หยุดกาลเวลามาเจอเธอ
-
เขียนโดย ซูหลิน
วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.39 น.
6 ตอน
4 วิจารณ์
8,853 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 15.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ณ อดีต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เร็วเข้า ตงตง อารามร้างอยู่ข้างหน้านี่เอง”
ซุ่มเสียงไม่อาจระบุเพศ ดังขึ้นจากร่างสูงโปร่ง ดูไปกลับคลับคล้าย บัณฑิตหนุ่มก็มิปานดังเร่งเร้า ร่างนั้นวิ่งพลางฉุดลากร่างเล็กบางของเด็กน้อยให้ปลิวตาม ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเท ทั้งที่เมื่อสองชั่วยามที่แล้วแดดแทบจะเผาร่างให้ใหม้หมอด
“พี่อี้เฟย ข้าหนาวยิ่ง” เสียงเด็กน้อยแหบพล่า เนื่องจากความหนาวเย็น เด็กน้อยอายุไม่เกิน 10-11 ขวบปี แต่งกายเยี่ยงชาวบ้านชนบททั่วไป ด้านหลังรั้งไว้ด้วยห่อผ้าขนาดเขื่อง ภายในบรรจุเต็มไปด้วยสารพัดรากไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ที่ล้วนสามารถหุงต้มเป็นยาหลายสรรพคุณ
หนึ่งเติบใหญ่ หนึ่งเด็กน้อย ต่างมุ่งหน้าไปที่พุ่มไม้ใหญ่ข้างหน้า มองเห็นเป็นอารามเก่าแก่ และร้างผู้คนหลังหนึ่ง ต่อให้ผุพังเยี่ยงไร ย่อมดีกว่าการยืนตากฝนข้างร่มไม้เป็นแน่
“อีกนิดน้องชาย อดทนอีกหน่อยน่ะตงตง”
เสียงใสปลอบพลางเร่งรุดไป จวบจนกระทั่งทั้งคู่ เข้าสู่อารามที่ดูดีเกือบจะมากกว่าโรงนาเก่าๆ เท่านั้น
สายฝนยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืม สรรพสัตว์คล้ายหลบหลับนอน จึงพาลได้ยินเพียงสายพิรุณที่เทลงมาอย่างหนัก ทั้งสองเมื่อเข้ามาสู่ภายในของอารามร้างกลางป่านี้แล้ว ทางหนึ่งขนขวายหาฟืนมากองสุม ทางหนึ่งรีบเร่งจัดหินไฟ ไม่นานแสงไฟก็สว่างให้ความอบอุ่น ไล่ความหนาวเย็นออกไปอย่างแช่มช้า แสงขาวจ้าจากฟ้าแลบและเสียงครึ่กโครมของฟ้าร้อง ทำให้เขารู้ดีว่าอีกนานกว่าฝนนี้จะหยุด
“ข้าว่า วันนี้เราคงต้องพักแรมที่อารามร้างแห่งนี้เสียแล้วละ ให้ฝนซาก่อนแล้วข้าจะออกไปหาของมากินกัน”
หยางอี้เฟยเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
เด็กน้อยพยายามเหยียดยิ้มอย่างยากเย็น ริมฝีปากซีดขาวจนเกือบเขียว เนื่องจากความหนาวเย็น ทั้งร่างเล็กนั้นก็สั่นเทาอย่างน่าสงสาร หยางอี้ฟางเห็นเช่นนั้นแล้วจึงเอื้อมไปหยิบเสื้อตัวนอกที่ตอนเข้ามาได้ถอดผิงไอร้อนจากกองไฟไว้นานแล้ว เมื่อจับดูจึงทราบว่าหมาดจนเกือบแห้งสนิทดีแล้ว มาคลุมให้เด็กชาย
“นอนเสียเถอะ อย่าห่วงเลย สักพักข้าจะปลุกเจ้ามากินอะไรอีกที” หยางอี้เฟยกล่าวเบาเบา
เด็กน้อยกระชับเสื้อคลุมเข้าแนบตัวก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ร่างสูงมองฝ่าสายฝนที่กระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา พลางทอดถอนใจ
วันนี้เขาตั้งใจจะมาเก็บสมุนไพรบนเขาแห่งนี้ เนื่องจากมีเสียงร่ำลือว่าที่แห่งนี้มีพืชหายากอยู่อย่างมากมาย ส่วนหนึ่งตั้งใจเก็บเอาไปฝาก อาเจ่กเล่งหง ที่เคารพสูงล้นพ้นยอดไม้ (หา~~~>> ไรต์เตอร์) และจะเก็บไปขาย หาลำไพ่พิเศษไปด้วย ดีกว่านอนเล่นอยู่กระท่อมน้อยกลางดงพุทราของตน แต่แล้วเมื่อเด็กน้อยเห็นย่ามใส่ของเท่านั้นก็กลับยึดถือว่าเป็นของตนมิปาน สองมือเกี่ยวเก็บไว้เหนียวแน่น พร้อมยัดเยียดตนเองขอไปด้วย
“น่า พี่อี้เฟย รับรองได้ว่าข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังคำท่านทุกอย่างเลย” เสียงเด็กน้อยกล่าวเสียงดังอย่างแข็งขัน พร้อมทำตาวาวๆ คล้ายสุนัขอ้อนเจ้าของไปด้วย เขาสุดที่จะทานทนได้จึงยอมให้มา อากาศที่ดี สมุนไพรหายาก ที่กลับเจอะเจอง่ายดายในที่นี้ ก็ทำให้เพลิดเพลินไปอีกแบบ จวบจนกระทั่งเมื่อชั่วน้ำเดือดที่ผ่านมา สายพิรุณกับตกเทลงมายังไร้เคร้าราง
สองเท้าเดินสำรวจไปรอบๆ อารามที่น่าจะมีอายุมานานหลายสิบปี และถูกทิ้งร้าง จนน่าเศร้า บางส่วนของฝาผนังก็กะเทาะหลุดออกจนมองเห็นภายนอกได้เป็นระยะๆ สายตาสอดส่องไปเรื่อยๆ สองหูก็ทำหน้าที่สดับเสียงต่างๆ อย่างเคยชิน เพราะอาชีพของเขาต้องใช้สัมพัสทุกๆด้านอย่างครบถ้วนทุกยามจนเคยคุ้น
ด้านใน รูปปั้นโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ยังคงรูปพักตร์งดงาม แววตาแฝงความปราณีที่ดูโดดเด่น ขึ้นมา ท่ามกลางหยากไย่และฝุ่นฝอยที่ปกคลุม ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปให้ใกล้ยิ่งขึ้น
“เปรี้ยง !!!
แสงสว่างจ้าพร้อมเสียงดังสนั่น กลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งขึ้นมาทันที แสดงว่าอัศนีบาตคราวนี้ลงบริเวณไม่ไกลจากอารามร้างแห่งนี้
“ฟ้าผ่าอีกแล้ว” หยางอี้เฟยพึมพำกับตัวเอง
แว่บบ!!!
คราวนี้แสงสว่างจ้าขึ้นอย่างกระทันหันต่อหน้า จนเขาต้องหยีตามองอย่างสงสัย เพราะไม่ปรากฏเสียง หรืออาการใดใดที่แสดงว่าฟ้าแลบฟ้าผ่าแต่อย่างใด หากแต่ปรากฏออกมาจากรูปปั้นโพธิสัตว์นั่น!!!!?????
ซุ่มเสียงไม่อาจระบุเพศ ดังขึ้นจากร่างสูงโปร่ง ดูไปกลับคลับคล้าย บัณฑิตหนุ่มก็มิปานดังเร่งเร้า ร่างนั้นวิ่งพลางฉุดลากร่างเล็กบางของเด็กน้อยให้ปลิวตาม ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเท ทั้งที่เมื่อสองชั่วยามที่แล้วแดดแทบจะเผาร่างให้ใหม้หมอด
“พี่อี้เฟย ข้าหนาวยิ่ง” เสียงเด็กน้อยแหบพล่า เนื่องจากความหนาวเย็น เด็กน้อยอายุไม่เกิน 10-11 ขวบปี แต่งกายเยี่ยงชาวบ้านชนบททั่วไป ด้านหลังรั้งไว้ด้วยห่อผ้าขนาดเขื่อง ภายในบรรจุเต็มไปด้วยสารพัดรากไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ที่ล้วนสามารถหุงต้มเป็นยาหลายสรรพคุณ
หนึ่งเติบใหญ่ หนึ่งเด็กน้อย ต่างมุ่งหน้าไปที่พุ่มไม้ใหญ่ข้างหน้า มองเห็นเป็นอารามเก่าแก่ และร้างผู้คนหลังหนึ่ง ต่อให้ผุพังเยี่ยงไร ย่อมดีกว่าการยืนตากฝนข้างร่มไม้เป็นแน่
“อีกนิดน้องชาย อดทนอีกหน่อยน่ะตงตง”
เสียงใสปลอบพลางเร่งรุดไป จวบจนกระทั่งทั้งคู่ เข้าสู่อารามที่ดูดีเกือบจะมากกว่าโรงนาเก่าๆ เท่านั้น
สายฝนยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืม สรรพสัตว์คล้ายหลบหลับนอน จึงพาลได้ยินเพียงสายพิรุณที่เทลงมาอย่างหนัก ทั้งสองเมื่อเข้ามาสู่ภายในของอารามร้างกลางป่านี้แล้ว ทางหนึ่งขนขวายหาฟืนมากองสุม ทางหนึ่งรีบเร่งจัดหินไฟ ไม่นานแสงไฟก็สว่างให้ความอบอุ่น ไล่ความหนาวเย็นออกไปอย่างแช่มช้า แสงขาวจ้าจากฟ้าแลบและเสียงครึ่กโครมของฟ้าร้อง ทำให้เขารู้ดีว่าอีกนานกว่าฝนนี้จะหยุด
“ข้าว่า วันนี้เราคงต้องพักแรมที่อารามร้างแห่งนี้เสียแล้วละ ให้ฝนซาก่อนแล้วข้าจะออกไปหาของมากินกัน”
หยางอี้เฟยเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
เด็กน้อยพยายามเหยียดยิ้มอย่างยากเย็น ริมฝีปากซีดขาวจนเกือบเขียว เนื่องจากความหนาวเย็น ทั้งร่างเล็กนั้นก็สั่นเทาอย่างน่าสงสาร หยางอี้ฟางเห็นเช่นนั้นแล้วจึงเอื้อมไปหยิบเสื้อตัวนอกที่ตอนเข้ามาได้ถอดผิงไอร้อนจากกองไฟไว้นานแล้ว เมื่อจับดูจึงทราบว่าหมาดจนเกือบแห้งสนิทดีแล้ว มาคลุมให้เด็กชาย
“นอนเสียเถอะ อย่าห่วงเลย สักพักข้าจะปลุกเจ้ามากินอะไรอีกที” หยางอี้เฟยกล่าวเบาเบา
เด็กน้อยกระชับเสื้อคลุมเข้าแนบตัวก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ร่างสูงมองฝ่าสายฝนที่กระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา พลางทอดถอนใจ
วันนี้เขาตั้งใจจะมาเก็บสมุนไพรบนเขาแห่งนี้ เนื่องจากมีเสียงร่ำลือว่าที่แห่งนี้มีพืชหายากอยู่อย่างมากมาย ส่วนหนึ่งตั้งใจเก็บเอาไปฝาก อาเจ่กเล่งหง ที่เคารพสูงล้นพ้นยอดไม้ (หา~~~>> ไรต์เตอร์) และจะเก็บไปขาย หาลำไพ่พิเศษไปด้วย ดีกว่านอนเล่นอยู่กระท่อมน้อยกลางดงพุทราของตน แต่แล้วเมื่อเด็กน้อยเห็นย่ามใส่ของเท่านั้นก็กลับยึดถือว่าเป็นของตนมิปาน สองมือเกี่ยวเก็บไว้เหนียวแน่น พร้อมยัดเยียดตนเองขอไปด้วย
“น่า พี่อี้เฟย รับรองได้ว่าข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังคำท่านทุกอย่างเลย” เสียงเด็กน้อยกล่าวเสียงดังอย่างแข็งขัน พร้อมทำตาวาวๆ คล้ายสุนัขอ้อนเจ้าของไปด้วย เขาสุดที่จะทานทนได้จึงยอมให้มา อากาศที่ดี สมุนไพรหายาก ที่กลับเจอะเจอง่ายดายในที่นี้ ก็ทำให้เพลิดเพลินไปอีกแบบ จวบจนกระทั่งเมื่อชั่วน้ำเดือดที่ผ่านมา สายพิรุณกับตกเทลงมายังไร้เคร้าราง
สองเท้าเดินสำรวจไปรอบๆ อารามที่น่าจะมีอายุมานานหลายสิบปี และถูกทิ้งร้าง จนน่าเศร้า บางส่วนของฝาผนังก็กะเทาะหลุดออกจนมองเห็นภายนอกได้เป็นระยะๆ สายตาสอดส่องไปเรื่อยๆ สองหูก็ทำหน้าที่สดับเสียงต่างๆ อย่างเคยชิน เพราะอาชีพของเขาต้องใช้สัมพัสทุกๆด้านอย่างครบถ้วนทุกยามจนเคยคุ้น
ด้านใน รูปปั้นโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ยังคงรูปพักตร์งดงาม แววตาแฝงความปราณีที่ดูโดดเด่น ขึ้นมา ท่ามกลางหยากไย่และฝุ่นฝอยที่ปกคลุม ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปให้ใกล้ยิ่งขึ้น
“เปรี้ยง !!!
แสงสว่างจ้าพร้อมเสียงดังสนั่น กลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งขึ้นมาทันที แสดงว่าอัศนีบาตคราวนี้ลงบริเวณไม่ไกลจากอารามร้างแห่งนี้
“ฟ้าผ่าอีกแล้ว” หยางอี้เฟยพึมพำกับตัวเอง
แว่บบ!!!
คราวนี้แสงสว่างจ้าขึ้นอย่างกระทันหันต่อหน้า จนเขาต้องหยีตามองอย่างสงสัย เพราะไม่ปรากฏเสียง หรืออาการใดใดที่แสดงว่าฟ้าแลบฟ้าผ่าแต่อย่างใด หากแต่ปรากฏออกมาจากรูปปั้นโพธิสัตว์นั่น!!!!?????
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ