้มรับก่อนจะพายเรือต่อ
ช่วงนี้รู้สึกว่าพี่อสุราดูมีเรื่องไม่สบายใจจัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ