ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
100) บทที่ ๙๙ : ความแค้นและความชิงชังที่ปะทุ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ ๙๙
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความแค้นและความชิงชังที่ปะทุ
หลังจากที่ใบโพธิ์สลบไปไม่นาน สิรไพรก็หยุดการกระทำของตน มองใบหน้าและเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างอดทน แม้นจะอยากทำมากกว่านี้ แต่คิดว่าเก็บไว้ทำในภายหน้าจะดีเสียกว่า หากเกิดทำจริงๆ จะหมดสนุก เขาออกจากร่างของใบโพธิ์ ดับเทียนด้วยการเป่าแล้วทิ้งก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง โดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่นอนสลบหมดสภาพน่าเวทนาเลยแม้แต่น้อย
…เขาหลับตาลง พยายามผ่อนคลายก่อนจะหลับไป
ในห้องเรือนไทยที่สลัวนั้น มีคมกฤชกับวิรงรองที่นั่งด้วยกันโดยไม่พูดไม่จา วิรงรองมองนายิกาตนเองด้วยความไม่สบายใจ นับตั้งแต่วันที่คมกฤชฟื้นขึ้นมานางก็แทบไม่ได้สนทนากับอีกฝ่ายเลย นายิกาของตนเพียงรับคำโดยการพยักหน้าไม่ก็ครางเพื่อทราบว่าตนนั้นยังฟังสิ่งที่นางกล่าว ร่างกายยังคงซีดเช่นเดิมแต่ก็มีสีขึ้นมาบ้างแล้ว วิรงรองสรรหาเรื่องต่างๆ มาสนทนากับคมกฤช โดยหัวข้อนั้นเป็นเรื่องสบายๆ เพราะไม่อยากให้คมกฤชเครียด ทว่ายิ่งชวนสนทนาก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหลบหน้ามากขึ้น เช่นเดียวกับตอนนี้ คมกฤชหันหน้าไปอีกทางโดยมีวิรงรองมองตามด้วยความอาลัย ในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์คมกฤชก็กล่าวขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ
“วิรงรอง พลับพลึงเป็นเช่นไรฤ?” จากคราแรกที่ดีใจที่คมกฤชยอมกล่าวด้วยเสียที ก็ต้องเปลี่ยนเป็นไม่พอใจเมื่อคนที่ตนเองรักถามถึงศัตรูหัวใจของตนเอง นางเงียบไปไม่นานนักก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ข้าเองก็มิรู้เหมือนกัน แต่คงจะอยู่ดีนั่นแหละ แม้นมีดอรัญญิกจะยังมิคืนแต่นางก็มิทำการใดกับพวกเราอีกแล้วล่ะ” คมกฤชค่อยๆ หันหน้ามามอง วิรงรองเกือบจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่อีกฝ่ายยอมหันมาตรงๆ เสียที แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าคมกฤชหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสะอื้นไห้เล็ดลอดออกมา ในขณะที่กำลังจะยื่นไปเช็ดน้ำตานั้นอีกฝ่ายก็ปัดมือออกเบาๆ ก่อนจะนอนลงไปกับเตียง วิรงรองถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“เหตุไฉนถึงเป็นข้ามิได้ คมกฤช ทั้งๆ ที่นางแทบจะมิมีเยื่อใยแต่เจ้าก็ยังคงคิดถึง โดยมิสนใจข้าที่คอยดูแลเจ้ามาตลอดเลย” ในวาจายังมีเท็จ ที่นางกล่าวว่าพลับพลึงไม่มีเยื่อใยนั้นโกหก กระนั้นคมกฤชก็ไม่ท่าทีจะใส่ใจกับคำกล่าวของวิรงรองเลย
“เจ้าน่ะฤ?.... ข้ายังมิอาจตัดสินได้ว่ารู้สึกเยี่ยงไรกับเจ้า สหาย? ดวงใจ? ความสัมพันธ์ของข้ากับพลับพลึงก็ยังมีอาจชี้ชัดได้ว่าเป็นเยี่ยงไรกันแน่ แล้วกับเจ้าที่มาทีหลังจะให้ข้าคิดเช่นไร?” คำที่บอกว่าวิรงรองมาทีหลังนั้นแทงใจดำยิ่งนัก นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมาเล็กน้อย นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าไปคร่อมร่างของคมกฤช ใบหน้าซีดเซียวไม่มีแม้แต่สีหน้าให้เห็นก็ต้องพลันเปลี่ยนเป็นฉงนและหวาดระแวง นางเขยิบเพื่อออกห่างจากอีกฝ่าย ทว่าไปไม่ทันไรก็ถูกวิรงรองรบข้อมือตรึงไว้กับที่นอนด้วยมือข้างเดียวเสียก่อน ดวงตาสีดำสองคู่สบกัน สื่อความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน
“คมกฤช… จะให้ข้ารอไปถึงเมื่อใด?” เสียงแผ่วเบา ทว่าสร้างความหนักใจให้อีกฝ่ายได้ เจ้าของนามเบือนหน้าหนี หายใจไม่ค่อยออกอย่างน่าแปลกใจ วิรงรองใช้มืออีกข้างจับใบหน้าของคมกฤชก่อนจะดึงให้หันมาสบตากับตนเองตรงๆ คมกฤชกลืนน้ำลายอย่างลำบาก สบดวงตาสีดำที่ฉายความเยือกเย็นดุจรัตติกาลที่มีสายลมเย็นเชียบพัดผ่าน มือที่เคยจับหรือแตะต้องนางอย่างอ่อนโยนมาตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนคีมหนีบจนรู้สึกปวด ริมฝีปากสีซีดของนางขยับเอ่ยเสียงแผ่วไม่แพ้กับอีกฝ่าย
“ให้เวลาข้าเถิดวิรงรอง ใจคนเรานั้นแม้นจะแปรผันง่ายดายนัก กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่หนึ่งที่จะยึดอยู่ในใจมิเสื่อมคลาย อย่างข้าเองที่ยังคงยึดมั่นกับพลับพลึง เราอยู่ด้วยกันมานานหลายร้อยปี ย่อมเกิดสายใยเชื่อมกันยากที่จะตัดขาด …ฉะนั้นแล้ว หวังว่าเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของข้านะ”
วิรงรองเงียบ ไม่ตอบโดยทันที ความคิดที่ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่สมควร ให้เวลากับอีกฝ่ายนั้นย่อมจะเกิดผลดี แต่ความรู้สึกที่ว่าหากปล่อยละเลยก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตนเอง สองอย่างนี้ปะทะกันจนน่าหงุดหงิด เหตุผลและความต้องการนั้นมีความรุนแรงพอๆ กัน ไม่สิ ต้องกล่าวว่าความต้องการรุนแรงกว่า ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ความต้องการของคนเราย่อมชนะเหตุผลมากกว่า …วิรงรองเองก็เช่นกัน ความรู้สึกเห็นแก่ตัวที่ต้องการจะครอบครองอีกฝ่ายนั้น ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นเพราะรักหรือหลงกันแน่ อย่างว่าแหละคนเรานั้นแยกแยะคำว่ารักกับหลงไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แม้นนางจะอายุมากยิ่งกว่ารุ่นทวด กระนั้นความคิดก็ยังเยาว์อยู่ดี นางค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหาก่อนจะประทับริมฝีปาก คมกฤชเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง คิดไปว่าหากตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายจะเป็นการทำร้ายพลับพลึงหรือไม่ เพราะนางกับพลับพลึงก็ผูกพันกันมาเนิ่นนาน หากสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับวิรงรองคงจะไม่ดี ทว่าพอมาคิดอีกทีก็คงไม่เป็นไร ในเมื่อนางกับพลับพลึงเองก็ไม่ได้มีสายสัมพันธ์แน่ชัดอยู่แล้ว
…ไม่เป็นไรหรอกกระมัง นางตัดสินใจว่าสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับพลับพลึงเป็นเพียงเพื่อน ส่วนวิรงรองนั้นเป็นคนรัก คิดได้ดังนั้นนางก็ปล่อยใจไม่ให้ยึดติด มือโอบรอบคอวิรงรองก่อนที่นางจะรับจุมพิตอย่างเต็มใจ …น่าแปลก ที่ผ่านมานางแทบจะไม่สนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่เล็กน้อย ทว่ามาตอนนี้ยิ่งใกล้ชิดเท่าใดก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้กว่านี้
…บางที… คมกฤชอาจจะรู้สึกเช่นเดียวกับวิรงรองมานานแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
เช้า
ในจังหวัดอื่นหิมะคงจะตกกันแล้ว จังหวัดชลบุรีเพิ่งจะตกเมื่อสองสามวันนี้เอง ศรี อสุราและเฉาก๊วยเดินย่ำหิมะที่ทับถมพื้นดินจนมิด ศรีกระชับเสื้อกันหนาวพลางถอนหายใจไปด้วยจนเกิดเป็นไอบางๆ มองไปรอบด้านต้นไม้ต่างผลัดใบและดอกออกหมดจนน่าใจหาย ภาพในประเทศไทยที่ใบไม้ออกตลอดนั้นยังคงอยู่ในห้วงความทรงจำ ถึงจะทราบมาจากเฉาก๊วยแล้วว่าเกิดคดีแปลกประหลาดจนทำให้หิมะตก แต่ก็อดที่จะใจหายไม่ได้อยู่ดี รู้สึกโหวงเหวงในใจ ความหนาวเหน็บนั้นมันไม่เหมาะกับประเทศไทยจริงๆ นั่นแหละ
ทั้งสามคนมาถึงโรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคมแล้ว ประตูที่ทำจากไม้นั้นสูงค่อนข้างมาก สลักลวดลายไทยสวยงาม ตรงที่เฝ้ายามนั้นมีหลังคาแบบเรือนไทย นักเรียนเดินเข้าเดินออกผ่านกันขวักไขว่ พวกเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนมากนัก ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาสอบเข้าเรียน สองสามวันมานี้ทั้งสามคนทบทวนมากเรียบร้อยแล้ว บวกกับที่เคยเรียนมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยเลยเข้าใจมากขึ้น
ศรีเริ่มหายตื่นเต้นบ้างแล้ว แต่ในใจก็ยังคงมีบ้าง เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นก่อนจะเห็นว่าเบื้องฟ้านั้นมีครุฑบินไปกับกินรีกันสองตน ดวงตาสีดำเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น ในใจเต้นแรงกว่าเดิม เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะลดหน้าลง มองไปทางข้างหน้าต่อ
เมื่อมาถึงแล้วทั้งสามคนก็แยกกันตามใบที่ส่งมาเมื่อวันไปสมัครสอบ ศรีกับเฉาก๊วยสอบห้องเดียวเลยไปต่อแถวด้วยกัน นั่งลงรอเช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ ที่มารออยู่ก่อน จนกระทั่งเมื่อมากันครบแล้วคุณครูจึงประกาศถึงกฎและห้องที่สอบ หลังจากนั้นก็เดินไปไปเป็นแถวมุ่งหน้าไปยังห้องสอบ พอมาถึงคุณครูผู้คุมสอบก็อธิบายเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะแจกกระดาษโจทย์และกระดาษคำตอบให้หัวแถวส่งต่อไปด้านหลัง พอได้จนครบแล้วก็เริ่มทำอย่างตั้งใจ
ศรียิ้มอย่างนึกทระนงตัว อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าข้อสอบง่าย ยิ่งภาษาไทยด้วยแล้วเธอถนัดมาก ในขณะที่กำลังกาข้อเลือกนั้นดวงตาสีดำก็เหลือบเห็นใครบางคนที่อยู่ข้างนอกอาคารเรียน …บุปผาอาสัญกำลังเหยียดยิ้มให้ ศรีเผลอกลั้นหายใจเพราะหวาดหวั่นกับบรรยากาศน่าสะอิดสะเอียนที่ไม่น่าส่งมาถึง เพียงแค่มองก็สัมผัสได้ถึงมัน เธอเบือนหน้าหนีโดยที่อีกฝ่ายังคงใช้ดวงตาสีดำซีดนั้นมองมาโดยแทบจะไม่กะพริบ
“ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที อย่าให้รอนานนักสิ …ศรี” พึมพำเบาๆ ศรีกุมศีรษะไว้ พยายามเก็บสีหน้าเพราะไม่อยากให้คุณครูถามหากสังเกต รู้สึกใจหายวาบเมื่อนึกถึงลางสังหรณ์เมื่อหลายวันมานี้
ชีวิตของเธอ คำว่า สงบ เห็นทีคงจะไม่มีอยู่แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ตาม…
เด็กหญิงผมประบ่า ตัดตรงคล้ายตุ๊กตาญี่ปุ่น ปล่อยผมส่วนหนึ่งและเกล้าอีกส่วนไว้มัดด้วยเชือกสีแดง กำลังนั่งมองออกไปนอนหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ดวงตาสีดำออกฟ้านั้นเหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นที่มีหิมะโปรยลงมาอ้อยอิ่ง ช่างนุ่มนวลยิ่งกว่าฝนที่ทิ้งตัวลงมากระหน่ำใส่พื้นดูรุนแรง ความบริสุทธิ์ของหิมะดูน่าหมั่นไส้นักในความคิดของเธอ ด้วยเหตุผลในใจว่าเป็นเพียงน้ำแข็งแต่ริอาจทำตัวสูงส่ง
หึ สุดท้ายแล้วเป็นเยี่ยงไรล่ะ? ก็มิพ้นพื้นโสมมอยู่ดี
ในขณะที่คิดอยู่นั้นคุณครูท่านหนึ่งก็เดินผ่านมาพอดี ก่อนจะสะกิดไหล่ให้มาทำข้อสอบต่อ เธอหันมาพร้อมกับสายตาเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาซึ่งกำลังมองคนเป็นครู ก่อนจะอ่านโจทย์ข้อสอบโดยไม่แม้แต่จะกล่าวขอโทษหรือยิ้มแห้งๆ ให้ ในขณะที่เธอหยิบปากกาขึ้นมาเกร็ดน้ำแข็งก็พลันเกาะมันอย่างน่าประหลาด เห็นดังนั้นก็กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจที่ยังไม่สามารถคุมพลังได้ดังใจปรารถนา ก่อนจะเก็บปากกาใส่ในกระเป๋าอุปกรณ์การเรียน ลอบมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครแสดงท่าทีสนใจเธอเลยก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบตา
ก่อนที่จะได้กาตัวเลือกนั้นเธอเหลือบเห็นเด็กหญิงผมยาวสีดำสนิท เกล้าผมส่วนหนึ่งเป็นมวยประดับด้วยรัดเกล้า ที่มีอัญมณีสีแดงดุจเลือดตกแต่งสามเม็ดห่างเท่าๆ กัน กับปิ่นปักผมที่ปลายเป็นกนกสีเงิน ดวงตาสีดำสนิทไม่แพ้เส้นผมเงางามจดจ้องที่ข้อสอบเกือบจะเอาเป็นเอาตาย มองแล้วมองอีกก็นึกไม่ออกว่าเด็กหญิงคนนี้คือใคร เธอเคยเจอหรือรู้จักมาก่อนไหม …พอคิดไปไม่นานก็พยายามไล่ความคิดนั้นออก ก่อนจะทำข้อสอบต่อโดยที่คนถูกมองเหลือบเห็นตนเองพอดี
…รุจิรา?
ศรีมองไปพลางคิดไปด้วย ว่าใช่คนที่เคยรู้จักมาก่อนหรือไม่ พอเห็นว่าคุณครูกำลังจะหันมาทางเธอเลยก้มหน้าทำข้อสอบต่อด้วยความที่ไม่อยากโดนดุ
เธอเจอเพื่อนเก่าอีกคนแล้ว…
“ให้ตายสิ ปลามิค่อยมีเลย วันนี้จะได้กินไหม?” พาฬ นายิกาประจำจังหวัดพิจิตรกล่าวในขณะที่ใช้หอกแทงปลาที่ว่ายผ่านมา จากที่นางกล่าวนั้นคือพออุณหภูมิเย็นมากขึ้นจนน้ำในหนองแข็งก็อยากต่อการจับปลาและยากต่อการมีชีวิตอยู่ นี่ถ้าเกิดไม่ติดว่าบางตัวเป็นสายเลือดอมตะคงไม่มีให้จับแล้วล่ะ
พาฬเห็นว่าบริเวณที่นางยืนอยู่นั้นตื้นปลาเลยไม่ค่อยมา จึงตัดสินใจเดินลึกเข้าไปอีกโดยระมัดระวังพื้นที่เป็นน้ำแข็งด้วย ย่ำแรงมากไปอาจจะแตกจนตกลงไปแช่แข็งเอาได้ นางกระชับเสื้อคลุมลายไทยเรียบๆ ให้แน่นขึ้น แม้นจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้วแต่พอมาเจอหิมะที่ในประเทศไทยไม่เคยมีก็เลยปรับตัวยากเสียหน่อย รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากับอุณหภูมิต่ำจนทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้ประชากรในจังหวัดพิจิตรก็ยื่นคำขอร้องให้ช่วยฟื้นฟู เนื่องจากอุณหภูมิติดลบทำให้ปลูกอะไรไม่ค่อยจะขึ้น ยิ่งข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนไทยมาช้านานนั้นปลูกไม่ได้อีกทำให้เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ถึงจะปรับได้แต่ด้วยความที่ไม่เคยประสบกับอากาศที่เย็นเชียบเช่นนี้เลยทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก
พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดมาก พาฬพยายามลืมก่อนจะตั้งสมาธิเพื่อเล็งการแทงปลา พอปลาเกือบจะเข้ามานางก็แทงลงไป หากแทงตอนที่ปลามาตรงๆ จะพลาดเสียเปล่า …เวลาผ่านไปสักพักนางก็จับปลามาได้เกือบครึ่งถัง นี่ถ้าเป็นปลาตัวใหญ่คงจะดีมิใช่น้อย
สายลมเย็นเชียบพัดผ่านมาเป็นช่วงเดียวกับที่กุมภิล รองนายิกาประจำจังหวัดพิจิตร เดินมาหาพาฬพอดี นางไม่รีบเข้าไปหาแต่มองเงียบๆ พลางยิ้มไปด้วย หัวใจเต้นแรงกว่าเมื่อเห็นพาฬแม้เจ้าตัวจะไม่ชอบตนเองแต่ก็ยังอดมีใจให้ไม่ได้อยู่ดี ทว่าพอนึกถึงอดีตระหว่างนางกับอีกฝ่ายใจที่เต้นแรงก็พลันช้าลงน่าใจหาย เรื่องราวในครานั้นทำให้พาฬชังน้ำหน้ากุมภิล แม้นปัจจุบันนี้พาฬจะทำใจยอมรับได้แต่ก็ยังคงไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเลย …กุมภิลกระชับเสื้อคลุมลายไทยที่งดงามกว่าของพาฬก่อนจะฝืนยิ้มสดใสแล้วเรียกอีกฝ่าย
“ท่านพาฬเจ้าคะ มาทานกับข้าดีกว่า อาหารที่ยังมีอยู่เหลือเฟือเชียวล่ะ มิต้องไปก้มๆ เงยๆ จับให้เสียเวลาดอกนะเจ้าคะ” พาฬหยุดชะงักก่อนจะหันมามองพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่าย “อย่าบอกนะว่าจับพวกบ่าวมาทำอาหาร?”
ได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกแทงใจดำขึ้นมา ถึงแม้นตัวนางเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทานเนื้อมนุษย์ แต่ก็นั้นเลิกทานไปนานแล้วเพราะคนที่นางรักคือมนุษย์ การทานมนุษย์ก็ย่อมเหมือนกับทำการสังหารญาติพี่น้องของคนที่ตนเองรัก ทว่าพาฬยังคงยึดติดกับอดีตเลยกล่าวอย่างอคติ ในน้ำเสียงที่เรียบเฉยมีความชิงชังแฝงอยู่
“กล่าวเช่นนี้ข้าเสียใจนะเจ้าคะ …เพลานี้เราไปทานด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ มาอาศัยในเรือนอันแสนอบอุ่นทิวา[1]หนึ่งจะเป็นไรไป” นางกล่าวพร้อมกับสิ่งยิ้มให้ เดินเข้าไปหาพาฬที่มองด้วยสายตาเย็นชา แววตานั้นทำให้กุมภิลใจหายวาบ รู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าสายลมท่ามกลางหิมะโปรยปราย กระนั้นนางก็ยังคงทำใจสู้พอมาถึงก็คล้องแขนตนเองกับของอีกฝ่าย ก่อนจะออกเดิน ทว่าไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ต้องหยุดเมื่อพาฬไม่ยอมตามไป
“…ท่านพาฬ…”
“ข้าคิดผิดจริงๆ ครานั้นที่สังหารชาละวันรวมทั้งเผ่าพันธุ์จระเข้ ข้าควรจะสังหารเจ้าด้วย” เจ็บยิ่งกว่าโดนศาสตราแทง ชายิ่งกว่าโดนน้ำเย็นสาดใส่ ใจหายวาบยิ่งกว่าตกลงจากที่สูง ดวงตาสีดำอมสีเลือดนั้นเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ถึงจะรู้ตัวว่าโดนเกลียดชังมาตลอดแต่ก็ไม่คิดว่านายิกาของตนเองจะมีความคิดอันเลือดเย็น
…โดนผู้อื่นเกลียดเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทานมนุษย์ด้วยมานานและหลายครั้งแล้ว แต่โดนคนที่ตนเองรักเกลียดมันยากจะทำใจยอมรับจริงๆ กุมภิลยิ้มอย่างกล้ำกลืน นางพยายามดึงพาฬให้เดินตามทว่าครานี้อีกฝ่ายกลับผลักให้ลงไปนอนบนพื้น ดวงตาสีดำอมสีเลือดพลันเบิกอีกครั้งแต่ครานี้มีน้ำตาไหลมาด้วย แทนที่พาฬจะรู้สึกผิดแต่กลับกลายเป็นว่าแสยะยิ้มด้วยความสมเพช
“เฮอะ! หน้ามิอาย ทำไว้กับครอบครัวของข้ายังกล้ามาเสนอหน้าอีก”
“ท่านพาฬ ท่านเป็นอันใด? ตลอดหลายปีที่เราทำงานร่วมกันท่านมิเคยขุดเรื่องนี้ขึ้นมานี่ แล้วไฉนท่านถึง…” กล่าวไม่ทันจบพาฬก็ก้มลงไปกระชากร่างกุมภิลขึ้นมาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เผลอนึกขึ้นมาได้ แต่ก็น่าแปลกนะที่ครานี้นึกแล้วความรู้สึกมันปะทุรุนแรงกว่าเดิม ข้าเองก็ฉงนในตัวตนเองว่าทนทำงานกับเจ้าได้เยี่ยงไร น่าจะสังหารไปให้พ้นหูพ้นตาเสียดีกว่า” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหน้ามืด ทว่าสติไม่ยอมดับหายราวกับจะให้รอฟังวาจาอันเชือดเฉือนจากอีกฝ่าย ให้สมกับที่เผ่าพันธุ์ของนางทำไว้
พาฬยังคงกล่าวต่อไปในขณะที่คนฟังเหม่อลอยโดยที่น้ำตายังไหลอาบแก้ม หูอื้อ สติล่องลอยไป ถูกแทนที่ด้วยความทรงจำที่ย้อนกลับมา…
[1] ทิวา หมายถึง วัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ