Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) มหานครแห่งน้ำตา 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          “อื้อออออออ....”  ศาสบิดขี้เกียจอย่างสบายใจหลังจากงานที่เขาตรากตรำทำมานานในที่สุดมันก็เสร็จเสียที กว่าที่เจ้าตัวเองจะรู้ตัวก็พบว่าเพื่อนร่วมงานโดยรอบต่างมองมาที่เขาด้วยความสงสัย ศาสจึงได้แต่ลูบหัวเพื่อแก้เขิน ก่อนที่ทุกคนจะทยอยกันกลับ บรรยากาศในวันนี้ดูมีชีวิตชีวากว่าทุกที เพราะหลังจากช่วงนี้ไปจะเป็นวันหยุดยาวในขณะที่เขากำลังเก็บของอยู่นั้นเองรีอาได้เดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนศาสถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลง

           “ขอโทษนะศาส...ช่วยมาด้วยกันหน่อยได้ไหม”  รีอากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าปกติศาสจึงหยุดมือจากเรื่องที่ทำอยู่พร้อมกับพยักหน้าตอบ

          เมื่อทั้งคู่ลงมาด้านล่างก็พบกับ Skydrive มารอรับเขาอยู่แล้วทำเอาศาสอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะได้นั่งมัน จนทำให้รู้สึกเกร็งไม่น้อย

          “เราจะไปที่ไหนกันเหรอรีอา”

          “ศูนย์วิจัยย่อยของบริษัทน่ะไว้ถึงที่นั่นแล้วชั้นจะอธิบายอีกทีแล้วกัน”  รีอาตอบพร้อมกับมองคอมแล็ปทอปของเธออย่างไม่วางตา

          ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย ศาสมองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รอบๆ ก็ทำให้เขาพอจะรู้ที่ตั้งของมันได้ว่าอยู่บริเวณนอกเมืองทางตอนเหนือนั่นเอง แต่เมื่อเห็นอาคารที่เป็นที่หมายก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามันเป็นเพียงตึกร้างเล็กๆ เพียงไม่กี่ชั้นเท่านั้น

          “อะไรกันเจ้าตึกที่น่าสงสัยนี่......”  ศาสอดพูดออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสภาพอันทรุดโทรมของมัน

          “เอ้าอย่ามัวแต่เหม่อสิรีบเข้าไปกันเถอะ”รีอาส่งเสียงเรียกศาสจึงรีบตามเธอเข้าไปด้านใน ก็พบเธอยืนอยู่ด้านหน้าของลิฟท์เก่าๆ  เมื่อเธอสอดการ์ดบางอย่างลงในร่องบนแผงควบคุม ก็มีเสียงดังขึ้นจากห้องด้านใน ก่อนที่รีอาจะเดินนำทางเข้าไปสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ทำเอาศาสถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพบพื้นห้องที่แยกออกตามรอยของกระเบื้องกลายเป็นทางลงไปยังด้านล่าง

          เมื่อลงไปด้านล่างเรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนละโลกกับภายนอกที่เห็น เพราะภายในเป็นทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอันล้ำสมัย ที่สุดทางมีประตูอยู่บานหนึ่งรีอาใช้เวลาอยู่กับมันไม่นานนักมันก็ถูกเปิดออกภายในเป็นห้องกว้างสีขาวสะอาดตามีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ แปลกตาอยู่เต็มไปหมด

          “ยินดีต้อนรับทั้งคู่ ทางนี้ๆ” เมื่อพวกเขามองไปก็พบกับใบหน้าที่ยื่นออกมาจากห้องด้านในพร้อมกับกวักมือเรียกให้ทั้งคู่เข้าไป เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปก็พบกับกลุ่มชายวัยกลางคนชาวต่างชาติห้าคนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่ดูเซอร์ๆ หลายคนไว้ผมยาวซึ่งถูกมัดด้วยหนังยางอย่างง่ายๆ หนวดเคราที่ไม่ได้ถูกโกนมานานในชุดลำลองที่ดูสบายๆ  ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ของสถานที่อย่างบอกไม่ถูก

          หนึ่งในกลุ่มชี้ไปที่ศาสพร้อมกับพูดบางอย่างก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะกันอย่างชอบใจ

          “เอาล่ะๆ ชั้นขอแนะนำนะ นี่คือนักวิจัยของชั้นเอง ถึงจะดูแปลกๆ ไปหน่อยแต่พวกเขาก็จัดเป็นระดับหัวกะทิจากสาขาต่างๆ เลยล่ะ ต่อจากนี้พวกเขาจะคอยซับพอร์ทพวกเรา”รีอาเริ่มการแนะนำตัว

          “ผมศาสตรา พันแสงครับต่อจากนี้ไปขอฝากตัวด้วยครับ”

          “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ไอชื่อเจมส์ ขอเป็นตัวแทนของนักวิจัยแล้วกัน เพราะพวกเขายังพูดภาษาไทยไม่ได้ไม่เหมือนกับไอ” เจมส์แนะนำตัวพร้อมกับจับมือของศาส

          “แล้วของที่สั่งไว้เป็นยังไงบ้างคะ” รีอาถามขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้นเจมส์จึงชี้ไปด้านหลังก็พบกับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำตัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยสายรัดหนัง ซึ่งดูเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเสื้อแฟชั่นที่วัยรุ่นมักนิยมใส่กันในปัจจุบัน รีอาเดินเข้าไปดูใกล้ๆและยิ้มอย่างพอใจ

          “เอ่อ...ที่พามาที่นี่เพื่อให้ดูเสื้อนี่อย่างนั้นเหรอ” ศาสถามด้วยความสงสัยเจมส์จึงหัวเรอะอย่างชอบใจก่อนที่เขาจะเดินไปดึงหนึ่งในสายรัดออกมา ทันทีที่เขาสะบัดมันจากสายหนังธรรมดาๆ มันกลับแปรสภาพเป็นของแข็งกลายเป็นแท่งราวกับใบดาบก่อนที่จะยื่นมันให้กับศาส ไม่นานนักทีมวิจัยคนอื่นก็เข็นหุ่นจำลองรูปร่างมนุษย์เข้ามา รีอาพยัคหน้าเป็นสัญาณให้กับศาสเขาจึงเดินเข้าไปหาหุ่นจำลองนั้นก่อนที่จะวาดดาบลงไปบนตัวมัน พริบตาเดียวมันก็ถูกฟันขาดออกจากกันเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย

          “นะ นี่มัน สุดยอดไปเลยทั้งน้ำหนัก...ทั้งสัมผัสและความคมนี่อีก.....” ศาสถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่นานนักเจมส์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับเริ่มอธิบาย

          “เราใช้ข้อมูลที่คุณหนูรวบรวมมาจากการต่อสู้ของยูนะศาสในการออกแบบอุปกรณ์พวกนี้ขึ้นมา เราทำให้มันกลมกลืนโดยไม่ถูกจับได้จึงสามารถสวมใส่ไปได้ในทุกที่ แต่การคงสถานะของมันสามารถคงอยู่ได้เพียง 10 นาทีก่อนที่จะจำเป็นต้องใส่ซองบนเสื้อเพื่อชาร์จใหม่อีกสองชั่วโมง”

          “งั้นเสื้อนี่ก็เหมือนที่ชาร์จแบตสินะครับ” ศาสพูดพร้อมกับสำรวจเสื้อที่วางอยู่อย่างสนใจ

          “โน โน ยูพูดอะไรอย่างนั้นผิววัสดุที่ใช้ทำเสื้อน่ะถูกทอขึ้นด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้ในวงการทหารเชียวนะมันจึงเป็นเสื้อเกราะน้ำหนักเบายังไงล่ะ ว่าแต่ยูลองใส่ดูก่อนสิ”เมื่อได้ยินดังนั้นศาสจึงหยิบมันขึ้นมาสวมซึ่งมันเข้ารูปกับตัวเขาพอดี เขาจึงเข้าใจแล้วว่าสิ่งของเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นอย่างดีเพื่อเขาโดยเฉพาะ

          “เจมส์แล้วผลงานชิ้นนี้นายตั้งชื่อมันว่าอะไรล่ะ” รีอาถามขึ้นเจมส์ทำท่าคิดหนักอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าศาส

          “อืมมันมีดาบทั้งหมดเก้าเล่มใช่ไหมครับ งั้นตั้งชื่อว่า ”เก้าคม” ไหมล่ะ” เจมส์ได้ฟังดังนั้นจึงพยัคหน้าตอบอย่างพอใจ

          “เอาล่ะศาสยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากและอยากขอความร่วมมือจากเธอด้วย” ซึ่งศาสก็พยัคหน้ารับก่อนที่รีอาจะพาเดินเข้าห้องประชุมที่อยู่ใกล้ๆกัน

          “เอาล่ะนายรู้จักเมืองหลวงเก่าใช่ไหม” รีอาถามขึ้นในขณะที่เธอกำลังเปิดภาพถ่ายดาวเทียมขึ้นมา

          “หมายถึงกรุงเทพ...มหานครแห่งน้ำตาอย่างนั้นเหรอ...ตามประวัติศาสเมื่อ100ปีก่อนมันล่มสลายลงเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จึงพื้นดินบางส่วนจมลงทะเลใช่ไหมมันจึงกลายโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่และถูกประกาศเป็นนครต้องห้ามตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ว่าแต่งานในครั้งนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นั่นอย่างนั้นเหรอ”

          “...ตามสายข่าวที่ได้รับมาก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวมีกลุ่มนายทุนลักลอบขนโบราณวัตถุมาเก็บซ่อนไว้ในอาคารแห่งหนึ่งชั้นคิดว่ามันคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราด้วย”รีอาพูดพร้อมกับซูมภาพจากมุมสูงก็เห็นอาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางซากตึกที่อยู่โดยรอบ

          “งั้นเรื่องก็มีความเป็นไปได้ว่าองค์กรอื่นก็อาจรู้แล้วเหมือนกัน แน่ใจเหรอว่าของที่เรากำลังตามหาจะไม่ถูกชิงเอาไปแล้ว” ศาสพูดขึ้นจนรีอานิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

          “เป็นอย่างที่นายพูดล่ะศาส...ความจริงมีหลายองค์กรที่รู้เรื่องนี้แล้วและต่างแอบส่งคนเข้าไปแต่ไม่มีใครได้กลับออกมาแม้แต่คนเดียว...”

          “....เรื่องในครั้งนี้มันไม่เกินมือพวกเราไปหน่อยเหรอ....และหากผมปฏิเสธล่ะ”ศาสพูดด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความกังวล รีอาเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของศาส

          “อืม...เรื่องในครั้งนี้ชั้นจะเคารพการตัดสินใจของนาย เพราะมันอันตรายและไม่มีหลักประกันใดๆ เลยว่าจะได้รอดกลับมา...”รีอาพูดพร้อมกับยิ้มราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้และเธอเองก็คงเตรียมใจกับคำตอบแบบนี้อยู่แล้ว

          “แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะไปจริงๆ น่ะเหรอ”ศาสถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

          “อืม...ชั้นคิดว่าหากมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง...”

          “เฮ้อออ....ยัยบ๊องนี่งั้นก็ไม่ต้องถามแล้ว จะให้ชั้นทิ้งเธอไปได้ยังไงเล่า” ศาสถอนหายอยู่เฮือกใหญ่ก่อนที่เขาจะตอบออกไป ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องมานั่งเสียใจภายหลัง

          “ขอบคุณนะศาส...” รีอาตอบด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความโล่งใจพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอ

          “แล้วพวกเราจะเข้าไปในกรุงเทพได้ยังไงในเมื่อทางการสร้างกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบไว้แถมการรักษาความปลอดภัยยังเป็นระดับสูงสุดอีก”

          “สำหรับคนทั่วไปคงจะมองเป็นอย่างนั้น แต่ทางเรามีภาพถ่ายใต้ผิวดินจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรณ์ที่ยืนยันได้ว่ายังมีเส้นทางของรถไฟใต้ดินยังสามารถใช้งานได้อยู่ เราจะลอบเข้าไปทางนั้นล่ะ”รีอาอธิบายพร้อมกับกางแผนที่ภาพถ่ายให้กับศาส หลังจากนั้นเธอจึงอธิบายแผนการโดยละเอียดซึ่งก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป  

          “เฮ้อมีเวลาเตรียมใจอีกหนึ่งวันงั้นเหรอเนี่ย....” ศาสพูดกับตนเองก่อนที่จะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

          เช้าวันรุ่งขึ้นศาสรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ว่าด้วยตัวภารกิจเองน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน แต่ข้อมูลที่ได้มาจากรีอาเองก็ค่อนข้างคลุมเคลือจนไม่รู้ว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่เป็นอะไรกันแน่ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้รับมือกับบรรดาปีศาจจึงถูกเตรียมขึ้น ไม่นานนักห้องของเขาก็อบอวลไปด้วยกลิ่นธูปและกำยานที่ใช้ประกอบพิธีพร้อมๆกับเสียงบริกรรมคาถาที่ดังขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะบ่ายคล้อยแล้ว พร้อมๆ กับท้องของเขาที่เริ่มอาละวาดเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า

          “เฮ้อ...มือนี้ขอพึ่งร้านสะดวกซื้อสักมื้อแล้วกัน” ในขณะที่เขากำลังจัดแจงแต่งตัวอยู่นั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

          “อ้าว...เอ่อ...ว่าไง” ศาสตกใจจนทำตัวไม่ถูกเมื่อพบว่าแขกที่มาคือรีอานั่นเอง จนทำให้เธอเองพลอยประหม่าไปด้วยเช่นกัน

          “อะ เอ้านี่!! กินอะไรที่มีประโยชน์ซะบ้างพรุ้งนี้จะได้มีแรง” รีอารีบยื่นถุงพลาสติกใบใหญ่ให้กับศาสเมื่อเขารับมันมาแบบงงๆ ก่อนที่จะเริ่มสำรวจดูข้างในก็พบว่ามีเนื้อและผักอย่างดีหลากหลายประเภท

          “นี่ใจคอจะไม่เชิญชั้นเข้าข้างในก่อนเหรอ” รีอาร้องทักขึ้น

          “ไม่! นี่เธอไม่เคยทำกับข้าวเองเลยใช่ไหมมม ถึงได้ซื้ออะไรก็ไม่รู้ปนกันมั่วไปหมด รออยู่นี่ล่ะเดี๋ยวออกไปซื้อของเพิ่มกับผมเลย” คำพูดของศาสแทงใจดำของรีอาเข้าอย่างจังจนเธอถึงกับสะดุ้งก่อนที่จะยอมยืนรอเขาอยู่ด้านนอกแต่โดยดี

          หลังจากจัดการของเข้าตู้เย็นเรียบร้อยแล้วศาสจึงพาเธอเดินไปยังซูปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากหอพักมากนัก

          “นี่ มีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวผมจะทำให้สุดฝีมือเลย” ศาสถามขึ้นในขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงโซนอาหารสด  รีอาทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมองมายังวัตถุดิบที่วางขายหลากหลายประเภทเธอจึงรู้สึกถอดใจ

          “...ชั้นไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับอาหารไทยซะด้วยสิ ฝากให้นายช่วยจัดการแล้วกันนะ”

          “เข้าใจแล้ว เชื้อมือผมได้เลย” ไม่นานนักวัตถุดิบต่างๆ ก็เริ่มถูกรวบรวมจนเป็นรูปเป็นร่างของอาหารที่จะทำบ่งบอกถึงความชำชาญของเขาได้เป็นอย่างดีทั้งการเลือกวัตถุดิบ การต่อราคากับแม่ค้า ล้วนแต่เป็นเรื่องใหม่สำหรับรีอา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวพวกเขาก็ได้วัตถุดิบทุกอย่างตามที่ต้องการ

          เมื่อกลับมาถึงห้องพักของทุกอย่างถูกเตรียมด้วยความรวดเร็วและจัดเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบจนรีอานึกสนุกจึงขอศาสเข้ามาช่วยบ้าง

          “อ๊า...จับมีดให้มันดีๆหน่อยสิ” เพียงแค่เห็นท่าจับมีดของเธอศาสก็เข้าใจทันทีถึงฝีมือการทำอาหารของเธอที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเขาพยายามสอนเธอถึงการจับมีดที่ถูกต้องอยู่นาน ถึงแม้รีอาจะพยายามอย่างเต็มที่แต่ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ก็ทำให้ศาสอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

          “โอ๊ยย!!...” เพียงครู่เดียวที่เขาเบนความสนใจไปจากเธอ ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว ศาสรีบไปดูก็พบรีอากำลังเอามืออีกข้างปิดแผลที่นิ้วชี้ของเธออยู่พร้อมๆ กับเลือดที่ค่อยๆ ซึมออกมา

          “ไหนขอผมดูหน่อย...” ศาสรีบจับมือของเธอขึ้นมาก่อนจะใช้ริมฝีปากของเขาประกบลงไป

          เมื่อเขาถอนริมฝีมากขึ้นก็พบว่าใบหน้าของรีอากลายเป็นสีแดงไปเสียแล้ว จนทำให้ศาสรู้ตัวถึงสิ่งที่เขาเผลอทำออกไป ไม่ทันไรใบหน้าของเขาที่เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวและหัวใจที่เต้นแรงขึ้นจนเขารู้สึกได้ ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งรีอาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเธอพยายามขยับริมฝีปากที่เริ่มสั่นเทาแต่ก็ไร้ซึ่งเสียง จนบรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลงจนทั้งคู่ต่างได้ยินเสียงของลมหายใจ

          “ติ๊ง!!!” เสียงจากเตาไฟฟ้าร้องดังขึ้นจนทั้งคู่ถึงกับสะดุ้ง

          “อา...ผมขอโทษ รอนี่เดี๋ยวนึงนะเดี๋ยวจะทำแผลให้” ศาสพูดพร้อมกับรีบเดินไปหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาล

          “ตาบ้า....” รีอาเอ่ยขึ้นอย่างเบาๆ พร้อมกับกุมมือของเธอขึ้นมาแนบอก

          “รีอามานั่งตรงนี้แป๊ปนึงสิ” ศาสเรียกเธอไปนั่งยังโซฟาก่อนที่เขาจะเริ่มทำแผลให้กับเธอ ซึ่งพวกเขายังคงรู้สึกอายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนแทบไม่มองหน้ากันเลย

          ทันใดนั้นเองกลิ่นที่ไม่น่าพิศมัยก็ลอยคลุ้งออกมาจากห้องครัว ศาสสะดุ้งขึ้นสุดตัวพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปทันทีเพราะมันคือกลิ่นอาหารที่เขาตั้งไฟทิ้งไว้นั่นเองเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ศาสจึงกลับมาจัดการทำอาหารต่อโดยมีรีอานั่งมองอยู่จากห้องข้างๆ เพราะศาสยื่นคำขาดให้เธอรออยู่เฉยๆ และห้ามเข้ามายุ่งกับครัวของเขาอีก

          ในที่สุดอาหารก็ถูกปรุงออกมาเสร็จสรรพ สำรับถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยภาชนะที่พอจะหาได้ในห้องครัวหน้าตาของมันจึงดูประหลาดไปบ้าง

          “ไอ้ที่ดำๆ ในจานนั่นมันคืออะไรเหรอศาส”  รีอาถามพร้อมกับเอาช้อนเขี่ย

          “มันคือไก่ดำทอดสูตรพิเศษน่ะ หมูดำยังมีเลยแล้วทำไมไก่ดำจะมีบ้างไม่ได้....” ศาสตอบด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับขยับแว่นจนรีอาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะเธอรู้ดีเรื่องที่เขาทำอาหารไหม้ แต่เพราะเหตุการณ์นี้ช่วยทำให้ทั้งคู่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและกลับมาคุยกันได้อย่างปกติ

          หลังจากทั้งคู่ช่วยกันเก็บกวาดจานชามเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว รีอาก็หยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนที่เธอจะมองหน้าศาส ซึ่งศาสเองก็เข้าใจความหมายของมันดี เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบเป้ที่เขาได้เตรียมไว้ เมื่อทั้งคู่เดินออกมาหน้าหอพักก็พบว่ามี Skydrive มาจอดรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าสู่ห้องวิจัยเพื่อเตรียมตัวในขั้นตอนสุดท้าย

          อุปกรณ์ต่างๆ ถูกหยิบขึ้นมาตรวจสอบในครั้งสุดท้ายพร้อมๆ กับความรู้สึกหวั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อศาสมองนาฬิกาก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบตีสองซึ่งใกล้เวลาเริ่มแผนการ ในไม่ช้า Skydrive ก็มาส่งพวกเขาจนถึงที่หมายสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือทางเข้าของสถานีรถไฟใต้ดินที่ถูกปิดตายมากว่าหนึ่งศตวรรษ

          “เอาล่ะเตรียมใจพร้อมแล้วใช่ไหม”  รีอายิ้มให้กับศาส

          “อ่ามาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องถามอีกเหรอ” ศาสพูดพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่รีอาจะเดินเข้าไปใส่รหัสควบคุมไม่นานนักฟันเฟืองก็เริ่มขับเคลื่อนกลไกต่างๆ จนเกิดเสียงร้องดังกึกก้องคล้ายกับเสียงครวญราวกับว่ามันไม่ต้องการให้มีผู้ใดย่างกรายเข้าไป ในที่สุดประตูเหล็กบานยักษ์สู่ชั้นใต้ดินค่อยๆ เปิดออกทั้งคู่มองหน้ากันพักหนึ่งก่อนที่จะเดินลงไป

          ภายในสถานีรถไฟใต้ดินช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด อากาศที่เหม็นสาปเพราะถูกปิดตายมาหลายปีแบตทีเรียต่างๆ ที่เกิดจากความอับชื้นการอยู่ในที่แบบนี้นานๆ คงไม่ส่งผลดีกับมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายพวกเขาดึงหน้ากากกันสารพิษจากคอเสื้อขึ้นมาสวม

          “เอาล่ะศาส CLL ทำงานไหม”

          “หากหมายถึงคอนแทคเลนส์ไลท์ ทำงานตามปกติดีนะ แต่มันมองลำบากยังไงก็ไม่รู้” ศาสตอบพร้อมกับหรี่ตามองไปรอบๆ

*contact lens Light อุปกรณ์สำหรับมองในที่มืดที่ทำออกมาอยู่ในรูปลักษณ์ของคอนแทคเลนส์ โดยปกติจะสวมไว้หนึ่งข้าง*                   

          ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปตามรางรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปสู่มหานครแห่งน้ำตา ร่องรอยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีตยังคงหลงเหลืออยู่ตามทางเดินเศษเสื้อผ้าเครื่องใช้บางส่วนยังคงกระจัดกระจายอยู่ตามทางเดิน คงมีผู้คนมากมายที่ใช้ทางสายนี้หนีตายออกมาจากเมืองในขณะที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่                   

          “นี่อย่ามัวแต่เหม่อสิเดี๋ยวก็หลงกันหรอก” รีอาเตือนสติศาสเมื่อเห็นเขาเอาแต่มองข้าวของตามทางเดิน แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เธอว่า เมื่อพวกเขายิ่งเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ ทางเดินยิ่งซับซ้อนหากไม่มีแผนที่พวกเขาคงได้ติดอยู่ในเส้นทางที่ราวกับเขาวงกตนี้ได้โดยง่าย                   

          ในที่สุดพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดผ่านช่วยให้พวกเขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะมันหมายความว่าใกล้มาถึงทางออกแล้ว ในขณะนั้นเองทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งผ่านอากาศเข้ามาได้ ในตอนนั้นเองมีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ตัดผ่านแสงหน้าอุโมงค์จนเกิดเป็นเงาขึ้นซึ่งดูจากลักษณะเงาที่ทอดลงมาก็พอจะระบุได้ว่าน่าจะเป็นเงาของมนุษย์ แต่จากลักษณะการเดินดูเหมือนว่าเขาได้รับบาดเจ็บศาสจึงตัดสินใจออกจากที่ซ่อนเพื่อเข้าไปช่วยเขา                   

          “พี่ชายใจเย็----!!!” ยังไม่ทันจะพูดจบชายผู้นั้นก็หันปืนเข้าใส่ศาสพร้อมกับรัวกระสุนเข้าใส่ไม่ยั้งในชั่วพริบตาก่อนลั่นไกศาสสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร เขาจึงสามารถเบี่ยงตัวหลบออกมาได้อย่างฉิวเฉียด                              “ข้าไม่ยอมตายคนเดียวหรอกโว้ย ไอ้พวกปีศาจ ฮ่าๆๆ” ชายคนดังกล่าวร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับกราดยิงไปรอบๆ ราวกับคนเสียสติ แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อชายคนนั้นหยิบระเบิดขึ้นมาเขาดึงสลักและขว้างมายังพวกเขา                   

          “ศาสรีบวิ่งไปยังทางออกเดี๋ยวนี้เลย!!!”   รีอาร้องเตือนเธอกระโดดออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับร่ายเวทย์ก็เกิดเปลวไฟระเบิดขึ้นตรงหน้าของชายคนนั้นแรงระเบิดทำให้เขากระเด็นออกจากอุโมงค์ไป ส่วนศาสและรีอาต่างรีบวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิตก่อนที่ระเบิดจะทำงาน เพียงพริบตาเดียวเสียงจากการระเบิดก็ดังขึ้นกึกก้องทั้วทั้งบริเวณแรงจากการระเบิดทำให้พวกเขากระเด็นไปจนถึงปากทาง                   

          “รีอา! รีอา! เป็นอะไรหรือเปล่า!!” เมื่อศาสรู้สึกตัวเขาเขารีบลุกขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ ก็พบว่าเธอปลอดภัยดี แต่ถึงแม้พวกเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากแรงระเบิดได้แต่โชคร้ายที่โครงสร้างของอุโมงค์รถไฟไม่สามารถทนต่อแรงระเบิดได้มันเกิดการทรุดตัวลงและถล่มลงมาเท่ากับว่าในตอนนี้เส้นทางออกของพวกเขาได้ถูกปิดตายไปแล้ว                               “อ๊าคคคคคคคคคค!!!” เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของชายคนดังกล่าวดังขึ้นเมื่อพวกเขามองลงมายังฝืนน้ำเบื้องล่างก็พบเพียงรอยเลือดที่สาดกระเซ็นบนผิวน้ำจนย้อมให้น้ำบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง เพียงแค่เห็นปริมาณของมันพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนดังกล่าวไม่มีทางรอดแน่ๆ           “อืม....ดูท่าทางพวกเราคงจะเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดซะแล้วสิ....” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเครียด                   

          “จำได้ไหมชายคนเมื่อกี้พูดว่า ”พวกปีศาจ” มันคงมีมากกว่าหนึ่งตัวหากดูจากการล่าของมันแล้วล่ะก็พวกมันคงถนัดการต่อสู้ในน้ำยังไงก็หลีกเลี่ยงไว้ก่อนแล้วกัน ”  รีอาลองวิเคราะห์ข้อมูลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ซึ่งศาสเองก็เห็นด้วยทั้งคู่จึงปีนขึ้นที่สูงพร้อมกับเริ่มสำรวจภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รอบๆ                    

          สภาพของเมืองในตอนนี้ไม่ต่างกับหนังไซไฟที่พวกเขาเคยดูนัก ตึกราบ้านช่องที่ล้มระเนระนาดและน้ำที่ท่วมสูงจนไม่เหลือส่วนของพื้นดินปรากฏให้เห็น และพื้นที่บางส่วนที่แผ่นดินทรุดลงไปจนเกิดเป็นหลุมขนาดมหึมาถึงแม้น้ำจะใสสะอาดแต่ก็ไม่สามารถมองลงไปถึงก้นหลุมได้ ให้ความรู้สึกว่าสถานที่นี้ช่างแสนจะเปราะบางราวกับว่ามันพร้อมที่จะล่มสลายลงได้ทุกเมื่อ ถึงแม้มันจะดูไร้ซึ่งความหวังแต่ธรรมชาติก็สามารถจัดการตนเองได้อย่างเหมาะสมจนเกิดเป็นระบบนิเวศน์ที่แปลกตาอยู่ตามตัวตึกและบ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้าง กลายเป็นป่าขนาดย่อมซึ่งให้ความรู้สึกสวยงามอย่างบอกไม่ถูก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา