Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ภาคีเจ็ดคาบสมุทร (The order of the Se7ensea)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ในขณะที่ชายปริศนากำลังเดินเข้าไปหาร่างของศาสที่นอนอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแตกร้าวลั่นขึ้นสนั่นกึกก้อง ชายปริศนารีบส่องส่ายสายตาเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้น เมื่อมองขึ้นไปด้านบนเขาก็พบรอยร้าวขนาดใหญ่บนท้องฟ้าก่อนที่รอยแตกนั้นจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

          “เพล้ง!!” ทันใดนั้นเองเสียงที่ราวกับบานกระจกขนาดใหญ่ที่ถูกทุบจนแตกละเอียดก็แผดเสียงดังขึ้นกึกก้องราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา พร้อมกับการปรากฎตัวของหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งลงมาจากใจกลางรอยแตกนั้น ในตอนนั้นเองสภาพบรรยากาศโดยรอบก็กลับกลายเป็นปกติอีกครั้งทั้งสายลมที่พัดผ่านและเสียงจากผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง

          “นังหนูแกเป็นใครกัน!!” ชายปริศนาร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่สายตาของเธอกลับไม่ได้จดจ้องอยู่กับเขาเลยสักนิด แต่กลับเหลียวมองไปยังรอบๆ สถานที่แห่งนี้ ทันทีที่เธอเห็นศาสที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น ชายปริศนาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้าที่ส่งผ่านนัยตาสีทองคู่นั้น

          เพียงแค่หญิงสาวเริ่มร่ายวลีสายลมที่อยู่โดยรอบก็ปั่นป่วนขึ้นทันที

          “ทำอะไรของแก...!?” ทันใดนั้นเองชายปริศนาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติที่อยู่รอบตัว จนทำให้บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไป ทันใดนั้นเมื่อแสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมาต้องกับสิ่งนั้น มันก็ค่อยๆ ปรากฎรูปของมันออกมา เป็นใบมีดโปร่งแสงทรงเสี้ยวจันทร์นับสิบเล่มที่รายล้อมตัวของเขาไว้

          “ฮึ่ม! นี่วิชาของแกอย่างนั้นเรอะ!!” ชายปริศนาพูดด้วยเสียงแข็งเมื่อพบว่าเขาพลาดท่าให้กับเธอ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงใบมีดสายลม แต่ด้วยจำนวนของมันทำให้เขาไม่อาจขยับไปไหนได้เลย

          “ชั้นยังไม่คิดจะฆ่าแกตอนนี้ จงอยู่เงียบๆ ไปซะ ก่อนที่ชั้นจะเปลี่ยนใจ” หญิงสาวพูดขึ้นในขณะที่เธอเดินไปหาร่างของศาส เมื่อตนเองถูกดูหมิ่นขนาดนั้นชายปริศนาจึงไม่อาจระงับความโกรธของเขาได้อีกต่อไป

          “แกจะมาก--!!!” ยังไม่ทันที่ชายปริศนาจะพูดจบคมมีดสายลมนับสิบเล่มต่างโหมกระหน่ำโจมตีเป้าหมายในพริบตาจนเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมด้วยไอน้ำจำนวนมากลอยฟุ้งในอากาศ จนผู้คนที่อยู่ด้านล่างพากันแตกตื่นส่งเสียงร้องออกมา

          “ไม่เลวนี่นังหนู แกคือรีอาแม่มดที่เป็นคู่หูของไอ้หมอนี่สินะ” เสียงจากชายปริศนาดังขึ้นในขณะที่ค่อยๆ ปรากฎร่างของเขาเดินออกมาจากกลุ่มควัน ดูเหมือนว่าการโจมตีเมื่อครู่แทบไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลย ก่อนที่เขาจะพุ้งเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับเธอ ในตอนนั้นเองชายปริศนาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคมดาบที่ควรฟันลงบนร่างของคู่ต่อสู้กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า เมื่อเขามองดูที่พื้นก็พบรอยไถลเป็นทางยาวจากเท้าของเขานั่นเอง

          “กลายเป็นข้าเองที่ถูกพัดออกมาเหรอเนี่ย...” ชายปริศนาพูดขึ้น

          “โทษตัวแกเองแล้วกันที่บังคับให้ชั้นทำแบบนี้” เมื่อสิ้นเสียงรีอายกมือข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์ขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่พริบตาเดียวมือของเธอก็ลุกท่วมไปด้วยเปรวเพลิงสีแดงฉาน

          “แกคิดเหรอว่าไฟแค่นี้จะทำอะไรข้าได้” ชายปริศนามองไปยังเวทย์ของเธอด้วยแววตาที่แสดงถึงความเหยียดหยาม

          “...แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ” เมื่อสิ้นเสียงของรีอาสายลมที่อยู่โดยรอบก็ถูกพัดไปรวมที่แขนของเธอ จนเห็นเป็นเส้นโปร่งใสหมุนวนเข้ารวมกับเปรวไฟที่อยู่บนมือ จนเปรวไฟนั้นถูกบีบอัดกลายเป็นก้อนกลมอยู่บนฝ่ามือของเธอ ก่อนที่มันจะเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงิน ในชั่วพริบตานั้นเองลูกบอลไฟนั้นก็ระเบิดแตกตัวออกเป็นสามสายพุ้งเข้าหาศัตรูที่อยู่ตรงหน้าราวกับมีชีวิต

          ทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฎขึ้นขวางเอาไว้ ในขณะที่เปรวเพลิงเหล่านั้นกำลังพุ่งใส่เธอนั้นเอง เธอใช้มือข้างหนึ่งโปรยแผ่นยันต์ออกไปด้านหน้า ทันทีที่เธอร่ายคาถาขึ้นแผ่นยันต์เหล่านั้นก็เปร่งแสงออกมาพร้อมกับเรียงตัวเป็นรูปแปดเหลี่ยมลอยอยู่ด้านหน้า ทันทีที่เปรวไฟได้สัมผัสกับยันต์นั้นมันกลับสลายหายไป จนแม้แต่รีอาเองที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยังแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

          “พอเถอะ....” หญิงสาวลึกลับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ

          “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ว่าอย่ามาสอด!!!” ชายปริศนาพูดขึ้นอย่างเดือดดาล

          “ไฟเมื่อครู่มันเกิดจากการประสานสองธาตุเข้าด้วยกัน...หากฉันไม่หยุดไว้ล่ะก็คงไม่จบแค่แผลไฟลวกแน่...”

          “แกคิดว่าไฟพรรค์นั้นจะผ่านปราณของข้าได้รึไง น่าหัวเราะสิ้นดี”

          “ผู้คนกำลังแห่กันมาแล้ว...เจ้าคงไม่อยากให้ตัวตนของพวกเรารั่วไหลหรอกนะ...” หญิงสาวลึกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจริงจังขึ้นจนชายคนนั้นเงียบลงพร้อมกับหันหลังเดินออกไป

          “พวกแกมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” รีอาตะโกนถามขึ้น

          “เราจะได้พบกันอีกแน่นอน...ลาก่อนผู้ใช้เวทย์แห่งตะวันตก” หญิงสาวปริศนาพูดขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับให้กับเธอก่อนที่เธอและชายคนนั้นจะค่อยๆ จางหายไปกับอากาศ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าจากคนกลุ่มใหญ่ได้ใกล้เข้ามารีอาจึงตัดสินใจรีบนำตัวศาสหนีออกมาจากที่เกิดเหตุ

 

          “...สั่งคนของเราให้เช็คกล้องวงจรปิดทุกตัวในบริเวณนั้น ได้ผลยังไงก็ติดต่อมาแล้วกันนะขอฝากด้วย” เสียงของหญิงสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด นั่นคือสิ่งแรกที่ศาสได้ยินเมื่อเขาได้สติขึ้นมา

เมื่อรีอาเห็นดังนั้นเธอจึงวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา

          “นี่เราอยู่กันที่ไหน...ผมสลบไปนานแค่ไหนแล้ว” ศาสถามขึ้นในขณะที่เขายกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อเรียกสติกลับมา

          “ห้องพยาบาลในมหาวิทยาลัยน่ะ...นายสลบไปราวชั่งโมงนึงเห็นจะได้ แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง...” รีอาถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

          “อือ...หากไม่นับแผลที่ไหล่อย่างอื่นก็เป็นปกติดีนะ” ศาสพูดขึ้นในขณะที่เขาสำรวจส่วนต่างๆของร่างกาย

          “หมอบอกว่าแผลเก่าที่ไหล่ของนายมันฉีกจากการกระแทก แต่ตอนนี้เขาทำแผลให้ใหม่แล้วล่ะ”  

          “ขอบคุณนะรีอา...ได้เธอช่วยไว้ตลอดเลย” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะทำหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักพร้อมกับบทสนทนาที่เงียบลง

          “...ขอโทษนะที่ฝืนบุกไปคนเดียว...แต่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆทำให้ผมได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป เลยทนไม่ได้ที่เห็นไอ้พวกนั้นเข้ามาก่อเรื่องในสถานที่นี้...บางทีผมคงใจร้อนเกินไป” รีอาถอนหายใจขึ้นเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังคำพูดของศาส

          “นายน่ะเป็นแค่เบ๊เท่านั้นทีหลังห้ามลงมือก่อนชั้นสั่งเข้าใจไหม”  

          “แต่ผมก็โทรบอกก่อนแล้--!?”

          “ไม่ต้องมาเถียงนะ!!” ศาสที่พยายามโต้เถียงจนถูกรีอาพูดเสียงแข็งใส่จนเขาได้แต่เงียบไป

          “เข้าใจแล้วคร้าบ...คราวหน้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว” เมื่อได้ยินแบบนั้นรีอาก็ดูอารมณ์ดีขึ้น ส่วนศาสก็ได้แต่ถอนหายใจ

          “เอาล่ะ! ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว ถึงจะเลทไปซักหน่อยแต่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”

 

          โดยปกติศาสมักจะอิจฉาผู้คนที่โดยสาร Skydrive เพราะการสัญจรที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ต้องเจอกับปัญหาการจราจรที่ติดขัด แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกอยากกลับไปใช้บริการรถไฟฟ้าที่กินเวลามากกว่า เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าการได้ย้ายไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกับหญิงสาวจะทำให้เขารู้สึกกดดันได้ขนาดนี้ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งศาสก็พบว่าใกล้ถึงที่หมายแล้วจนเขาเองแทบไม่มีเวลาได้เตรียมใจ จนได้แต่นั่งตัวกอดอกตัวเกร็งพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาขยับแว่น จนรีอาที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของศาสอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่กี่นาทีต่อมา Skydrive ก็เริ่มชะลอความเร็วลงเพื่อการลงจอด ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้มาถึงที่หมายแล้ว

          “นี่...ศาส ไม่อยากอยู่กับชั้นขนาดนั้นเลยเหรอ...” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนในขณะที่ตัวของเธอค่อยๆ แนบเข้ามาพร้อมกับมืออันเรียวยาวของเธอที่ค่อยๆ ลูบไล้บนหน้าอกของศาส

          เมื่อโดนถึงรุกหนักถึงขนาดนี้ ศาสที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดก็ถึงกับความคิดเตลิด จนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปจนถึงใบหูและตัวของเขาที่แข็งทื่อไปหมด เมื่อเห็นดังนั้นรีอายิ่งหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ

          กว่าที่ศาสจะกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งเขาก็พบว่าเหลือเขาเพียงคนเดียวอยู่ในลานจอดรถแห่งนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินดูแมนชั่นนี้อย่างใกล้ชิด มันเป็นแมนชั่นสี่ชั้นที่มีรูปทรงทันสมัยแต่ถูกตกแต่งตามแนวศิลปะแบบยุโรปโบราณจนให้ความรู้สึกแปลกตา ชวนให้คิดถึงเรื่องราวของอัศวินและแม่มดในยุคนั้น ศาสหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก็พบประตูบานหนึ่งเปิดทิ้งไว้ศาสจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปภายใน

          ทันทีที่ศาสก้าวพ้นประตูเข้ามาเสียงพลุก็ดังขึ้นพร้อมด้วยเศษริบบิ้นที่ปลิวลงมาบนหัวของเขา

          “ยินดีต้อนรับกลับมานะศาส” หลายเสียงต่างตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เมื่อศาสมองไปรอบๆ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจที่ได้พบพวกพ้องที่คอยช่วยเหลือกันมาตลอดทั้งรินและพวกลุงๆ นักวิทยาศาสตร์ เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้รับการต้อนรับแบบนี้ จนน้ำตาซึมออกมาด้วยความปลื้มใจ แต่เมื่อหันไปหารินก็พบเธอในสภาพที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาพร้อมกับโผเข้ากอด

          “ขอโทษนะ...กลัวมาตลอด...กลัวว่าจะไม่ได้พบกับเธออีก” รินพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมา ราวกับว่าเธอไม่อาจเก็บความรู้สึกที่ต้องอดกลั้นมาตลอด เพราะเธอเป็นเพียงแค่คนธรรมดาจึงไม่อาจร่วมทางไปกับพวกเขาได้ จนความรู้สึกเหล่านั้นได้กลายมาเป็นความกลัวของผู้ที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง

          “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับค่อยๆ ลูบหัวของเธอ โดยมีรีอามองอยู่ห่างๆ

ศาสใช้เวลาปลอบรินอยู่ครู่หนึ่งกว่าเธอจะหยุดร้อง สักพักหนึ่งรินก็เริ่มหน้าแดงเมื่อคิดทบทวนถึงสิ่งที่เธอทำ จนเธอรู้สึกอายที่จะเข้าไปร่วมวงกับทุกคน

          “เราเข้าไปด้วยกันเถอะ” ศาสพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่เขาจะยื่นมือมาให้ริน เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงหลับตาแน่นอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะยื่นมือมาจับมือของศาสไว้

          ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรมากนักแต่ก็ทำให้ศาสรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายจนลืมความรู้สึกกังวลที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ลงมากทีเดียว

          “อ๊า! ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่เอาเครื่องดื่มแฮลกอฮอ” รีอาร้องขึ้นเมื่อเห็นพวกลุงๆ นักวิทนาศาสตร์ต่างนำเหล้าขึ้นมาดื่มกันอย่างสนุกสนาน

          “ขอพวกไอสักวันนึงเถอะนะคุณหนู ตั้งแต่เกิดเรื่องพวกเราก็เป็นห่วงคุณหนูจนไม่ได้ดื่มกันเลย” คำพูดและสายตาที่วิงวอนของเจมส์ทำเอารีอาถึงกับสะอึกก่อนที่เธอจะเงียบลงไป เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาต่างเฮกันลั่นก่อนที่จะดื่มกินกันอีกครั้ง จนแม้แต่ศาสและรินเองก็พลอยโดนคะยั้นคะยอให้ดื่มเป็นเพื่อนพวกเขาด้วย ไม่นานนักรินก็มีอาการหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เธอจะเดินโซเซเข้าไปนั่งกอดคอของรีอา จนรีอาได้แต่มองรินด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะเอาหน้าเข้ามาแนบหูของเธอ

          “รีอา...รินรู้นะว่าเธอคิดยังไงกับศาส...แต่ทางนี้ก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ......”

          “ห๊า! ดะ เดี๋ยว! มันไม่ใช่นะ!!” รีอารีบตอบออกไปอย่างลนลานแต่เมื่อหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ก็พบว่าเธอผลอยหลับไปเสียแล้ว

          “น้ำเปลี่ยนนิสัยนี่มันน่ากลัวจริงๆ...ประมาทไม่ได้เลย” รีอาบ่นพึมพัมด้วยสีหน้าจริงจัง ยิ่งเมื่อเห็นศาสที่กำลังเดินใกล้เข้ามาก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวง จนในหัวของเธอเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่เขาจะพูดออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดงแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพยายามสบตากับเขาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเกร็งๆ

          “เป็นอะไรหรือเปล่ารีอา หน้าแดงเชียวไม่สบายหรือเปล่า...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับใช้มือของเขามาแตะที่หน้าผากของเธอ

          “นะ นะ นะ นายไม่ได้เมาเหรอ!?”

          “แค่นี้สบายมากถึงผมจะไม่ชอบดื่มแต่ก็เคยถูกพวกพี่ๆลุงๆ แถวบ้านจับดื่มเหล้าขาวบ้างน่ะนะ...” ในตอนนั้นเองศาสก็สังเกตเห็นรินที่ฝุบหลับแนบไหล่ของรีอา

          “อ่าวรินหลับไปแล้วเหรอ”

          “อือ ช่วยไม่ได้นะวันนี้ให้เธอค้างที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวชั้นจะได้พานายไปดูห้องด้วย” ศาสพยัคหน้าเห็นด้วยกับความคิดของรีอาก่อนที่ทั้งคู่จะขอตัวออกมา

          “ขอบคุณนะสำหรับงานเลี้ยงนะรีอา ผมรู้สึกสนุกจริงๆ”

          “อื้อถ้านายสนุกก็ดีแล้วล่ะ เอาล่ะมาถึงแล้ววันนี้ให้รินนอนกับชั้นก็แล้วกัน” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปก่อนที่ศาสจะนำรินไปวางไว้บนเตียง จนเขาเผลอมองใบหน้าของเธอด้วยความคิดถึงก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

          “ฮึ่ม! ไปมองใบหน้าของสุภาพสตรีตอนหลับได้ยังไง นายนี่”

          “เอ๋...ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยนะ”

          “มองแล้วยิ้มแบบนั้นใครเขาก็คิดกันทั้งนั้นล่ะตาบ้า เอาล่ะไปห้องของนายกันเถอะ” รีอาพูดพร้อมกับเดินนำทางต่อไป

          “เอาล่ะจากวันนี้ไป ห้องนี้จะเป็นห้องของนายล่ะนะ..คิดซะว่าที่นี่คือบ้านของตัวเองก็แล้วกัน” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นคีร์การ์ดใบหนึ่งให้กับศาส เมื่อเขาใช้มันเพื่อเปิดเข้าไปภายใน เขาก็พบกับห้องขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ทุกอย่างกลับถูกจัดวางได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆอย่างครบครัน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่ดูจะถูกใจเขาเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนเขากำลังมองหาอะไรบางอย่างด้วยความกังวล

          “อ๋อถ้าพวกหนังสือโป๊พวกนั้น ชั้นให้แม่บ้านทิ้งไปแล้วล่ะ” คำพูดของรีอาทำให้ศาสถึงกับพูดไม่ออก ทั้งที่รู้สึกไม่พอใจอยู่ไม่น้อยแต่หากโวยวายออกไปคงไม่พ้นถูกหาว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ

          “อืม...หนังสือพวกนั้นทิ้งไปก็ดีแล้วล่ะ เดิมทีมันก็เป็นของพี่ชายผมอยู่แล้ว”   

          “ดีใจจังที่ได้ยินนายพูดแบบนี้ ชั้นคิดไว้แล้วล่ะว่านายต้องไม่ใช่คนแบบนี้ งั้นเดี๋ยวจะบอกแม่บ้านเอาไปทิ้งให้

          ”จริงๆ” เลยแล้วกัน” รีอาพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนศาสก็ได้แต่ยิ้มตอบแบบเจื่อนๆราวกับยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

          “งั้นชั้นคงต้องขอตัวก่อนนะ ไม่รู้ป่านนี้รินจะเป็นยังไงบ้าง ราตรีสวัสดิ์นะศาส”  

          “อ่า...แล้วเจอกันตอนเช้านะรีอา”

 

          เช้าวันถัดมา

          เสียงวิ่งลงบันใดอย่างเร่งรีบดังขึ้นในขณะที่เจ้าของเสียงนั้นกำลังใช้มือที่เปียกน้ำจัดทรงผมอย่างรีบร้อนจนแทบไม่เป็นทรงเมื่อเขาลงมาถึงชั้นล่างก็พบรีอามายืนคอยเขาอยู่แล้ว

          “ขะ ขอโทษที่ให้รอนะ!” ศาสพูดขึ้นอย่างหืดหอบ

          “อื้อไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายน่ะขอบตาดูคล้ำๆ นะ เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ?” รีอาทักขึ้นเมื่อเห็นท่าทีอิดโรยของศาส

          “อือ คงแปลกที่น่ะ...อ้าวแล้วรินล่ะ?”

          “อ่อรินยังปวดหัวไม่หายเลยน่ะ เลยให้เธอนอนพักก่อน”

          “แล้วที่บ้านเขาไม่ห่วงแย่เหรอลูกสาวไม่กลับบ้านแบบนี้”

          “รู้สึกว่าครอบครัวของเธอจะทำงานอยู่ต่างประเทศน่ะ จริงๆแล้วเธอก็มาค้างที่นี่ประจำล่ะ ช่วงที่นายบาดเจ็บอยู่ชั้นก็ได้รินนี่ล่ะคอยช่วยแปลเอกสารโบราณให้”

          หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่งพวกเขาจึงออกเดินทาง วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ศาสง่วนอยู่กับการสอบซ่อม แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำเอาเขากังวลจนไม่ค่อยมีสมาธิกับการสอบนัก แต่ในที่สุดวันนี้เหตุการณ์ก็ผ่านไปอย่างปกติ

          ช่วงตกเย็นหลังจากที่ศาสกลับมาถึงที่พักรีอาจึงพาเขาไปยังห้องลับที่ชั้นใต้ดิน ทันทีที่มาถึงเขาก็พบจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่แสดงภาพของผู้ร่วมการประชุมทั้งหมดและดูเหมือนพวกเขาจะออนไลน์พร้อมกันหมดแล้ว

          “ขอบคุณที่มาโดยพร้อมเพรียงนะทุกคน เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังผู้ร่วมประชุม

          “งั้นผมขอเริ่มก่อนแล้วกัน ดูเหมือนบางท่านอาจจะยังไม่รู้จักผม ผมราเชนเป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจมพิเศษ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมกล่าวขึ้นซึ่งเป็นคนที่ศาสรู้จักเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่ารีอาจะเจรจาให้หน่วย Quarter Edge มาทำงานให้เธอได้สำเร็จ

          “ผมขอเริ่มสรุปรายงานที่ได้มาจากหน่วยข่าวกรองเลยแล้วกัน จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเราพบชายในภาพชื่อเกาลูนเขาเป็นชาวฮ่องกง และเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรชาวยุทย์ที่รวมเอาตระกลูผู้ใช้วรยุทย์จากทั่วโลกมารวมกัน ชื่อของมันคือภาคีเจ็ดคาบสมุทร(The order of the Seven sea) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอิทธิพลในโลกมืดเลยทีเดียว”

          “...พอจะคุ้นชื่ออยู่ คราวนี้เป็นแก๊งมาเฟียข้ามชาติงั้นเหรอ....พวกมันคงเป็นกลุ่มที่ครอบครองศาสตร์จากยุคโบราณเหมือนกันสินะ” รีอาพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด

          “ผมลองให้คนตรวจสอบช่วงเวลาที่พวกเขาเข้าประเทศมากับสถิติของคดีที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาก็พบว่าสัดส่วนของมันลดลง...” ราเชนพูดเสริมพร้อมกับแสดงกราฟข้อมูลให้กับที่ประชุม

          “ศาสนายเป็นคนที่สู้กับพวกนั้นนานที่สุดมีความเห็นยังไงบ้าง” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับมองมาที่ศาส

          “อืม...ตอนที่สู้กันดูเหมือนพวกนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิต...บางทีพวกมันอาจจะแค่อยากทดสอบอะไรบางอย่างก็ได้ ที่สำคัญดูเหมือนพวกมันจะรู้เรื่องของดาบฟ้าฟื้นด้วย”

          “...เท่าที่ดูช่วงเวลาที่พวกนั้นปรากฎตัวก็เป็นหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมที่ลิฟท์วงโคจรจริงๆ...บางทีเป้าหมายของพวกมันอาจจะเป็นการรวบรวมผู้ที่ถือครองศาสตร์โบราณหรือไม่ก็อาติแฟกต์ก็เป็นได้....” ดูเหมือนทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดของรีอาจนบรรยากาศในห้องเริ่มตรึงเครียดอย่าเห็นได้ชัด

          “พวกมันจะทำแบบนั้นไปทำไม...เพื่อต่อกรกับพวกปีศาจอย่างนั้นเหรอ...” ศาสถามขึ้น

          “ศาส นายลองคิดดูสิคนที่กระสุนไม่อาจทำอันตรายได้ และสามารถสร้างพลังทำลายล้างยิ่งกว่าระเบิดแรงสูงได้ด้วยมือเปล่า หากมันถูกนำไปใช้ทางการทหารหรือการก่อการร้ายล่ะ สิ่งเหล่านี้มันสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ได้เลยนะ” เมื่อได้ฟังคำตอบของรีอาก็ทำให้ศาสตระหนักถึงพลังของศาสตร์โบราณทันที ดูท่าเรื่องในครั้งนี้อาจจะร้ายแรงกว่าที่เขาคิดไว้

          “ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคุณราเชน ขอฝากให้ทางคุณช่วยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกนั้นอีกสักระยะก็แล้วกัน”

          “รับทราบ งั้นผมขอจบรายงานแต่เพียงเท่านี้” ราเชนกล่าวขึ้นก่อนที่การติดต่อจะถูกตัดไป

          “นี่คุณหนูใบดาบที่หักของศาสที่คุณหนูส่งมาเมื่อวันก่อนนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจมส์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “มันหักตอนประดาบกับชายคนนั้นนั่นล่ะครับ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ศาสตร์โบราณบางอย่าง” ศาสพูดขึ้น

          “คราวก่อนที่เธอสู้กับคนของศาสนจักรแล้วมันหักเป็นเพราะเธอใช้มันในสภาพที่มันยังเปลี่ยนรูปไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากมันอยู่ในสภาพที่เปลี่ยนรูปอย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็การโจมตีของมนุษย์ไม่น่าทำให้มันเสียหายได้....” เจมส์พยายามอธิบาย

          “คิดซะว่าผู้ใช้ศาสตร์โบราณก็เหมือนกับเครื่องจักรสังหารนั่นล่ะ...เราคงไม่อาจใช้ขอบเขตของมนุษย์ธรรมดาในการคิดได้...ดังนั้นฝากทางทีมของคุณลุงช่วยพัฒนาต่อทีนะ” รีอาพูดสรุปขึ้น

          “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับคุณหนูยุทธภัณฑ์ตัวใหม่คิดว่าอีกไม่นานคงนำออกมาใช้จริงได้แล้วล่ะครับ” เจมส์ยืดอกพูดขึ้นอย่างภูมิใจก่อนที่เขาจะหันหน้ามาทางศาสด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

          “เออ ศาสไอมีเรื่องหนึ่งอยากบอกให้ยูรู้ เนื่องจากอาวุธของยูเป็นความลับของทางบริษัทเรายังไงยูก็พยายามใช้มันอย่างทะนุถนอมแล้วก็อย่าทำมันหายแล้วกัน...”

          “อะ เอ่อ..เข้าใจแล้วครับคุณเจมส์” ศาสพูดขึ้นอย่างอึกอักเมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก หลังจากนั้นเจมส์จึงขอตัวกลับไปทำงานต่อการประชุมในครั้งนี้จึงจบลง

          “นี่รีอา ขอถามอะไรหน่อยสิอาวุธที่ผมใช้นี่มันราคาเท่าไหร่น่ะ”

          “นายไม่จำเป็นต้องไปสนใจมันหรอก ต่อให้มันมีค่าแค่ไหนก็เทียบกับชีวิตของนายไม่ได้หรอก รู้แค่นั้นก็พอแล้ว..” รีอาพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างสบายใจจนความกังวลของศาสที่มีเมื่อครู่ได้จางหายไป

          “ว่าแต่นายมีเรื่องอื่นที่สงสัยอีกไม่ใช่เหรอ เห็นนายทำท่าเหมือนจะถามมาหลายครั้งแล้ว”

          “........รีอา..ในตอนนั้นผมยังพอได้สติอยู่ เห็นศัตรูพูดถึงเวทย์ที่เกิดจากการประสานธาตุ...มันคืออะไรกันแน่” ศาสถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

          “นายหมายถึงไฟสีน้ำเงินสินะ...ใช่มันเป็นเวทย์ที่เกิดจากการใช้ธาตุทั้งสองนำมาประสานกันก็คือไฟกับลม จนกลายเป็นเวทย์ใหม่ที่ทรงพลังมากกว่าเดิมยังไงล่ะ”

          “แต่เธอเคยบอกว่าเวทมนต์มันใช้ได้ทีละธาตุไม่ใช่เหรอ”

          “ตามปกติมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นล่ะ นายจำเรื่องตอนที่ชั้นหมดสติไปเป็นเดือนๆ ได้ใช่ไหม...ตอนนั้นชั้นพลาดท่าตกลงไปในน้ำที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง ตอนนั้นชั้นคิดได้อย่างเดียวว่าคงไม่รอดแน่ๆ เลยลองเดิมพันอย่างสุดท้ายคือการเปลี่ยนธาตุภายในตัวเองให้เป็นธาตุลม ดังนั้นชั้นถึงรอดจากไฟฟ้าพวกนั้นมาได้ แต่การเปลี่ยนธาตุอย่างกระทันหันเลยทำให้ร่างกายไม่อาจรักษาสมดุลได้จนทำให้ช็อคหมดสติไปนั่นล่ะ...หากไม่ได้นายช่วยไว้ได้ทันระบบภายในของชั้นคงล้มเหลว และชั้นก็คงตายไปแล้วจริงๆ”

          “หมายความว่าที่เธอทำได้เพราะพลังของอาติแฟกต์ (Lord of Element) ที่อยู่ในตัวอย่างนั้นเหรอ”

          “น่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่ตอนนี้ชั้นรู้สึกว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชั้นไปแล้วล่ะ” คำพูดของเธอทำให้ศาสรู้สึกไม่สบายใจนักเพราะเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แถมอเดลเองที่น่าจะรู้ทุกอย่างก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

          “ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นขอให้เชื่อชั้นนะ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของรีอาทำให้ศาสยากที่จะปฎิเสธ เขาจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้เบื้องหลัง

***โดยปกติหากนักเวทย์ใช้พลังของธาตุใดๆ ร่างกายของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจากธาตุนั้น และในกรณีของรีอาก็เช่นเดียวกัน ที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บจากกระแสไฟฟ้าเพราะว่าสายฟ้าจัดอยู่ในเวทย์ธาตุลมนั่นเอง***

 

          หลายวันต่อมาเหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ จนศาสไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตที่ปกติมันจะทำให้เขามีความสุขได้ขนาดนี้ ถึงนั่นจะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าก็ตาม หลังจากเหตุการณ์การปะทะกันที่มหาวิทยาลัยได้ผ่านไปกลุ่มภาคีเจ็ดคาบสมุทรก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกค้างคาใจยิ่งกว่านั้นคือ ใบหน้าของหญิงสาวลึกลับที่ปรากฎตัวออกมาแต่กลับไม่มีใครสามารถจดจำใบหน้าของเธอได้ราวกับว่าการมีอยู่ของเธอได้ถูกลบเลือนไปตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

          ศาสนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จนสายตาของเขาละจากหน้าหนังสือที่กำลังอ่านอยู่โดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางความเงียบภายในห้องสมุด ที่สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเดินจากเข็มนาฬิกา

          “ศาส.....” ทันใดนั้นเองเสียงกระซิบหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของศาสพร้อมกับสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งไล่จากใบหูไปจนถึงต้นคอ ทำเอาเขาถึงกับสะดุ้งขึ้นสุดตัว จนหนังสือที่อยู่ตรงหน้าต่างกระจายไปคนละทิศละทาง ศาสรีบหันกลับไปหาต้นเสียงทันทีก็พบว่าคู่กรณีของเขาได้หายไปเสียแล้ว พร้อมๆ กับความรู้สึกถูกทิ่มแทงจากสายตานับสิบคู่จากผู้คนในห้องสมุดแห่งนี้จนศาสได้แต่ขยับแว่นแก้เขิลก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

          “ฮึ่ม!...ไม่ต้องมาแอบเลยครับคุณรินตัวแสบ!” ศาสพูดขึ้นด้วยใบหน้าคิ้วขมวดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังชั้นหนังสือ

          “อิอิ ขอโทษทีนะศาส ปกติเห็นเธอชอบวางมาดจริงจังตลอดเลย พอเห็นแบบนั้นแล้วเลยอดแกล้งไม่ได้น่ะ” เมื่อได้เห็นสีหน้าอันไร้เดียงสาของเธอ ทำเอาศาสถึงกับโกรธไม่ลงจนได้แต่ถอนหายใจออกมา

          “...เอาล่ะไปกันเถอะ” ศาสพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องสมุดไป

 

          ใช้เวลาไม่นานจากมหาวิทยาลัยนักทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงย่านร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีสภาพเหมือนกับตลาดสดซึ่งไม่เป็นที่นิยมของคนในปัจจุบันที่หันไปใช้บริการสั่งซื้อออนไลน์กันหมดแล้ว

          “ของพวกนี้จริงๆ เราสั่งผ่านทางเวปก็ได้ไม่ใช่เหรอ” รินถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นของที่วางขายที่นี่ไม่ได้ต่างจากของที่ขายอยู่ตามหน้าเวปเท่าไหร่นัก

          “ของที่ขายอยู่ในอินเตอร์เน็ตน่ะมันมีแต่ของที่มาจากฟาร์มทั้งนั้น ความสดและความอร่อยมันสู้ที่นี่ไม่ได้หรอก” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับเดินหาซื้อวัตถุดิบต่างๆ อย่างชำนาญ

          “รินสงสัยอยู่อย่าง...ที่แมนชั่นก็มีแม่บ้านทำอาหารให้ไม่ใช่เหรอ? ศาสนึกยังไงถึงอยากทำเองล่ะ...”

          “อ๋อ...ปกติผมเคยทำอยู่ประจำน่ะ พอมีคนคอยทำให้มันเลยรู้สึกแปลกๆ...อีกอย่างรีอาอยู่เมืองไทยมาตั้งนานแล้วแต่เธอกลับไม่ค่อยได้กินอาหารไทยเลยน่ะสิ...” ศาสพูดในขณะที่กำลังเลือกปลาอย่างสบายใจก่อนที่จะส่งมันให้กับแม่ค้า

          “วันนี้ดูเธอมีความสุขจังเลยนะ”

          “อืม...คงเพราะไม่ได้ทำมานานล่ะมั้ง แถมวันนี้รินยังอุตส่าห์มาช่วยเป็นลูกมืออีกแค่คิดก็สนุกแล้วล่ะ”

 

          หลังจากที่ได้วัตถุดิบทั้งหมดเรียบร้อยแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจกลับแมนชั่นโดยทันที ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินเพื่อไปยังป้ายรอรถประจำทาง ทันใดนั้นเองสายตาของศาสก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน เธอเดินอย่างรีบร้อนด้วยท่าทางอ่อนแรงราวกับกำลังหนีจากบางสิ่งในขณะที่เธอใช้มือทั้งสองข้างกุมชายโครงเอาไว้แน่น เพียงชั่วครู่หนึ่งที่ศาสเห็นเธอ เขาก็จำใบหน้านั้นได้ทันทีเธอคือหญิงสาวที่เคยประลองดาบกับเขาในงาน Open House นั่นเอง แต่ทันทีที่เธอรู้ว่ากำลังถูกศาสจับจ้องอยู่นั้นร่างของเธอก็หายไปกับฝูงชนเสียแล้ว

          “รินขอโทษทีนะ ช่วยรออยู่ตรงนี้แป๊ปนึงสิ” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับวิ่งไปยังจุดที่เธอหายตัวไป ก็เป็นไปตามคาดเขาพบรอยเลือดหยดเป็นทางภายในบริเวณนั้น ก่อนที่เขาจะเดินกลับมาหารินที่กำลังยืนรออยู่

          “เกิดอะไรขึ้นเหรอศาส อยู่ๆก็วิ่งไปแบบนั้น” รินถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

          “อ่อ ไม่มีอะไรหรอกพอดีเหมือนเห็นคนรู้จักน่ะ แต่ผมคงจำผิด” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน

          ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนาอยู่นั้นเองเสียงไซเรนก็แว่วดังขึ้น เมื่อพวกเขาหันไปก็พบรถตำรวจจำนวนมากวิ่งสวนพวกเขา ไปยังแหล่งชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ

          “น่ากลัวจัง...รถตำรวจมากันเยอะขนาดนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ...” รินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความกังวล

          “นี่ก็เย็นมากละผมว่าเรารีบกลับแมนชั่นกันเถอะ เราจะได้ไปเตรียมอาหารเย็นกันไง” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับพารินเดินออกจากฝูงชน ด้วยเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขากลับถึงแมนชั่นค่อนข้างช้าเลยทีเดียว เมื่อพวกเขามาถึงก็พบรีอากำลังคอยอยู่ในครัวนั่นเอง

          “เอ๋! ทำไมมีแต่ชั้นที่ให้นั่งคอยอยู่เฉยๆ ล่ะ!?” รีอาร้องขึ้นเมื่อถูกศาสปฏิเสธเรื่องช่วยงานในครัวแถมเขายังไล่เธอให้ดูอยู่ห่างๆ อีกด้วย

          “หากเธออยากจะช่วยล่ะก็...นั่งทำตัวให้เรียบร้อยอยู่ตรงนั้นซักพักนั่นล่ะ” ศาสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังจนรีอาได้แต่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นดังนั้นรินจึงเข้ามาโอ๋รีอาอยู่พักหนึ่งเธอจึงยอมแต่โดยดี จนภาพที่เห็นราวกับว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกันจริงๆ

 

          “อึก อึก” เสียงซดน้ำเฮือกใหญ่ๆ ดังมาจากรีอา จนทำให้ทั้งศาสและรินต่างอดเป็นห่วงไม่ได้

          “รีอา...ว่าแต่เธอยังไม่หายเผ็ดอีกเหรอ...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังรีอาที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

          “ผะ เผ็ดอ่าศาส” รีอามองมายังศาสด้วยสายตาเว้าวอนราวกับเด็กๆ จนเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเดินไปยังตู้เย็นและยื่นนมกล่องหนึ่งให้กับเธอ

          “เอ้านี่ ดื่มแล้วอมไว้สักพักเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นรีอาจึงทำตามที่ศาสพูดแต่โดยดี

          “ตอนแรกก็ถามแล้วว่าเอาสูตรเด็กก่อนไห...”

          “ก็ชั้นไม่ใช่เด็กนี่นา!” รีอารีบพูดสวนขึ้น

          “เธอเนี่ยน้า...” ศาสพูดพร้อมกับอมยิ้ม หากรีอาเถียงเขาได้แบบนี้แสดงว่าอาการของเธอคงดีขึ้นแล้ว

          “...แต่ก็อร่อยดีนะ ไว้คราวหลังเรามาทำด้วยกันเถอะนะ”

          “อือ ไม่มีปัญหาไว้คราวหน้าจะลดเผ็ดลงแล้วกันนะ” ศาสและรินต่างมองหน้ากันก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมา

          หลังอาหารค่ำพวกเขาต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่เนื่องจากรินต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบย่อยเธอจึงขอตัวกลับบ้านโดยมีศาสตามออกไปส่ง

          เมื่อจัดการเรื่องของรินเรียบร้อยแล้วศาสจึงเดินเข้ามาหารีอาที่กำลังรออยู่ในห้องอาหารอีกครั้งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจริงจัง

          “เอ่อ..รีอาแล้วเรื่องที่ขอไปก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง...”

          “เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นใช่ไหม...ตามมาสิ” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเดินนำไปยังห้องลับ เมื่อเข้าไปถึงศาสก็พบไฟล์หนึ่งถูกแสดงผลผ่านทางมอร์นิเตอร์ขนาดใหญ่

          “พร้อมแล้วนะ...” รีอาถามศาสอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเปิดไฟล์นั้นออกมา แต่สิ่งที่ปรากฎขึ้นทำให้ศาสที่เพิ่งทานข้าวเสร็จเกือบอาเจียนออกมา เพราะมันคือภาพภายในตรอกซอกซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยศพของชายฉกรรจ์ในสภาพที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนอวัยวะของพวกเขาต่างกระจัดกระจายอยู่บนพื้นที่นองไปด้วยเลือด

          “จนถึงตอนนี้ทางตำรวจก็ยังมืดแปดด้าน เพราะภาพจากกล้องวงจรปิดมีแต่ภาพตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปยังตรอกแห่งนั้นเท่านั้น แต่กลับไม่ปรากฎภาพของสิ่งที่ฆ่าพวกเขาเลย แต่ดูจากบาดแผลแล้วคนพวกนั้นคงถูกฆ่าภายในครั้งเดียวจากของมีคมบางอย่าง...” รีอาพูดขึ้นในขณะที่เปิดไฟล์จากกล้องวงจรปิดขึ้นซึ่งมันถูกติดตั้งห่างจากที่เกิดเหตุมากทีเดียวจนภาพที่ได้แทบไม่สามารถบอกอะไรได้เลย

          “คนพวกนั้นเป็นใครกัน...หากดูจากรูปร่างและการแต่งตัวดูยังไงก็ไม่น่าใช่คนธรรมดา”

          “ใช่...จากการสืบค้นยืนยันแล้วว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นชาวญี่ปุ่นและเกือบทุกศพที่พบพวกเขายังคงกำดาบอยู่ในมือ...บางทีคนพวกนั้นอาจเป็นผู้ใช้วิชาที่ตั้งใจมาสู้กับอะไรบางอย่าง...ไม่แน่ว่าในครั้งนี้อาจเป็นฝีมือของผู้ครอบครองศาสตร์โบราณด้วยกันก็ได้...”

          “นี่รีอา...ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดมีภาพของผู้หญิงในชุดวันพีชสีดำมัดผมทรงหางม้าไหม”

          “ใช่เธอเป็นคนเดียวที่กลับออกมาจากสถานที่นั้น ว่าแต่นายรู้ได้ยังไง”

          “เรื่องนั้นไว้ผมจะอธิบายให้ฟังทีหลัง...แต่สิ่งที่ผมจะขอต่อจากนี้ มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับมอบบางสิ่งให้กับรีอา

 

........................................................................

ปล.ไม่มีใครอยากเม้นคุยกับผมหน่อยเหรอเหงาจุง T T

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา