The Adventure of Light&Shadow

-

เขียนโดย mariananeko

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 16.24 น.

  7 ตอน
  4 วิจารณ์
  9,712 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557 08.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) มิซ่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

3

 

มิซ่า

 

 

    ากาศร้อนจับเอาเหงื่อไหลออกมา  มิซ่าเลือกตามหาเจ้าชายที่หน้าด่านเข้าเมือง ชาวบ้านและตำรวจเมืองกำลังช่วยกันซ่อมแซมและต่อเติมส่วนต่างๆของป้อมประตูทางเข้าและอาคารแถบนั้นอย่างแข็งขันเพื่อเป็นการต้อนรับขบวนเสด็จ  เธอสอดสายตาอยู่บนหลังม้า ชาวบ้านแถบนี้รู้เรื่องขบวนเสด็จก่อนเธอด้วยซ้ำหวังว่าคนแถบนี้จะรู้คนที่เธอตามหาได้บ้าง ซึ่งมันยิ่งทำให้คำที่พ่อเธอบอกกับเธอผุดขึ้นมาอยู่ไม่ตก  เธอขี่ม้าไปตามถนนอย่างช้าๆถามชาวเมืองและแม่ค้าที่อยู่ตลอดข้างทางและตำรวจเมืองแถวนั้นถึงใครสักคนที่จะพอดูเป็นเจ้าชายได้บ้าง

   ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวรออยู่ทิศตะวันตกในยามบ่ายแก่ๆ ตัวของเธอเริ่มเหนียวหนืดจากความร้อน เธอมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ป่านนี้ทีเจ้าชายคงเข้าไปที่ปราสาทแล้วก็ได้เธอคิดด้วยความอ่อนล้ากับการที่หาคนที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน อย่างน้อยถ้ามากับเหล่าคนใช้และเพื่อนของเธออาจเจอได้ไม่นานนัก เธอตะลอนไปทั่วเมืองจนมาหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่งทางซีกซ้ายของตัวเมืองแถบสลัมดูจะไม่เป็นที่ที่เหมาะเท่าไหร่ที่จะมาหาคน

           “จาฮาเย” เสียงเด็กชายตัวเล็กๆเสื้อผ้าซอมซ่อเดินมาทักหลังจากที่มิซ่ากลับตัวม้าเพื่อจะไปทางอื่น คำภาษาของชาววาเนีย เด็กน้อยผอมโซคงจะเกิดจากขอทานที่ไม่มีโอกาสเรียนรู้ภาษาใหม่ที่ใช้กันในทวีปนี้

           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้าเป็นใคร” มิซ่าตอบกลับเป็นภาษาวาเนียด้วยความสงสัย เพราะเธอแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไปพอที่จะไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นคนที่มีตระกูลดูสูงศักดิ์และไม่มีชาวแถบนี้จำเธอได้มากสักเท่าไหร่ยิ่งเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆนี่ยิ่งทำให้เธออดใจสงสัย

        “ผมสีแดงอ่อน และรอยแผลจางๆบนแก้มซ้ายของท่าน จะเป็นใครได้อีกเล่า” เด็กชายตอบพอที่จะทำให้เธอคิดผิดในตัวของเด็กน้อยผมโซนี้ เขายื่นกระดาษที่ม้วนอยู่จากมือของเขาให้มิซ่า

        เธอรับมันด้วยความสงสัยแล้วคลี่ออกดูข้อความในกระดาษนั้น  “เจ้าได้จากใครมา” มิซ่าเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามแต่ว่าเด็กชายเสื้อผ้าซอมซ่อดูผอมโซกลับหายไปเสียแล้ว เธอหันม้าไปทางอ่าวเสี้ยวพระจันทร์ในทางตะวันออกของตัวเมืองอย่างรวดเร็ว เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้ตอนนี้แล้วว่าจะหาเจ้าชายที่ไหน

 

        “เฮเฮ้………..สู่แดนแห่งขวาน ยลรสเหล้าโบราณดีกว่ายลนงคราญร้องครวญเอย เฮเฮ้ …… ฮาฮ้า…….” ชายฉกรรณ์สิบกว่าคนลูกเรือจากแดนไกลล้อมวงสุราร้องเพลงอย่างมีความสุข ในช่วงเวลาตกเย็นที่มิซ่าไปถึงย่านแถบนี้ยังคนชุกชุมแออัดไปด้วยผู้คน พ่อค้าเร่ ขบวนสินค้าจากพื้นบกและท่าเรือ ว่ากันว่าไม่มีอะไรที่หาไม่ได้จากตลาดอ่าวแห่งนี้ ของที่มาจากดินแดนตะวันออกไกลหรือแดนสามเหลี่ยมอ่าวมรกตที่ข้ามอีกซีกทวีปนี้ไปก็รวมอยู่ไว้ที่นี้

          มิซ่ารีบขี่ม้าไปช้าๆผ่านถนนที่มีผู้คนแออัดไปถึงหน้าโรงเหล้าแห่งหนึ่งที่มีเสียงเฮฮาโห่ร้องดังมาจนถึงข้างนอก ในกระดาษนั่นบอกว่าคนที่เธอตามหาอยู่ที่นี่ เธอลงจากหลังม้าแล้วจูงเดินไป เด็กเล็กๆสองคนจากโรงเหล้ารีบวิ่งออกมารับสายบังเหียนจากเธอไว้ เธอเอาเหรียญเงินออกมาให้คนล่ะเหรียญ เด็กน้อยยิ้มและดีใจและลูบคลำมันราวกับมันเป็นเพชร

      เสียงเริ่มดังเรื่อยๆเมื่อเธอเดินเข้าไป กลิ่นหอมของเหล้า ไวน์ที่มาจากแต่ล่ะที่ตลบอบอลวนกัน เธอเข้ามาเห็นคนกำลังรุมล้อมวงจนเธอมองไม่เห็นอะไรแถมมีเสียงเฮออกมาเป็นช่วงๆ แต่ที่แน่นอนมีเสียงเหล็กกระทบกันเป็นจังหวะๆ เธอเบียดเสียดเข้าไปดูเห็นชายสองคนกำลังดวลกันอยู่  ชายร่างใหญ่โตหนวดเฟิ้มรุงรังถือขวานใหญ่พอจะตัดหัวม้าในคราวเดียวกับหนุ่มผมดำเข้มยาวประบ่า ดูมีสง่าราศี หนวดเคราที่ถูกโกนอย่างเกลี้ยงเกลา รุ่นราวคราเดียวกับเธอ เขาถือดาบยาวเล็กที่ไม่มีด้านคมเหมือนเข็มเย็บผ้าที่มีเพียงหัวแหลมที่สามารถใช้แทงเท่านั้น ทั้งสองเดินวนมองกันอย่างระวังไปรอบๆ

        ชายหนวดเฟิ้มเลือกวิ่งเข้าไปหาแล้วเหวี่ยงขวานใส่ก่อน หนุ่มน้อยเอี้ยวตัวหมุนหลบไปโพล่ด้านหลังของชายร่างใหญ่แล้วใช้ดาบฝาดตีขาของเขา เสียงผู้คนที่มุงดูร้องเฮลั่นโรงเหล้า หนุ่มน้อยผมดำเข้มดูควบคุมการต่อสู้ได้อยู่หมัดราวกับกำลังเล่นกับยักษ์ตัวใหญ่ที่วิ่งไปมาพยายามจับตั๊กแตนน้อยผมดำจนเขาดูเหมือนคนสู้ไม่เป็นแต่เขายังดันทุรังเหวี่ยงขวานไปมาจนราวกับเป็นคนโง่  เขาฟาดลงไปอีกครั้งแต่หนุ่มน้อยยังหลบไปแล้วใช้ดาบฟาดขาเขาอยู่เรื่อยๆพร้อมเสียงเฮตามจังหวะฝาด ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มดูเริ่มหอบเล็กน้อยแล้วเริ่มใช้สองมือยกขวานขึ้นมาดูท่าทางอ่อนแรง

        เลือดในตัวมิซ่าเริ่มร้อนรนเมื่อเห็นการต่อสู้ เธอรักการต่อสู้ ขี่ม้า มากกว่าการเย็บปักถักร้อยเป็นไหนๆ เธอมองดูทั้งชายสองที่ฝีมือห่างชั้นกันเกินไปอยู่นิ่งๆ ถ้าเธอเป็นคนต่อสู้อยู่ตรงนั้นคงมีอะไรแตกต่างกว่านี้เธอคิด ถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิงแต่ฝีมือในการต่อสู้นั้นเป็นอันดับต้นๆในดินแดนนี้  ชาวบ้านทุกคนรู้จักกันในนามว่าองค์หญิงขวานกุหลาบ เมื่อใดที่เธอหยิบขวานออกมาคู่ต่อสู้จะต้องหลั่งเลือดออกมาไม่ว่าคนไหนที่มาปะฝีมือกับเธอ รอยแผลจางๆที่แก้มซ้ายของเธอได้มาจากห้าปีที่แล้วจากเหตุการณ์ปราบกบฏเกาะสามตา เธอแอบไปกับเรือรบและต่อสู้อย่างดุเดือดหลังผ่านไปสามวันกองทัพเรือเข้ายึดเกาะสามตาและปราบกบฏบนเกาะนั้นจนเกลี้ยงและกุมชัยเอาไว้ ไม่นานนักขบวนเรือกษัตริย์เมลเลียสพ่อของเธอมาถึงเกาะนั้นหลังจากเหตุการณ์เริ่มดูเบาลง เมื่อพ่อของเธอมาเห็นเธอในสภาพเปื้อนเลือดเต็มตัวตั้งแต่หัวยันเท้ากับแผลลึกบนใบหน้าเธอหลังจากนั้นมาพ่อของเธอก็เปลี่ยนไป เมื่อเวลาเจอหน้าหรือพูดคุย พ่อของเธอเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนก่อนหน้านั้น

 

          “ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว” ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มล้มลงอยู่กับพื้นกับดาบของหนุ่มน้อยที่จ่อกับคอหอยของเขาทำให้มิซ่าหลุดจากภวังค์กลับมาดูเหตุการณ์ตอนนั้น เสียงหัวเราะโห่เฮดังลั่นโรงเหล้า ผู้คนเริ่มสลายกลุ่มแยกย้ายไปจับกลุ่มกันนั่งกินเหล้าไวน์แทน    

          มิซ่าเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผมดำที่กำลังเช็ดดาบของเขาอยู่  “เพลงดาบพลิ้วราวกับไหวไปพร้อมสายลมสมชื่อจากแดนโยโลเกีย” เธอเห็นเขามองมาหาด้วยรอยยิ้มที่ดูหยิ่งผยอง “อภัยให้ข้า ข้าเห็นสัญลักษณ์ต้นไม้ที่ด้ามดาบของท่าน”

          ชายหนุ่มมองเธอ ”อภัยให้ข้าแม่หญิงช่างสังเกต” เขาพูดสำเนียงแปลกออกไปอย่างชัดเจน “แต่ข้ามีนางทั้งสองในคืนนี้แล้ว” เขามองไปทางโต๊ะสุดโรงเหล้านั้นมีหญิงสาวสองคนยิ้มส่งมาให้เขาแล้วพูดคุยอะไรกันบางอย่างหัวเราะไปพลาง

          มิซ่ามองไปดูสาวทั้งสองตามเขา “คืนนี้ท่านจะต้องพักที่ปราสาท” เธอหันกลับมาบอกเขา “กษัตริย์ส่งข้ามาให้รับท่าน”

           ชายหนุ่มลดรอยยิ้มแทนด้วยความสงสัย “และท่านคือ…”

            “ลูกของเขา” มิซ่าตอบ

 

              ชายหนุ่มรีบก้มย่อเข่าลงบนพื้น  “อะ…อภัยให้ข้าองค์หญิง ตาข้ามิอาจมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน” เขากล่าวเป็นสำบัดสำนวนที่ฟังแปลกออกไป

             “ท่านลุกขึ้นมาเถิด” มิซ่าย่อตัวลงไปจับแขนเขา “เจ้าชายอย่างท่านไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ข้า”

        เขาลุกขึ้นมาพร้อมกับมิซ่า “หาได้ไม่องค์หญิง”เขากล่าวอย่างสุภาพเกินไปอย่างที่ดินแดนขาเป็น “ข้ามิใช่คนที่ท่านเข้าใจหรอกองค์หญิง ข้าเป็นองครักษ์ของเจ้าชายคนที่ท่านคิดว่าข้าเป็นเพียงเท่านั้น”

       มิซ่านิ่งไปสักพักก่อนที่จะเขาใจสำนวนที่เขาพูดออกมา “ข้าต้องการพบเจ้าชายของท่าน”

         ชายหนุ่มผมดำพยักหน้าแล้วพามิซ่าออกจากโรงเหล้าเพื่อพาไปพบเจ้าชาย

             “ท่านสู้ได้ดีที่โรงเหล้านั่น” มิซ่าเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทั้งสองขี่ม้าอยู่ระหว่างทาง “เรื่องเล่าที่เจ้าชายของท่านที่สามารถยึดหัวเมืองเหนือจากอาณาจักรทิทารอสได้คงไม่เป็นเพียงแค่คำลือ”

            “เป็นเกรียรติของข้าจากคำชมของท่าน องค์หญิง” เขาตอบอย่างสุภาพดูไม่เหมือนตอนที่เขาสู้แม้แต่น้อย “แต่เจ้าชายไม่คนที่ชอบต่อสู้องค์หญิง ในตอนนั้นที่ท่านพูดถึงเจ้าชายสามารถยึดเมืองโดยกั้นเขื่อนทางน้ำรอบเมืองนั้นพอช่วงน้ำหลากจึงเปิดเขื่อนและสั่งตีเมืองในเวลาค่ำ ทหารฝั่งเราไม่มีใครบาดเจ็บ มีเพียงแค่สองคนที่ขาหักจากการตกม้า”

           มิซ่าสำลักหัวเราะอยู่ในลำคอจากคำหลัง “มีทหารที่มีฝีมือและชอบต่อสู้ที่ปกป้องเมืองนั้น อัศวินภูเขาแถบตะวันตกนั้นถูกฝึกมาจนมีชื่อมาที่วาเนียนี้ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่มีคือสิ่งที่เจ้าชายท่านมีและต้องทำให้พ่ายแพ้คือปัญญา ข้าขอชื่นชมวีรกรรมของเจ้าชายท่าน ท่าน…….”

          “วิลิค วิลิค เบยอน ชื่อข้า องค์หญิง” เขาตอบ

        เธอตกใจเล็กน้อยเพราะ “ท่านคือ วิลิค เบบยอน ราชสีห์ฟ้าที่สู้กับคนหนึ่งต่อสิบในศึกแม่น้ำอัคคีหรือ เหตุการณ์นั้นในแดนนี้พูดถึงกันมาก มิเอน น้องชายคนเล็กของข้ายังเคยเล่นฟันดาบแล้วเล่นเป็นท่าน เขายังพูดถึงวีรกรรมท่านอยู่บ่อยครั้ง” เธอเอ่ยเสียงสูงด้วยอาการตกใจ

           “เป็นเกรียรติของข้ามากองค์หญิง ข้าไม่รู้เลยว่าเรื่องของข้าจะมาไกลถึงวาเนียนี้” เขายังคงน้อบน้อมสุภาพเหมือนกับแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าชาวต้นไม้เป็นยังไง

 

        ทั้งสองขี่ม้ามาจนถึงโรงแรมที่พักแห่งหนึ่งตอนนี้ค่ำแล้วทางมืดสนิทมีเพียงแต่แสงไฟที่โรงแรมนั้นที่ส่องสว่างอยู่มิซ่าเห็นชายคนหนึ่ง ผอม ผมดำเข้มเหมือนวิลิค กำลังนั่งเขียนบางอย่างข้างเชิงเทียนหน้าระเบียงทางเข้าโรงแรมนั้น วิลิคลงจากม้าแล้วเดินอย่างช้าๆไปทางเข้าโรงแรม มิซ่าเดินตามเขาไปติดๆ

                 “เจ้ามาช้าวิลิค” ชายคนนั้นผู้ขณะที่ยังก้มหน้าเขียนบางอย่างลงกระดาษอย่างใจจดจ่อ

                  “อภัยให้ข้านายท่าน ข้าพาคู่หมั่นของท่านมาหา” วิลิคกล่าว

          ชายคนนั้นหยุดเขียนทันทีแล้วยืนขึ้นอย่างรีบร้อนดูแตกต่างกับเมื่อกี้ที่เขานั่งอยู่ “อะ……อภัยให้ข้าด้วยองค์หญิง ตาข้ามิอาจได้มองและรู้ว่าท่านอยู่ตรงนั้น”

           เขาตอบเธอด้วยสำนวนเดียวกันกับวิลิคที่กล่าวกับเธอที่โรงเหล้า เธอยิ้มหลังจากตามหามาตั้งแต่กลางวันจนค่ำเธอจึงได้พบ บางทีการมาคนเดียวจากการที่พ่อเธอบอกอาจจะทำให้ได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง “เจ้าชายลาคิน” เธอพูด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา