ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.35K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
101) บทที่ ๑๐๐ : อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๕
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๐
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๕
ในจังหวัดพิจิตรนั้นมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ประชากรหลายคนหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลายคนหวาดกลัวว่าตนเองและคนสำคัญจะหายไปด้วย ทางการ นายิกาและรองนายิกาจังหวัดอื่นต่างก็มาช่วยกันตรวจสอบ หาศพและร่องรอยการทำร้าย ทว่าไม่พบอะไรเลยจนน่าแปลกใจ
ในปีนั้นพาฬยังไม่ได้เป็นนายิกา นางร้องไห้กับการเสียชีวิตของแม่ที่เป็นนายิกาประจำจังหวัดพิจิตรซึ่งตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นยังหันมายิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากเรือนซอมซ่อไปพร้อมหอกที่สลักลวดลายไทยวิจิตร ใบหอกนั้นมียันต์สลักอยู่ เวลาที่ไปนั้นเป็นตอนกลางคืน นางคิดจะตามไปด้วยแต่ถูกแม่ของตนเองสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด เห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าขัดเลยปล่อยให้แม่ของตนเองออกไปเพียงลำพัง …ทว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ยังคงไม่กลับมา พาฬจึงตัดสินใจออกไปตามแม่ของตนเอง ถึงแม้จะเป็นยามวิกาลและแม่ของตนเองคงกำลังต่อสู้อยู่ แต่ใจคนเป็นลูกก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งนึกถึงใบหน้างดงามมีรอยยิ้มละมุนแย้มก็ยิ่งคิดถึง ผ่าความมืดไปโดยไม่หวาดหวั่น ในใจภาวนาให้แม่ปลอดภัย
…ทว่าสิ่งที่เห็นเมื่อมาถึงนั้นคือร่างหญิงสาวในปากของจระเข้ตัวใหญ่เกินปรกติ คมเขี้ยวของมันทิ่มผิวขาวผุดผ่องจนเลือดออกโชก จระเข้ตัวอื่นๆ จ้องมาที่พาฬราวกับจะกลืนกินเสียให้ได้ …แม้จะกลัวแต่ความเศร้าและความแค้นก็กลบหมดจนไม่รู้สึกถึงแววตากระหายโลหิตน่าหวาดกลัวนั่น มือที่สั่นเทานั้นกำหอกไว้แน่นจนเส้นเลือดแทบนูนขึ้น
ในขณะที่นางพุ่งตัวเข้าไปรวมทั้งจระเข้ที่คลานมาอย่างรวดเร็วจนน่าใจหายนั้น ภุมภิลก็เข้ามาขวางระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยไม่อาจทราบได้ว่ามาจากทางไหน นางมีสีหน้าดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเลือดน่ากลัวยิ่งกว่าพวกจระเข้นั้นจ้องไปทางพวกมัน จนบางตัวเริ่มถอยออกไปเพราะทนกับดวงตาและแววตาที่เยือกเย็นไม่ไหว พาฬจ้องแผ่นหลังด้วยความตกตะลึง แปลกใจและฉงน …ทำไมสหายที่ตนเองรักนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ก่อนจะเล่าฉากต่อไป คงจะต้องย้อนกลับไปในวันที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกเสียก่อน…
.
.
.
…วันที่นภาแจ่มใส สุริยันถักทอแสงลงมาโอบล้อมสว่างไสว ความอบอุ่นนั้นทำให้รู้สึกดีเพราะไม่ร้อนจนเกินไป แสงนั้นสะท้อนในน้ำเป็นประกายวิบวับ พาฬพายเรือชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่พายไปเรื่อยๆ นั้นก็พบกับกุมภิลที่กำลังนั่งอยู่บนท่าน้ำ ใบหน้างามหยาดเยิ้มบวกกับริมฝีปากสีชาดเป็นธรรมชาติทำให้ใจของพาฬเต้นแรงขึ้นมา อีกฝ่ายนั่งมองท้องฟ้าพลางห้อยขาลงไปแช่กับน้ำในคลองโดยไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนมองอยู่
ขณะนั้นเองก็มีจระเข้ตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาคาบร่างของพาฬลงไป เสียงอุทานและเสียงน้ำนั้นทำให้กุมภิลละสายตาจากท้องฟ้ามามองเหตุการณ์ที่ไม่ไกลจากตนนัก เมื่อพบว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็รีบลงไปในน้ำก่อนจะว่ายเข้าไปหาพาฬและจระเข้ ในใจเห็นว่าเหยื่อถูกพาไปเลยไม่พอใจ พาฬพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อรอดจากคมเขี้ยวของจระเข้ ในขณะที่จระเข้กำลังว่ายลงไปลึกมากกว่านั้นกุมภิลก็เข้ามาหาเสียก่อน นางส่งกระแสจิตบอกจระเข้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่านางให้หยุดการกระทำนี้ มันมองนางอย่างเคารพและหวาดเกรง อีกใจก็อยากทานพาฬเพื่อให้หายหิว กุมภิลทราบว่ามันเป็นอันใดเลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะนำเนื้อไปให้ เมื่อได้ทราบดังนั้นมันก็ปล่อยพาฬก่อนจะว่ายไปที่อื่น พาฬที่สติใกล้ดับหายและอ่อนล้าจากการขัดขืนกับจระเข้ก็แทบจะไม่มีแรงบังคับร่างให้ว่ายขึ้นไป หูอื้อตาพร่ามัวจนแทบจะไม่รับรู้อะไร กุมภิลเห็นดังนั้นเลยเข้าไปพยุงร่างของพาฬก่อนจะว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ
เมื่อโผล่พ้นน้ำมาแล้วนางก็พาตนเองและพาฬขึ้นไปอยู่บนท่าน้ำ ก่อนจะผายปอดอีกฝ่ายโดยไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ใจเต้นตึกตัก น่าน่าแปลกใจนักยามเมื่อริมฝีปากประทับกับของอีกฝ่าย ดูเหมือนฟ้าจะเมตตาหรือเพราะนางทำได้ก็ไม่อาจทราบได้ พาฬสำลักเอาน้ำออกก่อนจะค่อยๆ ลืมตาที่พร่ามัวขึ้น แสงอาทิตย์นั้นส่องลงมาจนทำให้มองอะไรแทบไม่เห็นรวมทั้งกุมภิลที่มองลงมาด้วย …น่าแปลกนักที่นางรู้สึกหวั่นไหว ความคิดที่จะทานอีกฝ่ายนั้นหายไปหมด ตามจริงนางปล่อยให้พาฬตายไปก็ได้แต่กลับทำไม่ลง จะว่าไปนางก็ไม่เคยสังหารมนุษย์คนไหนด้วยตนเอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่นางช่วยไว้ก็ได้ ถ้านึกตามไม่ออกก็ให้นึกถึงตอนที่ตนเองต้องฆ่าสัตว์ตัวไหนสักตัวเพื่อมาทาน แต่กลับทำไม่ลงทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ก็ทานอย่างไม่รู้สึกรู้สา ความรู้สึกของกุมภิลเป็นเช่นนั้นแหละ
อึก… พอมาเจอทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตเห็นแล้วกินมิลง
กุมภิลกล่าวในขณะที่พาฬนั่งพักหายใจหลังจากที่ขาดอากาศมาสักพัก ทั้งสองเงียบไปไม่นานนักก่อนที่พาฬจะกล่าว “ขอบพระคุณจริงๆ ข้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว หากมีเรื่องเดือดร้อนก็มาขอความช่วยเหลือจากข้าได้ทุกเมื่อ”
“ม่ะ มิเป็นไรดอก ข้าเพียงทนมิได้หากต้องมองใครสักคนตายไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆ ที่มิได้ช่วยก็เท่านั้นเอง” วาจานั้นกึ่งจริงและเท็จ พาฬไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางแย้มริมฝีปากที่ไม่ค่อยมีใครเห็น สร้างความหวั่นไหวให้กุมภิลจนทำให้ทานอีกฝ่ายไม่ลง
“ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ …ข้าชื่อพาฬ จะเป็นอันใดไหมถ้าท่านจะบอกชื่อตนเอง?”
“ข้า… ชื่อกุ…” กุมภิลเกือบเผยนามตนเอง ดีที่รู้ตัวทันเลยบอกนามเท็จไป “ข้าชื่อกุสุมา”
“ข้าจะจำไว้” พาฬยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “อ๊ะ ลืมไปเลย ข้าไปจับปลามาจะนำไปกินที่บ้าน ก่อนกลับไปบ้านของท่านอยู่ที่ไหนฤๅข้าจะได้ไปส่ง” พาฬลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้กุมภิลก่อนที่เจ้าตัวจะวางมือลงแล้วพยุงขึ้นมา กุมภิลเงียบ ไม่ตอบอีกฝ่ายเพราะกำลังคิดคำตอบเท็จอยู่ ถ้ากล่าวไปก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะมีชีวิตต่อไปหรือไม่
“ข้ากลับเองได้ บ้านอยู่แถวๆ นี้เอง เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดีด้วยล่ะ บัดเดี๋ยวจะโดนแบบเมื่อครู่อีก”
พาฬยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงความประมาทของตนเอง นางกล่าวลาแล้วหันหลังไปทางฝั่งคลองด้วยความเคยชิน ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าเรือ อุปกรณ์การตกปลารวมทั้งปลานั้นได้หายไปในคลองแล้ว สองอย่างหลังหายไปยังพอว่า แต่เรือนี่สิ จากตรงนี้ไปยังเรือนของนางก็ไกลใช่เล่น พอคิดได้ดังนั้นใจก็โหวงเหวง ท้อแท้ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่านางยังคงใจสู้ ด้วยความที่คิดว่าอดทนหน่อยจะเป็นไรไป ดีกว่าไม่ได้กลับอีก ดูเหมือนกุมภิลจะคาดออกว่าพาฬเป็นอันใดไปเลยยิ้มบางๆ อย่างปลอบ
“ท่าน… ดูแล้วคงมิได้ออกประมงสินะ” พาฬกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก พอได้ยินคำว่าออกประมงกุมภิลก็ใจหายวาบ ด้วยความคิดที่ว่าหากอีกฝ่ายขอร้องให้พาไปที่เรือนเผื่อว่าจะมีเรือ ความคงได้แตกพอดี นึกโทษตนเองในใจที่บอกไปว่าเรือนอยู่แถวๆ นี้ ขุดหลุมฝังศพตนเองชัดๆ
“เอ่อ คือ…” ในขณะที่จะตอบเท็จไปนั้นพาฬก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ท่านจะกลับเลยไหม ข้าจะไปส่ง …ถึงเรือจะมิมีแล้วก็เถิด”
“กล่าวอย่างกับว่าเรือนข้าอยู่อีกฝั่งของคลองเลยนะ จะว่าไปให้ข้าไปส่งเจ้าจะดีกว่า ดูสีหน้าจากเมื่อครู่แล้วเรือนเจ้าคงจะอยู่ไกลสินะ” พาฬยิ้มแห้งๆ อีกครั้ง อายที่ตนเองแสดงสีหน้าเกินไปจนถูกเดาออก
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปตามริมลำคลอง เจอคนรู้จักบ้านพาฬก็ทักทายตามประสา กุมภิลเงียบเกือบตลอด ดวงตาลอกแลก วางตัวไม่ถูกด้วยความไม่คุ้นชิน ถึงนางจะสามารถมาอยู่บนบกได้แต่ก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยกับมนุษย์มากหน้าหลายตา เจอคนเดียวสองต่อสองยังพอว่า แต่เจอกับสายตานับหลายคู่มองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายก็ทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก ยิ่งสายตาแทะโลม หลงใหลจากชายหลายคนทำให้นางแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละจึงได้แต่คอยหลบหลังพาฬตลอด
“ที่นี่แหละ” พาฬกล่าวพลางยิ้ม ขัดกับในใจที่เริ่มโหวงเหวงเมื่อนึกได้ว่าแม่ของตนอาจจะโกรธที่ทำเรือ อุปกรณ์ตกปลาและปลาหาย ถึงแม้นแม่ของนางจะมีทรัพย์ค่อนข้างมากแต่ก็ไม่อยากสิ้นเปลือง
“ท่าทางจะอยู่ลำบากนะ” ถึงจะกล่าวเหมือนสงสารหรือดูถูก แต่น้ำเสียงของนางก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น พาฬไม่รู้สึกอะไร นางยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “มิขนาดนั้นดอก เพียงแต่ว่าแม่กับข้าคุ้นเคยชีวิตแบบนี้เลยมิสร้างเรือนดีๆ อยู่ เว้นเสียแต่มิได้จริงๆ ถึงจะซ่อมน่ะ” พาฬกับกุมภิลมองเรือนซอมซ่ออยู่พักหนึ่ง เป็นเรือนไทยที่ไม่ใหญ่นัก เล็กกว่าแบบปรกติ กุมภิลถอนหายใจด้วยความเสียดาย ฟังจากคำของพาฬแล้วครอบครัวของนางคงจะมีทรัพย์กว่าชาวบ้านทั่วไป ทำให้กุมภิลอดที่จะเสียดายไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นนางคงซ่อมนานแล้วล่ะ
ทั้งคู่เดินขึ้นเรือนไป ภายในสว่างเพราะแสงจากอาทิตย์ยามเช้า บางจุดที่ไม่ถึงเลยสลัวบ้าง พาฬบอกให้กุมภิลนั่งบนโต๊ะรอก่อนจะเข้าไปที่ครัวเพื่อต้มน้ำใบเตยให้ พอเข้าไปถึงก็พบว่าแม่ของนางนั่งอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายรู้สึกถึงการมาเยือนเลยหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้ก่อนจะกล่าว
“ไปนั่งพักก่อนก็ได้นะจ๊ะ ดูซิไปมิกี่ยามเหงื่อก็ท่วมแล้ว เพิ่งอาบน้ำมามินานเอง นั่งเรือมาทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะจ๊ะ?” พาฬนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ค่ะ… คือ… ข้าถูกจระเข้มันเล่นงานน่ะจ้ะ เรือล่มไป พวกหาปลารวมทั้งปลาก็หายไปในคลองแล้ว ข้าขอโทษจริงๆ จ้ะแม่” ผู้เป็นแม่หัวเราะในลำคอเบาๆ พลางหรี่ตามองด้วยความเอ็นดูก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สามอย่างนั้นหายไปก็หาใหม่ได้ แต่ลูกน่ะหามิได้แล้วนะ” พาฬได้ยินเช่นนั้นก็ตื้นตันด้วยความซาบซึ้ง หัวใจพองโตที่แม่ของตนเองเป็นห่วงโดยไม่นึกถึงสิ่งของ “ขอบคุณจริงๆ จ้ะ …จริงด้วยซี ข้าพาผู้มีพระคุณมาด้วย ท่านผู้นั้นช่วยชีวิตข้าไว้” แม่ของนางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง นางกล่าวอย่างยินดี
“ถ้าเช่นนั้นแม่จะทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด เป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณ พาฬ ลูกนำเงินนี้ไปซื้อเนื้อที่ดีที่สุดมา ครานี้ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ”
พาฬรับเงินมาก่อนจะออกจากเรือน มุ่งหน้าไปที่ตลาด กุมภิลมองตามอย่างฉงน ไม่เคืองอีกฝ่ายที่ยังไม่ได้นำน้ำมาให้ ในขณะนั้นเองแม่ของพาฬก็ออกมาเสียก่อน นางวางถ้วยเล็กๆ ใส่น้ำใบเตยบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้ายิ้มบางๆ ให้กุมภิลแล้วกล่าว
“ขอบพระคุณจริงๆ เจ้าค่ะ วันนี้เราจะตอบแทนเพียงอาหารมื้อใหญ่ ฤๅท่านต้องการทรัพย์สินข้าก็ยินดีที่จะให้นะเจ้าคะ”
“มิเป็นไรดอก เพียงอาหารที่เจ้าจะทำให้ก็พอแล้ว”
“หากต้องการสิ่งใด ฤๅมีเรื่องลำบากก็มาหาได้นะเจ้าคะ …ข้านำน้ำใบเตยมาให้ เผื่อจะสดชื่นขึ้นบ้าง เหยื่อไหลมิแพ้บุตรสาวขาเลยเจ้าค่ะ” แม่ของนางกล่าวอย่างขบขัน กุมภิลไม่ถือสา ริมฝีปากสีชาดอย่างเป็นธรรมชาติแย้มยิ้มไปด้วย นางยกถ้วยน้ำใบเตยขึ้นมาดื่ม ระหว่างนั้นก็นึกถึงพาฬที่ไปซื้อของในตลาดเลยถาม
“ว่าแต่พาฬไปไหนฤ? ไปมิบอกกล่าวเลย”
“คงรีบร้อนไปเลยมิได้บอก อย่าถือสาเลย ข้าบอกให้นางไปซื้อวัตถุดิบเพื่อจะทำอาหารตอบแทนท่านน่ะเจ้าค่ะ” แม่ของพาฬกล่าวพลางมองไปทางออกหน้าเรือน กุมภิลพยักหน้าเล็กน้อย นางนึกอะไรขึ้นได้จึงถามอีกครั้ง
“เจ้ามีนามว่าอันใด?”
“อนงค์เจ้าค่ะ แล้วท่านล่ะเจ้าคะ?”
“กุสุมา” อนงค์พยักหน้าก่อนจะกล่าว “บัดเดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ ดูท่าแล้วท่านกับพาฬคงจะเดินกันมาเหนื่อยๆ ทานอะไรสักหน่อยจะได้มีแรง” อนงค์ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในครัว กุมภิลมองตามอย่างพินิจ
คุ้นๆ หน้าอย่างไรมิรู้ซี ดูจากท่าทาง สีหน้าและแววตาแล้วมิน่าใช้พวกเจ้าเล่ห์ มิใช่คนหลอกลวง แต่อาจจะมีลับลมคมในก็เป็นไปได้
คิดไปพลางดื่มน้ำใบเตยไปด้วย …ดูท่าแล้วคงต้องสืบเรื่องที่เกี่ยวกับอนงค์เสียแล้วล่ะ
.
.
.
“มาแล้วจ้ะ” พาฬกล่าวอย่างร่าเริง เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับวัตถุดิบที่ห่อด้วยใบตอง ผ่านกุมภิลที่นั่งเหม่อโดยไม่ทันสังเกต เข้าไปในครัวก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นแม่ที่นั่งหุงข้าวต้มน้ำอยู่ก่อนแล้ว
“นานจัง”
“เลือกพิถีพิถันไปหน่อยน่ะจ้ะ ตอบแทนผู้มีพระคุณทั้งทีก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุด สมกับที่เขาช่วยชีวิตข้า”
อนงค์พยักหน้าพลางยิ้ม รับปลาจากพาฬมาล้างก่อนจะแล่เนื้อ ผู้เป็นลูกเองก็ช่วยบ้าง ไปหั่นผักและทำอะไรอีกหลายอย่างเช่นเดียวกับอนงค์ ดูท่ามื้อเช้านี้คงจะอิ่มแปล้ไปอีกนาน กุมภิลที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยก็นึกได้ว่าสองแม่ลูกกำลังทำอาหารเลยคิดจะเข้าไปช่วย เพราะความเบื่อของตนเองและรู้สึกเกรงใจ ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณแต่ก็ควรช่วยด้วย
“มีอันใดให้ข้าช่วยบ้างไหม?” พาฬกับอนงค์เงยหน้ามอง ผู้เป็นแม่ยิ้มก่อนจะกล่าว “ท่านควรจะเข้าไปนั่งเสียนะเจ้าคะ”
“ให้ข้าช่วยเถิด” กุมภิลยังคงคะยั้นคะยอ อนงค์ไม่เคืองที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น นางกล่าวก่อนจะชี้ไปทางพาฬ “ถ้าอย่างนั้นก็หั่นผัก แล่เนื้อ ส่วนทางนี้ข้าไหวเจ้าค่ะ” กุมภิลพยักหน้าก่อนจะนั่งใกล้ๆ กับพาฬ เจ้าตัวยิ้มก่อนจะตักน้ำที่ใส่ในถ้วยให้กุมภิลชิมแล้วถาม
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“รสโอชายิ่งนัก” พาฬกับอนงค์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีที่ท่านกล่าวเช่นนี้ อาหารที่เราทำมิได้เป็นอันใดพิเศษนัก คราแรกยังเกรงอยู่ว่าจะมิเป็นที่พอใจ” พาฬกล่าว กุมภิลส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ดีมาก เกิดมาข้ามิเคยทานอะไรเช่นนี้เลย” กุมภิลไม่ได้เสแสร้ง นางกล่าวจากใจจริง ตั้งแต่ที่กำเนิดมาก็ลิ้มรสทานแต่คาวเลือดและเนื้อสกปรกมาตลอด พอได้มาทานแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนกับทานของบริสุทธิ์ จนอดคิดไม่ได้ว่าตนนั้นทานเนื้อพวกนั้นไปได้อย่างไร นึกมาถึงตรงนี้ก็สะอิดสะเอียนขึ้นมา
หลังจากนั้นในครัวก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อพาฬกับกุมภิลทำอะไรผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อนงค์ขบขันพลางเตือนว่าให้ระวังด้วย
กุมภิลรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความสุขจริงๆ จากความกระหายโลหิตมนุษย์ก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่น ความคิดที่จะสังหารพาฬนั้นมลายหมดสิ้น …ในขณะนั้นอนงค์ก็เริ่มเอะใจในตัวของกุมภิลแล้ว…
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๕
ในจังหวัดพิจิตรนั้นมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ประชากรหลายคนหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลายคนหวาดกลัวว่าตนเองและคนสำคัญจะหายไปด้วย ทางการ นายิกาและรองนายิกาจังหวัดอื่นต่างก็มาช่วยกันตรวจสอบ หาศพและร่องรอยการทำร้าย ทว่าไม่พบอะไรเลยจนน่าแปลกใจ
ในปีนั้นพาฬยังไม่ได้เป็นนายิกา นางร้องไห้กับการเสียชีวิตของแม่ที่เป็นนายิกาประจำจังหวัดพิจิตรซึ่งตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นยังหันมายิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากเรือนซอมซ่อไปพร้อมหอกที่สลักลวดลายไทยวิจิตร ใบหอกนั้นมียันต์สลักอยู่ เวลาที่ไปนั้นเป็นตอนกลางคืน นางคิดจะตามไปด้วยแต่ถูกแม่ของตนเองสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด เห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าขัดเลยปล่อยให้แม่ของตนเองออกไปเพียงลำพัง …ทว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ยังคงไม่กลับมา พาฬจึงตัดสินใจออกไปตามแม่ของตนเอง ถึงแม้จะเป็นยามวิกาลและแม่ของตนเองคงกำลังต่อสู้อยู่ แต่ใจคนเป็นลูกก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งนึกถึงใบหน้างดงามมีรอยยิ้มละมุนแย้มก็ยิ่งคิดถึง ผ่าความมืดไปโดยไม่หวาดหวั่น ในใจภาวนาให้แม่ปลอดภัย
…ทว่าสิ่งที่เห็นเมื่อมาถึงนั้นคือร่างหญิงสาวในปากของจระเข้ตัวใหญ่เกินปรกติ คมเขี้ยวของมันทิ่มผิวขาวผุดผ่องจนเลือดออกโชก จระเข้ตัวอื่นๆ จ้องมาที่พาฬราวกับจะกลืนกินเสียให้ได้ …แม้จะกลัวแต่ความเศร้าและความแค้นก็กลบหมดจนไม่รู้สึกถึงแววตากระหายโลหิตน่าหวาดกลัวนั่น มือที่สั่นเทานั้นกำหอกไว้แน่นจนเส้นเลือดแทบนูนขึ้น
ในขณะที่นางพุ่งตัวเข้าไปรวมทั้งจระเข้ที่คลานมาอย่างรวดเร็วจนน่าใจหายนั้น ภุมภิลก็เข้ามาขวางระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยไม่อาจทราบได้ว่ามาจากทางไหน นางมีสีหน้าดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเลือดน่ากลัวยิ่งกว่าพวกจระเข้นั้นจ้องไปทางพวกมัน จนบางตัวเริ่มถอยออกไปเพราะทนกับดวงตาและแววตาที่เยือกเย็นไม่ไหว พาฬจ้องแผ่นหลังด้วยความตกตะลึง แปลกใจและฉงน …ทำไมสหายที่ตนเองรักนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ก่อนจะเล่าฉากต่อไป คงจะต้องย้อนกลับไปในวันที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกเสียก่อน…
.
.
.
…วันที่นภาแจ่มใส สุริยันถักทอแสงลงมาโอบล้อมสว่างไสว ความอบอุ่นนั้นทำให้รู้สึกดีเพราะไม่ร้อนจนเกินไป แสงนั้นสะท้อนในน้ำเป็นประกายวิบวับ พาฬพายเรือชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่พายไปเรื่อยๆ นั้นก็พบกับกุมภิลที่กำลังนั่งอยู่บนท่าน้ำ ใบหน้างามหยาดเยิ้มบวกกับริมฝีปากสีชาดเป็นธรรมชาติทำให้ใจของพาฬเต้นแรงขึ้นมา อีกฝ่ายนั่งมองท้องฟ้าพลางห้อยขาลงไปแช่กับน้ำในคลองโดยไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนมองอยู่
ขณะนั้นเองก็มีจระเข้ตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาคาบร่างของพาฬลงไป เสียงอุทานและเสียงน้ำนั้นทำให้กุมภิลละสายตาจากท้องฟ้ามามองเหตุการณ์ที่ไม่ไกลจากตนนัก เมื่อพบว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็รีบลงไปในน้ำก่อนจะว่ายเข้าไปหาพาฬและจระเข้ ในใจเห็นว่าเหยื่อถูกพาไปเลยไม่พอใจ พาฬพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อรอดจากคมเขี้ยวของจระเข้ ในขณะที่จระเข้กำลังว่ายลงไปลึกมากกว่านั้นกุมภิลก็เข้ามาหาเสียก่อน นางส่งกระแสจิตบอกจระเข้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่านางให้หยุดการกระทำนี้ มันมองนางอย่างเคารพและหวาดเกรง อีกใจก็อยากทานพาฬเพื่อให้หายหิว กุมภิลทราบว่ามันเป็นอันใดเลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะนำเนื้อไปให้ เมื่อได้ทราบดังนั้นมันก็ปล่อยพาฬก่อนจะว่ายไปที่อื่น พาฬที่สติใกล้ดับหายและอ่อนล้าจากการขัดขืนกับจระเข้ก็แทบจะไม่มีแรงบังคับร่างให้ว่ายขึ้นไป หูอื้อตาพร่ามัวจนแทบจะไม่รับรู้อะไร กุมภิลเห็นดังนั้นเลยเข้าไปพยุงร่างของพาฬก่อนจะว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ
เมื่อโผล่พ้นน้ำมาแล้วนางก็พาตนเองและพาฬขึ้นไปอยู่บนท่าน้ำ ก่อนจะผายปอดอีกฝ่ายโดยไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ใจเต้นตึกตัก น่าน่าแปลกใจนักยามเมื่อริมฝีปากประทับกับของอีกฝ่าย ดูเหมือนฟ้าจะเมตตาหรือเพราะนางทำได้ก็ไม่อาจทราบได้ พาฬสำลักเอาน้ำออกก่อนจะค่อยๆ ลืมตาที่พร่ามัวขึ้น แสงอาทิตย์นั้นส่องลงมาจนทำให้มองอะไรแทบไม่เห็นรวมทั้งกุมภิลที่มองลงมาด้วย …น่าแปลกนักที่นางรู้สึกหวั่นไหว ความคิดที่จะทานอีกฝ่ายนั้นหายไปหมด ตามจริงนางปล่อยให้พาฬตายไปก็ได้แต่กลับทำไม่ลง จะว่าไปนางก็ไม่เคยสังหารมนุษย์คนไหนด้วยตนเอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่นางช่วยไว้ก็ได้ ถ้านึกตามไม่ออกก็ให้นึกถึงตอนที่ตนเองต้องฆ่าสัตว์ตัวไหนสักตัวเพื่อมาทาน แต่กลับทำไม่ลงทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ก็ทานอย่างไม่รู้สึกรู้สา ความรู้สึกของกุมภิลเป็นเช่นนั้นแหละ
อึก… พอมาเจอทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตเห็นแล้วกินมิลง
กุมภิลกล่าวในขณะที่พาฬนั่งพักหายใจหลังจากที่ขาดอากาศมาสักพัก ทั้งสองเงียบไปไม่นานนักก่อนที่พาฬจะกล่าว “ขอบพระคุณจริงๆ ข้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว หากมีเรื่องเดือดร้อนก็มาขอความช่วยเหลือจากข้าได้ทุกเมื่อ”
“ม่ะ มิเป็นไรดอก ข้าเพียงทนมิได้หากต้องมองใครสักคนตายไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆ ที่มิได้ช่วยก็เท่านั้นเอง” วาจานั้นกึ่งจริงและเท็จ พาฬไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางแย้มริมฝีปากที่ไม่ค่อยมีใครเห็น สร้างความหวั่นไหวให้กุมภิลจนทำให้ทานอีกฝ่ายไม่ลง
“ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ …ข้าชื่อพาฬ จะเป็นอันใดไหมถ้าท่านจะบอกชื่อตนเอง?”
“ข้า… ชื่อกุ…” กุมภิลเกือบเผยนามตนเอง ดีที่รู้ตัวทันเลยบอกนามเท็จไป “ข้าชื่อกุสุมา”
“ข้าจะจำไว้” พาฬยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “อ๊ะ ลืมไปเลย ข้าไปจับปลามาจะนำไปกินที่บ้าน ก่อนกลับไปบ้านของท่านอยู่ที่ไหนฤๅข้าจะได้ไปส่ง” พาฬลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้กุมภิลก่อนที่เจ้าตัวจะวางมือลงแล้วพยุงขึ้นมา กุมภิลเงียบ ไม่ตอบอีกฝ่ายเพราะกำลังคิดคำตอบเท็จอยู่ ถ้ากล่าวไปก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะมีชีวิตต่อไปหรือไม่
“ข้ากลับเองได้ บ้านอยู่แถวๆ นี้เอง เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดีด้วยล่ะ บัดเดี๋ยวจะโดนแบบเมื่อครู่อีก”
พาฬยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงความประมาทของตนเอง นางกล่าวลาแล้วหันหลังไปทางฝั่งคลองด้วยความเคยชิน ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าเรือ อุปกรณ์การตกปลารวมทั้งปลานั้นได้หายไปในคลองแล้ว สองอย่างหลังหายไปยังพอว่า แต่เรือนี่สิ จากตรงนี้ไปยังเรือนของนางก็ไกลใช่เล่น พอคิดได้ดังนั้นใจก็โหวงเหวง ท้อแท้ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่านางยังคงใจสู้ ด้วยความที่คิดว่าอดทนหน่อยจะเป็นไรไป ดีกว่าไม่ได้กลับอีก ดูเหมือนกุมภิลจะคาดออกว่าพาฬเป็นอันใดไปเลยยิ้มบางๆ อย่างปลอบ
“ท่าน… ดูแล้วคงมิได้ออกประมงสินะ” พาฬกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก พอได้ยินคำว่าออกประมงกุมภิลก็ใจหายวาบ ด้วยความคิดที่ว่าหากอีกฝ่ายขอร้องให้พาไปที่เรือนเผื่อว่าจะมีเรือ ความคงได้แตกพอดี นึกโทษตนเองในใจที่บอกไปว่าเรือนอยู่แถวๆ นี้ ขุดหลุมฝังศพตนเองชัดๆ
“เอ่อ คือ…” ในขณะที่จะตอบเท็จไปนั้นพาฬก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ท่านจะกลับเลยไหม ข้าจะไปส่ง …ถึงเรือจะมิมีแล้วก็เถิด”
“กล่าวอย่างกับว่าเรือนข้าอยู่อีกฝั่งของคลองเลยนะ จะว่าไปให้ข้าไปส่งเจ้าจะดีกว่า ดูสีหน้าจากเมื่อครู่แล้วเรือนเจ้าคงจะอยู่ไกลสินะ” พาฬยิ้มแห้งๆ อีกครั้ง อายที่ตนเองแสดงสีหน้าเกินไปจนถูกเดาออก
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปตามริมลำคลอง เจอคนรู้จักบ้านพาฬก็ทักทายตามประสา กุมภิลเงียบเกือบตลอด ดวงตาลอกแลก วางตัวไม่ถูกด้วยความไม่คุ้นชิน ถึงนางจะสามารถมาอยู่บนบกได้แต่ก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยกับมนุษย์มากหน้าหลายตา เจอคนเดียวสองต่อสองยังพอว่า แต่เจอกับสายตานับหลายคู่มองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายก็ทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก ยิ่งสายตาแทะโลม หลงใหลจากชายหลายคนทำให้นางแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละจึงได้แต่คอยหลบหลังพาฬตลอด
“ที่นี่แหละ” พาฬกล่าวพลางยิ้ม ขัดกับในใจที่เริ่มโหวงเหวงเมื่อนึกได้ว่าแม่ของตนอาจจะโกรธที่ทำเรือ อุปกรณ์ตกปลาและปลาหาย ถึงแม้นแม่ของนางจะมีทรัพย์ค่อนข้างมากแต่ก็ไม่อยากสิ้นเปลือง
“ท่าทางจะอยู่ลำบากนะ” ถึงจะกล่าวเหมือนสงสารหรือดูถูก แต่น้ำเสียงของนางก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น พาฬไม่รู้สึกอะไร นางยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “มิขนาดนั้นดอก เพียงแต่ว่าแม่กับข้าคุ้นเคยชีวิตแบบนี้เลยมิสร้างเรือนดีๆ อยู่ เว้นเสียแต่มิได้จริงๆ ถึงจะซ่อมน่ะ” พาฬกับกุมภิลมองเรือนซอมซ่ออยู่พักหนึ่ง เป็นเรือนไทยที่ไม่ใหญ่นัก เล็กกว่าแบบปรกติ กุมภิลถอนหายใจด้วยความเสียดาย ฟังจากคำของพาฬแล้วครอบครัวของนางคงจะมีทรัพย์กว่าชาวบ้านทั่วไป ทำให้กุมภิลอดที่จะเสียดายไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นนางคงซ่อมนานแล้วล่ะ
ทั้งคู่เดินขึ้นเรือนไป ภายในสว่างเพราะแสงจากอาทิตย์ยามเช้า บางจุดที่ไม่ถึงเลยสลัวบ้าง พาฬบอกให้กุมภิลนั่งบนโต๊ะรอก่อนจะเข้าไปที่ครัวเพื่อต้มน้ำใบเตยให้ พอเข้าไปถึงก็พบว่าแม่ของนางนั่งอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายรู้สึกถึงการมาเยือนเลยหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้ก่อนจะกล่าว
“ไปนั่งพักก่อนก็ได้นะจ๊ะ ดูซิไปมิกี่ยามเหงื่อก็ท่วมแล้ว เพิ่งอาบน้ำมามินานเอง นั่งเรือมาทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะจ๊ะ?” พาฬนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ค่ะ… คือ… ข้าถูกจระเข้มันเล่นงานน่ะจ้ะ เรือล่มไป พวกหาปลารวมทั้งปลาก็หายไปในคลองแล้ว ข้าขอโทษจริงๆ จ้ะแม่” ผู้เป็นแม่หัวเราะในลำคอเบาๆ พลางหรี่ตามองด้วยความเอ็นดูก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สามอย่างนั้นหายไปก็หาใหม่ได้ แต่ลูกน่ะหามิได้แล้วนะ” พาฬได้ยินเช่นนั้นก็ตื้นตันด้วยความซาบซึ้ง หัวใจพองโตที่แม่ของตนเองเป็นห่วงโดยไม่นึกถึงสิ่งของ “ขอบคุณจริงๆ จ้ะ …จริงด้วยซี ข้าพาผู้มีพระคุณมาด้วย ท่านผู้นั้นช่วยชีวิตข้าไว้” แม่ของนางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง นางกล่าวอย่างยินดี
“ถ้าเช่นนั้นแม่จะทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด เป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณ พาฬ ลูกนำเงินนี้ไปซื้อเนื้อที่ดีที่สุดมา ครานี้ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ”
พาฬรับเงินมาก่อนจะออกจากเรือน มุ่งหน้าไปที่ตลาด กุมภิลมองตามอย่างฉงน ไม่เคืองอีกฝ่ายที่ยังไม่ได้นำน้ำมาให้ ในขณะนั้นเองแม่ของพาฬก็ออกมาเสียก่อน นางวางถ้วยเล็กๆ ใส่น้ำใบเตยบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้ายิ้มบางๆ ให้กุมภิลแล้วกล่าว
“ขอบพระคุณจริงๆ เจ้าค่ะ วันนี้เราจะตอบแทนเพียงอาหารมื้อใหญ่ ฤๅท่านต้องการทรัพย์สินข้าก็ยินดีที่จะให้นะเจ้าคะ”
“มิเป็นไรดอก เพียงอาหารที่เจ้าจะทำให้ก็พอแล้ว”
“หากต้องการสิ่งใด ฤๅมีเรื่องลำบากก็มาหาได้นะเจ้าคะ …ข้านำน้ำใบเตยมาให้ เผื่อจะสดชื่นขึ้นบ้าง เหยื่อไหลมิแพ้บุตรสาวขาเลยเจ้าค่ะ” แม่ของนางกล่าวอย่างขบขัน กุมภิลไม่ถือสา ริมฝีปากสีชาดอย่างเป็นธรรมชาติแย้มยิ้มไปด้วย นางยกถ้วยน้ำใบเตยขึ้นมาดื่ม ระหว่างนั้นก็นึกถึงพาฬที่ไปซื้อของในตลาดเลยถาม
“ว่าแต่พาฬไปไหนฤ? ไปมิบอกกล่าวเลย”
“คงรีบร้อนไปเลยมิได้บอก อย่าถือสาเลย ข้าบอกให้นางไปซื้อวัตถุดิบเพื่อจะทำอาหารตอบแทนท่านน่ะเจ้าค่ะ” แม่ของพาฬกล่าวพลางมองไปทางออกหน้าเรือน กุมภิลพยักหน้าเล็กน้อย นางนึกอะไรขึ้นได้จึงถามอีกครั้ง
“เจ้ามีนามว่าอันใด?”
“อนงค์เจ้าค่ะ แล้วท่านล่ะเจ้าคะ?”
“กุสุมา” อนงค์พยักหน้าก่อนจะกล่าว “บัดเดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ ดูท่าแล้วท่านกับพาฬคงจะเดินกันมาเหนื่อยๆ ทานอะไรสักหน่อยจะได้มีแรง” อนงค์ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในครัว กุมภิลมองตามอย่างพินิจ
คุ้นๆ หน้าอย่างไรมิรู้ซี ดูจากท่าทาง สีหน้าและแววตาแล้วมิน่าใช้พวกเจ้าเล่ห์ มิใช่คนหลอกลวง แต่อาจจะมีลับลมคมในก็เป็นไปได้
คิดไปพลางดื่มน้ำใบเตยไปด้วย …ดูท่าแล้วคงต้องสืบเรื่องที่เกี่ยวกับอนงค์เสียแล้วล่ะ
.
.
.
“มาแล้วจ้ะ” พาฬกล่าวอย่างร่าเริง เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับวัตถุดิบที่ห่อด้วยใบตอง ผ่านกุมภิลที่นั่งเหม่อโดยไม่ทันสังเกต เข้าไปในครัวก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นแม่ที่นั่งหุงข้าวต้มน้ำอยู่ก่อนแล้ว
“นานจัง”
“เลือกพิถีพิถันไปหน่อยน่ะจ้ะ ตอบแทนผู้มีพระคุณทั้งทีก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุด สมกับที่เขาช่วยชีวิตข้า”
อนงค์พยักหน้าพลางยิ้ม รับปลาจากพาฬมาล้างก่อนจะแล่เนื้อ ผู้เป็นลูกเองก็ช่วยบ้าง ไปหั่นผักและทำอะไรอีกหลายอย่างเช่นเดียวกับอนงค์ ดูท่ามื้อเช้านี้คงจะอิ่มแปล้ไปอีกนาน กุมภิลที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยก็นึกได้ว่าสองแม่ลูกกำลังทำอาหารเลยคิดจะเข้าไปช่วย เพราะความเบื่อของตนเองและรู้สึกเกรงใจ ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณแต่ก็ควรช่วยด้วย
“มีอันใดให้ข้าช่วยบ้างไหม?” พาฬกับอนงค์เงยหน้ามอง ผู้เป็นแม่ยิ้มก่อนจะกล่าว “ท่านควรจะเข้าไปนั่งเสียนะเจ้าคะ”
“ให้ข้าช่วยเถิด” กุมภิลยังคงคะยั้นคะยอ อนงค์ไม่เคืองที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น นางกล่าวก่อนจะชี้ไปทางพาฬ “ถ้าอย่างนั้นก็หั่นผัก แล่เนื้อ ส่วนทางนี้ข้าไหวเจ้าค่ะ” กุมภิลพยักหน้าก่อนจะนั่งใกล้ๆ กับพาฬ เจ้าตัวยิ้มก่อนจะตักน้ำที่ใส่ในถ้วยให้กุมภิลชิมแล้วถาม
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“รสโอชายิ่งนัก” พาฬกับอนงค์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีที่ท่านกล่าวเช่นนี้ อาหารที่เราทำมิได้เป็นอันใดพิเศษนัก คราแรกยังเกรงอยู่ว่าจะมิเป็นที่พอใจ” พาฬกล่าว กุมภิลส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ดีมาก เกิดมาข้ามิเคยทานอะไรเช่นนี้เลย” กุมภิลไม่ได้เสแสร้ง นางกล่าวจากใจจริง ตั้งแต่ที่กำเนิดมาก็ลิ้มรสทานแต่คาวเลือดและเนื้อสกปรกมาตลอด พอได้มาทานแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนกับทานของบริสุทธิ์ จนอดคิดไม่ได้ว่าตนนั้นทานเนื้อพวกนั้นไปได้อย่างไร นึกมาถึงตรงนี้ก็สะอิดสะเอียนขึ้นมา
หลังจากนั้นในครัวก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อพาฬกับกุมภิลทำอะไรผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อนงค์ขบขันพลางเตือนว่าให้ระวังด้วย
กุมภิลรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความสุขจริงๆ จากความกระหายโลหิตมนุษย์ก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่น ความคิดที่จะสังหารพาฬนั้นมลายหมดสิ้น …ในขณะนั้นอนงค์ก็เริ่มเอะใจในตัวของกุมภิลแล้ว…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ