Real Breaker
7.6
เขียนโดย คันศร
วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.
19 บท
18 วิจารณ์
21.18K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ภาคีเจ็ดคาบสมุทร(The order of the Se7en Sea)บทที่2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ท่ามกลางสายลมพัดโหมกระหน่ำบนยอดตึกสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ทันใดนั้นเองเสียงของฝีเท้าสองคู่ที่วิ่งผ่านพื้นโลหะก็ค่อยๆ ดังก้องขึ้น แสงไฟที่อยู่บนยอดตึกได้สะท้อนร่างเจ้าของเสียงนั้นจนเห็นเป็นร่างของชาย หญิงคู่หนึ่ง วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เสียงจากฝีเท้าหยุดลง ก็ปรากฎสะเก็ดไฟพร้อมกับเสียงประดาบระรัวขึ้นก่อนที่เสียงนั้นจะดังห่างออกไปยังพื้นที่ก่อสร้าง
จนเวลาผ่านไปอยู่ครู่หนึ่งเสียงจากการปะทะก็เริ่มลดลง ในตอนนี้หญิงสาวเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับเลือดที่เริ่มซึมออกมาจากจากผ้าพันแผลที่อยู่บนร่าง
“ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องเป็นของข้าเท่านั้น!! วันนี้ข้าจะฝังแกที่นี่ล่ะ!!!” เสียงจากชายคนหนึ่งดังขึ้น ในไม่ช้าเขาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืดพร้อมกับดาบคาตานะเล่มยาวที่อยู่ในมือ พริบตานั้นเองเขาก็พุ่งเข้าฟันหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ในพริบตานั้นเองเธอสามารถเบี่ยงตัวหลบออกมาจากคมดาบของเขาได้อย่างฉิวเฉียด จนการโจมตีนั้นไปถูกแท่งเหล็กโครงสร้างจนมันขาดสะบั้น
ในไม่ช้าเธอก็ถูกไล่ต้อนจนเริ่มจนมุม เมื่อทางออกด้านหน้าถูกขวางไว้ด้วยศัตรูอันแข็งแกร่งและเบื้องหลังมีเพียงอากาศเท่านั้น หากตกจากความสูงขนาดนี้คงมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ จนลึกๆ ในใจของเธอเริ่มยอมรับความตายที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจหมายจะแลกชีวิตกับชายผู้นั้นในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นเอง เธอก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติจนเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับหยุดชะงักลง
“นี่คือวิถีแห่งนักสู้ของแกเหรอ มากลัวตายเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว!!” เมื่อเห็นดังนั้นชายคนนั้นจึงพุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เธอจึงขว้างปลอกดาบสวนออกไปแต่ชายคนนั้นกลับหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เธอจะหันหลังให้กับเขาพร้อมกับตัดสินใจกระโดดลงไป
“หึ..ฮ่าๆๆๆ!! นี่ล่ะเหรอความหวังของไอ้แก่นั่น...” ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังหัวเราะอย่างสะใจ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากด้านหลังเมื่อหันไปเขาก็พบด้ามดาบถูกปักคาอยู่บนสปอตไลท์จนไฟฟ้าลัดวงจรเกิดเป็นประกายไฟออกมา
“เฮ้ยนี่มันกลิ่นแก๊----” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็เกิดการระเบิดขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับเปรวไฟที่พวยพุ่งออกมาจนกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างหายไปกับทะเลเพลิง
“บ้าจริง!! พวกเรามาช้าไปอย่างนั้นเหรอ” ศาสพูดขึ้นอย่างหัวเสียพร้อมกับมองไปยังดาตฟ้าตึกที่กำลังเกิดเพลิงไหม้อยู่ห่างๆ เท่านั้น เพราะบริเวณโดยรอบถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักดับเพลิงเข้าควบคุมปิดล้อมสถานที่เอาไว้แล้วท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์ของผู้คนนับพันที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น! พวกเจ้าหน้าที่ยังขึ้นไปไม่ถึงด้านบนอีกอย่างนั้นเรอะ!!!” เสียงจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงวัยกลางคน คนหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความหัวเสียจนเจ้าหน้าที่สื่อสารที่อยู่ข้างๆเริ่มออกอาการลนลาน
“หัวหน้าครับ! ทีมด้านบนแจ้งมาว่าเกิดกลุ่มควันหนาแน่นปิดล้อมไว้จนไม่สามารถเข้าไปได้เลยครับ!!” เจ้าหน้าที่สื่อสารแจ้งข้อมูลกลับไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น..แล้วหน่วยเฮลิคอปเตอร์ล่ะไปถึงไหนแล้ว”
“หน่วยเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ครับเพราะกลุ่มควันมันวนล้อมรอบชั้นดาตฟ้าจนบังทัศนวิสัยหมดเลยครับ!!”
“นี่มันอะไรกัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดมายังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง”
“บางทีพวกเราอาจมาทันก็ได้นะศาส...นายสัมผัสไม่ได้เลยเหรอว่าข้างบนนั่นมันให้ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนเวทย์อาณาเขตที่พวกเจ็ดคาบสมุทรเคยใช้” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังชั้นดาตฟ้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“แต่สถานการณ์แบบนี้เราจะผ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่เข้าไปได้ยังไงล่ะ...”
“นายลืมไปแล้วเหรอว่ากำลังพูดอยู่กับใครน่ะ” รีอาพูดในขณะที่เดินไปยังด้านหลังของตึกที่อยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุ เธอมองไปรอบๆ ก่อนที่เธอหยุดอยู่ที่ไม้พลองแท่งหนึ่งที่พาดอยู่กับกำแพง พร้อมกับเดินเข้าไปหยิบมันออกมา รีอาไม่รอช้าเธอขึ้นคล่อมไปบนไม้ด้ามนั้น ก่อนที่จะร่ายเวทย์ออกมาสักพักศาสก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของสายลม
“เอาล่ะ ขึ้นมาสิ...” รีอาร้องบอก ศาสได้แต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะท่าทางของเธอราวกับเด็กๆ ที่เล่นขี่ไม้กวาด จนทำให้รีอาที่ขี่ไม้พลองอยู่เริ่มหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปรัวหมัดใส่ศาสจนเขาแทบล้มลงกับพื้น
“ที่ชั้นยอมทำแบบนี้ก็เพราะนายเลยนะ! ตาบ้า!!”
“อุ๊บ ฮ่ะๆ ขอโทษๆ จะไม่หัวเราะแล้ว..” ศาสพูดขึ้นในขณะที่เขาสอดมือไปยังเอวของรีอาจนเธอมีอาการสะดุ้ง
“ตาบ้า! จับที่ไหนกันน่ะ” รีอาร้องขึ้นทำเอาศาสถึงกับสะดุ้งรีบปล่อยมือออกมาจับที่แท่งไม้แทน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรีอาจึงตั้งสมาธิขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์อีกครั้ง จนศาสสัมผัสได้ถึงแรงที่ยกขึ้นจนตอนนี้เท้าของเขาไม่ติดพื้นอีกแล้ว ก่อนที่มันจะพุ่งขึ้นเป็นมุมเอียงไปด้านหน้าแต่ดูเหมือนเธอจะยังควบคุมมันได้ไม่คล่องนักมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนศาสไม่ทันได้ตั้งตัวมือของเขาจึงลื่นหลุดออกจากแท่งไม้ในขณะที่เขากำลังเสียหลักและกำลังจะตกลงไปยังพื้นเบื้องล่างนั้นเอง เขาได้แต่หลับตาแน่นด้วยความกลัว ด้วยความตกใจและสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดมือทั้งสองข้างของเขาจึงคว้าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดดูเหมือนเขาจะคว้าบางอย่างเอาไว้ได้ จนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อความตื่นตกใจได้จางหายไปศาสก็เริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาจับมันไว้ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด การสัมผัสนั่นเอง มือทั้งสองข้างของเขาจึงเริ่มบีบมันอีกครั้ง
“อ๊ะ นิ่มแฮะ..ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเคยสัมผัสมาก่อน...” ศาสพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดพร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบรีอาหันมาจ้องหน้าเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“มันก็ต้องนิ่มอยู่แล้วสิ ตาบ้า!!!!!”
“โอ็ยยยยยย!! รีอาอย่า! ผมขอโทษษ!”
ในที่สุดทั้งคู่ก็ขึ้นมายังส่วนของดาตฟ้ามันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าจะเรียกว่าหมอกมากกว่าควันปกคลุมอยู่เต็มชั้น จนไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้เลย
“เป็นเวทย์อาณาเขตจริงๆ ด้วย” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเริ่มร่ายเวทย์ขึ้นบทหนึ่ง จนสายลมเริ่มก่อตัวราวกับเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ เมื่อเธอสะบัดมือออกไปด้านหน้าเกลียวสายลมนั้นก็พุ่งเข้าปะทะกับม่านพลังเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง พร้อมกับสายลมที่โหมกระหน่ำสะท้อนกลับมา ในตอนนี้เบื้องหน้าของทั้งคู่ก็ปรากฎเป็นเส้นทางขึ้น กลุ่มหมอกควันได้ถูกแหวกออกเป็นทางจนเห็นเปรวเพลิงที่ลุกอยู่ภายใน
ในขณะที่รีอากำลังพาศาสฝ่าเข้าไปยังภายใน พริบตานั้นเองทั้งคู่ต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร แต่เมื่อรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว แท่งไม้ที่พวกเขานั่งมาถูกการโจมตีบางอย่างจนมันขาดออกจากกันทำให้ศาสตกลงไปภายใน ในขณะที่รีอากำลังพุ่งเข้ามาคว้าแขนของศาสไว้ ทันใดนั้นเองเส้นทางนั้นกลับถูกปิดลงจนตัวเธอกระเด็นออกมา
“อ็าคคคคค” ในขณะที่ศาสกำลังตกสู่พื้นเบื้องล่างนั้นเอง เขารีบชักดาบออกมาพร้อมกับทุ่มแรงทั้งหมดแทงไปยังกำแพงที่อยู่ตรงหน้า ดาบของเขาเสียดสีกับกำแพงเป็นทางยาวก่อนที่ร่างของเขาจะหยุดก่อนตกถึงพื้นเพียงไม่กี่เมตร
“รีอาจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ..” ศาสมองไปยังกลุ่มหมอกด้านบนที่ถูกปิดลงอย่างเป็นห่วง ในตอนนั้นเองเสียงจากการปะดาบก็ดังขึ้นเขาจึงตัดสินใจตามเสียงนั้นไป
“เลิกซ่อนตัวได้แล้วชั้นรู้ว่าพวกแกอยู่แถวนี้ ภาคีเจ็ดคาบสมุทร!!” รีอาพูดพร้อมกับร่ายเวทย์ไปยังดาตฟ้าของตึกที่อยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่เปรวไฟจากเวทย์ของเธอจะเข้าปะทะเป้าหมายก็ปรากฎแผ่นยันต์ลอยขวางเอาไว้เมื่อเวทย์มนต์ของเธอได้สัมผัสกับแผ่นยันต์เหล่านั้นมันก็สลายหายไปพร้อมกับแผ่นยันต์เหล่านั้น
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะสัมผัสถึงพวกเราได้ สมกับที่เป็นแม่มดระดับสูงจริงๆ..” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ค่อยๆปรากฎกายออกมาจากความว่างเปล่า ถึงแม้ว่าความทรงจำของรีอาจะเลือนลางก็ตามแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งเธอก็จำได้อย่างแม่นยำเธอคือหนึ่งในกลุ่มคนที่บุกเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง
“ดูเหมือนว่าเวทย์ลืมเลีอนจะใช้ไม่ได้ผลกับคุณซะแล้ว...งั้นก็ช่วยไม่ได้ฉันขอแนะนำตัวเลยแล้วกันฉัน
หยาง หลิ่งเฟย จากภาคีเจ็ดคาบสมุทร” หญิงสาวกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“เรื่องนั้นชั้นไม่สนใจหรอก แต่เธอต้องคลายเวทย์อาณาเขตออกเดี๋ยวนี้!”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ นี่เป็นเรื่องภายใน คงปล่อยคนนอกอย่างคุณเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“งั้นชั้นก็ไม่เกรงใจล่ะ” รีอาใช้เวทมนต์โจมตีใส่หลิ่งเฟยอีกครั้งแต่ก็ถูกยันต์พวกนั้นเข้าขวาง จนการโจมตีเหล่านั้นไม่อาจเข้าถึงตัวเธอได้เลย
“ช่วยรออยู่เฉยๆ จนกว่าการต่อสู้ภายในจะจบลงเถอะค่ะ การโจมตีของคุณไม่อาจผ่านยันต์พวกนี้เข้ามาได้หรอก” หลี่งเฟยพูดขึ้น
“ในที่สุดชั้นก็เข้าใจ..ยันต์นั่นมันแค่ ”หักล้าง” แต่มันไม่ได้ ”ลบล้าง” สินะ...” คำพูดของรีอาทำเอาหลิ่งเฟยถึงกับแสดงอาการตกใจออกมา
“ไม่น่าเชื่อเลย แค่เวลาสั้นๆ คุณจะมองออกได้ถึงขนาดนี้...หรือว่าคุณคิดจะใช้เวทย์ขั้นสูงโจมตีเข้ามาเหรอ ด้วยอำนาจของมันคงทำให้เกิดการระเบิดจนผู้คนข้างล่างได้รับบาดเจ็บไม่น้อยแน่ๆ”
“....ไม่คิดเลยว่าเวทย์มนต์ชั้นสูงของชั้นจะถูกผนึกได้ง่ายดายขนาดนี้..” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับหยุดร่ายมนต์ในขณะที่ร่างของเธอค่อยๆ ลอยลงมากับพื้น
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะค----” ยังไม่ทันที่หลิ่งเฟยพูดจบรีอาก็หยิบกระบอกคู่ออกมาโจมตีจนเธอต้องถอยออกไป
“อย่ามาดูถูกกันนะ!! ชั้นไม่ใช่แม่มดที่มีดีแค่เวทย์มนต์หรอกนะ!”
ในที่สุดศาสก็พบกับต้นกำเนิดของเสียงการต่อสู้ ที่นั่นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลกำลังเผชิญหน้าอยู่กับบางสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นใช่มนุษย์หรือไม่เพราะร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลจากแรงระเบิดและแผลไฟไหม้จนบางส่วนในร่างนั้นเป็นเพียงกล้ามเนื้อลุ่ยๆที่หุ้มกระดูกเท่านั้น
“แกเป็นใคร นี่แกยังมีพรรคพวกเหลืออยู่อีกเหรอไซกะ” ร่างนั้นร้องตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าหาศาสที่กำลังแอบดูอยู่ ด้วยการเคลื่อนที่อันรวดเร็วผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิงแค่พริบตาเดียวดาบของมันก็เข้าถึงตัวศาสได้อย่างง่ายดาย จนเขาแทบเอาดาบออกมารับไม่ทัน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังต้านดาบกันอยู่นั้น ด้วยแรงอันมหาศาลของมันจนศาลไม่อาจต้านแรงของมันได้เลย ในขณะที่ดาบของมันค่อยๆ ถูกกดลงมาจนเกือบจะถึงใบหน้าของเขานั้นเอง ไซกะได้ใช้โอกาศนี้เข้าโจมตีจากทางด้านหลังแต่ก็ถูกมันแตะสวนจนกระเด็นออกไป ศาสจึงใช้จังหวะที่มันเผยช่องว่างเบี่ยงวิถีดาบของมันออกไปพร้อมกับใช้ดาบอีกข้างฟันเข้าที่คอของมัน แต่ทันใดนั้นเองการโจมตีของเขากลับถูกหยุดลงเมื่อมันใช้มืออีกข้างหนึ่งจับแขนของไว้จนศาสไม่อาจวาดดาบออกไปได้
“ไม่เลวนี่แก” มันพูดขึ้นพร้อมกับกำแขนของศาสเอาไว้แน่นจนเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะเหวี่ยงเขาไปกระแทกกับกำแพง พร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งจนร่างของมันค่อยๆถูกปกคลุมด้วยคลื่นความมืดที่แผ่ออกมา
“โอย...ไอ้นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่...” ศาสพูดขึ้นในขณะที่เขาได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่วางตา
“ท่านพี่เซย์จิหยุดเถอะ จิตของท่านกำลังถูกศาสตราเทพกลืนกินอยู่นะ” ไซกะพยายามพูดเกลี้ยกล่อม แต่ดูเหมือนว่าเสียงของเธอไม่อาจส่งถึงเขาอีกแล้ว
“อ๊าคค!!! ทุกอย่างเป็นเพราะแกไซกะ พวกแกต้องตายที่นี่!!!” เซย์จิตะโกนขึ้นพร้อมกับมองไปยังไซกะอย่างเคียดแค้น ทันทีที่มันปักดาบลงกับพื้นทันใดนั้นเองก็เกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น แต่สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องล่างรอยแตกนั้นกลับไม่ใช่อาคารชั้นล่าง แต่มันกลับเป็นภาพดุจดั่งขุมนรก ที่เต็มไปด้วยเปรวเพลิงลุกไหม้สะท้อนออกมาออก พร้อมกับมือนับสิบคู่ที่ค่อยๆตะเกียกตะกายขึ้นมาจากรอยแตกนั้น มันคือกองทัพซากศพที่เหลือแต่เพียงเศษเนื้อหุ้มกระดูกในชุดเกราะซามูไรโบราณที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ก่อนที่รอยแตกเหล่านั้นจะหายไป
ในตอนนนี้พวกเขาต่างตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพซากศพโดยมีเซย์จิบงการอยู่ด้านหลัง
“นี่เธอชื่อไซกะใช่ไหม ไอ้ตัวพวกนี้มันคืออะไรกันแน่!?”
“มันคือวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสังหารและจองจำอยู่ในดาบเล่มนั้นดาบภูติกำสรวญยังไงล่ะ” ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ถามต่อซากศพพวกนั้นก็บุกเข้ามาโจมตีพวกเขาถึงแม้พวกมันจะเชื่องช้าแต่ด้วยจำนวนและไร้ซึ่งจิตใจมันจึงดาหน้าเข้าหาศาสราวกับเครื่องจักรสังหาร ไม่ว่าเขาจะฟันมันล้มลงไปกี่ตัวก็ตามมันก็จะลุกกลับขึ้นมาในสภาพเดิมอีกครั้งจนเขาได้แต่ถอยล่นลงไป
“ไอ้พวกนี้มันฆ่าไม่ตายอย่างนั้นเหรอ!?”
“จะปราบพวกนี้ลงได้ใช้อาคมสิมันเป็นสิ่งเดียว” (ใช้อาคมสิ! มันเป็นสิ่งเดียวที่จะปราบพวกนี้ลงได้) เมื่อศาสหันไปทางไซกะก็พบซากศพที่ถูกเธอฟันจนพวกมันกลับสลายกลายเป็นเศษขี้เถ้า
“ข้างหลัง!!” เสียงร้องเตือนจากศาสทำให้ไซกะสามารถรับการโจมตีของเซย์จิได้อย่างหวุดหวิด แต่นั่นก็ทำให้ด้านหลังของเธอเปิดโล่ง ในขณะที่พวกซากศพกำลังเข้าเล่นงานเธอจากมุมอับนั้นเอง ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นพร้อมคลื่นไอน้ำที่แผ่กระจายไปทั่ว จนทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันหยุดชะงักลง ก่อนที่ศาสจะพุ่งออกมาฟันพวกมันขาดออกเป็นสองท่อน
“ช่วยต้านพวกมันไว้ก่อนได้ไหม ฉันขอร้อง คุณพันแสง!!” (คุณพันแสง ฉันขอร้อง ช่วยต้านพวกมันไว้ก่อนได้ไหม) ไซกะขอร้องศาสจึงตอบรับโดยการใช้ตัวของเขาเข้าขวางพวกมันไว้จนพวกมันต่างพุ่งเป้ามายังเขา
“ผมคิดว่าคงยันพวกมันไว้ได้แค่ห้านาทีเท่านั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้ว อย่าแพ้ล่ะ!!” ศาสพูดพร้อมกับหยิบขวดน้ำมนต์ราดไปบนดาบของเขา พร้อมกับกระโจนเข้าใส่พวกมัน
“จะช่วยปลดปล่อยท่านพี่เดี๋ยวนี้ล่ะ” ไซกะมองไปยังคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่มุ่งมั่นราวกับว่า ณ ที่นี้มีเพียงแค่เธอและเซย์จิเท่านั้น เธอค่อยๆ ยกดาบขึ้นบริเวณหน้าท้องโดยปลายชี้ไปยังคู่ต่อสู้
“หึ...ช่างเป็นคำพูดที่อวดดีซะจริง แต่ความอวดดีของแกมันจะจบลงในวันนี้นั่นแหละ” เซย์จิเดินเข้าหาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าโดยไร้ซึ่งการตั้งท่า มือขาวของเขากำดาบอย่างสบายๆ จนเต็มไปด้วยช่องว่างแต่ไซกะตระหนักดีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่บุคคลที่เธอรู้จักอีกแล้วร่างนั้นเป็นเพียงเปลือกของบางสิ่งที่สิงสู่อยู่ภายในเท่านั้น
ในพริบตานั้นเองร่างของเซย์จิก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าพร้อมกับดาบที่ฟันลงมาอย่างสุดแรง แต่เธอก็สามารถรับมือกับมันได้อย่างเยือกเย็น เธอใช้เพียงการสืบเท้าเพื่อเบี่ยงตัวหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด จนดาบของมันเข้าปะทะกับพื้นเสียงดังสนั่นพร้อมกับเศษคอนกรีดที่แตกกระเด็นออกมา
ในเสี้ยววินาทีที่ดาบของเซย์จิวาดลงไปกับพื้นทำให้เกิดช่องว่างข้างลำตัวขึ้น ในขณะที่ไซกะกำลังโจมตีสวนกลับนั้นก็มีบางอย่างพุ่งผ่านหางตาของเธอมา มันคือหมัดของเซย์จิจากมืออีกข้างนั่นเอง ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเธอใช้ด้ามดาบกระแทกเข้าที่หมัดของเขาเพื่อเบี่ยงการโจมตีนั้นออกไปพร้อมกับใช้มืออีกข้างจับแขนของเซย์จิไว้ก่อนจะทุ่มเขาออกไปจนได้ยินเสียงกระดูกแตกลั่นออกมา
“วิชาจูจิสสึอย่างนั้นรึแต่แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ...” เซย์จิพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่แขนซ้ายที่บิดเบี้ยวของเขา ก่อนที่มันจะใช้แขนขวาบิดมันกลับมาจนกระดูกที่อยู่ภายในแทงทะลุออกมา มันทำหน้าเรียบเฉยราวกับไร้ซึ่งความเจ็บปวด ก่อนที่มันจะเริ่มเปิดฉากโจมตีไซกะอีกครั้ง
***จูจิสสึ คือ ศิลปการป้องกันตัวมือเปล่ามีมาตั้งแต่ยุคโลกเก่า โดยจะเน้น การหัก ล็อค ทุ่ม เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่นักรบญี่ปุ่นในสมัยโบราณนิยมฝึกสามารถใช้ร่วมกับดาบเพื่อสร้างความได้เปรียบกรณีที่ศัตรูสามารถเข้าถึงตัวได้***
“แฮ่กๆ...” เสียงหายใจที่ดังถี่ขึ้น กับบาดแผลที่เริ่มปรากฎขึ้นตามตัวและสภาพอากาศที่เลวร้ายจากเปรวเพลิงที่ยังคงลุกไหม้อยู่โดยรอบจนทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วสิ่งเหล่านี้ได้บั่นทอนกำลังของศาสลงมากทีเดียว ผิดกับคู่ต่อสู้ของเขาที่ไม่ออกอาการอะไรเลย ที่เลวร้ายกว่านั้นพวกที่ศาสเคยคิดว่าได้จัดการไปแล้วพวกมันกลับฟื้นคืนสภาพขึ้นอีกครั้ง
“คุณพันแสงคงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วหากเราไม่รีบล่ะก็ได้ตายกันหมดแน่ๆ” ไซกะที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่เธอไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเขาได้เลย
“มัวแต่มองไปทางไหนกันคู่ต่อสู้ของแกอยู่ทางนี้” เซย์จิไม่ปล่อยโอกาสให้ไซกะได้ตั้งตัวมันยังคงโหมโจมตีใส่เธออย่างต่อเนื่องด้วยพลังที่มหาศาลมากกว่าเดิมเป็นสัญญาณว่าร่างของเขาได้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์แล้ว
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา จะให้คนอื่นมาเสียสละมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว” ไซกะเปลี่ยนการตั้งท่าเป็นการจับดาบสองมือยกขึ้นไว้เหนือศรีษะ
“คิดจะตัดสินในดาบนี้สินะ ก็ดีมาตัดสินกัน!!” เซย์จิยกดาบขึ้นท่าตั้งท่าแบบเดียวกัน มันคือท่าดาบที่ทุ่มการโจมตีลงไปทั้งหมดในครั้งเดียว ไซกะรู้ดีว่าเธอคงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจอีกแล้วเพราะเป้าหมายเธอมีเพียงสังหารสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ไซกะ!! ผมเชื่อในตัวเธอดังนั้นเธอก็ต้องเชื่อในตัวเอง..” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับมองมายังไซกะ ทันทีที่ทั้งคู่ได้สบตากันเธอก็รับรู้ผ่านดวงตาของเขาได้ว่าเขาเชื่อในตัวเธอจริงๆ
“แปลกคนจังนะคุณนี่ ทั้งๆ ที่เราแทบจะไม่รู้จักกันแท้ๆ...ขอบคุณที่เชื่อฉันนะ..” ไซกะพูดขึ้นพร้อมกับเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
พริบตานั้นเองทั้งคู่ต่างพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งคู่ต่างลงดาบฟาดฟันใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นด้านหลังของไซกะ
“เฮ้ย!! นี่มันบ้าอะไรกั----” ในพริบตานั้นที่จิตใจของเซย์จิเกิดสั่นคลอนในขณะที่ดาบของทั้งคู่ต่างฟันพาดผ่านจนเกิดประกายไฟจากการสีกัน จนทำให้วิถีดาบของมันถูกเบี่ยงออกไปในขณะที่วิถีดาบดาบของไซกะนั้นแทบไม่สั่นคอนมันตัดผ่านตัวของเซย์จิลงไป พร้อมกับหยุดลงจรดพื้นพอดี ก่อนที่กองทัพซากศพจะค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวลงและค่อยๆกลายเป็นฝุ่นหายไป พร้อมกับร่างของเซย์กะที่ค่อยๆปรากฎรอยตัดเป็นแนวยาวกึ่งกลางลำตัว
“ไม่เล..ว...น้องสา..ว ของเรา...ข้า..ไม่มี...อะไรติ..ด...ค้างอีกแล้..ว....” คำพูดสุดท้ายที่แผ่วเบาของเซย์จิดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินของเธอก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไป
“หยุดแค่นี้เถอะ ดูเหมือนว่าภายในจะจบเรื่องแล้วล่ะ” หลิ่งเฟยพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังดาตฟ้าที่กลุ่มหมอกค่อยๆจางลง
“ก็ได้ แต่หากคนของชั้นเป็นอะไรไปล่ะ ก็คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ...” รีอาลดอาวุธในมือลงก่อนที่เธอจะใช้เวทย์ธาตุลมลอยขึ้นไปบนอากาศ เมื่อเธอมาถึงก็พบศาสนอนอยู่กับพื้นอย่างหมดแรงโดยมีไซกะยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ศาสส!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เมื่อศาสลืมตาขึ้นก็พบรีอามายืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
“ก็น่าจะโอเคอยู่..ล่ะนะ” ศาสตอบเธอพร้อมกับลุกขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้คือคนที่นายตามหาอยู่อย่างนั้นเหรอ” รีอาถามขึ้นพร้อมกับมองไปยังไซกะก่อนที่เธอจะเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับโค้งคำนับ
“ที่ช่วยเหลือพวกคุณขอบคุณมาก...ในการโจมตีครั้งสุดท้ายเป็นฝีมือของคุณพันแสงใช่ไหมแสงว่าง...” (ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยเหลือ...แสงสว่างในการโจมตีครั้งสุดท้ายเป็นฝีมือของคุณพันแสงใช่ไหม) คำพูดของไซกะทำเอารีอาถึงกับสับสนจนศาสต้องเข้ามาเรียบเรียงให้เธอฟังดูเหมือนเธอจะยังมีปัญหาด้านการใช้ภาษา
“ใช่ มันคือระเบิดแสงน่ะผมต้องขอโทษด้วยที่เข้าไปแทรกการต่อสู้ของเธอนะ” ศาสพูดขึ้นไซกะได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“แล้วฉันพบพวกคุณได้ยังไง” (แล้วพวกคุณหาฉันพบได้ยังไง) ไซกะถามออกมาด้วยความสงสัยรีอาจึงหยิบซองพลาสติกที่ภายในเป็นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดอยู่ผืนหนึ่งขึ้นมา มันคือเลือดของเธอที่ศาสไปพบบนถนนนั่นเอง
“ขอเพียงมีสิ่งนี้การจะตามหาตัวใครสักคนน่ะก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ว่าแต่...จะไม่มีใครอธิบายให้ชั้นฟังเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น....” รีอาถามขึ้นด้วยความสงสัย ไซกะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดออกมา
“สิ่งที่พวกคุณเข้ามาพัวพันเมื่อครู่จะกล่าวว่าเป็นพิธีสืบทอดเจ้าสำนักของเราก็ไม่ผิด เพราะมีคนทรยศสังหารบิดาของฉันซึ่งเป็นเจ้าสำนักและขโมยเอาสัญลักษณ์แห่งผู้สืบทอดไป ดังนั้นฉันจึงออกตามล่าชายคนนั้นและนำสัญลักษณ์ของผู้สืบทอดกลับไป” ไซกะพูดขึ้นพร้อมกับหยิบดาบคาตานะออกมาสองเล่มซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้สืบทอดที่เซย์จิขโมยไปจากสำนักนั่นเอง
“และบัดนี้ในนามของภาคีเจ็ดคาบสมุทรเราขอรับรองให้อายาเสะ ไซกะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป” เสียงจากหลิ่งเฟยดังขึ้น พร้อมกับการปรากฎตัวของเธอและพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่ง
“เพราะอย่างนั้นเลยขัดขวางไม่ให้พวกเราเข้าไปยุ่งอย่างงั้นสินะ...” รีอากล่าวขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยสายตาหวาดระแวง
“เรื่องนั้นทางเราต้องขออภัยด้วยคุณรีอา แอล ลุคเวล จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาฝีมือของคุณได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติ ฉะนั้นฉันซึ่งเป็นตัวแทนของภาคี หยาง หลิ่งเฟยขอเชิญคุณเข้าร่วมกับพวกเราภาคีเจ็ดคาบสมุทร” หลิ่งเฟยพูดขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับให้กับรีอา
“เรื่องนั้นคงต้องขออภัยด้วย เพราะชั้นยังไม่ไว้ใจองค์กรของพวกเธอและชั้นเองก็มีพรรคพวกที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่แล้วแล้วดังนั้นคำขอนั้นชั้นขอปฎิเสธ...” รีอากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับตัดซึ่งความรู้สึกของการเป็นศัตรูก่อนหน้าออกไป
“พรรคพวกที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่...คุณหมายถึงชายคนนั้นที่ไร้พลังตรงนั้นน่ะเหรอ” หลี่งเฟยพูดพร้อมกับมองมายังศาส สีหน้าของเขาแสดงถึงอาการตกใจออกมาจนเห็นได้ชัด
“ที่เธอพูดหมายความว่ายังไง” รีอาถามขึ้น
“จากการตรวจสอบของเราคนๆ นั้นได้สูญเสียพลังเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการอัญเชิญศาสตราเทพไปแล้ว ทั้งๆที่คุณอยู่ใกล้เขาขนาดนี้แต่คุณกลับไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ..”
“หุบปากของแกไปซะ!!!” ศาสตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลจนหลิ่งเฟยเงียบเสียงไป ไม่ช้าทุกอย่างต่างเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง คำพูดของเธอทำให้รีอาถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ภาพความทรงจำหลายอย่างได้ปรากฎขึ้นในหัวของเธอ ทั้งบาดแผลของศาสที่หายช้ากว่าปกติ แผลที่นิ้วเพราะถูกกระดาษบาด รวมถึงสัมผัสที่หกที่ลดลงจนเขาไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่ไร้ตัวตนได้ ยิ่งกว่านั้นแม้แต่ปีศาจชั้นต่ำที่เซย์จิเรียกออกมาเขาก็ยังไม่สามารถปราบมันได้ ความจริงเหล่านี้ทำให้รีอาถึงกับหน้าถอดสี ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าของศาสด้วยความหวั่นใจ
“รีอา...อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น...” ศาสทรุดลงไปกับพื้นราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“อย่า..อย่าทิ้งชั้นไปรีอา!!” ศาสตะโกนขึ้นสุดเสียงแต่รีอาก็ไม่หันกลับมาก่อนที่เธอจะเดินหายไปในความมืดมิด
“คุณคะ! คุณคะ!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจนศาสตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
“ฝันร้ายแล้วอีกแล้วเหรอคะ..” หญิงสาวที่นอนอยู่ข้างเขาถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับค่อยๆใช้มือลูบหัวของเขาจนสงบลง
“ขอบคุณนะริน คุณนอนต่อเถอะเดี๋ยวผมขอไปดื่มน้ำสักหน่อย...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบน้ำที่ห้องครัวก่อนที่เขาจะเดินมานั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องรับแขก เขาค่อยๆหยิบเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปใบหนึ่งขึ้นพร้อมกับคิดคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมาเกือบสิบปี
หลังจากวันนั้น วันที่ผมรู้ตัวว่าตนเองนั้นได้เสียพลังไป รีอาและพวกพ้องก็ได้เข้าร่วมกับภาคีเจ็ดคาบสมุทรและหายตัวไปนับแต่วันนั้น ไม่นานโลกก็เข้าสู้สภาวะปกติคดีแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็เริ่มหายไปจากสังคม จนกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า...ตำนานเมือง
หลังจากที่ผมสูญเสียทุกสิ่งทั้งคนรัก เหตุผลในการมีชีวิต ในขณะที่ชีวิตกำลังมาถึงจุดตกต่ำก็มีรินที่คอยอยู่เคียงข้างผมจนสามารถก้าวผ่านมันมาได้ ไม่นานนักเราก็แต่งงานและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน....เอาเถอะผมจะลืมเรื่องในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ผมก็จะก้าวเดินต่อไป ใช้ชีวิตกับคนที่ผมรัก...นี่คือทางที่ผมเลือกเดิน
ปล.ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ครับ ก็จบแล้วนะครับ ลาก่อยยย //โดนผู้อ่านกระทืบ ล้อเล่นนะครับยังไม่จบแต่จะเป็นยังไงก็โปรดติดตามตอนต่อไปแล้วกันครับ
จนเวลาผ่านไปอยู่ครู่หนึ่งเสียงจากการปะทะก็เริ่มลดลง ในตอนนี้หญิงสาวเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับเลือดที่เริ่มซึมออกมาจากจากผ้าพันแผลที่อยู่บนร่าง
“ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องเป็นของข้าเท่านั้น!! วันนี้ข้าจะฝังแกที่นี่ล่ะ!!!” เสียงจากชายคนหนึ่งดังขึ้น ในไม่ช้าเขาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืดพร้อมกับดาบคาตานะเล่มยาวที่อยู่ในมือ พริบตานั้นเองเขาก็พุ่งเข้าฟันหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ในพริบตานั้นเองเธอสามารถเบี่ยงตัวหลบออกมาจากคมดาบของเขาได้อย่างฉิวเฉียด จนการโจมตีนั้นไปถูกแท่งเหล็กโครงสร้างจนมันขาดสะบั้น
ในไม่ช้าเธอก็ถูกไล่ต้อนจนเริ่มจนมุม เมื่อทางออกด้านหน้าถูกขวางไว้ด้วยศัตรูอันแข็งแกร่งและเบื้องหลังมีเพียงอากาศเท่านั้น หากตกจากความสูงขนาดนี้คงมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ จนลึกๆ ในใจของเธอเริ่มยอมรับความตายที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจหมายจะแลกชีวิตกับชายผู้นั้นในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นเอง เธอก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติจนเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับหยุดชะงักลง
“นี่คือวิถีแห่งนักสู้ของแกเหรอ มากลัวตายเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว!!” เมื่อเห็นดังนั้นชายคนนั้นจึงพุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เธอจึงขว้างปลอกดาบสวนออกไปแต่ชายคนนั้นกลับหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เธอจะหันหลังให้กับเขาพร้อมกับตัดสินใจกระโดดลงไป
“หึ..ฮ่าๆๆๆ!! นี่ล่ะเหรอความหวังของไอ้แก่นั่น...” ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังหัวเราะอย่างสะใจ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากด้านหลังเมื่อหันไปเขาก็พบด้ามดาบถูกปักคาอยู่บนสปอตไลท์จนไฟฟ้าลัดวงจรเกิดเป็นประกายไฟออกมา
“เฮ้ยนี่มันกลิ่นแก๊----” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็เกิดการระเบิดขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับเปรวไฟที่พวยพุ่งออกมาจนกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างหายไปกับทะเลเพลิง
“บ้าจริง!! พวกเรามาช้าไปอย่างนั้นเหรอ” ศาสพูดขึ้นอย่างหัวเสียพร้อมกับมองไปยังดาตฟ้าตึกที่กำลังเกิดเพลิงไหม้อยู่ห่างๆ เท่านั้น เพราะบริเวณโดยรอบถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักดับเพลิงเข้าควบคุมปิดล้อมสถานที่เอาไว้แล้วท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์ของผู้คนนับพันที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น! พวกเจ้าหน้าที่ยังขึ้นไปไม่ถึงด้านบนอีกอย่างนั้นเรอะ!!!” เสียงจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงวัยกลางคน คนหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความหัวเสียจนเจ้าหน้าที่สื่อสารที่อยู่ข้างๆเริ่มออกอาการลนลาน
“หัวหน้าครับ! ทีมด้านบนแจ้งมาว่าเกิดกลุ่มควันหนาแน่นปิดล้อมไว้จนไม่สามารถเข้าไปได้เลยครับ!!” เจ้าหน้าที่สื่อสารแจ้งข้อมูลกลับไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น..แล้วหน่วยเฮลิคอปเตอร์ล่ะไปถึงไหนแล้ว”
“หน่วยเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ครับเพราะกลุ่มควันมันวนล้อมรอบชั้นดาตฟ้าจนบังทัศนวิสัยหมดเลยครับ!!”
“นี่มันอะไรกัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดมายังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง”
“บางทีพวกเราอาจมาทันก็ได้นะศาส...นายสัมผัสไม่ได้เลยเหรอว่าข้างบนนั่นมันให้ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนเวทย์อาณาเขตที่พวกเจ็ดคาบสมุทรเคยใช้” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังชั้นดาตฟ้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“แต่สถานการณ์แบบนี้เราจะผ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่เข้าไปได้ยังไงล่ะ...”
“นายลืมไปแล้วเหรอว่ากำลังพูดอยู่กับใครน่ะ” รีอาพูดในขณะที่เดินไปยังด้านหลังของตึกที่อยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุ เธอมองไปรอบๆ ก่อนที่เธอหยุดอยู่ที่ไม้พลองแท่งหนึ่งที่พาดอยู่กับกำแพง พร้อมกับเดินเข้าไปหยิบมันออกมา รีอาไม่รอช้าเธอขึ้นคล่อมไปบนไม้ด้ามนั้น ก่อนที่จะร่ายเวทย์ออกมาสักพักศาสก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของสายลม
“เอาล่ะ ขึ้นมาสิ...” รีอาร้องบอก ศาสได้แต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะท่าทางของเธอราวกับเด็กๆ ที่เล่นขี่ไม้กวาด จนทำให้รีอาที่ขี่ไม้พลองอยู่เริ่มหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปรัวหมัดใส่ศาสจนเขาแทบล้มลงกับพื้น
“ที่ชั้นยอมทำแบบนี้ก็เพราะนายเลยนะ! ตาบ้า!!”
“อุ๊บ ฮ่ะๆ ขอโทษๆ จะไม่หัวเราะแล้ว..” ศาสพูดขึ้นในขณะที่เขาสอดมือไปยังเอวของรีอาจนเธอมีอาการสะดุ้ง
“ตาบ้า! จับที่ไหนกันน่ะ” รีอาร้องขึ้นทำเอาศาสถึงกับสะดุ้งรีบปล่อยมือออกมาจับที่แท่งไม้แทน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรีอาจึงตั้งสมาธิขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์อีกครั้ง จนศาสสัมผัสได้ถึงแรงที่ยกขึ้นจนตอนนี้เท้าของเขาไม่ติดพื้นอีกแล้ว ก่อนที่มันจะพุ่งขึ้นเป็นมุมเอียงไปด้านหน้าแต่ดูเหมือนเธอจะยังควบคุมมันได้ไม่คล่องนักมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนศาสไม่ทันได้ตั้งตัวมือของเขาจึงลื่นหลุดออกจากแท่งไม้ในขณะที่เขากำลังเสียหลักและกำลังจะตกลงไปยังพื้นเบื้องล่างนั้นเอง เขาได้แต่หลับตาแน่นด้วยความกลัว ด้วยความตกใจและสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดมือทั้งสองข้างของเขาจึงคว้าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดดูเหมือนเขาจะคว้าบางอย่างเอาไว้ได้ จนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อความตื่นตกใจได้จางหายไปศาสก็เริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาจับมันไว้ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด การสัมผัสนั่นเอง มือทั้งสองข้างของเขาจึงเริ่มบีบมันอีกครั้ง
“อ๊ะ นิ่มแฮะ..ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเคยสัมผัสมาก่อน...” ศาสพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดพร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบรีอาหันมาจ้องหน้าเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“มันก็ต้องนิ่มอยู่แล้วสิ ตาบ้า!!!!!”
“โอ็ยยยยยย!! รีอาอย่า! ผมขอโทษษ!”
ในที่สุดทั้งคู่ก็ขึ้นมายังส่วนของดาตฟ้ามันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าจะเรียกว่าหมอกมากกว่าควันปกคลุมอยู่เต็มชั้น จนไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้เลย
“เป็นเวทย์อาณาเขตจริงๆ ด้วย” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเริ่มร่ายเวทย์ขึ้นบทหนึ่ง จนสายลมเริ่มก่อตัวราวกับเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ เมื่อเธอสะบัดมือออกไปด้านหน้าเกลียวสายลมนั้นก็พุ่งเข้าปะทะกับม่านพลังเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง พร้อมกับสายลมที่โหมกระหน่ำสะท้อนกลับมา ในตอนนี้เบื้องหน้าของทั้งคู่ก็ปรากฎเป็นเส้นทางขึ้น กลุ่มหมอกควันได้ถูกแหวกออกเป็นทางจนเห็นเปรวเพลิงที่ลุกอยู่ภายใน
ในขณะที่รีอากำลังพาศาสฝ่าเข้าไปยังภายใน พริบตานั้นเองทั้งคู่ต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร แต่เมื่อรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว แท่งไม้ที่พวกเขานั่งมาถูกการโจมตีบางอย่างจนมันขาดออกจากกันทำให้ศาสตกลงไปภายใน ในขณะที่รีอากำลังพุ่งเข้ามาคว้าแขนของศาสไว้ ทันใดนั้นเองเส้นทางนั้นกลับถูกปิดลงจนตัวเธอกระเด็นออกมา
“อ็าคคคคค” ในขณะที่ศาสกำลังตกสู่พื้นเบื้องล่างนั้นเอง เขารีบชักดาบออกมาพร้อมกับทุ่มแรงทั้งหมดแทงไปยังกำแพงที่อยู่ตรงหน้า ดาบของเขาเสียดสีกับกำแพงเป็นทางยาวก่อนที่ร่างของเขาจะหยุดก่อนตกถึงพื้นเพียงไม่กี่เมตร
“รีอาจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ..” ศาสมองไปยังกลุ่มหมอกด้านบนที่ถูกปิดลงอย่างเป็นห่วง ในตอนนั้นเองเสียงจากการปะดาบก็ดังขึ้นเขาจึงตัดสินใจตามเสียงนั้นไป
“เลิกซ่อนตัวได้แล้วชั้นรู้ว่าพวกแกอยู่แถวนี้ ภาคีเจ็ดคาบสมุทร!!” รีอาพูดพร้อมกับร่ายเวทย์ไปยังดาตฟ้าของตึกที่อยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่เปรวไฟจากเวทย์ของเธอจะเข้าปะทะเป้าหมายก็ปรากฎแผ่นยันต์ลอยขวางเอาไว้เมื่อเวทย์มนต์ของเธอได้สัมผัสกับแผ่นยันต์เหล่านั้นมันก็สลายหายไปพร้อมกับแผ่นยันต์เหล่านั้น
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะสัมผัสถึงพวกเราได้ สมกับที่เป็นแม่มดระดับสูงจริงๆ..” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ค่อยๆปรากฎกายออกมาจากความว่างเปล่า ถึงแม้ว่าความทรงจำของรีอาจะเลือนลางก็ตามแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งเธอก็จำได้อย่างแม่นยำเธอคือหนึ่งในกลุ่มคนที่บุกเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง
“ดูเหมือนว่าเวทย์ลืมเลีอนจะใช้ไม่ได้ผลกับคุณซะแล้ว...งั้นก็ช่วยไม่ได้ฉันขอแนะนำตัวเลยแล้วกันฉัน
หยาง หลิ่งเฟย จากภาคีเจ็ดคาบสมุทร” หญิงสาวกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“เรื่องนั้นชั้นไม่สนใจหรอก แต่เธอต้องคลายเวทย์อาณาเขตออกเดี๋ยวนี้!”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ นี่เป็นเรื่องภายใน คงปล่อยคนนอกอย่างคุณเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“งั้นชั้นก็ไม่เกรงใจล่ะ” รีอาใช้เวทมนต์โจมตีใส่หลิ่งเฟยอีกครั้งแต่ก็ถูกยันต์พวกนั้นเข้าขวาง จนการโจมตีเหล่านั้นไม่อาจเข้าถึงตัวเธอได้เลย
“ช่วยรออยู่เฉยๆ จนกว่าการต่อสู้ภายในจะจบลงเถอะค่ะ การโจมตีของคุณไม่อาจผ่านยันต์พวกนี้เข้ามาได้หรอก” หลี่งเฟยพูดขึ้น
“ในที่สุดชั้นก็เข้าใจ..ยันต์นั่นมันแค่ ”หักล้าง” แต่มันไม่ได้ ”ลบล้าง” สินะ...” คำพูดของรีอาทำเอาหลิ่งเฟยถึงกับแสดงอาการตกใจออกมา
“ไม่น่าเชื่อเลย แค่เวลาสั้นๆ คุณจะมองออกได้ถึงขนาดนี้...หรือว่าคุณคิดจะใช้เวทย์ขั้นสูงโจมตีเข้ามาเหรอ ด้วยอำนาจของมันคงทำให้เกิดการระเบิดจนผู้คนข้างล่างได้รับบาดเจ็บไม่น้อยแน่ๆ”
“....ไม่คิดเลยว่าเวทย์มนต์ชั้นสูงของชั้นจะถูกผนึกได้ง่ายดายขนาดนี้..” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับหยุดร่ายมนต์ในขณะที่ร่างของเธอค่อยๆ ลอยลงมากับพื้น
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะค----” ยังไม่ทันที่หลิ่งเฟยพูดจบรีอาก็หยิบกระบอกคู่ออกมาโจมตีจนเธอต้องถอยออกไป
“อย่ามาดูถูกกันนะ!! ชั้นไม่ใช่แม่มดที่มีดีแค่เวทย์มนต์หรอกนะ!”
ในที่สุดศาสก็พบกับต้นกำเนิดของเสียงการต่อสู้ ที่นั่นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลกำลังเผชิญหน้าอยู่กับบางสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นใช่มนุษย์หรือไม่เพราะร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลจากแรงระเบิดและแผลไฟไหม้จนบางส่วนในร่างนั้นเป็นเพียงกล้ามเนื้อลุ่ยๆที่หุ้มกระดูกเท่านั้น
“แกเป็นใคร นี่แกยังมีพรรคพวกเหลืออยู่อีกเหรอไซกะ” ร่างนั้นร้องตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าหาศาสที่กำลังแอบดูอยู่ ด้วยการเคลื่อนที่อันรวดเร็วผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิงแค่พริบตาเดียวดาบของมันก็เข้าถึงตัวศาสได้อย่างง่ายดาย จนเขาแทบเอาดาบออกมารับไม่ทัน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังต้านดาบกันอยู่นั้น ด้วยแรงอันมหาศาลของมันจนศาลไม่อาจต้านแรงของมันได้เลย ในขณะที่ดาบของมันค่อยๆ ถูกกดลงมาจนเกือบจะถึงใบหน้าของเขานั้นเอง ไซกะได้ใช้โอกาศนี้เข้าโจมตีจากทางด้านหลังแต่ก็ถูกมันแตะสวนจนกระเด็นออกไป ศาสจึงใช้จังหวะที่มันเผยช่องว่างเบี่ยงวิถีดาบของมันออกไปพร้อมกับใช้ดาบอีกข้างฟันเข้าที่คอของมัน แต่ทันใดนั้นเองการโจมตีของเขากลับถูกหยุดลงเมื่อมันใช้มืออีกข้างหนึ่งจับแขนของไว้จนศาสไม่อาจวาดดาบออกไปได้
“ไม่เลวนี่แก” มันพูดขึ้นพร้อมกับกำแขนของศาสเอาไว้แน่นจนเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะเหวี่ยงเขาไปกระแทกกับกำแพง พร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งจนร่างของมันค่อยๆถูกปกคลุมด้วยคลื่นความมืดที่แผ่ออกมา
“โอย...ไอ้นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่...” ศาสพูดขึ้นในขณะที่เขาได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่วางตา
“ท่านพี่เซย์จิหยุดเถอะ จิตของท่านกำลังถูกศาสตราเทพกลืนกินอยู่นะ” ไซกะพยายามพูดเกลี้ยกล่อม แต่ดูเหมือนว่าเสียงของเธอไม่อาจส่งถึงเขาอีกแล้ว
“อ๊าคค!!! ทุกอย่างเป็นเพราะแกไซกะ พวกแกต้องตายที่นี่!!!” เซย์จิตะโกนขึ้นพร้อมกับมองไปยังไซกะอย่างเคียดแค้น ทันทีที่มันปักดาบลงกับพื้นทันใดนั้นเองก็เกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น แต่สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องล่างรอยแตกนั้นกลับไม่ใช่อาคารชั้นล่าง แต่มันกลับเป็นภาพดุจดั่งขุมนรก ที่เต็มไปด้วยเปรวเพลิงลุกไหม้สะท้อนออกมาออก พร้อมกับมือนับสิบคู่ที่ค่อยๆตะเกียกตะกายขึ้นมาจากรอยแตกนั้น มันคือกองทัพซากศพที่เหลือแต่เพียงเศษเนื้อหุ้มกระดูกในชุดเกราะซามูไรโบราณที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ก่อนที่รอยแตกเหล่านั้นจะหายไป
ในตอนนนี้พวกเขาต่างตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพซากศพโดยมีเซย์จิบงการอยู่ด้านหลัง
“นี่เธอชื่อไซกะใช่ไหม ไอ้ตัวพวกนี้มันคืออะไรกันแน่!?”
“มันคือวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสังหารและจองจำอยู่ในดาบเล่มนั้นดาบภูติกำสรวญยังไงล่ะ” ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ถามต่อซากศพพวกนั้นก็บุกเข้ามาโจมตีพวกเขาถึงแม้พวกมันจะเชื่องช้าแต่ด้วยจำนวนและไร้ซึ่งจิตใจมันจึงดาหน้าเข้าหาศาสราวกับเครื่องจักรสังหาร ไม่ว่าเขาจะฟันมันล้มลงไปกี่ตัวก็ตามมันก็จะลุกกลับขึ้นมาในสภาพเดิมอีกครั้งจนเขาได้แต่ถอยล่นลงไป
“ไอ้พวกนี้มันฆ่าไม่ตายอย่างนั้นเหรอ!?”
“จะปราบพวกนี้ลงได้ใช้อาคมสิมันเป็นสิ่งเดียว” (ใช้อาคมสิ! มันเป็นสิ่งเดียวที่จะปราบพวกนี้ลงได้) เมื่อศาสหันไปทางไซกะก็พบซากศพที่ถูกเธอฟันจนพวกมันกลับสลายกลายเป็นเศษขี้เถ้า
“ข้างหลัง!!” เสียงร้องเตือนจากศาสทำให้ไซกะสามารถรับการโจมตีของเซย์จิได้อย่างหวุดหวิด แต่นั่นก็ทำให้ด้านหลังของเธอเปิดโล่ง ในขณะที่พวกซากศพกำลังเข้าเล่นงานเธอจากมุมอับนั้นเอง ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นพร้อมคลื่นไอน้ำที่แผ่กระจายไปทั่ว จนทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันหยุดชะงักลง ก่อนที่ศาสจะพุ่งออกมาฟันพวกมันขาดออกเป็นสองท่อน
“ช่วยต้านพวกมันไว้ก่อนได้ไหม ฉันขอร้อง คุณพันแสง!!” (คุณพันแสง ฉันขอร้อง ช่วยต้านพวกมันไว้ก่อนได้ไหม) ไซกะขอร้องศาสจึงตอบรับโดยการใช้ตัวของเขาเข้าขวางพวกมันไว้จนพวกมันต่างพุ่งเป้ามายังเขา
“ผมคิดว่าคงยันพวกมันไว้ได้แค่ห้านาทีเท่านั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้ว อย่าแพ้ล่ะ!!” ศาสพูดพร้อมกับหยิบขวดน้ำมนต์ราดไปบนดาบของเขา พร้อมกับกระโจนเข้าใส่พวกมัน
“จะช่วยปลดปล่อยท่านพี่เดี๋ยวนี้ล่ะ” ไซกะมองไปยังคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่มุ่งมั่นราวกับว่า ณ ที่นี้มีเพียงแค่เธอและเซย์จิเท่านั้น เธอค่อยๆ ยกดาบขึ้นบริเวณหน้าท้องโดยปลายชี้ไปยังคู่ต่อสู้
“หึ...ช่างเป็นคำพูดที่อวดดีซะจริง แต่ความอวดดีของแกมันจะจบลงในวันนี้นั่นแหละ” เซย์จิเดินเข้าหาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าโดยไร้ซึ่งการตั้งท่า มือขาวของเขากำดาบอย่างสบายๆ จนเต็มไปด้วยช่องว่างแต่ไซกะตระหนักดีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่บุคคลที่เธอรู้จักอีกแล้วร่างนั้นเป็นเพียงเปลือกของบางสิ่งที่สิงสู่อยู่ภายในเท่านั้น
ในพริบตานั้นเองร่างของเซย์จิก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าพร้อมกับดาบที่ฟันลงมาอย่างสุดแรง แต่เธอก็สามารถรับมือกับมันได้อย่างเยือกเย็น เธอใช้เพียงการสืบเท้าเพื่อเบี่ยงตัวหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด จนดาบของมันเข้าปะทะกับพื้นเสียงดังสนั่นพร้อมกับเศษคอนกรีดที่แตกกระเด็นออกมา
ในเสี้ยววินาทีที่ดาบของเซย์จิวาดลงไปกับพื้นทำให้เกิดช่องว่างข้างลำตัวขึ้น ในขณะที่ไซกะกำลังโจมตีสวนกลับนั้นก็มีบางอย่างพุ่งผ่านหางตาของเธอมา มันคือหมัดของเซย์จิจากมืออีกข้างนั่นเอง ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเธอใช้ด้ามดาบกระแทกเข้าที่หมัดของเขาเพื่อเบี่ยงการโจมตีนั้นออกไปพร้อมกับใช้มืออีกข้างจับแขนของเซย์จิไว้ก่อนจะทุ่มเขาออกไปจนได้ยินเสียงกระดูกแตกลั่นออกมา
“วิชาจูจิสสึอย่างนั้นรึแต่แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ...” เซย์จิพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่แขนซ้ายที่บิดเบี้ยวของเขา ก่อนที่มันจะใช้แขนขวาบิดมันกลับมาจนกระดูกที่อยู่ภายในแทงทะลุออกมา มันทำหน้าเรียบเฉยราวกับไร้ซึ่งความเจ็บปวด ก่อนที่มันจะเริ่มเปิดฉากโจมตีไซกะอีกครั้ง
***จูจิสสึ คือ ศิลปการป้องกันตัวมือเปล่ามีมาตั้งแต่ยุคโลกเก่า โดยจะเน้น การหัก ล็อค ทุ่ม เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่นักรบญี่ปุ่นในสมัยโบราณนิยมฝึกสามารถใช้ร่วมกับดาบเพื่อสร้างความได้เปรียบกรณีที่ศัตรูสามารถเข้าถึงตัวได้***
“แฮ่กๆ...” เสียงหายใจที่ดังถี่ขึ้น กับบาดแผลที่เริ่มปรากฎขึ้นตามตัวและสภาพอากาศที่เลวร้ายจากเปรวเพลิงที่ยังคงลุกไหม้อยู่โดยรอบจนทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วสิ่งเหล่านี้ได้บั่นทอนกำลังของศาสลงมากทีเดียว ผิดกับคู่ต่อสู้ของเขาที่ไม่ออกอาการอะไรเลย ที่เลวร้ายกว่านั้นพวกที่ศาสเคยคิดว่าได้จัดการไปแล้วพวกมันกลับฟื้นคืนสภาพขึ้นอีกครั้ง
“คุณพันแสงคงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วหากเราไม่รีบล่ะก็ได้ตายกันหมดแน่ๆ” ไซกะที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่เธอไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเขาได้เลย
“มัวแต่มองไปทางไหนกันคู่ต่อสู้ของแกอยู่ทางนี้” เซย์จิไม่ปล่อยโอกาสให้ไซกะได้ตั้งตัวมันยังคงโหมโจมตีใส่เธออย่างต่อเนื่องด้วยพลังที่มหาศาลมากกว่าเดิมเป็นสัญญาณว่าร่างของเขาได้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์แล้ว
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา จะให้คนอื่นมาเสียสละมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว” ไซกะเปลี่ยนการตั้งท่าเป็นการจับดาบสองมือยกขึ้นไว้เหนือศรีษะ
“คิดจะตัดสินในดาบนี้สินะ ก็ดีมาตัดสินกัน!!” เซย์จิยกดาบขึ้นท่าตั้งท่าแบบเดียวกัน มันคือท่าดาบที่ทุ่มการโจมตีลงไปทั้งหมดในครั้งเดียว ไซกะรู้ดีว่าเธอคงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจอีกแล้วเพราะเป้าหมายเธอมีเพียงสังหารสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ไซกะ!! ผมเชื่อในตัวเธอดังนั้นเธอก็ต้องเชื่อในตัวเอง..” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับมองมายังไซกะ ทันทีที่ทั้งคู่ได้สบตากันเธอก็รับรู้ผ่านดวงตาของเขาได้ว่าเขาเชื่อในตัวเธอจริงๆ
“แปลกคนจังนะคุณนี่ ทั้งๆ ที่เราแทบจะไม่รู้จักกันแท้ๆ...ขอบคุณที่เชื่อฉันนะ..” ไซกะพูดขึ้นพร้อมกับเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
พริบตานั้นเองทั้งคู่ต่างพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งคู่ต่างลงดาบฟาดฟันใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นด้านหลังของไซกะ
“เฮ้ย!! นี่มันบ้าอะไรกั----” ในพริบตานั้นที่จิตใจของเซย์จิเกิดสั่นคลอนในขณะที่ดาบของทั้งคู่ต่างฟันพาดผ่านจนเกิดประกายไฟจากการสีกัน จนทำให้วิถีดาบของมันถูกเบี่ยงออกไปในขณะที่วิถีดาบดาบของไซกะนั้นแทบไม่สั่นคอนมันตัดผ่านตัวของเซย์จิลงไป พร้อมกับหยุดลงจรดพื้นพอดี ก่อนที่กองทัพซากศพจะค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวลงและค่อยๆกลายเป็นฝุ่นหายไป พร้อมกับร่างของเซย์กะที่ค่อยๆปรากฎรอยตัดเป็นแนวยาวกึ่งกลางลำตัว
“ไม่เล..ว...น้องสา..ว ของเรา...ข้า..ไม่มี...อะไรติ..ด...ค้างอีกแล้..ว....” คำพูดสุดท้ายที่แผ่วเบาของเซย์จิดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินของเธอก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไป
“หยุดแค่นี้เถอะ ดูเหมือนว่าภายในจะจบเรื่องแล้วล่ะ” หลิ่งเฟยพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังดาตฟ้าที่กลุ่มหมอกค่อยๆจางลง
“ก็ได้ แต่หากคนของชั้นเป็นอะไรไปล่ะ ก็คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ...” รีอาลดอาวุธในมือลงก่อนที่เธอจะใช้เวทย์ธาตุลมลอยขึ้นไปบนอากาศ เมื่อเธอมาถึงก็พบศาสนอนอยู่กับพื้นอย่างหมดแรงโดยมีไซกะยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ศาสส!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เมื่อศาสลืมตาขึ้นก็พบรีอามายืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
“ก็น่าจะโอเคอยู่..ล่ะนะ” ศาสตอบเธอพร้อมกับลุกขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้คือคนที่นายตามหาอยู่อย่างนั้นเหรอ” รีอาถามขึ้นพร้อมกับมองไปยังไซกะก่อนที่เธอจะเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับโค้งคำนับ
“ที่ช่วยเหลือพวกคุณขอบคุณมาก...ในการโจมตีครั้งสุดท้ายเป็นฝีมือของคุณพันแสงใช่ไหมแสงว่าง...” (ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยเหลือ...แสงสว่างในการโจมตีครั้งสุดท้ายเป็นฝีมือของคุณพันแสงใช่ไหม) คำพูดของไซกะทำเอารีอาถึงกับสับสนจนศาสต้องเข้ามาเรียบเรียงให้เธอฟังดูเหมือนเธอจะยังมีปัญหาด้านการใช้ภาษา
“ใช่ มันคือระเบิดแสงน่ะผมต้องขอโทษด้วยที่เข้าไปแทรกการต่อสู้ของเธอนะ” ศาสพูดขึ้นไซกะได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“แล้วฉันพบพวกคุณได้ยังไง” (แล้วพวกคุณหาฉันพบได้ยังไง) ไซกะถามออกมาด้วยความสงสัยรีอาจึงหยิบซองพลาสติกที่ภายในเป็นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดอยู่ผืนหนึ่งขึ้นมา มันคือเลือดของเธอที่ศาสไปพบบนถนนนั่นเอง
“ขอเพียงมีสิ่งนี้การจะตามหาตัวใครสักคนน่ะก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ว่าแต่...จะไม่มีใครอธิบายให้ชั้นฟังเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น....” รีอาถามขึ้นด้วยความสงสัย ไซกะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดออกมา
“สิ่งที่พวกคุณเข้ามาพัวพันเมื่อครู่จะกล่าวว่าเป็นพิธีสืบทอดเจ้าสำนักของเราก็ไม่ผิด เพราะมีคนทรยศสังหารบิดาของฉันซึ่งเป็นเจ้าสำนักและขโมยเอาสัญลักษณ์แห่งผู้สืบทอดไป ดังนั้นฉันจึงออกตามล่าชายคนนั้นและนำสัญลักษณ์ของผู้สืบทอดกลับไป” ไซกะพูดขึ้นพร้อมกับหยิบดาบคาตานะออกมาสองเล่มซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้สืบทอดที่เซย์จิขโมยไปจากสำนักนั่นเอง
“และบัดนี้ในนามของภาคีเจ็ดคาบสมุทรเราขอรับรองให้อายาเสะ ไซกะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป” เสียงจากหลิ่งเฟยดังขึ้น พร้อมกับการปรากฎตัวของเธอและพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่ง
“เพราะอย่างนั้นเลยขัดขวางไม่ให้พวกเราเข้าไปยุ่งอย่างงั้นสินะ...” รีอากล่าวขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยสายตาหวาดระแวง
“เรื่องนั้นทางเราต้องขออภัยด้วยคุณรีอา แอล ลุคเวล จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาฝีมือของคุณได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติ ฉะนั้นฉันซึ่งเป็นตัวแทนของภาคี หยาง หลิ่งเฟยขอเชิญคุณเข้าร่วมกับพวกเราภาคีเจ็ดคาบสมุทร” หลิ่งเฟยพูดขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับให้กับรีอา
“เรื่องนั้นคงต้องขออภัยด้วย เพราะชั้นยังไม่ไว้ใจองค์กรของพวกเธอและชั้นเองก็มีพรรคพวกที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่แล้วแล้วดังนั้นคำขอนั้นชั้นขอปฎิเสธ...” รีอากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับตัดซึ่งความรู้สึกของการเป็นศัตรูก่อนหน้าออกไป
“พรรคพวกที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่...คุณหมายถึงชายคนนั้นที่ไร้พลังตรงนั้นน่ะเหรอ” หลี่งเฟยพูดพร้อมกับมองมายังศาส สีหน้าของเขาแสดงถึงอาการตกใจออกมาจนเห็นได้ชัด
“ที่เธอพูดหมายความว่ายังไง” รีอาถามขึ้น
“จากการตรวจสอบของเราคนๆ นั้นได้สูญเสียพลังเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการอัญเชิญศาสตราเทพไปแล้ว ทั้งๆที่คุณอยู่ใกล้เขาขนาดนี้แต่คุณกลับไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ..”
“หุบปากของแกไปซะ!!!” ศาสตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลจนหลิ่งเฟยเงียบเสียงไป ไม่ช้าทุกอย่างต่างเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง คำพูดของเธอทำให้รีอาถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ภาพความทรงจำหลายอย่างได้ปรากฎขึ้นในหัวของเธอ ทั้งบาดแผลของศาสที่หายช้ากว่าปกติ แผลที่นิ้วเพราะถูกกระดาษบาด รวมถึงสัมผัสที่หกที่ลดลงจนเขาไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่ไร้ตัวตนได้ ยิ่งกว่านั้นแม้แต่ปีศาจชั้นต่ำที่เซย์จิเรียกออกมาเขาก็ยังไม่สามารถปราบมันได้ ความจริงเหล่านี้ทำให้รีอาถึงกับหน้าถอดสี ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าของศาสด้วยความหวั่นใจ
“รีอา...อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น...” ศาสทรุดลงไปกับพื้นราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“อย่า..อย่าทิ้งชั้นไปรีอา!!” ศาสตะโกนขึ้นสุดเสียงแต่รีอาก็ไม่หันกลับมาก่อนที่เธอจะเดินหายไปในความมืดมิด
“คุณคะ! คุณคะ!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจนศาสตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
“ฝันร้ายแล้วอีกแล้วเหรอคะ..” หญิงสาวที่นอนอยู่ข้างเขาถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับค่อยๆใช้มือลูบหัวของเขาจนสงบลง
“ขอบคุณนะริน คุณนอนต่อเถอะเดี๋ยวผมขอไปดื่มน้ำสักหน่อย...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบน้ำที่ห้องครัวก่อนที่เขาจะเดินมานั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องรับแขก เขาค่อยๆหยิบเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปใบหนึ่งขึ้นพร้อมกับคิดคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมาเกือบสิบปี
หลังจากวันนั้น วันที่ผมรู้ตัวว่าตนเองนั้นได้เสียพลังไป รีอาและพวกพ้องก็ได้เข้าร่วมกับภาคีเจ็ดคาบสมุทรและหายตัวไปนับแต่วันนั้น ไม่นานโลกก็เข้าสู้สภาวะปกติคดีแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็เริ่มหายไปจากสังคม จนกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า...ตำนานเมือง
หลังจากที่ผมสูญเสียทุกสิ่งทั้งคนรัก เหตุผลในการมีชีวิต ในขณะที่ชีวิตกำลังมาถึงจุดตกต่ำก็มีรินที่คอยอยู่เคียงข้างผมจนสามารถก้าวผ่านมันมาได้ ไม่นานนักเราก็แต่งงานและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน....เอาเถอะผมจะลืมเรื่องในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ผมก็จะก้าวเดินต่อไป ใช้ชีวิตกับคนที่ผมรัก...นี่คือทางที่ผมเลือกเดิน
ปล.ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ครับ ก็จบแล้วนะครับ ลาก่อยยย //โดนผู้อ่านกระทืบ ล้อเล่นนะครับยังไม่จบแต่จะเป็นยังไงก็โปรดติดตามตอนต่อไปแล้วกันครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ