Real Breaker
7.6
เขียนโดย คันศร
วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.
19 บท
18 วิจารณ์
21.82K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) คำทำนาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ในช่วงบ่ายของวันหนึ่งที่มีเมฆมากจนมีเพียงปุยเมฆสีขาวสะอาดตาบนท้องฟ้า แม้แต่แสงอาทิตก็ไม่สามารถสาดส่องลงมาได้และสายลมที่พัดเอื่อยๆ จนทำให้รู้สึกเย็นสบายและชวนให้พักผ่อน แต่ศาสกลับเร่งฝีเท้าจนเกือบจะกลายเป็นการวิ่ง เพื่อไปจัดการกับงานของสภาที่เขาทำค้างไว้ ในระหว่างทางเดินไปยังหอสมุดมีกลุ่มผู้หญิงเดินสวนออกมาแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักจนมีเสียงหนึ่งร้องทักขึ้นมาเมื่อหันไปก็พบว่าเป็นรินและกลุ่มเพื่อนของเธอนั่นเอง
“ไง ริน” ศาสทักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเธอวิ่งเข้ามาด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับเด็กๆ ที่มีเรื่องน่าตื่นเต้น
“นี่ๆ ศาส เพื่อนรินชวนไปดูดวงล่ะ ไปด้วยกันไหมเห็นว่าแม่นมากเลยนะ” ศาสรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเธอนิดหน่อยแต่ที่ตกใจกว่าก็คือการที่ได้รู้ว่ายังเหลือคนที่ทำอาชีพนี้อยู่ในเมือง ที่ซึ่งผู้คนต่างใช้ชีวิตอยู่บนหลักการและตัวเลข
“มันก็แค่ความน่าจะเป็นล่ะมั้ง หากมีคนรู้อนาคตจริงๆ คงรวยไปแล้วล่ะ”ศาสตอบออกไปตามความรู้สึก
“โธ่ศาสเนี่ยไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย” รินทำหน้ามุ้ยจนศาสอดหัวเราะไม่ได้ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องสภานักศึกษาภายในเขาก็พบสมาชิกสภากำลังนั่งทำงานกันอย่างขมักเขม้น เนื่องจากใกล้งานกีฬาครั้งใหญ่ของสถาบัน เมื่อมาถึงห้องของเขาก็พบรีอาที่กำลังนั่งเคร่งเคลียดอยู่กับเอกสาร ศาสจึงค่อยๆย่องเข้าไป ให้เสียงเบาที่สุด
“นี่กี่โมงแล้วเหรอศาส...” เสียงจากรีอาทำเอาศาสที่กำลังนั่งเก้าอี้ถึงกับเสียวหลังวาบ
“อะ อ่า...โทษที พอดีติดธุระนิดหน่อยน่ะ” ศาสตอบในขณะที่ใช้มือลูบผมเพื่อแก้เขินเพราะในครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิดจนรีอาต้องเอางานบางส่วนของเขาไปช่วยทำ
“นี่รีอา พวกผู้หญิงนี่เขาชอบดูดวงกันเหรอ”ดูเหมือนเรื่องที่คุยกับรินเมื่อครู่ยังติดใจเขาอยู่ศาสจึงถามรีอาขึ้นอย่างไม่ทันคิด
“เห...นายสนใจด้วยเหรอศาส งั้นชั้นจะทำนายให้แล้วกัน หากนายสรุปรายงานให้ชั้นไม่เสร็จภายในหกโมงเย็นดวงนายถึงฆาตแน่ๆ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ทำเอาศาสถึงกับพูดไม่ออก จนคนอื่นๆ ที่นั่งแถวนั้นต่างหัวเราะศาสกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากการปั่นงานอย่างไม่หยุดพักจนในที่สุดเขาก็ส่งมันให้กับรีอาถึงจะเลยเวลามาบ้างแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ติดใจอะไร หลังจากที่ทุกคนต่างทยอยกันกลับบ้าน ศาสจึงวางมือจากงานที่เขากำลังทำอยู่ พร้อมกับเดินออกทางด้านหลังด้วยทางหนีไฟ เขาเดินขึ้นตามบันไดไปก็พบกับลานกว้างชั้นดาตฟ้าซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดภายในสถาบันแห่งนี้ จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้โดยรอบ แสงจากสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มสว่างไสว ในขณะที่ม่านแห่งความมืดค่อยๆเคลื่อนคล้อยลงมา
ศาสมักใช้เวลาว่างหลังจากงานเพื่อฝึกวิชาอาคมต่างๆ ในตอนค่ำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในประจำวันของเขาไปแล้วบางวันรีอาเองก็มาจับคู่ซ้อมกับเขาด้วย ในบางครั้งพวกเขาก็จะหารือถึงการนำเวทย์มนต์ในตำราบทใหม่ไปใช้เพราะสิ่งที่เหลือให้พวกเขาศึกษาในตอนนี้มีเพียงตำราที่ตกทอดกันมาเท่านั้น เพราะคนที่จะมาถ่ายทอดวิชาให้พวกเขาล้วนแต่จากไปตามกาลเวลาแล้วหมดสิ้น ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นเมื่อศาสหันไปดูก็พบว่าเป็นรีอานั่นเอง
“อ้าวเธอก็มาฝึกเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า....” รีอาตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ คงเป็นเพราะช่วงนี้เธอโหมทำงานหนักมาตลอดไม่นานนักเธอก็เดินมาที่ระเบียงพร้อมกับบิดขี้เกียจอย่างสบายใจจนไม่เหลือมาด ซึ่งนั่นทำให้ศาสทั้งแปลกใจและอดขำไม่ได้
“ว่าแต่แล้วนายล่ะ ขึ้นมาฝึกวิชาเหรอ”
“ใช่ ขอบคุณนะรีอา ผมเลยสามารถฝึกวิชาได้อย่างสบายใจเลยล่ะ”เขารู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ เพราะสถานที่นี้ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นยกเว้นแต่ผู้ที่ถือกุญแจอย่างเธอเท่านั้น และเธอก็มอบมันให้กับศาส
“อะ อื้อ ชั้นก็พอจะช่วยได้เท่านี้ล่ะ” รีอาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่เธอจะเดินกลับลงไปเตรียมงานต่อ ศาสจึงเริ่มฝึกจิตโดยการนั่งสมาธิเพราะการฝึกจิตล้วนเป็นพื้นฐานในการใช้อาคม ยิ่งสามารถทำให้จิตนิ่งและเป็นสมาธิได้อาคมจึงจะเปล่งอานุภาพได้ถึงขีดสุด
เช้าวันต่อมาใน ขณะที่ศาสกำลังเดินเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงประตูทางเข้า เขาก็พบรินนั่งอยู่ที่ซุ้มม้าหินศาสจึงเดินเข้าไปทักทาย เขาเรียกเธอไปหลายครั้งกว่าที่เธอจะรู้สึกตัว ในขณะที่พวกเขากำลังสนธนากันศาสก็สังเกตว่าสีหน้าของเธอดูวิตกกังวลกับอะไรบางอย่าง
“รินมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ปรึกษาผมได้นะ” รินได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับพยายามยิ้มกลบเกลื่อน จนศาสเองก็ลังเลที่จะถามต่อ
“ไปหาอะไรกินด้วยกันไหมริน ที่คณะของผมมีร้านเด็ดๆ ด้วยนา”
“อะ อื้อ ไปสิ”
ในปกติเขามักจะมาทานคนเดียวหรือไม่ก็มากับเพื่อนๆผู้ชายในคณะเท่านั้นแต่เมื่อมาทานข้าวด้วยกันกับผู้หญิงก็ทำให้เขาตื่นเต้นนิดๆ ไม่นานนักรินก็ถือถาดอาหารของเธอมา อยู่ดีๆ เรื่องที่ไม่คาดคิดก็ก็เกิดขึ้นเมื่อเธอสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียหลักศาสรีบใช้มือเข้าไปรับตัวเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มลงไปกับพื้น
“ริน! เป็นอะไรหรือเปล่า”ศาสถามด้วยความเป็นห่วงส่วนเธอเองก็อยู่ในอาการตกใจ
“ศาส...แขนศาส” รินพูดด้วยเสียงสั่นเทานัยตาเริ่มมีน้ำตาคลอก่อนที่เธอจะรีบดูอาการแขนของศาสที่ถูกน้ำซุปลวก
“สบายใจน่า น้ำร้อนแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก” ศาสพูดพร้อมกับยื่นแขนให้รินดู จนเธอคลายความกังวลลง ศาสจึงพาเธอไปนั่งและจัดแจงยกอาหารมาเสิฟเธอถึงที่ จนเพื่อนๆในคณะที่ผ่านมาเห็นเข้าต่างล้อศาสเสียยกใหญ่ จนทำให้ทั้งคู่รู้สึกเกร็งจนพวกเขาแทบไม่ได้สนใจรสชาตของอาหารเลย
ในช่วงเที่ยงของวันต่อมาในขณะที่ศาสกำลังเดินออกจากโรงอาหารกับกลุ่มเพื่อนด้วยความเซ็ง
“เจ้าแก่นั่นแม่งกว่าจะปล่อยข้าวก็หมดพอดี” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนบ่นอย่างหัวเสีย อากาศที่ร้อนยามเที่ยงบวกความหิวมันเป็นอะไรที่ชวนให้พวกเขาหงุดหงิดเสียจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินไปหาอะไรกินที่คณะข้างเคียง ทันใดนั้นเพื่อนของเขาคนหนึ่งก็สะกิดศาสพร้อมกับชี้ไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง
“เฮ้ยๆ นั่นเด็กแกไม่ใช่เหรอศาส” เมื่อศาสหันไปก็พบว่าเป็นรินนี่เองแต่ท่าทางการเดินของเธอดูแปลกๆ ศาสจึงขอตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนพร้อมกับวิ่งไปหาเธอ
“รินเป็นอะไรหรือเปล่า หา!! เธอบาดเจ็บนี่” เมื่อศาสวิ่งเข้าไปใกล้ก็เห็นที่แขนและขาของเธอถูกพันด้วยผ้าพันแผล
“พอดีรินซุ่มซ่ามเลยตกบันใดนิดหน่อยอ่ะจ้า” ถึงแม้รินจะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ก็ไม่สามารถเก็บอาการวิตกกังวลได้
“หากไม่ว่าอะไรขอผมดูแผลหน่อยได้ไหม” รินตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยื่นขาให้ศาสดูแต่โดยดี เมื่อศาสแกะผ้าพันแผลออกก็พบกับสิ่งที่น่าตกใจเนื่องจากแผลที่ข้อเท้าของเธอมีลักษณะห้อเลือดช้ำราวกับรอยมือและดูเหมือนว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากมัน เมื่อศาสถามอะไรเพิ่มเติมเธอก็บอกเพียงว่าเป็นอุบัติเหตุ
จนศาสนึกถึงเพื่อนของรินที่ทำงานอยู่ในสภานักศึกษาพวกเธอน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ด้วยเคลือข่ายสมาชิกสภาจึงไม่ใช่เรื่องยากนักในการตามหาตัวพวกเธอ ไม่นานนักพวกเธอก็มาพบศาสที่ห้องประชุมภายในสภานักศึกษา
“ขอโทษด้วยที่เรียกตัวมาแบบนี้ ผมมีเรื่องสำคัญ ที่อยากสอบถามขอให้พูดทุกอย่างตามความจริง” ศาสพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจนพวกเธอรู้สึกเกร็ง
“พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับรินไหม มันเกี่ยวกับคำทำนายที่พวกเธอไปหาหมอดูคนนั้นใช่ไหม” หน้าของทั้งคู่ถอดสีทันทีที่ศาสพูดถึงเรื่องหมอดู พวกเธอเริ่มมองหน้ากันด้วยความลังเล
“ชะ ใช่...หมอดูคนนั้นทำนายว่าเธอจะตายภายในห้าวัน”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้” พวกเธอพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก ที่ผมเรียกมาเพราะไม่อยากให้ไปสถานที่แบบนั้น พวกเราต่างเป็นคณะกรรมการนักเรียนควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น ส่วนไอ้เรื่องคำทำนายไร้สาระอะไรนั่นมันก็แค่เรื่องขี้โม้ที่พวกหมอดูมันกุขึ้นเท่านั้น” คำพูดของศาสทำให้สีหน้าของพวกเธอคลายความกังวลลง
จากเบาะแสที่ได้ศาสไม่รอช้า เขารีบมุ่งหน้าไปยังร้านของหมอดูตามแผนที่ที่ได้มาจากเพื่อนของริน มันเป็นร้านริมทางตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ติดกับถนนใหญ่ แต่เมื่อมาถึงเขากลับไม่พบอะไรจึงลองเดินเข้าไปตามตรอกเล็กๆ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในย่านใจกลางเมืองแต่สภาพของมันกลับดูทรุดโทรมผิดกับภาพลักษณ์ของเมืองหลวงที่มีแต่ความศิวิไลซ์เขาพยายามเดินหาอยู่นานจนรู้สึกว่าตนเองเริ่มวนกลับมาที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาเองเริ่มถอดใจ ในขณะนั้นเองก็มีเด็กตัวเล็กๆ เดินเข้ามาสะกิดเขาพร้อมกับชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง เมื่อเขามองตามก็พบกับตรอกเล็กๆ
“เธอจะบอกอะไรผมเหร...” เมื่อศาสหันกลับไปถามก็พบว่าเด็กคนที่ควรจะยืนอยู่ข้างเขากลับหายไปแล้ว ด้วยความที่ยังคงรู้สึกสงสัยในสิ่งที่เด็กคนนั้นทำเขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปภายใน
ในที่สุดเขาก็มายืนอยู่หน้าร้านพยากรณ์เขาพยายามทบทวนกับตนเองอีกครั้งถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ทันใดนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงชราในชุดคลุมสีดำเธอมีใบหน้าที่เหี่ยวย่นจนสามารถเห็นถึงเค้าโคลงของกะโหลกภายในสีผมที่ขาวโพลนดูราวกับแม่มดในนิยาย เธอจ้องมองเขาด้วยนัยตาที่เต็มไปด้วยฝ้าขาว แต่ศาสกลับไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายใดๆจากตัวเธอ
“เข้ามาก่อนสิพ่อหนุ่ม ฉันรอเธอมานานแล้ว” เธอพูดขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ใช้ไม้เท้าเดินนำทางเข้าไป ศาสจึงตัดสินใจตามเธอเข้าไป ด้านในเขาพบกับห้องเล็กๆขนาดแค่เพียงผู้ใหญ่ไม่กี่คนนั่งเท่านั้น มันมืดสลัวมีเพียงตะเกียงที่ให้แสงสว่าง เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ เมื่อสายตาเริ่มชิดกับความมืดเขาก็พบว่าบนกำแพงถูกเขียนด้วยอักษรที่แปลกตาอยู่เต็มไปหมดพร้อมด้วยเครื่องรางต่างๆที่ถูกแขวนอยู่อย่างระเกะระกะ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อหญิงชราจนมือของเขาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถชักมีดออกมาได้ตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“มาที่นี่เพราะเรื่องเด็กสาวคนนั้นสินะ...” หญิงชราพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองมายังศาสราวกับว่าเธอล่วงรู้ถึงความต้องการของเขา
“ใช่...และผมก็สงสัยในตัวคุณมากซะด้วย” ศาสพยายามจี้จุดเพื่อให้เธอเปิดเผยตัวตนพร้อมกับช้จิตจับสัมผัสบนตัวเธอแต่ก็ยังคงไร้ซึ่งกลิ่นอายใดๆ
“...อืม......ผลลัพธ์ของคำทำนายนั่นได้นำเธอมายังที่นี่สินะ...” หญิงชราพูดขึ้นด้วยความพอใจ
“หากคุณสามารถล่วงรู้ถึงอนาคตได้ช่วยบอกผมทีเถอะว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยเธอได้”
“การทำนายก็เหมือนกับการมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำ การเผยอนาคตก็เหมือนกับการโยนก้อนหินลงในน้ำ มันอาจทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมจนมองภาพที่สะท้อนไม่ออก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่ภาพสะท้อนเท่านั้น ไม่ส่งผลต่อสิ่งที่มันสะท้อนได้”
“คุณจะบอกว่าต่อให้ทำอย่างไรก็เปลี่ยนมันไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”ศาสถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ
“โชคชะตาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะฝืนได้....แต่ในช่วงชีวิตของชั้นก็เคยเห็นคนที่สามารถเปลี่ยนมันได้เหมือนกัน... คืนนี้ความตายจะมาพรากเอาชีวิตของเด็กคนนั้น....ฉันบอกได้แค่นี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว...”
ในเมื่อศาสไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของหมอดูคนนนี้ได้ เขาจึงทำได้แค่เชื่อในสิ่งที่หญิงชราพูดเท่านั้น ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่เคยเชื่อในเรื่องของโชคชะตาเลย แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงคำโกหกจากคำพูดของหญิงชราเช่นกัน
ศาสจึงเดินกลับออกมาเพื่อไปทบทวบถึงเรื่องที่ควรทำต่อไป ในขณะที่เขากำลังจะปิดประตู เสียงกระซิบหนึ่งก็แว่วขึ้นมา
“ฉันหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้นะศาส....”
“อ้าวศาส มีอะไรเหรอหน้าตาเคลียดเชียว”รินพูดด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นศาสมาหาเธอถึงชั้นเรียนในสภาพเหงื่อท่วมตัว
“ผมมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยน่ะ ตอนนี้ทางสภามีงานด่วนอยากขอแรงรินหน่อยได้ไหม”
“อื้อเอาสิ ไปกันเลยไหมล่ะ แต่เดินช้าๆ หน่อยนะรินเจ็บขาน่ะ” เธอทำตามคำขอขอศาสแทบจะทันที จนศาสอดรู้สึกผิดไม่ได้
ตกเย็นเหล่าสมาชิกสภาต่างเริ่มทยอยกันกลับ จนเป็นภาพที่แปลกตาเพราะปกติจะมีสมาชิกบางส่วนอยู่ทำงานกันจนดึก ในตอนนี้กลับเหลือพวกเขาเพียงสามคนซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของรีอานั่นเอง
“เอ่อ...ศาสเดี๋ยวรินขอกลับบ้านไปอาบน้ำก่อนได้ไหม” คำพูดของรินทำเอาศาสรับมือไม่ถูกเขามองข้ามในเรื่องนี้ไปหากเป็นผู้ชายแบบเขาการไม่อาบน้ำสักวันสองวันคงไม่ใช่ปัญหา
“ไม่เป็นไรหรอกริน ชั้นมีชุดอยู่ในตู้ด้านหลังน่ะเลือกใช้ได้ตามใจชอบเลยนะ” รีอาพูดแทรกขึ้นพร้อมกับพาเธอเดินไปเลือกชุดในตู้ด้านหลัง
“โอ้โห...รีอาทำไมมีชุดเยอะจังเธอนอนค้างที่นี่บ่อยเหรอ” รินรู้สึกตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ถูกแขวนอยู่เรียงรายภายในตู้ของเธอ
“เอ่อ...แค่เตรียมไว้น่ะแต่แทบไม่เคยได้ใช้เลย”รีอาตอบด้วยท่าทางเขินเล็กน้อย
“มีอะไรหรือเปล่าศาส” รีอาถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นศาสเอาแต่จดๆ จ้องๆ พวกเธออย่างไม่วางตา ศาสทำหน้าเครียดราวกับกำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่พักหนึ่งยิ่งทำให้ความอยากรู้ของทั้งคู่เพิ่มมากขึ้น
“อืม...ช่วงตัวไม่น่ามีปัญหานะแต่หน้าอกนี่สิมันน่าจะคับไปหน่อยหรือเปล่า” ศาสพูดขึ้นในขณะที่สายตาของเขากำลังมองรูปร่างของพวกเธออย่างตั้งใจ
“แหม แหม ขอบคุณนะศาสที่อุตส่าห์บอก” รีอาเดินไปหาศาสด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะประเคนหมัดใส่เขาจนลงไปกองอยู่กับพื้นส่วนรินก็ได้แต่ยืนหน้าแดง
“ไปอาบน้ำกันเถอะรินทิ้งตาบ้าโรคจิตไว้ตรงนี้ล่ะ” เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องไป ศาสจึงใช้ช่วงเวลานี้เริ่มประกอบพิธีกรรมเขาหยิบด้ายปริตรออกมาจากเป้ก่อนที่จะผูกโยงไปรอบห้องพร้อมกับบริกรรมคาถากำกับลงไปด้วย
ยิ่งตกดึกเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานเริ่มจางหายไปพร้อมกับความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เสียงนาฬิกาเดินยิ่งตอกย้ำถึงภัยที่กำลังคลืบคลานเข้ามามันทำให้เขารู้สึกกดดันทุกครั้งที่มันวนครบคอบจนไม่อาจเบือนสายตาไปจากมันได้เลย จนศาสเองรู้สึกทนต่อแรงกดดันไม่ไหวจึงขอตัวไปล้างหน้าเพื่อสงบสติอารมณ์
หลังจากที่ศาสเดินออกจากห้องไปได้ไม่นาน รินและรีอาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของศาสด้วยความเจ็บปวด รินจึงรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความตกใจแต่รีอารีบคว้ามือของเธอได้ทัน
“ปล่อยนะรีอา...ศาสน่ะ....ศาส” รินร้องขึ้นด้วยอย่างเสียขวัญพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
“รินรออยู่นี่ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาดเข้าใจนะ!!” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับกำชับให้รินอยู่ในห้องจนเธอยอมรับปาก รีอาจึงรีบวิ่งตามเสียงการต่อสู้ไป
เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อศาสกลับมายังห้องเขาถึงกับหน้าถอดสีเมื่อพบว่าทุกคนหายไปจากห้อง เขารีบตรงไปสำรวจเขตพิธีที่ทำไว้แต่ก็ไร้ร่องรอยของการถูกทำลาย ในขณะที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสน ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงเสียงของสายลมที่พัดมาจากด้านบน ซึ่งตามปกติแล้วในตึกระบบปิดเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเกิดลมพันขึ้นแน่ๆ นอกจากมีใครบางคนเปิดประตูชั้นดาตฟ้าทิ้งไว้ เขาจึงรีบมุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นดาตฟ้าทันที
ทันที่ที่ก้าวพ้นประตูออกมาภาพที่ปรากฎต่อหน้าศาสทำเอาหัวใจของเขาแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นรินยืนอยู่หลังรั้วตาข่าย ในสภาพโงนเงนราวกับคนไร้สติ แขนขาของเธอเต็มไปด้วยรอยถลอกศาสรีบวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตถึงแม้จะรู้ดีว่าหากเธอพลัดตกลงไป ด้วยเวลาแค่นี้ไม่มีทางเลยที่เขาจะปีนรั้วกั้นออกไปช่วยเธอได้ทัน ทันใดนั้นสิ่งที่เขากลัวก็กลายเป็นความจริงเมื่อเธอก้าวเท้าออกไปในอากาศจนร่างของเธอร่วงลงไปยังพื้นด้านล่าง
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายศาสรีบกระโดดพุ่งตัวออกไปพร้อมกับชักมีดของเขาฟันเข้าที่รั้วจนมันขาดออกจากกัน ในขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็ต่อยซ้ำไปยังช่องที่เขาทำไว้อย่างสุดแรงจนมือของเขาทะลุรั้วออกไปคว้าแขนของเธอไว้ได้ทันแต่นั่นต้องแลกกันความบาดเจ็บที่แขน
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะสามารถช่วยรินไว้ได้ก็จริงแต่สถานการณ์ก็ยังคงเลวร้ายอยู่ดีตัวเขาในสภาพนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ถูกพันธนาการ และอาการบาดเจ็บที่แขนของศาสที่เริ่มแย่ลงจนเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถรั้งตัวเธอไว้ได้อีกนานแค่ไหน ทันใดนั้นกลุ่มก้อนความมืดเริ่มก่อตัวขึ้นด้านหลังของศาสมันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์นัยตาส่องแสงสีแดงพร้อมด้วยกลื่นอายอันชั่วร้ายจนชวนให้รู้สึกอาเจียน เขาจำมันได้มันคือกลิ่นอายแบบเดียวกับที่ปรากฏบนบาดแผลของรินมันคือต้นตอของเรื่องทั้งหมดนั่นเอง
มันค่อยๆเดินเข้ามาหาศาสที่ไร้ทางสู้ มันมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความพึงพอใจราวกับสัตว์ป่าที่เล่นสนุกกับเหยื่อของมัน พร้อมกับค่อยๆกรีดนิ้วที่มีกรงเล็บงอกออกมา พร้อมกับฟาดมันลงบนตัวของเขาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ศาสทำได้เพียงใช้มีดปัดป้องการโจมตีของมันเท่านั้น ไม่นานเขาก็เพลี่ยงพล้ำจนมีดกระเด็นหลุดจากมือไป กลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับศาส หากเขาเลือกที่จะหลบหนีจากการโจมตีของมันนั่นหมายถึงต้องแลกกับชีวิตของริน จนเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับการโจมตีจากมันตรงๆ จากมันเท่านั้น
มันใช้กรงเล็บฟาดลงบนตัวของเขาอย่างไร้ความปราณีจนหลังของศาสชุ่มไปด้วยเลือดพร้อมกับสติที่ค่อยๆเลือนลาง เมื่อมันเล่นกับเหยื่อของมันจนหนำใจแล้ว มันจึงค่อยๆ ใช้กรงเล็บปาดคอของเขาทันใดนั้นเองลูกไฟสีแดงฉานก็พุ่งใส่มันเข้าอย่างจัง จนตัวของมันกระเด็นหายไปกับเปลวไฟที่ระเบิดออกมา
เมื่อเห็นสภาพของศาสที่ร่างอาบไปด้วยเลือด รีอาจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยอย่างไม่คิดชีวิต ทันใดนั้นเองศาสก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
“รีอา! ข้างหลัง!!” ศาสร้องเตือน เธอจึงสามารถหลบการโจมตีของมันได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อมันเห็นว่าเป้าหมายสามารถหลบหลีกจากการโจมตีของมันได้ มันจึงถอยออกมาก่อนที่จะเริ่มกลืนหายไปกับความมืดอย่างช้าๆ จนรีอาไม่สามารถจับสัมผัสของมันได้เลย แต่มันไม่ได้เร้นกายเพื่อหลบหนีแต่อย่างใด มันเพียงแค่รอเวลาอันเหมาะสมในการจัดการกับเธอเท่านั้น จนรีอาไม่สามารถเข้าไปช่วยศาสได้เลย พร้อมๆ กับเรี่ยวแรงของศาสที่เริ่มหมดไป
เมื่อการต่อสู้ผ่านไปได้ไม่นานนัก รีอาก็ตกอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน เวทมนต์บทแล้วบทเล่าถูกใช้ไปเพื่อกำจัดมัน แต่ด้วยความว่องไวและความสามารถในการหายตัว ทำให้เวทย์มนต์ของเธอไม่สามารถเข้าถึงตัวของมันได้เลย อาการอ่อนล้าที่เกิดจากการใช้เวทย์มนต์เกินพิกัดทำให้เธอหมดแรงจนทรุดลงไป ทันใดนั้นมันก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเธอพร้อมกับใช้กรงเล็บอันคมกริบแทงไปยังหัวใจ ถึงแม้รีอาจะรู้ตัวแต่ตัวเธอในสภาพนี้ไม่มีทางหลบการโจมตีของมันได้เลย
ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกรงเล็บที่ควรแทงลงบนร่างของเธอกลับค้างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มันไม่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้ พร้อมกับพื้นเบื้องล่างที่เปร่งแสงขึ้นเกิดเป็นกำแพงแสงล้อมมันไว้ทั้งสี่ด้านกว่าที่มันจะรู้ตัว มันก็ตกอยู่ในเวทย์อาณาเขตแล้ว แต่สิ่งที่สร้างความตกใจให้กับมันยิ่งกว่านั้นเมื่อรู้ว่าผู้สร้างเวทย์อาณาเขตนี้ขึ้นมาคือศาสนั่นเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาน่าจะติดอยู่กับรั้วแต่กลับเป็นอิสระพร้อมกับรินที่นอนหมดสติอยู่ข้างๆ เขา
ซึ่งทุกอย่างต่างเป็นไปตามแผนของรีอา ในตอนนั้นถึงแม้ว่ารีอาจะไม่สามารถเข้าไปช่วยศาสได้แต่เธอก็ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อเบนความสนใจของมันมาไว้ที่ตัวเธอพร้อมกับหาโอกาสใช้เวทย์พังรั้วโดยที่มันไม่รู้ตัวจนศาสสามารถช่วยรินขึ้นมาได้ และเธอยังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจนทำให้มันเข้ามาอยู่ในเวทอาณาเขตของศาสได้
มันพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าอาณาเขตเวทย์ของศาสออกไปได้
“ไปตายซะ...” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยความโกรธทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงฉานก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นรอบตัวมันก่อนที่มันจะขดเป็นเกลียวเข้าหาปีศาจที่อยู่ภายในจนร่างของมันลุกไหม้ มันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เปลวเพลิงจะพุ่งขึ้นฟ้าจนปรากฎเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น ร่องรอยที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงคอนกรีดที่แตกร้าวจากความร้อนสูงเท่านั้น พร้อมๆกับกลิ่นอายชั่วร้ายของมันที่ค่อยๆ จางหายไปจนศาสไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้อีกแล้ว เมื่อรู้ว่าทุกอย่างจบลงร่ายกายที่ฝืนทนมานานก็ล้มลงกับพื้น
ศาสค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เขาพอจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้อย่างคร่าวๆ จนในบางครั้งเขายังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลได้ตอกย้ำเขาว่านี่คือโลกแห่งความจริงที่ต้องเผชิญ เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบรีอาที่มาเฝ้าไข้จนเธอฝุบหลับไปอยู่ข้างๆ เขา
“ขอบคุณนะรีอา...” ศาสกล่าวขึ้นเบาๆ พร้อมกับใช้มือลูบหัวของเธออย่างเบามือทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เขาพบว่าเป็นรินนั่นเอง ซึ่งนั่นทำให้ศาสรู้สึกโล่งใจที่เห็นเธอปลอดภัย
“ศาส! ได้สติแล้วเหรอ” รินร้องขึ้นด้วยความดีใจจนทำให้รีอาที่ฟุบอยู่ค่อยๆเงยหัวขึ้นมา ส่วนรินก็โผเข้ามาสวมกอดพวกเขาทั้งคู่ไว้
“ขอบคุณนะศาส รีอา หากไม่มีพวกเธอรินคงตายไปแล้ว” รินพูดทั้งน้ำตาจนพวกเขาต้องช่วยปลอบอยู่พักหนึ่ง
หลังจากนั้นรินจึงถามพวกเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเธอจะพอมีความทรงจำหลงเหลืออยู่ในขณะที่ถูกสะกดจิตแต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงยอมเล่าทุกอย่างให้รินฟังซึ่งมันทำให้เธอดูสับสนเล็กน้อยแต่ในท้ายที่สุดเธอก็ยอมรับมันได้
“อ๊ะ อย่างนั้นก็แสดงว่าคุณลุงหมอดูคนนั้นแกก็ทำนายแม่นน่ะสิ”
“เดี๋ยวนะ คนที่รินไปดูไม่ใช่คุณยายแก่ๆ ในซอยเล็กๆนั่นหรอกเหรอ”
“ไม่นะคนที่รินไปดูเป็นลุงผู้ชาย แถมร้านแกก็อยู่เกือบติดถนนใหญ่เลย อ้ะหรือว่าศาสเองก็สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”
“แล้วคุณยายคนนั้นเป็นใครกันแน่...” ศาสคิดในใจ จนรินและรีอาเองต่างแปลกใจในคำพูดของศาส สักพักหนึ่งนางพญาบาลก็เข้ามาทำแผลให้กับศาสพวกเธอจึงต้องขอตัวกลับ
“รีอา ขอบคุณนะ” ศาสพูดพร้อมกับยิ้มให้กับเธอก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ทั้งคู่ได้สบตากัน หน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันทีจนศาสสังเกตเห็นได้
“อ้าว...รีอาไม่สบายเหรอหน้าแดงเชียว” เมื่อศาสทักขึ้นเธอรีบหันหลังให้กับเขา
“ตาบ้า...อยู่ๆมาทำแบบนี้มันน่าอายออกไม่ใช่เหรอ”รีอาพูดขึ้นเบาๆ
“หืม? อะไรนะ” ศาสถามด้วยความสงสัย
“ตาบ้า ยะ ยังไงนายก็เป็นเบ้ของชั้น ชั้นก็ต้องดูแลอยู่แล้ว รีบหายไวๆไม่งั้นชั้นคงลำบากแย่” เมื่อเธอพูดจบเธอก็เดินจากไป
“ไง ริน” ศาสทักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเธอวิ่งเข้ามาด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับเด็กๆ ที่มีเรื่องน่าตื่นเต้น
“นี่ๆ ศาส เพื่อนรินชวนไปดูดวงล่ะ ไปด้วยกันไหมเห็นว่าแม่นมากเลยนะ” ศาสรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเธอนิดหน่อยแต่ที่ตกใจกว่าก็คือการที่ได้รู้ว่ายังเหลือคนที่ทำอาชีพนี้อยู่ในเมือง ที่ซึ่งผู้คนต่างใช้ชีวิตอยู่บนหลักการและตัวเลข
“มันก็แค่ความน่าจะเป็นล่ะมั้ง หากมีคนรู้อนาคตจริงๆ คงรวยไปแล้วล่ะ”ศาสตอบออกไปตามความรู้สึก
“โธ่ศาสเนี่ยไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย” รินทำหน้ามุ้ยจนศาสอดหัวเราะไม่ได้ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องสภานักศึกษาภายในเขาก็พบสมาชิกสภากำลังนั่งทำงานกันอย่างขมักเขม้น เนื่องจากใกล้งานกีฬาครั้งใหญ่ของสถาบัน เมื่อมาถึงห้องของเขาก็พบรีอาที่กำลังนั่งเคร่งเคลียดอยู่กับเอกสาร ศาสจึงค่อยๆย่องเข้าไป ให้เสียงเบาที่สุด
“นี่กี่โมงแล้วเหรอศาส...” เสียงจากรีอาทำเอาศาสที่กำลังนั่งเก้าอี้ถึงกับเสียวหลังวาบ
“อะ อ่า...โทษที พอดีติดธุระนิดหน่อยน่ะ” ศาสตอบในขณะที่ใช้มือลูบผมเพื่อแก้เขินเพราะในครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิดจนรีอาต้องเอางานบางส่วนของเขาไปช่วยทำ
“นี่รีอา พวกผู้หญิงนี่เขาชอบดูดวงกันเหรอ”ดูเหมือนเรื่องที่คุยกับรินเมื่อครู่ยังติดใจเขาอยู่ศาสจึงถามรีอาขึ้นอย่างไม่ทันคิด
“เห...นายสนใจด้วยเหรอศาส งั้นชั้นจะทำนายให้แล้วกัน หากนายสรุปรายงานให้ชั้นไม่เสร็จภายในหกโมงเย็นดวงนายถึงฆาตแน่ๆ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ทำเอาศาสถึงกับพูดไม่ออก จนคนอื่นๆ ที่นั่งแถวนั้นต่างหัวเราะศาสกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากการปั่นงานอย่างไม่หยุดพักจนในที่สุดเขาก็ส่งมันให้กับรีอาถึงจะเลยเวลามาบ้างแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ติดใจอะไร หลังจากที่ทุกคนต่างทยอยกันกลับบ้าน ศาสจึงวางมือจากงานที่เขากำลังทำอยู่ พร้อมกับเดินออกทางด้านหลังด้วยทางหนีไฟ เขาเดินขึ้นตามบันไดไปก็พบกับลานกว้างชั้นดาตฟ้าซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดภายในสถาบันแห่งนี้ จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้โดยรอบ แสงจากสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มสว่างไสว ในขณะที่ม่านแห่งความมืดค่อยๆเคลื่อนคล้อยลงมา
ศาสมักใช้เวลาว่างหลังจากงานเพื่อฝึกวิชาอาคมต่างๆ ในตอนค่ำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในประจำวันของเขาไปแล้วบางวันรีอาเองก็มาจับคู่ซ้อมกับเขาด้วย ในบางครั้งพวกเขาก็จะหารือถึงการนำเวทย์มนต์ในตำราบทใหม่ไปใช้เพราะสิ่งที่เหลือให้พวกเขาศึกษาในตอนนี้มีเพียงตำราที่ตกทอดกันมาเท่านั้น เพราะคนที่จะมาถ่ายทอดวิชาให้พวกเขาล้วนแต่จากไปตามกาลเวลาแล้วหมดสิ้น ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นเมื่อศาสหันไปดูก็พบว่าเป็นรีอานั่นเอง
“อ้าวเธอก็มาฝึกเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า....” รีอาตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ คงเป็นเพราะช่วงนี้เธอโหมทำงานหนักมาตลอดไม่นานนักเธอก็เดินมาที่ระเบียงพร้อมกับบิดขี้เกียจอย่างสบายใจจนไม่เหลือมาด ซึ่งนั่นทำให้ศาสทั้งแปลกใจและอดขำไม่ได้
“ว่าแต่แล้วนายล่ะ ขึ้นมาฝึกวิชาเหรอ”
“ใช่ ขอบคุณนะรีอา ผมเลยสามารถฝึกวิชาได้อย่างสบายใจเลยล่ะ”เขารู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ เพราะสถานที่นี้ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นยกเว้นแต่ผู้ที่ถือกุญแจอย่างเธอเท่านั้น และเธอก็มอบมันให้กับศาส
“อะ อื้อ ชั้นก็พอจะช่วยได้เท่านี้ล่ะ” รีอาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่เธอจะเดินกลับลงไปเตรียมงานต่อ ศาสจึงเริ่มฝึกจิตโดยการนั่งสมาธิเพราะการฝึกจิตล้วนเป็นพื้นฐานในการใช้อาคม ยิ่งสามารถทำให้จิตนิ่งและเป็นสมาธิได้อาคมจึงจะเปล่งอานุภาพได้ถึงขีดสุด
เช้าวันต่อมาใน ขณะที่ศาสกำลังเดินเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงประตูทางเข้า เขาก็พบรินนั่งอยู่ที่ซุ้มม้าหินศาสจึงเดินเข้าไปทักทาย เขาเรียกเธอไปหลายครั้งกว่าที่เธอจะรู้สึกตัว ในขณะที่พวกเขากำลังสนธนากันศาสก็สังเกตว่าสีหน้าของเธอดูวิตกกังวลกับอะไรบางอย่าง
“รินมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ปรึกษาผมได้นะ” รินได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับพยายามยิ้มกลบเกลื่อน จนศาสเองก็ลังเลที่จะถามต่อ
“ไปหาอะไรกินด้วยกันไหมริน ที่คณะของผมมีร้านเด็ดๆ ด้วยนา”
“อะ อื้อ ไปสิ”
ในปกติเขามักจะมาทานคนเดียวหรือไม่ก็มากับเพื่อนๆผู้ชายในคณะเท่านั้นแต่เมื่อมาทานข้าวด้วยกันกับผู้หญิงก็ทำให้เขาตื่นเต้นนิดๆ ไม่นานนักรินก็ถือถาดอาหารของเธอมา อยู่ดีๆ เรื่องที่ไม่คาดคิดก็ก็เกิดขึ้นเมื่อเธอสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียหลักศาสรีบใช้มือเข้าไปรับตัวเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มลงไปกับพื้น
“ริน! เป็นอะไรหรือเปล่า”ศาสถามด้วยความเป็นห่วงส่วนเธอเองก็อยู่ในอาการตกใจ
“ศาส...แขนศาส” รินพูดด้วยเสียงสั่นเทานัยตาเริ่มมีน้ำตาคลอก่อนที่เธอจะรีบดูอาการแขนของศาสที่ถูกน้ำซุปลวก
“สบายใจน่า น้ำร้อนแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก” ศาสพูดพร้อมกับยื่นแขนให้รินดู จนเธอคลายความกังวลลง ศาสจึงพาเธอไปนั่งและจัดแจงยกอาหารมาเสิฟเธอถึงที่ จนเพื่อนๆในคณะที่ผ่านมาเห็นเข้าต่างล้อศาสเสียยกใหญ่ จนทำให้ทั้งคู่รู้สึกเกร็งจนพวกเขาแทบไม่ได้สนใจรสชาตของอาหารเลย
ในช่วงเที่ยงของวันต่อมาในขณะที่ศาสกำลังเดินออกจากโรงอาหารกับกลุ่มเพื่อนด้วยความเซ็ง
“เจ้าแก่นั่นแม่งกว่าจะปล่อยข้าวก็หมดพอดี” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนบ่นอย่างหัวเสีย อากาศที่ร้อนยามเที่ยงบวกความหิวมันเป็นอะไรที่ชวนให้พวกเขาหงุดหงิดเสียจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินไปหาอะไรกินที่คณะข้างเคียง ทันใดนั้นเพื่อนของเขาคนหนึ่งก็สะกิดศาสพร้อมกับชี้ไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง
“เฮ้ยๆ นั่นเด็กแกไม่ใช่เหรอศาส” เมื่อศาสหันไปก็พบว่าเป็นรินนี่เองแต่ท่าทางการเดินของเธอดูแปลกๆ ศาสจึงขอตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนพร้อมกับวิ่งไปหาเธอ
“รินเป็นอะไรหรือเปล่า หา!! เธอบาดเจ็บนี่” เมื่อศาสวิ่งเข้าไปใกล้ก็เห็นที่แขนและขาของเธอถูกพันด้วยผ้าพันแผล
“พอดีรินซุ่มซ่ามเลยตกบันใดนิดหน่อยอ่ะจ้า” ถึงแม้รินจะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ก็ไม่สามารถเก็บอาการวิตกกังวลได้
“หากไม่ว่าอะไรขอผมดูแผลหน่อยได้ไหม” รินตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยื่นขาให้ศาสดูแต่โดยดี เมื่อศาสแกะผ้าพันแผลออกก็พบกับสิ่งที่น่าตกใจเนื่องจากแผลที่ข้อเท้าของเธอมีลักษณะห้อเลือดช้ำราวกับรอยมือและดูเหมือนว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากมัน เมื่อศาสถามอะไรเพิ่มเติมเธอก็บอกเพียงว่าเป็นอุบัติเหตุ
จนศาสนึกถึงเพื่อนของรินที่ทำงานอยู่ในสภานักศึกษาพวกเธอน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ด้วยเคลือข่ายสมาชิกสภาจึงไม่ใช่เรื่องยากนักในการตามหาตัวพวกเธอ ไม่นานนักพวกเธอก็มาพบศาสที่ห้องประชุมภายในสภานักศึกษา
“ขอโทษด้วยที่เรียกตัวมาแบบนี้ ผมมีเรื่องสำคัญ ที่อยากสอบถามขอให้พูดทุกอย่างตามความจริง” ศาสพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจนพวกเธอรู้สึกเกร็ง
“พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับรินไหม มันเกี่ยวกับคำทำนายที่พวกเธอไปหาหมอดูคนนั้นใช่ไหม” หน้าของทั้งคู่ถอดสีทันทีที่ศาสพูดถึงเรื่องหมอดู พวกเธอเริ่มมองหน้ากันด้วยความลังเล
“ชะ ใช่...หมอดูคนนั้นทำนายว่าเธอจะตายภายในห้าวัน”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้” พวกเธอพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก ที่ผมเรียกมาเพราะไม่อยากให้ไปสถานที่แบบนั้น พวกเราต่างเป็นคณะกรรมการนักเรียนควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น ส่วนไอ้เรื่องคำทำนายไร้สาระอะไรนั่นมันก็แค่เรื่องขี้โม้ที่พวกหมอดูมันกุขึ้นเท่านั้น” คำพูดของศาสทำให้สีหน้าของพวกเธอคลายความกังวลลง
จากเบาะแสที่ได้ศาสไม่รอช้า เขารีบมุ่งหน้าไปยังร้านของหมอดูตามแผนที่ที่ได้มาจากเพื่อนของริน มันเป็นร้านริมทางตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ติดกับถนนใหญ่ แต่เมื่อมาถึงเขากลับไม่พบอะไรจึงลองเดินเข้าไปตามตรอกเล็กๆ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในย่านใจกลางเมืองแต่สภาพของมันกลับดูทรุดโทรมผิดกับภาพลักษณ์ของเมืองหลวงที่มีแต่ความศิวิไลซ์เขาพยายามเดินหาอยู่นานจนรู้สึกว่าตนเองเริ่มวนกลับมาที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาเองเริ่มถอดใจ ในขณะนั้นเองก็มีเด็กตัวเล็กๆ เดินเข้ามาสะกิดเขาพร้อมกับชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง เมื่อเขามองตามก็พบกับตรอกเล็กๆ
“เธอจะบอกอะไรผมเหร...” เมื่อศาสหันกลับไปถามก็พบว่าเด็กคนที่ควรจะยืนอยู่ข้างเขากลับหายไปแล้ว ด้วยความที่ยังคงรู้สึกสงสัยในสิ่งที่เด็กคนนั้นทำเขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปภายใน
ในที่สุดเขาก็มายืนอยู่หน้าร้านพยากรณ์เขาพยายามทบทวนกับตนเองอีกครั้งถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ทันใดนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงชราในชุดคลุมสีดำเธอมีใบหน้าที่เหี่ยวย่นจนสามารถเห็นถึงเค้าโคลงของกะโหลกภายในสีผมที่ขาวโพลนดูราวกับแม่มดในนิยาย เธอจ้องมองเขาด้วยนัยตาที่เต็มไปด้วยฝ้าขาว แต่ศาสกลับไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายใดๆจากตัวเธอ
“เข้ามาก่อนสิพ่อหนุ่ม ฉันรอเธอมานานแล้ว” เธอพูดขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ใช้ไม้เท้าเดินนำทางเข้าไป ศาสจึงตัดสินใจตามเธอเข้าไป ด้านในเขาพบกับห้องเล็กๆขนาดแค่เพียงผู้ใหญ่ไม่กี่คนนั่งเท่านั้น มันมืดสลัวมีเพียงตะเกียงที่ให้แสงสว่าง เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ เมื่อสายตาเริ่มชิดกับความมืดเขาก็พบว่าบนกำแพงถูกเขียนด้วยอักษรที่แปลกตาอยู่เต็มไปหมดพร้อมด้วยเครื่องรางต่างๆที่ถูกแขวนอยู่อย่างระเกะระกะ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อหญิงชราจนมือของเขาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถชักมีดออกมาได้ตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“มาที่นี่เพราะเรื่องเด็กสาวคนนั้นสินะ...” หญิงชราพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองมายังศาสราวกับว่าเธอล่วงรู้ถึงความต้องการของเขา
“ใช่...และผมก็สงสัยในตัวคุณมากซะด้วย” ศาสพยายามจี้จุดเพื่อให้เธอเปิดเผยตัวตนพร้อมกับช้จิตจับสัมผัสบนตัวเธอแต่ก็ยังคงไร้ซึ่งกลิ่นอายใดๆ
“...อืม......ผลลัพธ์ของคำทำนายนั่นได้นำเธอมายังที่นี่สินะ...” หญิงชราพูดขึ้นด้วยความพอใจ
“หากคุณสามารถล่วงรู้ถึงอนาคตได้ช่วยบอกผมทีเถอะว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยเธอได้”
“การทำนายก็เหมือนกับการมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำ การเผยอนาคตก็เหมือนกับการโยนก้อนหินลงในน้ำ มันอาจทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมจนมองภาพที่สะท้อนไม่ออก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่ภาพสะท้อนเท่านั้น ไม่ส่งผลต่อสิ่งที่มันสะท้อนได้”
“คุณจะบอกว่าต่อให้ทำอย่างไรก็เปลี่ยนมันไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”ศาสถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ
“โชคชะตาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะฝืนได้....แต่ในช่วงชีวิตของชั้นก็เคยเห็นคนที่สามารถเปลี่ยนมันได้เหมือนกัน... คืนนี้ความตายจะมาพรากเอาชีวิตของเด็กคนนั้น....ฉันบอกได้แค่นี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว...”
ในเมื่อศาสไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของหมอดูคนนนี้ได้ เขาจึงทำได้แค่เชื่อในสิ่งที่หญิงชราพูดเท่านั้น ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่เคยเชื่อในเรื่องของโชคชะตาเลย แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงคำโกหกจากคำพูดของหญิงชราเช่นกัน
ศาสจึงเดินกลับออกมาเพื่อไปทบทวบถึงเรื่องที่ควรทำต่อไป ในขณะที่เขากำลังจะปิดประตู เสียงกระซิบหนึ่งก็แว่วขึ้นมา
“ฉันหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้นะศาส....”
“อ้าวศาส มีอะไรเหรอหน้าตาเคลียดเชียว”รินพูดด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นศาสมาหาเธอถึงชั้นเรียนในสภาพเหงื่อท่วมตัว
“ผมมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยน่ะ ตอนนี้ทางสภามีงานด่วนอยากขอแรงรินหน่อยได้ไหม”
“อื้อเอาสิ ไปกันเลยไหมล่ะ แต่เดินช้าๆ หน่อยนะรินเจ็บขาน่ะ” เธอทำตามคำขอขอศาสแทบจะทันที จนศาสอดรู้สึกผิดไม่ได้
ตกเย็นเหล่าสมาชิกสภาต่างเริ่มทยอยกันกลับ จนเป็นภาพที่แปลกตาเพราะปกติจะมีสมาชิกบางส่วนอยู่ทำงานกันจนดึก ในตอนนี้กลับเหลือพวกเขาเพียงสามคนซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของรีอานั่นเอง
“เอ่อ...ศาสเดี๋ยวรินขอกลับบ้านไปอาบน้ำก่อนได้ไหม” คำพูดของรินทำเอาศาสรับมือไม่ถูกเขามองข้ามในเรื่องนี้ไปหากเป็นผู้ชายแบบเขาการไม่อาบน้ำสักวันสองวันคงไม่ใช่ปัญหา
“ไม่เป็นไรหรอกริน ชั้นมีชุดอยู่ในตู้ด้านหลังน่ะเลือกใช้ได้ตามใจชอบเลยนะ” รีอาพูดแทรกขึ้นพร้อมกับพาเธอเดินไปเลือกชุดในตู้ด้านหลัง
“โอ้โห...รีอาทำไมมีชุดเยอะจังเธอนอนค้างที่นี่บ่อยเหรอ” รินรู้สึกตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ถูกแขวนอยู่เรียงรายภายในตู้ของเธอ
“เอ่อ...แค่เตรียมไว้น่ะแต่แทบไม่เคยได้ใช้เลย”รีอาตอบด้วยท่าทางเขินเล็กน้อย
“มีอะไรหรือเปล่าศาส” รีอาถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นศาสเอาแต่จดๆ จ้องๆ พวกเธออย่างไม่วางตา ศาสทำหน้าเครียดราวกับกำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่พักหนึ่งยิ่งทำให้ความอยากรู้ของทั้งคู่เพิ่มมากขึ้น
“อืม...ช่วงตัวไม่น่ามีปัญหานะแต่หน้าอกนี่สิมันน่าจะคับไปหน่อยหรือเปล่า” ศาสพูดขึ้นในขณะที่สายตาของเขากำลังมองรูปร่างของพวกเธออย่างตั้งใจ
“แหม แหม ขอบคุณนะศาสที่อุตส่าห์บอก” รีอาเดินไปหาศาสด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะประเคนหมัดใส่เขาจนลงไปกองอยู่กับพื้นส่วนรินก็ได้แต่ยืนหน้าแดง
“ไปอาบน้ำกันเถอะรินทิ้งตาบ้าโรคจิตไว้ตรงนี้ล่ะ” เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องไป ศาสจึงใช้ช่วงเวลานี้เริ่มประกอบพิธีกรรมเขาหยิบด้ายปริตรออกมาจากเป้ก่อนที่จะผูกโยงไปรอบห้องพร้อมกับบริกรรมคาถากำกับลงไปด้วย
ยิ่งตกดึกเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานเริ่มจางหายไปพร้อมกับความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เสียงนาฬิกาเดินยิ่งตอกย้ำถึงภัยที่กำลังคลืบคลานเข้ามามันทำให้เขารู้สึกกดดันทุกครั้งที่มันวนครบคอบจนไม่อาจเบือนสายตาไปจากมันได้เลย จนศาสเองรู้สึกทนต่อแรงกดดันไม่ไหวจึงขอตัวไปล้างหน้าเพื่อสงบสติอารมณ์
หลังจากที่ศาสเดินออกจากห้องไปได้ไม่นาน รินและรีอาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของศาสด้วยความเจ็บปวด รินจึงรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความตกใจแต่รีอารีบคว้ามือของเธอได้ทัน
“ปล่อยนะรีอา...ศาสน่ะ....ศาส” รินร้องขึ้นด้วยอย่างเสียขวัญพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
“รินรออยู่นี่ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาดเข้าใจนะ!!” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับกำชับให้รินอยู่ในห้องจนเธอยอมรับปาก รีอาจึงรีบวิ่งตามเสียงการต่อสู้ไป
เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อศาสกลับมายังห้องเขาถึงกับหน้าถอดสีเมื่อพบว่าทุกคนหายไปจากห้อง เขารีบตรงไปสำรวจเขตพิธีที่ทำไว้แต่ก็ไร้ร่องรอยของการถูกทำลาย ในขณะที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสน ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงเสียงของสายลมที่พัดมาจากด้านบน ซึ่งตามปกติแล้วในตึกระบบปิดเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเกิดลมพันขึ้นแน่ๆ นอกจากมีใครบางคนเปิดประตูชั้นดาตฟ้าทิ้งไว้ เขาจึงรีบมุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นดาตฟ้าทันที
ทันที่ที่ก้าวพ้นประตูออกมาภาพที่ปรากฎต่อหน้าศาสทำเอาหัวใจของเขาแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นรินยืนอยู่หลังรั้วตาข่าย ในสภาพโงนเงนราวกับคนไร้สติ แขนขาของเธอเต็มไปด้วยรอยถลอกศาสรีบวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตถึงแม้จะรู้ดีว่าหากเธอพลัดตกลงไป ด้วยเวลาแค่นี้ไม่มีทางเลยที่เขาจะปีนรั้วกั้นออกไปช่วยเธอได้ทัน ทันใดนั้นสิ่งที่เขากลัวก็กลายเป็นความจริงเมื่อเธอก้าวเท้าออกไปในอากาศจนร่างของเธอร่วงลงไปยังพื้นด้านล่าง
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายศาสรีบกระโดดพุ่งตัวออกไปพร้อมกับชักมีดของเขาฟันเข้าที่รั้วจนมันขาดออกจากกัน ในขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็ต่อยซ้ำไปยังช่องที่เขาทำไว้อย่างสุดแรงจนมือของเขาทะลุรั้วออกไปคว้าแขนของเธอไว้ได้ทันแต่นั่นต้องแลกกันความบาดเจ็บที่แขน
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะสามารถช่วยรินไว้ได้ก็จริงแต่สถานการณ์ก็ยังคงเลวร้ายอยู่ดีตัวเขาในสภาพนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ถูกพันธนาการ และอาการบาดเจ็บที่แขนของศาสที่เริ่มแย่ลงจนเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถรั้งตัวเธอไว้ได้อีกนานแค่ไหน ทันใดนั้นกลุ่มก้อนความมืดเริ่มก่อตัวขึ้นด้านหลังของศาสมันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์นัยตาส่องแสงสีแดงพร้อมด้วยกลื่นอายอันชั่วร้ายจนชวนให้รู้สึกอาเจียน เขาจำมันได้มันคือกลิ่นอายแบบเดียวกับที่ปรากฏบนบาดแผลของรินมันคือต้นตอของเรื่องทั้งหมดนั่นเอง
มันค่อยๆเดินเข้ามาหาศาสที่ไร้ทางสู้ มันมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความพึงพอใจราวกับสัตว์ป่าที่เล่นสนุกกับเหยื่อของมัน พร้อมกับค่อยๆกรีดนิ้วที่มีกรงเล็บงอกออกมา พร้อมกับฟาดมันลงบนตัวของเขาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ศาสทำได้เพียงใช้มีดปัดป้องการโจมตีของมันเท่านั้น ไม่นานเขาก็เพลี่ยงพล้ำจนมีดกระเด็นหลุดจากมือไป กลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับศาส หากเขาเลือกที่จะหลบหนีจากการโจมตีของมันนั่นหมายถึงต้องแลกกับชีวิตของริน จนเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับการโจมตีจากมันตรงๆ จากมันเท่านั้น
มันใช้กรงเล็บฟาดลงบนตัวของเขาอย่างไร้ความปราณีจนหลังของศาสชุ่มไปด้วยเลือดพร้อมกับสติที่ค่อยๆเลือนลาง เมื่อมันเล่นกับเหยื่อของมันจนหนำใจแล้ว มันจึงค่อยๆ ใช้กรงเล็บปาดคอของเขาทันใดนั้นเองลูกไฟสีแดงฉานก็พุ่งใส่มันเข้าอย่างจัง จนตัวของมันกระเด็นหายไปกับเปลวไฟที่ระเบิดออกมา
เมื่อเห็นสภาพของศาสที่ร่างอาบไปด้วยเลือด รีอาจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยอย่างไม่คิดชีวิต ทันใดนั้นเองศาสก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
“รีอา! ข้างหลัง!!” ศาสร้องเตือน เธอจึงสามารถหลบการโจมตีของมันได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อมันเห็นว่าเป้าหมายสามารถหลบหลีกจากการโจมตีของมันได้ มันจึงถอยออกมาก่อนที่จะเริ่มกลืนหายไปกับความมืดอย่างช้าๆ จนรีอาไม่สามารถจับสัมผัสของมันได้เลย แต่มันไม่ได้เร้นกายเพื่อหลบหนีแต่อย่างใด มันเพียงแค่รอเวลาอันเหมาะสมในการจัดการกับเธอเท่านั้น จนรีอาไม่สามารถเข้าไปช่วยศาสได้เลย พร้อมๆ กับเรี่ยวแรงของศาสที่เริ่มหมดไป
เมื่อการต่อสู้ผ่านไปได้ไม่นานนัก รีอาก็ตกอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน เวทมนต์บทแล้วบทเล่าถูกใช้ไปเพื่อกำจัดมัน แต่ด้วยความว่องไวและความสามารถในการหายตัว ทำให้เวทย์มนต์ของเธอไม่สามารถเข้าถึงตัวของมันได้เลย อาการอ่อนล้าที่เกิดจากการใช้เวทย์มนต์เกินพิกัดทำให้เธอหมดแรงจนทรุดลงไป ทันใดนั้นมันก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเธอพร้อมกับใช้กรงเล็บอันคมกริบแทงไปยังหัวใจ ถึงแม้รีอาจะรู้ตัวแต่ตัวเธอในสภาพนี้ไม่มีทางหลบการโจมตีของมันได้เลย
ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกรงเล็บที่ควรแทงลงบนร่างของเธอกลับค้างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มันไม่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้ พร้อมกับพื้นเบื้องล่างที่เปร่งแสงขึ้นเกิดเป็นกำแพงแสงล้อมมันไว้ทั้งสี่ด้านกว่าที่มันจะรู้ตัว มันก็ตกอยู่ในเวทย์อาณาเขตแล้ว แต่สิ่งที่สร้างความตกใจให้กับมันยิ่งกว่านั้นเมื่อรู้ว่าผู้สร้างเวทย์อาณาเขตนี้ขึ้นมาคือศาสนั่นเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาน่าจะติดอยู่กับรั้วแต่กลับเป็นอิสระพร้อมกับรินที่นอนหมดสติอยู่ข้างๆ เขา
ซึ่งทุกอย่างต่างเป็นไปตามแผนของรีอา ในตอนนั้นถึงแม้ว่ารีอาจะไม่สามารถเข้าไปช่วยศาสได้แต่เธอก็ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อเบนความสนใจของมันมาไว้ที่ตัวเธอพร้อมกับหาโอกาสใช้เวทย์พังรั้วโดยที่มันไม่รู้ตัวจนศาสสามารถช่วยรินขึ้นมาได้ และเธอยังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจนทำให้มันเข้ามาอยู่ในเวทอาณาเขตของศาสได้
มันพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าอาณาเขตเวทย์ของศาสออกไปได้
“ไปตายซะ...” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยความโกรธทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงฉานก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นรอบตัวมันก่อนที่มันจะขดเป็นเกลียวเข้าหาปีศาจที่อยู่ภายในจนร่างของมันลุกไหม้ มันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เปลวเพลิงจะพุ่งขึ้นฟ้าจนปรากฎเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น ร่องรอยที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงคอนกรีดที่แตกร้าวจากความร้อนสูงเท่านั้น พร้อมๆกับกลิ่นอายชั่วร้ายของมันที่ค่อยๆ จางหายไปจนศาสไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้อีกแล้ว เมื่อรู้ว่าทุกอย่างจบลงร่ายกายที่ฝืนทนมานานก็ล้มลงกับพื้น
ศาสค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เขาพอจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้อย่างคร่าวๆ จนในบางครั้งเขายังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลได้ตอกย้ำเขาว่านี่คือโลกแห่งความจริงที่ต้องเผชิญ เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบรีอาที่มาเฝ้าไข้จนเธอฝุบหลับไปอยู่ข้างๆ เขา
“ขอบคุณนะรีอา...” ศาสกล่าวขึ้นเบาๆ พร้อมกับใช้มือลูบหัวของเธออย่างเบามือทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เขาพบว่าเป็นรินนั่นเอง ซึ่งนั่นทำให้ศาสรู้สึกโล่งใจที่เห็นเธอปลอดภัย
“ศาส! ได้สติแล้วเหรอ” รินร้องขึ้นด้วยความดีใจจนทำให้รีอาที่ฟุบอยู่ค่อยๆเงยหัวขึ้นมา ส่วนรินก็โผเข้ามาสวมกอดพวกเขาทั้งคู่ไว้
“ขอบคุณนะศาส รีอา หากไม่มีพวกเธอรินคงตายไปแล้ว” รินพูดทั้งน้ำตาจนพวกเขาต้องช่วยปลอบอยู่พักหนึ่ง
หลังจากนั้นรินจึงถามพวกเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเธอจะพอมีความทรงจำหลงเหลืออยู่ในขณะที่ถูกสะกดจิตแต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงยอมเล่าทุกอย่างให้รินฟังซึ่งมันทำให้เธอดูสับสนเล็กน้อยแต่ในท้ายที่สุดเธอก็ยอมรับมันได้
“อ๊ะ อย่างนั้นก็แสดงว่าคุณลุงหมอดูคนนั้นแกก็ทำนายแม่นน่ะสิ”
“เดี๋ยวนะ คนที่รินไปดูไม่ใช่คุณยายแก่ๆ ในซอยเล็กๆนั่นหรอกเหรอ”
“ไม่นะคนที่รินไปดูเป็นลุงผู้ชาย แถมร้านแกก็อยู่เกือบติดถนนใหญ่เลย อ้ะหรือว่าศาสเองก็สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”
“แล้วคุณยายคนนั้นเป็นใครกันแน่...” ศาสคิดในใจ จนรินและรีอาเองต่างแปลกใจในคำพูดของศาส สักพักหนึ่งนางพญาบาลก็เข้ามาทำแผลให้กับศาสพวกเธอจึงต้องขอตัวกลับ
“รีอา ขอบคุณนะ” ศาสพูดพร้อมกับยิ้มให้กับเธอก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ทั้งคู่ได้สบตากัน หน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันทีจนศาสสังเกตเห็นได้
“อ้าว...รีอาไม่สบายเหรอหน้าแดงเชียว” เมื่อศาสทักขึ้นเธอรีบหันหลังให้กับเขา
“ตาบ้า...อยู่ๆมาทำแบบนี้มันน่าอายออกไม่ใช่เหรอ”รีอาพูดขึ้นเบาๆ
“หืม? อะไรนะ” ศาสถามด้วยความสงสัย
“ตาบ้า ยะ ยังไงนายก็เป็นเบ้ของชั้น ชั้นก็ต้องดูแลอยู่แล้ว รีบหายไวๆไม่งั้นชั้นคงลำบากแย่” เมื่อเธอพูดจบเธอก็เดินจากไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ