Real Breaker
เขียนโดย คันศร
วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.
แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Open house
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่ตรากตรำเตรียมงานกันนานนับเดือน ในที่สุดก็มาถึงวันโอเพ่นเฮ้าส์ของสถาบัน ซึ่งเปิดโอกาศให้ทุกชมรมสามารถเข้าร่วมได้โดยอิสระหลายชมรมจึงใช้โอกาสนี้ในการขายสินค้าและโชว์ผลงานเพื่อหารายได้เข้ารมชม ภายในงานจึงมีซุ้มของชมรมต่างๆ มากมายตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง และยังเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกสามารถเยี่ยมชมภายในมหาวิทยาลัยได้ เสียงดนตรีจากวงดุริยางค์ถูกขับขานขึ้นแต่เช้า เป็นเหมือนข้อความกล่าวต้อนรับให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน
ศาสและรีอาเดินเช็คตามซุ้มต่างๆ เพื่อความเรียบร้อยอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างรู้สึกดีใจเมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางกันไว้ จนภาพรวมในงานดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
“นี่ศาสไหวไหม..” รีอามองหน้าศาสด้วยใบหน้าอมยิ้ม เมื่อศาสค่อยๆ หันหน้ามาเธอก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะตาของเขาแทบลงมาปิดจนกลายเป็นเส้นตรง
สักพักหนึ่งเสียงเพลงมหาฤกษ์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้นพิธีการ ทุกคนโดยรอบต่างทยอยกันเดินเข้าไปยังสนามกีฬากลางแจ้งพิธีการวันนี้ส่วนใหญ่ได้ทางสภานักศึกษาเป็นผู้จัดลำดับการต่างๆ ให้ งานจึงเป็นไปอย่างกระชับและรวดเร็วตามสไตล์วัยรุ่น ไม่มีอาจารย์ขึ้นมายืนพูดนานๆ แบบทุกๆ ปี แต่ถึงกระนั้นศาสก็ยังออกอาการสับปะหงกอยู่ดี จนรีอาต้องแอบเอาศอกกระทุ้งไปหลายที
ในที่สุดพีธีการก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงดนตรีที่ดังขึ้นอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับสมาชิกสภานักศึกษาแล้วมันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการทำหน้าที่อย่างแท้จริง ที่จะคอยดูแลทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปดูแลตามส่วนต่างๆ ภายในงาน โดยทุกคนจะมีปลอกแขนที่มีตราของสภานักศึกษาเพื่อแยกระหว่างเจ้าหน้าที่และนักศึกษาทั่วไป
“ศาส...ถึงชั้นไม่อยู่แต่ก็ห้ามอู้ ห้ามหลับ ห้ามหม้อสาว ห้ามกินฟรี ห้าม--”รีอากำชับกับศาสก่อนแยกย้ายปฎิบัติหน้าที่
“คร้าบๆ เจ้าหญิงมีอะไรจะบัญชาอีกไห---อุ๊ก!??” ยังไม่ทันได้พูดจบหมัดของรีอาก็พุ่งเข้าที่ท้องของศาสอย่างจัง
“พูดจาน่าขนลุกจริง เอาล่ะ เอาเป็นว่าตั้งใจทำงานแล้วกัน หากมีปัญหาอะไรก็ติดต่อชั้นเข้าใจนะ”
เมื่อจบจากการชี้แจงแล้ว ศาสจึงเดินมาบริเวณตึกของคณะวิศวะ ซึ่งเป็นที่ตั้งซุ้มของชมรมต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมายซึ่งการตรวจตราในครั้งนี้ก็เป็นไปอย่างราบลื่น ถึงแม้จะมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมงานเยอะแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แถมยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนักศึกษาด้วย
ทันใดนั้นกลิ่นบางอย่างที่แสนคิดถึงก็ลอยมาเมื่อเขาตามกลิ่นไป ก็พบว่ามันคือกลื่นหอมของกะทิที่ใช้เป็นส่วนผสมในการทำขนมไทยในซุ้มหนึ่งนั่นเอง
“คุณหนูครับ...ผมมาทางสภานักศึกษา ขอความร่วมมือตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารด้วยครับ” ศาสเข้าไปพูดกับนักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเตรียมของอย่างขะมักเขม้น
“อ่าว! ศาสนี่! อย่าทำให้ตกใจสิ แต่มาก็ดีเลย” รินกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับยื่นขนมต่างๆ ให้ชิมซึ่งศาสก็รับมันไปทานอย่างสบายอารมณ์
“อื้มมม...รสชาติแบบนี้ล่ะที่หากินไม่ได้ในเมือง” ศาสทำตาโตยิ้มด้วยความพอใจ จนคนทำอย่างรินพลอยดีใจไปด้วยไม่ได้
“อ๊ะคู่นี้นี่ยังไง แต่เช้าเลยนะ ” เสียงแซวจากบรรดารุ่นพี่ที่อยู่ในซุ้มจนรินหน้าแดงส่วนศาสเมื่อโดนล้อเข้าไปแบบนี้เขาถึงกับสำลักจนรินต้องรีบหาน้ำให้ทาน
“หาอะไรของแกวะ! ทำแบบนี้จะหาเรื่องรึไง!?” เสียงร้องด้วยความโมโหดังขึ้นจนทำให้เสียงจ้อแจ้ที่อยู่รอบๆ เงียบเสียงลงทันที เมื่อศาสหันไปก็พบกลุ่มวัยรุ่นสี่คนลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับเดินเข้าไปหาพนักงานคนหนึ่งในซุ้มขายอาหาร ศาสจึงรีบเดินเข้าไปห้าม แค่สังเกตุจากเสื้อของหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่มีคราบซอสติดอยู่ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดจากความผิดพลาดของพนักงานเสิร์ฟ
“ใจเย็นๆ นะครับเดี๋ยวผมจะให้ทางร้านชดเชยที่ทำให้เสื้อของพวกพี่ต้องสกปรกดีไหมครับ” ศาสตรงเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกวัยรุ่นพร้อมกับเจรจา
“ไอ้กร๊วกนี่เป็นใครวะ อย่ามาแส่ว้อย! หลบไป!!”
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานน่ะครับ ถือว่าผมขอร้องแล้วกันนะ” ดูเหมือนว่าความพยายามที่จะไกล่เกลี่ยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะอีกฝ่ายไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น ทันใดนั้นหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นใช้โอกาสที่ศาสไม่ทันมองวิ่งเข้ามากระโดดถีบเขาจากมุมอับท่ามกลางเสียงตื่นตกใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ผิดคาดศาสเพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็สามารถเบี่ยงหลบจากการโจมตีของมันได้ พวกที่เหลือจึงวิ่งเข้าใส่ แต่การจู่โจมของพวกนั้นไม่สามารถเข้าถึงตัวของศาสได้เลยเขาสามารถปัดป้องมันได้หมดแถมยังใช้แรงจากการโจมตีของคู่ต่อสู้สะท้อนกลับไปทำร้ายตัวของผู้ใช้เองอีก ไม่นานนักพวกมันก็ลงไปหมอบหมดแรงอยู่กับพื้น
“พี่แก้วครับช่วยมัดพวกที่หมอบไว้หน่อยครับเดี๋ยวผมจะแจ้งเรื่องไปยังสภา” ศาสตะโกนบอกรุ่นพี่ในชมรมเดินป่าที่รู้จักกัน ซึ่งเปิดบูทอยู่ข้างๆ
“จัดไปไอ้น้องรัก” แก้วรีบคว้าเชือกมามัดตัวของพวกมันไว้ท่ามกลางนักศึกษาคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วย
เมื่อศาสหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพของกลุ่มวัยรุ่นที่ถูกมัดด้วยเงื่อนกระดองเต่า
“เฮ้ยพี่! ไหงมัดท่าพิสดารแบบนั้นล่ะว้อยยยย!!?”
“เอ่อ...โทษทีน้องพอดีพี่ลืมตัวไปหน่อย” แก้วพูดพร้อมกับบิดตัวด้วยความเขินอายท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน จนศาสนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหยิบมือถือพร้อมกับถ่ายรูปทั้งสี่คนไว้
“เอาล่ะผมคิดว่าพวกพี่น่าจะใจเย็นลงบ้างแล้ว ตัวผมเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เดี๋ยวผมจะปล่อยตัวพวกพี่ไปแล้วกัน หากยังก่อเรื่องอีกผมรับรองเลยว่ารูปสุดเซ็กซี่ของพวกพี่ๆ ได้ขึ้นหราโด่งดังไปทั่วแน่ๆ ครับ เข้าใจนะ?” ศาสเข้าไปใกล้ๆพร้อมกับกระซิบทั้งสี่คนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งพวกมันก็รีบผงกหัวยินยอมโดยดี ทันทีที่แก้มัดพวกมันต่างรีบวิ่งออกจากมหาวิทยาลัย ท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน
ในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติผู้คนต่างสนุกสนานกับงานกันอีกครั้งราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น สักพักหนึ่งนักศึกษาจากซุ้มที่ศาสเข้าไปช่วยก็เชิญศาสให้เข้าไปทานอาหารฟรีด้านใน ถึงแม้เขาจะปฎิเสธเพราะทำตามหน้าที่เท่านั้นแต่ก็ทนแรงอ้อนจากสาวๆ ในซุ้มไม่ไหวจนใจอ่อน เข้าไป ในขณะที่เขากำลังมีความสุขกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า เขาคิดในใจว่าช่างโชคดีอะไรแบบนี้หากให้ซื้อทานเองคงไม่มีทางเพราะเงินที่ใช้ในแต่ละเดือนก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว เขาค่อยๆลิ้มรสชาติของมันอย่างสบายใจ
“อาหารอร่อยไหมคะ”เสียงจากหญิงสาวด้านหลังที่น่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟถามขึ้น
“อืมข้าวนิ่มกำลังดี กับข้าวก็รสชาติเยี่ยมเลยล่ะครั.....”ศาสตอบในขณะที่กำลังทานอย่างเอร็ดอร่อยทันใดนั้นเองใบหน้าหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเขา ช้อนที่กำลังตักอาหารเข้าปากกลับร่วงลงไปโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาค่อยๆหันไปด้านหลังก็พบรีอายืนกอดอกอยู่
“ขอโทษคร้าบบบบ” ศาสรีบยกมือไหว้ รีอาก้มหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมา
“ชั้นล้อเล่นน่า มีคนแจ้งไปแล้วล่ะเรื่องที่นายจัดการกับเจ้าพวกนั้นทำได้ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย”รีอาพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานดูท่าทางเธอจะชอบใจกับวิธีที่เขาใช้จัดการพวกอันธพาลไม่น้อย
“ยังไงนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วมากินข้าวด้วยกันก่อนไหมล่ะ” เมื่อรีอาได้ยินดังนั้นเธอจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับสั่งข้าวมาทานด้วยกัน
“อื้อรสชาติใช้ได้เลยล่ะแต่ไก่มันเหนียวไปหน่อยไหม” รีอาพูดในขณะที่กำลังพยายามจัดการกับอาหารของเธอจนศาสเองอดรู้สึกสนุกไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของเธอจนดูเหมือนเด็กๆ
“เอ้านี่ เลอะปากแล้วแน่ะ” ศาสพูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปที่ริมฝีปากของเธอ จนเธอหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด
“ยะ อย่าทำเหมือนชั้นเป็นเด็กๆ สิ”
เมื่อทั้งคู่ทานเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเขาจึงได้เริ่มทำงานกันต่อ โดยช่วงบ่ายศาสได้ผลัดเวรให้ทำงานคู่กับรีอาในการดูแลบริเวณส่วนของสนามกีฬาในร่มที่มีชมรมเกี่ยวกับกีฬาต่างจัดการแข่งขันขึ้นหลายรายการ ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินเข้าไปบริเวณฮอที่ตั้งของสนามกีฬาในร่ม ก็แว่วเสียงจากกองเชียร์ดังกึกก้องก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาภายในสนามเสียอีก บ่งบอกถึงอุณหภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกขณะ
ในขณะที่กำลังเดินตรวจอยู่นั้นทั้งคู่ก็ได้พบบริเวณการแข่งขันศิลปการต่อสู้โดยมีหลายเวทีอยู่ในบริเวณเดียวกันมีตั้งแต่การต่อสู้มือเปล่าจนไปถึงการใช้อาวุธ ทำให้ทั้งคู่ซึ่งเป็นผู้ฝึกวิชายุทธอยู่แล้ว อดที่จะเข้าไปชมไม่ได้แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้กับศาสไม่น้อยเมื่อพบว่าผู้ที่ประลองบนเวทีส่วนใหญ่ถึงแม้จะมีความรู้เรื่องการออกอาวุธและชั้นเชิงอยู่บ้างแต่กลับมีร่างกายที่ดูอ่อนปวกเปียกราวกับว่าพวกเขาแทบจะไม่มีแรงกายเลย บางคนออกแนวตัวอ้วนเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องแปลกใจหรอก บางคนก็แค่อยากลองสู้จริงดูนอกเหนือจากในเกมเท่านั้นล่ะ” รีอาพูดขึ้นเธอคงเดาออกว่าเขาคิดเรื่องอะไรอยู่
“เกม!? เนี่ยนะ” ศาสพูดด้วยความสงสัย
“มันเป็นเครื่องเกมรุ่นล่าสุดน่ะ จำลองโลกเสมือนจริง ที่บังคับโดยใช้คำสั่งโดยตรงจากสมอง จนบางคนแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าของจริงกับในเกมมันต่างกันยังไง”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงเฮลั่นก็ดังมาจากลานประลองด้านข้าง เมื่อพวกเขาหันไปก็พบว่าเพิ่งมีการแข่งขันเคนโด้จบลงไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู
“บ้าน่า! ไอ้นั่นมันใครกันวะเล่นงานกัปตันอยู่ฝ่ายเดียวเลย”
“แม่งเอ๊ยชนะทุกคนในทีมโดยไม่พักเลย มันเป็นปีศาจหรือไงวะ”
เสียงพูดคุยจากวงสนธนาข้างๆทำให้พวกเขาพอเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างคร่าวๆ ส่วนผู้ชนะคนดังกล่าวก็ยังคงยืนอยู่บนสังเวียนราวกับเชื้อเชิญผู้กล้ารายใหม่ให้ไปสู้กับเขา
“โห...โดนไปแบบนี้ภาพลักษณ์ของชมรมเคนโด้มหาลัยเราจะเหลือเหรอเนี่ย”ศาสพูดอย่างครุ่นคิด สักพักทุกอย่างรอบตัวก็มืดลง เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกอะไรบางอย่างครอบอยู่ ก็พบว่ามันเป็นชุดเกราะของนักกีฬาเคนโด้นั่นเอง ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรรีอาก็นำเอาหมวกเคนโด้มาสวมให้กับเขา
“เฮ้ยยย หากเธอไม่พอใจมันก็ออกไปสู้เองเด้” ศาสรีบร้องบอกในขณะที่รีอาจัดแจงแต่งตัวให้กับศาส
“จริงๆ ตอนแรกชั้นก็ว่าจะลุยเองหรอก แต่พอคิดว่าต้องใส่ชุดเหม็นอับของพวกนักกีฬาก็รับไม่ได้แล้ว”รีอาพูดด้วยสีหน้าชวนขนลุก
“ห๊า! เหตุผลแค่เนี้ยอ่ะนะ”
“ชั้นเชื่อใจนายนะ เอ๊า!!” รีอาพูดจบก็ใช้เท้าของเธอช่วยส่งศาสจนเซไปอยู่หน้าสังเวียน ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมายังเขา จนทำให้บรรยากาสโดยรอบเงียบลงครู่หนึ่ง แถมเขายังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ออกมาทางด้านหลัง จนศาสจำใจต้องขึ้นไปบนสังเวียนท่ามกลางเสียงเชียร์ของทุกคน
หลังจากทั้งคู่ต่างต่างโค้งคำนับแสดงความเคารพคู่ต่อสู้ของตนแล้ว เวลาแห่งการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น ถึงแม้ศาสจะเรียนวิชาการต่อสู้มามากแต่กับศาสเคนโด้เขาแทบไม่มีความรู้เลย การจับดาบและท่ายืนที่ดูแปลกตาทำให้ผู้ชมบางคนมองด้วยความขำขัน แต่สำหรับคู่ต่อสู้ของเขาแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้นท่าทางที่แลดูสบายนั้นกลับแผงไปด้วยความคล่องตัวทั้งในการออกอาวุธและหลบหลีก
ส่วนศาสเองก็ดูเชิงฝ่ายตรงข้ามอย่างใจเย็น ท่าทางการยืนอย่างมีระเบียบแบบแผนที่ถูกฝึกมาอย่างดีทำให้แทบไร้ซึ่งช่องว่างและความแน่วแน่ของคู่ต่อสู้ที่ถึงแม้ศาสจะใช้ปลายดาบเข้าหลอกล่อก็ยังไม่สามารถสร้างช่องว่างในการจู่โจมได้ เพียงพริบตาเดียวคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้ากลับเข้าประชิดตัวพร้อมฟาดดาบลงมายังหัวของศาสอย่างแม่นยำ แต่ศาสเองก็สามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้ทัน ดาบถูกรับเอาไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวศาสพร้อมกับการโจมตีสวนกลับอย่างรวดเร็ว แต่คู่ต่อสู้เองก็สามารถถอยหลบออกมาได้ เพียงการปะดาบเพียงครั้งเดียวทั้งคู่ต่างรับรู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของตนเองก็ผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นในครั้งนี้มันจึงไม่ใช่การแข่งขันอีกต่อไปแต่เป็นการต่อสู้
การต่อสู้ผ่านมาได้สักพักโดยที่ทั้งคู่ไม่สามารถทำแต้มกันได้และถึงแม้พวกเขาจะออกมาวุธกันไม่มากนักแต่ก็จัดว่าเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเพราะนอกจากชั้นเชิงทางฝีมือดาบแล้วสิ่งที่ทุกคนในสนามรับรู้ได้ก็คือความกดดันของการต่อสู้ด้วยจิตใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากมีใครคนหนึ่งเสียสมาธิไปเขาอาจต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
“อืม...น่าดีใจจริงๆ ที่ยังเห็นคนหนุ่มสืบทอดวิชาโบราณแบบนี้” ชายชราในชุดสูทสีดำ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจ จนรีอารู้สึกทั้งสนใจและแปลกใจที่เขาสามารถมายืนอยู่ข้างเธอได้โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลย
“ขอโทษนะคะคุณตา คุณตารู้จักวิชาดาบของเขาด้วยเหรอคะ”
“อืม...ก็พอรู้จักนะแม่หนู มันเป็นวิชาดาบชั้นสูงของไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่เจ้าหนุ่มนั่นดูเหมือนจะเอามาใช้ผิดวิธีไปหน่อยนะ” รีอาทำท่าทางสงสัยชายชราจึงอธิบายต่อ
“มันเป็นวิชาดาบสองมือน่ะ...แต่เอามาใช้ผิดประเภทแบบนี้หากไม่มีสติ เดี๋ยวก็คงแพ้เพราะความเคยชิน...เอาล่ะคอยดูให้ดีแม่หนูต่อไปคงจะเป็นจุดตัดสินแล้วล่ะ”
เมื่อทุกอย่างยืดเยื้อมาจนถึงจุดๆ หนึ่งพวกเขาทั้งคู่ต่างรับรู้ได้ถึงฝีมือที่ก้ำกึ่งกัน และหากมุ่งหวังชัยชนะก็มีแต่ต้องทุ่มสุดตัวในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งทั้งคู่ต่างเดิมพันในการโจมตีครั้งนี้ ในตอนนี้ทุกคนรอบเวทีต่างหยุดกิจกรรมของตนเองไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ด้วยความลุ้นระทึก
ทันใดทั้งคู่ต่างพุ่งเข้าฟันกันอย่างรวดเร็ววิถีดาบของพวกเขาฟันสวนกันจนได้ยินเสียงไม้เสียดสี เพียพริบตาเดียวทุกอย่างก็จบลง ถึงแม้ดาบของศาสถึงจะฟาดลงมาอย่างแม่นยำใส่ศรีษะของคู่ต่อสู้แต่ก็ไม่อาจสู้ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามได้ ดาบของเขาถึงตัวศาสก่อนเพียงแค่เสี้ยววินาทีศาสจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย กลับดีใจด้วยซ้ำที่เจอคู่ดวลดาบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ทั้งคู่จึงแสดงความเคารพกันอีกครั้ง ศาสถอดหมวกของเขาออกพร้อมกับยื่นมือไปยังคู่แข่ง เขาทำท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะถอดหมวกออกจนทำให้ทุกคนในสนามต่างตกตะลึกเมื่อเส้นผมสีดำขลับของเขาค่อยๆ สยายออก เผยให้เห็นใบหน้าอันจิ้มลิ้มบนผิวที่ขาวนวลและดวงตาที่กลมโตราวกับเด็กไร้เดียงสาเมื่อบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันส่งเสียงเฮกันอย่างสนุกสนาน
ถึงแม้ศาสรู้สึกแปลกใจแต่แรกที่เห็นคู่ต่อสู้ของเขาตัวเล็กแต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิง ทำให้เขาตกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเพราะจะเป็นการเสียมรรยาทกับคู่ต่อสู้ของเขา
“ผมศาสตรา พันแสง ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ศาสกล่าวทักทายพร้อมกับยื่นมือออกไป
“อายาเสะ ไซกะ ชื่อของชั้น ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอพูดแนะนำตัวจากนั้นพวกเขาจึงจับมือกันท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคนที่อยู่โดยรอบ
“ดิฉันออมมือให้ใช่ไหมคุณน่ะ” อายาเสะพูดซึ้นทำเอาศาสถึงกับมึนกับสำเนียงการพูดของเธอ เธอคงเป็นชาวต่างชาติที่น่าจะเข้ามาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดของเธอในที่สุดก็เข้าใจ
“ผมไม่ได้ออมมือนะ ผมทุ่มทุกอย่างที่มีกับการแข่งครั้งนี้” ศาสพูดพร้อมกับมองตาของเธอด้วยความมุ่งมั่นเธอจึงเชื่อเขาพร้อมกับยิ้มออกมา
“ดิฉันชื่อศาสสินะจะจำเอาไว้”เธอพูดขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับให้ศาสอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินลงจากลานประลองไป
เมื่อการแข่งยุติลงรีอาพยายามมองหาชายชราคนนั้นอีกครั้งแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก เมื่อศาสลงจากเวทีเมื่อมองไปยังรีอาเขาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ลึกๆ ในใจก็รู้สึกแย่ที่ไม่อาจทำตามความคาดหวังของเธอได้
“มานี่สิเดี๋ยวจะช่วยถอดชุดให้” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเรียกให้ศาสไปหาเธอที่เก้าอี้
“ไม่เป็นไรหรอกอย่าคิดมากเลยนะ แค่อยากดูทักษะทางการใช้อาวุธของนายเท่านั้นล่ะ” คำพูดของรีอาทำให้ศาสค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นก่อนที่พวกเขาจะเริ่มทำหน้าที่ต่อจนตกเย็นในที่สุดพวกเขาก็ได้พักเสียทีโดยมีรุ่นพี่ในสภาอาสาทำหน้าที่แทนให้ ทั้งคู่จึงใช้โอกาสนี้เดินเล่นตามซุ้มต่างๆ รอบงาน ซึ่งหลายครั้งจบลงที่การแข่งกันของพวกเขาตามแต่ละซุ้มจะมีเกมอะไรให้เล่น ซึ่งส่วนใหญ่รีอามักเป็นฝ่ายชนะส่วนศาสที่เป็นฝ่ายแพ้ก็ต้องตามถือของรางวัลให้กับเธอ
เวลาแห่งความสนุกผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ทั้งคู่จะรู้ตัวดวงอาทิตย์ก็กำลังลับขอบฟ้า พร้อมกับความมืดที่ค่อยๆเข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่างช้าๆ ร้านรวงต่างๆ ทยอยกันเปิดไฟ จนลานทั่วทั้งมหาวิทยาลัยต่างเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ
ไม่นานนักเสียงดนตรีคลอก็ดังขึ้นผู้คนต่างไปรวมตัวกันที่ลานกีฬากลางแจ้ง ซึ่งในตอนนี้เวทีจัดงานในช่วงเช้าถูกแปรสภาพกลายเป็นเวทีแสดงของวงออร์เคสต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในวงที่สร้างชื่อให้กับทางมหาวิทยาลัย เมื่อการบรรเลงเริ่มต้นขึ้นสปอตไลท์ที่ถูกเตรียมไว้ตามอาคารต่างๆ ก็ฉายลงบนพื้นหญ้า ตอนนี้สนามกีฬาได้ถูกเนรมิตรให้กลายเป็นฟลอร์ขนาดใหญ่สำหรับงานเต้นรำไปแล้ว บรรดาหนุ่มสาวต่างชวนคู่ของตนลงมาเต้นบนฟลอร์ ส่วนคนที่ยังไม่มีคู่ต่างก็เดินไปชวนคนที่ตนชอบ
“โห...สงสัยรินกับรีอาคนคงมาขอคู่ด้วยเยอะน่าดูเลยแฮะ” ศาสคิดในใจเพียงพักเดียวก็มีกลุ่มนักศึกษาชายวิ่งมายังเขา
“เฮ้! นายน่ะ เห็นคุณรีอาไหม” ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น ศาสจึงหันไปหารีอาแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าบุคคลที่ยืนอยู่นั้นเป็นมนุษย์หน้ากากแมวน้ำในชุดฮูด แต่ศาสจำได้ดีเพราะของที่เขาใส่ล้วนแต่เป็นของที่พวกเขาได้มาจากการเล่นเกมตามซุ้มต่างๆ
“คุยกับนายนี่เสียเวลาจริงๆ เอาล่ะทุกคนรีบหาคุณรีอาให้เจอ” เมื่อเห็นว่าศาสไม่มีคำตอบที่ต้องการพวกเขาจึงรีบหาตัวเธอต่อไป
“แฟนคลับของเธอนี่มันน่ากลัวจริงๆ ...ว่าแต่ทำอะไรของเธอเนี่ย......จะใส่หน้ากากทำแมวน้ำอะไรล่ะนั่น” ศาสพูดอย่างเนือยๆ เมื่อมองไปยังรีอา
“อุ้งๆ” รีอาทำเสียงตอบพร้อมกับดันศาสเข้าไปยังฟลอร์ จนศาสคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
“ห๊า! เต้นรำเหรอ...แต่ผมเต้นไม่เป็นนะ” ศาสรีบบอกเพราะเรื่องการร้องรำทำเพลงนี่แทบไม่ถูกกับตัวเขาเลย
“มาสิ ชั้นอุตส่าห์ยอมเป็นคู่เต้นให้เชียวนะ ไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวชั้นจะสอนให้เอง” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือมายังศาส ศาสมองเธอพร้อมกับยิ้มอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเข้าไปจับมือนั้น
....................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ