Alive
-
เขียนโดย bluepastel
วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 08.58 น.
2 chapter
0 วิจารณ์
4,516 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) HAF : TEAR_1 ลงจอด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เสียงดังลั่น ราวกับเสียงเครื่องจักรกำลังบดโลหะให้แหลกเหลว กับอากาศที่สั่นสะเทือนรอบตัวอย่างรุนแรง ณ จุดนี้ คล้ายกับ ฆ้อนที่มองไม่เห็น พยายามทุบเอาอากาศทั้งที่มีออกจากปอดผม หัวเบาโล่ง เหงื่อที่ไหลจากปลายคาง ขึ้นไปรวมตัวกันที่หัว ไม่สามารถขยับตัวได้ หนีไม่ได้ ยกเลิกไม่ได้ พักไปอ๊วกก็ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะ สายรัดแน่นหนาที่ยึดให้ผมนอน.....(หรือยืน?) แม้ผมจะผ่านการฝึกซ้อมมาหลายร้อยชั่วโมงจากเครื่องขนย้ายจำลองที่สมจริงยิ่ง แน่นอนว่าตอนนั้นมันสนุก แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ครั้งนี้ไม่ใช่การซ้อม และเป็นการโดดครั้งแรกของผม ถ้าพลาดก็ตายจริง การเดินทางเที่ยวเดียวไม่มีเที่ยวกลับโดยการพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศจากชั้นแมกเนโตสเฟียร์ เข้าสู่พื้นผิวดาวเคราะห์ มากกว่า 900 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูง อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกับแรง G ที่ต้องเจอไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แม้จะเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วจากเครื่องจำลอง แต่สิ่งที่ผมเผชิญ ณ ขณะนี้ เหมือนจะหนักหนากว่าราวสี่ถึงห้าเท่า ภาพโฮโลที่ฉายจากคอมพิวเตอร์บนข้อมือ สว่างขึ้นกลางที่ว่างในยานขนย้าย แสดงค่าแรง G และระยะความสูง ก่อนถึงพื้นโลก อีกไม่ถึง 200 กิโลเมตร ที่พึ่งเดียวของผมคือเจ้ายานขนย้ายลำน้อย ทรงหัวกระสุนเจาะเกราะปลายแหลม หัวยานเป็นสว่านขนาดใหญ่และ ตัวยานขนาดความจุ 1 ที่นั่งนี้เท่านั้น ภาวนาขอแค่อย่าให้ยานขนย้ายกระทบกับเศษหินและขยะอวกาศที่ลอยอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ จนทำให้ยานต้องหลุดไปจากพิกัดร่อนลงเท่านั้นเป็นพอ ทำใมน่ะเหรอ หากการปะทะเกิดขึ้นนอกพิกัดที่คำนวนไว้ และหากบริเวณนั้น เป็นพื้นผิวโลหะหรือแนวหินขนาดใหญ่ ยานเล็กๆแบบยานขนย้ายและตัวผม คงมีสภาพเหลือเพียงแผ่นโลหะ หนาสามนิ้วหนึ่งแผ่น รอให้ผองเพื่อนมากู้กลับไปติดเป็นของประดับห้องเป็นแน่ อีก 100 กิโลเมตร 70 กิโลเมตร 40 กิโลเมตรผมรีบกัดฟันยางไว้เพราะกลัวจะกัดลิ้น และ.............แสงสว่างจากช่องสังเกตการณ์ดับมืดไป พร้อมเสียงดังทึบหนักลากยาว แรงปะทะทำเอาสติผมหลุด
สัญญาณเตือน มาพร้อมเสียงดังลั่นและแสงวูบวาบดึงผมให้ตื่นขึ้นเสียงดังทึบๆดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับความกดอากาศที่เปลี่ยนไปจนปวดหู ตามด้วยลมร้อมจนแสบผิวไหลเข้ามาแม้จะใส่ชุดสูทแนบเนื้อชั้นดีอยุ่ก็ตาม ผมหยิบแคปซูลปรับอากาศ ขึ้นมาจ่อที่ปากแล้วบีบ ของเหลวเย็นเฉียบ พุ่งจากแคปซูลเข้าท่วมปอดจนสำลัก ต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่งกว่าจะหายใจได้ตามปรกติ ผมเงยหน้าขึ้นไปเหนือหัว เห็นจุดแสงไกลออกไป ราวกับพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางฟ้ายามค่ำคืน ผมลงมาอยู่ใต้ดินลึกกว่า 4 กิโลเมตร ปล่องดินที่เกิดจากยานขนส่งทะลวงผ่านพื้นผิวดาวลงมา ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ กว้างสองเมตรพอดิบพอดี โดยรอบผนังปล่องที่เกิดขึ้นบางส่วนยังมีรอยเผาไหม้แดงจัดอย่างชัดเจน พร้อมควันไฟ ผมปล่อยโดรนสังเกตุการณ์ขนาดเท่าหัวแม่มือรูปร่างคล้ายแมลง บินขึ้นไปสำรวจพื้นผิวก่อน ตามที่ฝึกมาในโรงเรียนทหาร สักครุ่หนึ่ง โครนส่งสัญญาณลงมาว่า ปลอดภัย ผมกดปุ่มควบคุมยานบนแป้นพิมพ์โฮโลแกรมตัวยานสั่นเล็กน้อยและเริ่มขยับอย่างช้าๆ เสียงสว่านยักษ์หัวยานดันเอี๊ยดอ๊าดบดหินย้อนกลับส่งให้ตัวยานค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นสู่พื้นผิว ยิ่งใกล้พื้นผิวความสว่างยิ่งมากขึ้น ผมต้องหยีตาเพื่อปรับแสง และยานขนย้ายก็ขึ้นสู่พื้นดิน
ผมพยายามปรับสายตา จากสิ่งรบกวน แสงแดด ฝุ่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากยานขนย้าย ผมปีนขึ้นไปยืนบนยาน พยายามหาจุดที่สูงที่สุดเพื่อสังเกตสิ่งที่อยุ่รอบตัวทั่วบริเวณ เป็นผืนดินสีดำแดงที่ร้อนและแห้ง มีต้นหญ้าขึ้นประปราย ทั้งหงิกงอและเหมือนจะตายไปแล้ว ในอากาศมีกลิ่นของโลหะเจือปนอยู่ ใกล้ๆนั้นมีรูขนาดใหญ่ ห้ารู ที่เหมือนกับรูของผม พวกนั้นคงปลอดภัย โดรนตัวหนึ่งบินออกมาจากรูหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันบินมาหยุดตรงหน้าผมครู่หนึ่งแล้วบินไปอีกด้าน ผมมองตามไปเห็นฝุ่นควันหนาทึบและโลหะกระจายเกลื่อน ทั่วบริเวณ ใจกลางกลุ่มควันและเปลวไฟ มีหลุมขนาดใหญ่ กว้างราวสิบเมตร ลึกกว่าสี่เมตร ปรากฏตรงหน้า ผมคว้ามีดพกประจำตัวมาถือไว้ แล้วสั่งคอนโทรเลอร์ที่ข้อมือให้เปิดการทำงานของมีด มันสั่นขึ้นอย่างแรงทันที จนต้องใช้สองมือประคอง มีดนี้เป็นอาวุธพื้นฐานอย่างสุดท้ายที่ ทหารอย่างเราๆต้องมี มันแข็งแรงทนทาน ซึ่งขัดแย้งกันอย่างมากกับรูปร่างลักษณะของมัน มันเบามาก โปร่งใส ราวกับแก้ว ไร้สีสันใดๆ ส่วนเรื่องความคมไม่ต้องพูดถึง ตัวมีดนั้นคมกริบอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้มันพิเศษยิ่งขึ้นคือ มันสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงมาก มันตัดตัวยานขนย้ายได้ง่ายๆโดยการออกแรงเล็กน้อย ผมเชื่อใจมันมากกว่า เชื่อใจผู้บังคับบัญชาของผมเสียอีก ผมเตรียมพร้อมแล้วกระโดดลงมาในหลุม ต้องคอยใช้มือบังความร้อนจากเปลวไฟเป็นระยะ ผมมองผ่านเข้าไปในเปลวไฟและกลุ่มควันด้วยความหวาดหวั่น เห็นเพียงกองเศษเหล็ก อยู่ก้นหลุม ไม่สามารถเข้าไปสำรวจใกล้ๆได้ แต่แน่ใจได้ว่าเป็นซากยานของหนึ่งในทีมของเราอย่างแน่นอน
"ดูเหมือนเราจะเสียหัวหน้ากลุ่มของเราไปแล้วนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมหันหลังกลับไป เห็นเพื่อนทหารสามคน ในชุดสูทรบเข้ารูปสีเทา เดินตามลงมา"ใช่ และนั่นก็หมายความว่าเธอได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนะ เฮเลน่า" ผมตอบ เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย และเดินมายังจุดที่ผมยืนอยู่ แล้วยกมือขึ้นบันทึกรูปภาพ ด้วยคอนโทรเลอร์ที่ข้อมือ ปรากฏภาพหญิงสาวผู้หนึ่งลอยเด่นอยู่กลางอากาศ
"ศูนย์อำนวยการ หัวหน้ามาคัสประสบอุบัติเหตุในการลงจอดเสียชีวิต ด้วยอำนาจการตามกฏ ชั้นขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยแทนเพืื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ" เธอพูด กับหน้าจอโฮโล ที่ปรากฏขึ้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ให้ตายสิ เธอเย็นชาชะมัด "รับทราบ ระบบเลื่อนขั้นให้เธอเรียบร้อยแล้ว ดำเนินภารกิจต่อไป รวบรวมกำลังพล เคลื่อนตัวไปยังพิกัดที่กำหนดทันที " จอภาพหายไป และสูทรบของเฮเลน่า ก็แปรสภาพกลายเป็นสีดำสนิท ตัดขอบด้วยสีแดง ดูน่าเกรงขาม ผู้หญิงหนึ่งในสองคนของทีมได้เลื่อนขั้นอย่างกระทันหันขึ้นมาเป็นหัวหน้าของเรา "เฮอะ โชคดีจังนะ" เบลูก้ามันยืนสบถอยู่ปากหลุมไม่ได้ลงมา ไอ้หมอนี่มันเป็นตัวอิจฉาของทีมเรามาตลอด มันอิจฉามาคัสและเฮเลน่ามาตลอดที่ทำคะแนนได้ดีกว่าและได้ตำแหน่งที่สูงกว่า มันไม่เคยยินยอมพร้อมใจเลย และที่มันรับไม่ได้ที่สุดคือ มันด้อยกว่าเฮเลน่าซึ่งเป็นผู้หญิง ส่วนผมและคนอื่นๆ ก็ถูกมันดูถูกรังเกียจ แค่เพราะคะแนนรบน้อยกว่า ในกลุ่มเราเบลูก้าค่อนข้างแปลกแยกและโดดเดี่ยว เรื่องทีมเวิร์ค ไม่ต้องพูดถึง ที่กลุ่ม13 ของเราห่วยที่สุด เพราะคนอย่างหมอนี่ พยายามโชว์ออฟ เพื่อให้ได้หน้า และสุดท้ายมันก็มาต่อว่าผมและอิกอร์และฮันน่า ว่าเป็นตัวถ่วง ความเจริญ ไม่มีใครคิดจะว่าอะไรมัน ยิ่งพูดมีแต่จะยิ่งแย่ "หุบปากของนายไปเลย เบลูก้า ตอนนี้ชั้นเป็นผู้บังคับบัญชาของนายแล้ว ไปที่ยานขนย้ายแล้วเตรียมพร้อมซะ เราจะออกเดินทางในอีกสิบห้านาที" เบลูก้าจ้องตอบอย่างดุดันไม่ไว้หน้าแล้วก็สะบัดหน้าจากไป
แล้วเฮเลน่าก็หันควับมายังผมอิกอร์และฮันน่า พร้อมตวาดเสียงเฉียบ "ลูท อิกอร์ ฮันน่า พวกนายก็ด้วย เร็วเข้า" อิกอร์ กับอันนา เหลือบมองมาทางผมยิ้มแหยๆ แล้วเดินกลับไปที่ยาน ส่วนผมยืนมองเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างใจลอยครู่หนึ่ง สำหรับผมเหมือนเป็นการไว้อาลัยให้มาคัส อดีตผู้บัญชาการของทีมเรา จากนั้นจึงตามกลุ่มกลับไปที่จุดลงจอด
โครนของผมกลับมา มันฉายภาพภูมิทัศน์โดยรอบ ชึ้นมาเป็นฉากๆ ระหว่างที่ผมกำลังเตรียมสัมภาระ มันแจ้งว่ารอบๆบริเวณดินแตกแห้งสีแดงกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ผมยกกล้องสำรวจไปโดยรอบ ก็ไม่พบอะไร ในภาพที่ฉายขึ้นมานั้น สัญญาณชีพระบุว่ามีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋วไปจนถึงตัวขนาดหมาป่าตัวใหญ่ เรามีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่นี่ค่อนข้างน้อย ที่เราพอจะรู้ก็เป็นข้อมูลที่ได้จากโดรนสำรวจที่ล่วงหน้ามาก่อนเราหกเดือนเศษ แถมข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นแค่ภาพถ่ายจากระยะไกลเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือเราแทบไม่้รู้จักอะไรที่นี่เลยก็ว่าได้ ณ จุดลงจอดของเรา ด้านหลังมีทิวเขาสูงที่มีต้นไม้สีน้ำเงินเข้มหนาทึบทอดยาวไปสุดตา ดูไปแล้วก็น่ากลัวพิลึก น่าแปลกที่สัญญาณชีพในบริเวณเขานั้นไม่ปรากฏอะไรเลย ก่อนลงมาที่นี่ เราได้รับคำเตือนให้อยู่ห่างจากบริเวณนั้น เพราะไม่สามารถวิเคราะห์อะไรจากยานแม่ได้เลย ทีมของเราที่มีเฮเลน่าเป็นผู้นำเก็บสัมภาระแล้วเสร็จ เตรียมเริ่มภารกิจสำรวจ จะเหลือคนที่ยังเตรียมตัวไม่เรียบร้อย ก็คือ อัลบี หนึ่งเดียวในทีมสำรวจที่ไม่ใช่ทหาร อัลบีในชุดสูทรบสีเทาอมฟ้า ซึ่งหมายถึงเขาสังกัดกองวิจัยภาคพื้นดิน แน่นอนว่าสกิลด้านการรบเป็น 0 รูปร่างที่บอบบาง อมโรค อายุน้อยที่สุดในกลุ่มของเรา ดูยังไงก็ตัวถ่วงชัดๆ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดในภารกิจที่ได้รับมอบ ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นเขา เป็นอัลบี เรามีหน้าที่คุ้มครองเขา ช่วยเขาทำการสำรวจภาคพื้นดิน ผมซึ่งปรกติก็ไม่ค่อยจะอินังขังขอบกับอะไรอยู่แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจอะไรนัก แต่คนที่ดูเหมือนจะไม่พอใจที่สุด ยังคงเป็นเบลูก้าเหมือนเดิม สายตาของมันที่จ้องไปยังอัลบี เป็นสายตาที่ดูถูก สมเพชอย่างสุดชีวิต มันคงวาดฝันไว้อย่างสวยหรูว่า การลงภาคพื้นดินครั้งแรกจะต้องได้บุกลุยข้าศึก อาบเลือด ฉะปะดะ แต่กลับต้องมาเดินตามเป็นบอดี้การ์ดให้กับ ไส้เดือนอ่อนแออย่างอัลบี มันถุยน้ำลายลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินออกไปจากบริเวณ ส่วนอัลบี เขากำลังเงอะงะ กับการพยายามติดตั้งเจ๊ตแพคบนไหล่ ราวกับว่าไม่เคยใช้มันมาก่อนเลย ฮันน่ายืนรออยู่ครู่ เหมือนหมดความอดทน จึงเข้าไปช่วย
"ขอบ...ใจนะ" "ฮื่อ ไม่เป็นไร" ฮันน่าเธอใจดีแบบนี้เสมอ ลุคของเธอก็สมเป็นผู้หญิงดี อาจจะมากไปจนเกินกว่าจะเป็นทหารด้วยซ้ำ อันที่จริงคะแนนรบของเธออยู่ค่อนข้างสูง สูงกว่า เฮเลน่ากับเบลูก้าเสียอีก แต่ด้วยความใจอ่อนของเธอ ทำให้ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ซึ่งดูๆไปแล้ว เธอก็เหมือนไม่ได้จะรุ้สึกอะไรเท่าไหรนัก ดุจะพอใจเสียด้วยซ้ำ ไม่มีความอิจฉาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ต่างกันสุดขั้วกับเบลูก้า ที่เห็นใครดีกว่าไม่ได้เลย
เมื่ออัลบีเตรียมตัวเสร็จเราก็พร้อมจะออกเดินทาง ผมกับอิกอร์ ต้องเป็นผู้ช่วย ในการแบกสัมภาระของอัลบีอย่างเสียไม่ได้ อัลบีขนของมาหลายอย่าง เขาบอกว่าเป็นอุปกรณ์ทดลองโน่นนี่นั่น ซึ่งเขาพูดมาซะเยอะและผมก็ไม่เข้าใจสักอย่าง ใครจะว่าโง่ก็ช่าง ผมไม่อายนะ เฉยๆเสียด้วยซ้ำ ผมถูกฝึกมาเป็นทหารนะไม่ใช่นักวิจัย แม้ผมไม่ได้โดดเด่นอะไรสักอย่าง แต่อย่างนึงที่ผมกล้าพูดเลยก็คือความสามารถในการเอาตัวรอด กับการ วิ่ง(หนี ฮะๆๆๆๆๆ
) ส่วนอิกอร์ ไอ้บ้าก้ามปู ไอ้หมอนี่เกลอผมเอง ปรกติมันก็บ้าๆบอๆเฮฮาตามประสา คะแนนรบก็พอๆกับผมนี่แหล่ะแต่จุดเด่นๆของมันที่เจ๋งก็คือ เวลามันน๊อตหลุด เนี่ย เบอร์เซิร์กเกอร์ดีๆนี่เอง มันเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษ คือ มันเกิดมาพร้อมกับความผิดปรกติของ ต่อมหมวกไตส่วนอะดรีนัลเมดัลลาที่ใหญ่ผิดปรกติมาก เวลามันตื่นเต้นหรือตกใจ มันก็จะได้สุดยอดยากระตุ้นอย่าง อะดรีนาลีน ฉีดพล่านเต็มตัว ทำให้มันมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ขีดจำกัดร่างกายได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่ามีประโยชน์กับเพื่อนร่วมทีมหากทีมตกอยู่ในภาวะคับขับอย่างไม่ต้องสงสัย
เฮเลน่าสั่งให้ทุกคน เก็บยานขนย้าย แม้มันจะเป็นยานแบบเที่ยวเดียวไม่มีกลับใช้ทีเดียวทิ้ง
"ผู้การ ทำใมเราต้องเก็บยานด้วยล่ะ มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้แล้วทิ้งเดินทางเที่ยวเดียวนะ" ,อัลบีถามอย่างฉงน"คุณเห็นรึเปล่า ว่าควันไฟจากยานขนส่งของผู้การมาคัส ลอยสูงไปถึงไหน การลงจอดที่ควรจะเงียบเชียบที่สุด กลายเป็นครึกโครมที่สุด หากมีอะไร หรือใครสังเกตุควันไฟ แล้วตามมาพบยานขนย้าย คุณคิดว่ามันจะเป็นยังไงล่ะ " เฮเลน่าตอบทุกคนสั่งยานขนย้ายของตัวเองเคลื่อนตัวลงไปใต้ดินอีกครั้ง ผมคิด ถึงจะเคลื่อนยานลงไป แต่รูกลมขนาดใหญ่ 5 รู ในบริเวณเดียวกัน ยังไงก็กลายเป็นจุดสนใจอยู่ดี และหากมี...ใคร?! ที่บ้าพอจะปีนลงไปในหลุมลึกเป็นกิโล ยังไงก็ต้องถูกพบอยู่ดี ทีมสำรวจ เตรียมพร้อมเดินทาง แต่ละคนมีสัมภาระติดตัวจำนวนหนึ่ง และเจ๊ตแพค คนละเครื่อง มีแค่ผมกับอิกอร์ที่ต้องรับสัมภาระจากอัลบีมากกว่าคนอื่น เราติดเครื่องเจ๊ตแพค แกนขับเคลื่อนกางออกไปข้างลำตัวเยื้องไปด้านหลัง พร้อมปลดปล่อยเปลวไฟสีน้ำเงินเข้ม เป็นริ้วออกไปด้านหลัง ราวกับปีกของเทวดา ฝุ่นกระจายไปเป็นวงรอบตัวเรา จากนั้นทีมก็ลอยตัวขึ้นสูงจากพื้น ในขณะนั้นเอง ผมเห็นบางสิ่ง พุ่งขึ้นจากรอยแยกของพื้นดินไกลออกไป มันเหมือนกลุ่มควันขนาดใหญ่ ลอยอ้อยอิ่ง แล้วมันก็ค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดรนที่บินอยู่ข้างกาย แจ้งสัญญาณสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาเราอย่างรวดเร็ว
XX
สัญญาณเตือน มาพร้อมเสียงดังลั่นและแสงวูบวาบดึงผมให้ตื่นขึ้นเสียงดังทึบๆดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับความกดอากาศที่เปลี่ยนไปจนปวดหู ตามด้วยลมร้อมจนแสบผิวไหลเข้ามาแม้จะใส่ชุดสูทแนบเนื้อชั้นดีอยุ่ก็ตาม ผมหยิบแคปซูลปรับอากาศ ขึ้นมาจ่อที่ปากแล้วบีบ ของเหลวเย็นเฉียบ พุ่งจากแคปซูลเข้าท่วมปอดจนสำลัก ต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่งกว่าจะหายใจได้ตามปรกติ ผมเงยหน้าขึ้นไปเหนือหัว เห็นจุดแสงไกลออกไป ราวกับพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางฟ้ายามค่ำคืน ผมลงมาอยู่ใต้ดินลึกกว่า 4 กิโลเมตร ปล่องดินที่เกิดจากยานขนส่งทะลวงผ่านพื้นผิวดาวลงมา ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ กว้างสองเมตรพอดิบพอดี โดยรอบผนังปล่องที่เกิดขึ้นบางส่วนยังมีรอยเผาไหม้แดงจัดอย่างชัดเจน พร้อมควันไฟ ผมปล่อยโดรนสังเกตุการณ์ขนาดเท่าหัวแม่มือรูปร่างคล้ายแมลง บินขึ้นไปสำรวจพื้นผิวก่อน ตามที่ฝึกมาในโรงเรียนทหาร สักครุ่หนึ่ง โครนส่งสัญญาณลงมาว่า ปลอดภัย ผมกดปุ่มควบคุมยานบนแป้นพิมพ์โฮโลแกรมตัวยานสั่นเล็กน้อยและเริ่มขยับอย่างช้าๆ เสียงสว่านยักษ์หัวยานดันเอี๊ยดอ๊าดบดหินย้อนกลับส่งให้ตัวยานค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นสู่พื้นผิว ยิ่งใกล้พื้นผิวความสว่างยิ่งมากขึ้น ผมต้องหยีตาเพื่อปรับแสง และยานขนย้ายก็ขึ้นสู่พื้นดิน
ผมพยายามปรับสายตา จากสิ่งรบกวน แสงแดด ฝุ่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากยานขนย้าย ผมปีนขึ้นไปยืนบนยาน พยายามหาจุดที่สูงที่สุดเพื่อสังเกตสิ่งที่อยุ่รอบตัวทั่วบริเวณ เป็นผืนดินสีดำแดงที่ร้อนและแห้ง มีต้นหญ้าขึ้นประปราย ทั้งหงิกงอและเหมือนจะตายไปแล้ว ในอากาศมีกลิ่นของโลหะเจือปนอยู่ ใกล้ๆนั้นมีรูขนาดใหญ่ ห้ารู ที่เหมือนกับรูของผม พวกนั้นคงปลอดภัย โดรนตัวหนึ่งบินออกมาจากรูหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันบินมาหยุดตรงหน้าผมครู่หนึ่งแล้วบินไปอีกด้าน ผมมองตามไปเห็นฝุ่นควันหนาทึบและโลหะกระจายเกลื่อน ทั่วบริเวณ ใจกลางกลุ่มควันและเปลวไฟ มีหลุมขนาดใหญ่ กว้างราวสิบเมตร ลึกกว่าสี่เมตร ปรากฏตรงหน้า ผมคว้ามีดพกประจำตัวมาถือไว้ แล้วสั่งคอนโทรเลอร์ที่ข้อมือให้เปิดการทำงานของมีด มันสั่นขึ้นอย่างแรงทันที จนต้องใช้สองมือประคอง มีดนี้เป็นอาวุธพื้นฐานอย่างสุดท้ายที่ ทหารอย่างเราๆต้องมี มันแข็งแรงทนทาน ซึ่งขัดแย้งกันอย่างมากกับรูปร่างลักษณะของมัน มันเบามาก โปร่งใส ราวกับแก้ว ไร้สีสันใดๆ ส่วนเรื่องความคมไม่ต้องพูดถึง ตัวมีดนั้นคมกริบอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้มันพิเศษยิ่งขึ้นคือ มันสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงมาก มันตัดตัวยานขนย้ายได้ง่ายๆโดยการออกแรงเล็กน้อย ผมเชื่อใจมันมากกว่า เชื่อใจผู้บังคับบัญชาของผมเสียอีก ผมเตรียมพร้อมแล้วกระโดดลงมาในหลุม ต้องคอยใช้มือบังความร้อนจากเปลวไฟเป็นระยะ ผมมองผ่านเข้าไปในเปลวไฟและกลุ่มควันด้วยความหวาดหวั่น เห็นเพียงกองเศษเหล็ก อยู่ก้นหลุม ไม่สามารถเข้าไปสำรวจใกล้ๆได้ แต่แน่ใจได้ว่าเป็นซากยานของหนึ่งในทีมของเราอย่างแน่นอน
"ดูเหมือนเราจะเสียหัวหน้ากลุ่มของเราไปแล้วนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมหันหลังกลับไป เห็นเพื่อนทหารสามคน ในชุดสูทรบเข้ารูปสีเทา เดินตามลงมา"ใช่ และนั่นก็หมายความว่าเธอได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนะ เฮเลน่า" ผมตอบ เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย และเดินมายังจุดที่ผมยืนอยู่ แล้วยกมือขึ้นบันทึกรูปภาพ ด้วยคอนโทรเลอร์ที่ข้อมือ ปรากฏภาพหญิงสาวผู้หนึ่งลอยเด่นอยู่กลางอากาศ
"ศูนย์อำนวยการ หัวหน้ามาคัสประสบอุบัติเหตุในการลงจอดเสียชีวิต ด้วยอำนาจการตามกฏ ชั้นขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยแทนเพืื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ" เธอพูด กับหน้าจอโฮโล ที่ปรากฏขึ้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ให้ตายสิ เธอเย็นชาชะมัด "รับทราบ ระบบเลื่อนขั้นให้เธอเรียบร้อยแล้ว ดำเนินภารกิจต่อไป รวบรวมกำลังพล เคลื่อนตัวไปยังพิกัดที่กำหนดทันที " จอภาพหายไป และสูทรบของเฮเลน่า ก็แปรสภาพกลายเป็นสีดำสนิท ตัดขอบด้วยสีแดง ดูน่าเกรงขาม ผู้หญิงหนึ่งในสองคนของทีมได้เลื่อนขั้นอย่างกระทันหันขึ้นมาเป็นหัวหน้าของเรา "เฮอะ โชคดีจังนะ" เบลูก้ามันยืนสบถอยู่ปากหลุมไม่ได้ลงมา ไอ้หมอนี่มันเป็นตัวอิจฉาของทีมเรามาตลอด มันอิจฉามาคัสและเฮเลน่ามาตลอดที่ทำคะแนนได้ดีกว่าและได้ตำแหน่งที่สูงกว่า มันไม่เคยยินยอมพร้อมใจเลย และที่มันรับไม่ได้ที่สุดคือ มันด้อยกว่าเฮเลน่าซึ่งเป็นผู้หญิง ส่วนผมและคนอื่นๆ ก็ถูกมันดูถูกรังเกียจ แค่เพราะคะแนนรบน้อยกว่า ในกลุ่มเราเบลูก้าค่อนข้างแปลกแยกและโดดเดี่ยว เรื่องทีมเวิร์ค ไม่ต้องพูดถึง ที่กลุ่ม13 ของเราห่วยที่สุด เพราะคนอย่างหมอนี่ พยายามโชว์ออฟ เพื่อให้ได้หน้า และสุดท้ายมันก็มาต่อว่าผมและอิกอร์และฮันน่า ว่าเป็นตัวถ่วง ความเจริญ ไม่มีใครคิดจะว่าอะไรมัน ยิ่งพูดมีแต่จะยิ่งแย่ "หุบปากของนายไปเลย เบลูก้า ตอนนี้ชั้นเป็นผู้บังคับบัญชาของนายแล้ว ไปที่ยานขนย้ายแล้วเตรียมพร้อมซะ เราจะออกเดินทางในอีกสิบห้านาที" เบลูก้าจ้องตอบอย่างดุดันไม่ไว้หน้าแล้วก็สะบัดหน้าจากไป
แล้วเฮเลน่าก็หันควับมายังผมอิกอร์และฮันน่า พร้อมตวาดเสียงเฉียบ "ลูท อิกอร์ ฮันน่า พวกนายก็ด้วย เร็วเข้า" อิกอร์ กับอันนา เหลือบมองมาทางผมยิ้มแหยๆ แล้วเดินกลับไปที่ยาน ส่วนผมยืนมองเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างใจลอยครู่หนึ่ง สำหรับผมเหมือนเป็นการไว้อาลัยให้มาคัส อดีตผู้บัญชาการของทีมเรา จากนั้นจึงตามกลุ่มกลับไปที่จุดลงจอด
โครนของผมกลับมา มันฉายภาพภูมิทัศน์โดยรอบ ชึ้นมาเป็นฉากๆ ระหว่างที่ผมกำลังเตรียมสัมภาระ มันแจ้งว่ารอบๆบริเวณดินแตกแห้งสีแดงกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ผมยกกล้องสำรวจไปโดยรอบ ก็ไม่พบอะไร ในภาพที่ฉายขึ้นมานั้น สัญญาณชีพระบุว่ามีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋วไปจนถึงตัวขนาดหมาป่าตัวใหญ่ เรามีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่นี่ค่อนข้างน้อย ที่เราพอจะรู้ก็เป็นข้อมูลที่ได้จากโดรนสำรวจที่ล่วงหน้ามาก่อนเราหกเดือนเศษ แถมข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นแค่ภาพถ่ายจากระยะไกลเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือเราแทบไม่้รู้จักอะไรที่นี่เลยก็ว่าได้ ณ จุดลงจอดของเรา ด้านหลังมีทิวเขาสูงที่มีต้นไม้สีน้ำเงินเข้มหนาทึบทอดยาวไปสุดตา ดูไปแล้วก็น่ากลัวพิลึก น่าแปลกที่สัญญาณชีพในบริเวณเขานั้นไม่ปรากฏอะไรเลย ก่อนลงมาที่นี่ เราได้รับคำเตือนให้อยู่ห่างจากบริเวณนั้น เพราะไม่สามารถวิเคราะห์อะไรจากยานแม่ได้เลย ทีมของเราที่มีเฮเลน่าเป็นผู้นำเก็บสัมภาระแล้วเสร็จ เตรียมเริ่มภารกิจสำรวจ จะเหลือคนที่ยังเตรียมตัวไม่เรียบร้อย ก็คือ อัลบี หนึ่งเดียวในทีมสำรวจที่ไม่ใช่ทหาร อัลบีในชุดสูทรบสีเทาอมฟ้า ซึ่งหมายถึงเขาสังกัดกองวิจัยภาคพื้นดิน แน่นอนว่าสกิลด้านการรบเป็น 0 รูปร่างที่บอบบาง อมโรค อายุน้อยที่สุดในกลุ่มของเรา ดูยังไงก็ตัวถ่วงชัดๆ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดในภารกิจที่ได้รับมอบ ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นเขา เป็นอัลบี เรามีหน้าที่คุ้มครองเขา ช่วยเขาทำการสำรวจภาคพื้นดิน ผมซึ่งปรกติก็ไม่ค่อยจะอินังขังขอบกับอะไรอยู่แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจอะไรนัก แต่คนที่ดูเหมือนจะไม่พอใจที่สุด ยังคงเป็นเบลูก้าเหมือนเดิม สายตาของมันที่จ้องไปยังอัลบี เป็นสายตาที่ดูถูก สมเพชอย่างสุดชีวิต มันคงวาดฝันไว้อย่างสวยหรูว่า การลงภาคพื้นดินครั้งแรกจะต้องได้บุกลุยข้าศึก อาบเลือด ฉะปะดะ แต่กลับต้องมาเดินตามเป็นบอดี้การ์ดให้กับ ไส้เดือนอ่อนแออย่างอัลบี มันถุยน้ำลายลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินออกไปจากบริเวณ ส่วนอัลบี เขากำลังเงอะงะ กับการพยายามติดตั้งเจ๊ตแพคบนไหล่ ราวกับว่าไม่เคยใช้มันมาก่อนเลย ฮันน่ายืนรออยู่ครู่ เหมือนหมดความอดทน จึงเข้าไปช่วย
"ขอบ...ใจนะ" "ฮื่อ ไม่เป็นไร" ฮันน่าเธอใจดีแบบนี้เสมอ ลุคของเธอก็สมเป็นผู้หญิงดี อาจจะมากไปจนเกินกว่าจะเป็นทหารด้วยซ้ำ อันที่จริงคะแนนรบของเธออยู่ค่อนข้างสูง สูงกว่า เฮเลน่ากับเบลูก้าเสียอีก แต่ด้วยความใจอ่อนของเธอ ทำให้ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ซึ่งดูๆไปแล้ว เธอก็เหมือนไม่ได้จะรุ้สึกอะไรเท่าไหรนัก ดุจะพอใจเสียด้วยซ้ำ ไม่มีความอิจฉาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ต่างกันสุดขั้วกับเบลูก้า ที่เห็นใครดีกว่าไม่ได้เลย
เมื่ออัลบีเตรียมตัวเสร็จเราก็พร้อมจะออกเดินทาง ผมกับอิกอร์ ต้องเป็นผู้ช่วย ในการแบกสัมภาระของอัลบีอย่างเสียไม่ได้ อัลบีขนของมาหลายอย่าง เขาบอกว่าเป็นอุปกรณ์ทดลองโน่นนี่นั่น ซึ่งเขาพูดมาซะเยอะและผมก็ไม่เข้าใจสักอย่าง ใครจะว่าโง่ก็ช่าง ผมไม่อายนะ เฉยๆเสียด้วยซ้ำ ผมถูกฝึกมาเป็นทหารนะไม่ใช่นักวิจัย แม้ผมไม่ได้โดดเด่นอะไรสักอย่าง แต่อย่างนึงที่ผมกล้าพูดเลยก็คือความสามารถในการเอาตัวรอด กับการ วิ่ง(หนี ฮะๆๆๆๆๆ
) ส่วนอิกอร์ ไอ้บ้าก้ามปู ไอ้หมอนี่เกลอผมเอง ปรกติมันก็บ้าๆบอๆเฮฮาตามประสา คะแนนรบก็พอๆกับผมนี่แหล่ะแต่จุดเด่นๆของมันที่เจ๋งก็คือ เวลามันน๊อตหลุด เนี่ย เบอร์เซิร์กเกอร์ดีๆนี่เอง มันเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษ คือ มันเกิดมาพร้อมกับความผิดปรกติของ ต่อมหมวกไตส่วนอะดรีนัลเมดัลลาที่ใหญ่ผิดปรกติมาก เวลามันตื่นเต้นหรือตกใจ มันก็จะได้สุดยอดยากระตุ้นอย่าง อะดรีนาลีน ฉีดพล่านเต็มตัว ทำให้มันมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ขีดจำกัดร่างกายได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่ามีประโยชน์กับเพื่อนร่วมทีมหากทีมตกอยู่ในภาวะคับขับอย่างไม่ต้องสงสัย
เฮเลน่าสั่งให้ทุกคน เก็บยานขนย้าย แม้มันจะเป็นยานแบบเที่ยวเดียวไม่มีกลับใช้ทีเดียวทิ้ง
"ผู้การ ทำใมเราต้องเก็บยานด้วยล่ะ มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้แล้วทิ้งเดินทางเที่ยวเดียวนะ" ,อัลบีถามอย่างฉงน"คุณเห็นรึเปล่า ว่าควันไฟจากยานขนส่งของผู้การมาคัส ลอยสูงไปถึงไหน การลงจอดที่ควรจะเงียบเชียบที่สุด กลายเป็นครึกโครมที่สุด หากมีอะไร หรือใครสังเกตุควันไฟ แล้วตามมาพบยานขนย้าย คุณคิดว่ามันจะเป็นยังไงล่ะ " เฮเลน่าตอบทุกคนสั่งยานขนย้ายของตัวเองเคลื่อนตัวลงไปใต้ดินอีกครั้ง ผมคิด ถึงจะเคลื่อนยานลงไป แต่รูกลมขนาดใหญ่ 5 รู ในบริเวณเดียวกัน ยังไงก็กลายเป็นจุดสนใจอยู่ดี และหากมี...ใคร?! ที่บ้าพอจะปีนลงไปในหลุมลึกเป็นกิโล ยังไงก็ต้องถูกพบอยู่ดี ทีมสำรวจ เตรียมพร้อมเดินทาง แต่ละคนมีสัมภาระติดตัวจำนวนหนึ่ง และเจ๊ตแพค คนละเครื่อง มีแค่ผมกับอิกอร์ที่ต้องรับสัมภาระจากอัลบีมากกว่าคนอื่น เราติดเครื่องเจ๊ตแพค แกนขับเคลื่อนกางออกไปข้างลำตัวเยื้องไปด้านหลัง พร้อมปลดปล่อยเปลวไฟสีน้ำเงินเข้ม เป็นริ้วออกไปด้านหลัง ราวกับปีกของเทวดา ฝุ่นกระจายไปเป็นวงรอบตัวเรา จากนั้นทีมก็ลอยตัวขึ้นสูงจากพื้น ในขณะนั้นเอง ผมเห็นบางสิ่ง พุ่งขึ้นจากรอยแยกของพื้นดินไกลออกไป มันเหมือนกลุ่มควันขนาดใหญ่ ลอยอ้อยอิ่ง แล้วมันก็ค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดรนที่บินอยู่ข้างกาย แจ้งสัญญาณสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาเราอย่างรวดเร็ว
XX
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ