Paracetamol Season I

1.0

เขียนโดย POPENGL

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.35 น.

  7 chapter
  0 วิจารณ์
  9,618 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Episode 3 – รับน้อง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ณ รั้วเส้นกราฟ
{{เอ้าเร็วๆๆ}}
เสียงรุ่นพี่ว้ากปี 2 ดังเซ็งแซ่ไปทั่ว พร้อมๆ กับไล่กวดบรรดานักศึกษาปี 1 ร่วมห้าสิบกว่าชีวิตในภาควิชาดุริยางคศาสตร์วิ่งมายังฐานกิจกรรมรับน้องที่สองอย่างรวดเร็วเอาเป็นเอาตาย ขณะที่รุ่นพี่ประจำฐานส่วนหนึ่งตะโกนว้ากผสมไปกับเสียงอื้ออึงของคองก้าที่กระหน่ำตีรัวตลอดเวลา และเมื่อนักศึกษาปี 1 เข้ามารวมตัวกันหมดแล้ว กิจกรรมใหม่ก็เริ่มขึ้นกับการคาบขนมอมแล้วส่งต่อให้กันตลอดแถว ระหว่างนั้นโบ๊ทและบอยอยู่บริเวณท้ายแถว และถัดไปก็เป็นฐิที่อยู่ปิดหางแถว ระหว่างนั้นทั้งสามต่างยืนลุ้นเพื่อนๆ ตั้งแต่หัวแถวที่คาบขนมแท่งยาวและค่อยๆ สั้นลงทีละคำๆ อย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของบรรดารุ่นพี่กับเสียงกระหน่ำคองก้าอย่างต่อเนื่อง
       จนกระทั่งเหลือขนมเพียงแท่งสั้นๆ จากปากของเชอรีนที่ยืนอยู่ข้างๆ และส่งมายังโบ๊ท และโบ๊ทก็ต้องคาบต่อและส่งมายังบอย ระหว่างนั้น ขนมแท่งยาวชิ้นนั้นได้หดสั้นลงไปมาก และเมื่อมันอยู่ในปากหยักได้รูปของบอย ก็ต้องเป็นหน้าที่ที่จะต้องส่งต่อให้ฐิเป็นคนสุดท้าย
“นายบอย ก้มหน่อยเค้าไม่ถึง”
เกิดความลำบากขึ้นเมื่อขนาดตัวของบอยที่สูงกว่าฐิเกือบสิบเซนทำให้ชายหนุ่มต้องก้มตัวลงมาเพื่อให้เพื่อนสาวคาบขนมแท่งอย่างถนัดถนี่ พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้สาวเจ้ารีบคาบขนม ปากหยักได้รูปหวิดประกบเข้ากับปากเรียวเล็กของหญิงสาวอย่างจังในระยะที่ห่างกันไม่ถึง 2 มม. ทางฝ่ายหญิงสาวรีบกัดขนมให้ขาดออกจากกันอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับเสียงเป่าปากของบรรดารุ่นพี่อันเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดของเกมนี้
        หลังจากสิ้นสุดกิจกรรมคาบขนมแท่ง ก็เป็นเวลาที่นักศึกษาปี 1 ภาควิชาดุริยางคศาสตร์จะต้องเลอะกับบรรดาสีต่างๆ ที่รุ่นพี่ปี 3 4 บรรจงละเลงบนใบหน้ารุ่นน้องทุกคนกับกิจกรรมลอดซุ้ม และเมื่อมาถึงคิวของทั้งสอง
“ไอ้โบ๊ท ไอ้บอย ได้ข่าวว่ามึงสองคนหล่อมากจนทำหญิงหลงหมดเลยใช่ไหม”
รุ่นพี่ปี 4 คนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร กับแววตาที่ดูเหมือนจะเอาเรื่อง ขณะที่รุ่นพี่อีกคนหนึ่งกำลังหันไปจุ่มพู่กันลงในถังสีเตรียมละเลงเต็มที่ ไม่ทันที่ทั้งสองจะตอบอะไรนั้น บรรดาสารพัดสีต่างๆ ได้ถูกป้ายบนใบหน้าหล่อๆ ของทั้งสอง โดยเฉพาะบอยที่ถูกสารพัดสีต่างๆ ทาทับเป็นรอยปื้นๆ ไปทั่วใบหน้าไม่ต่างจากทหารเกณฑ์โดนพราง เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดารุ่นพี่และเพื่อนๆ เป็นอย่างมาก…
“ไอ้โบ๊ท กูถามหน่อยเหอะ รุ่นพี่มันแค้นพวกเราสองคนขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“กูไม่รู้สิวะ แม่งถามแล้วไม่ให้ตอบเลย แม่งละเลงอย่างเดียว”
{{เฮ้ย มึงสองคนคุยอะไรกันวะ พวกมึงวิดพื้นท่าเตรียมเลย เดี๋ยวนี้!}}
เสียงขู่คำรามกรรโชกขึ้น ทำเอาทั้งสองรีบลงไปอยู่ในท่าเตรียมวิดพื้นโดยอัตโนมัติ แต่แล้ว ระบบอารยะขัดขืนในรุ่นปี 1 เริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อเพื่อนนักศึกษาทั้งรุ่นอยู่ในท่าวิดพื้นท่าเตรียมเหมือนกันหมด
{{โธ่เว้ย!}} รุ่นพี่คนหนึ่งสบถออกมาอย่างเจ็บใจเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า {{กูสั่งแค่ให้ไอ้ขี้เหร่สองคนนี้วิดพื้นท่าเตรียม แต่ทำไมพวกคุณต้องทำด้วยวะ}}
{{เอ้าๆ พวกมึงลุก}}
สั่งให้ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก กะจะซ่อมน้องใหม่สองคนนั้นให้สะใจซะหน่อย ดันมีตัวขวางจนได้ ขณะเดียวกันน้องใหม่ปี 1 ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม กับสภาพที่ถูกละเลงสีที่หน้าจนจำแทบไม่ได้ของแต่ละคน มีเพียงแต่ป้ายชื่อที่บอกให้แต่ละคนรู้ว่าใครเป็นใครเท่านั้น
…………………………………………………………………………..
ณ ภาควิชามานุษวิทยา รั้วแม่โดม
ประเพณีรับเพื่อนใหม่ในรั้วแม่โดมยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก กับการต้อนรับนักศึกษาใหม่ของบรรดานักศึกษาเก่าที่เป็นไปอย่างอบอุ่น กับกิจกรรมสนุกๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าจนมาถึงช่วงกลางวัน
       กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความร่วมมือของบรรดาเพื่อนใหม่ เสียงเชียร์เสียงปรบมือดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลากับการลุ้นให้เพื่อนใหม่ทำภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จ และเมื่อถึงคิวของแก้ม เสียงกรี๊ดของบรรดาเพื่อนสาวๆ ยิ่งดังขึ้น ขณะที่เสียงเชียร์จากบรรดานักศึกษาเก่ายังคงดังโหวกเหวกแข่งกับเสียงเชียร์ของนักศึกษาใหม่อย่างสนุกสนาน
[[ยัยแก้มสู้ๆๆๆๆ]]
หญิงสาวค่อยๆ ทำภารกิจอย่างใจเย็น จนกระทั่งมาถึงด่านสุดท้ายของเกมกับการเหยียบลูกโป่ง และนั่นกลับเป็นจุดอ่อนของเจ้าตัว เนื่องด้วยว่าสาวเจ้าเป็นคนกลัวเสียงดังอย่างกับอะไร
[[เหยียบเลยๆๆ]]
แก้มเริ่มเกิดอาการลังเล พลางยกมือขึ้นอุดหู ขณะที่เท้าข้างซ้ายค่อยๆ ยกขึ้นเหนือลูกโป่งสีแดงที่อยู่ตรงหน้า แววตากลมโตปิดลงตามสัญชาตญาณพร้อมๆ กับบรรจงกระทืบเท้าลงบนลูกโป่งลูกนั้นอย่างเต็มแรง
[[โป้ง!]]{{อ๊าย}}
เสียงลูกโป่งแตกดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องของสาวเจ้า ดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดขึ้นและก้มลงมองไปที่ขาซ้ายของตัวเองที่ตอนนี้เลอะไปด้วยแป้งที่อยู่ในลูกโป่งใบนั้น พร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ…”
[[เฮ]]
เสียงเชียร์ของบรรดาเพื่อนๆ ดังกระหึ่มขึ้น ทำเอาหญิงสาวยิ้มขึ้นมาอย่างใจชื้น ก่อนจะเดินกลับไปยังกลุ่มของตัวเองที่ในตอนนี้มีแอนและพรีมรอต้อนรับอยู่
“โหยัยแก้ม เลอะหมดเลยอ่ะ”
คนถูกเรียกชื่อหันมายิ้มให้กับคนที่ร้องทักพลางยกมือขึ้นปัดๆ แป้งที่เลอะไปตามตัว ขณะที่แอนและพรีม สองเพื่อนสาวเข้ามาช่วยปัดด้วยอีกแรงหนึ่ง
“เค้าเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแก้มกลัวเสียงดังอ่ะ คริๆ”
“บ้าอ่ะยัยพรีม เอาจุดอ่อนเค้ามาล้อจังเลยน้า”
มือเล็กๆ ยื่นไปจับใบหน้าของคนที่เพิ่งออกปากล้อพร้อมกับขึงตาใส่อย่างขุ่นเคืองเล็กๆ ด้วยความอายที่ถูกล้อปมด้อย ขณะที่คนล้อยังคงหัวเราะล้อเลียนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน
“พอเลยสองคนนี้ รู้จักกันไม่ทันไรกัดกันเลยน้า”
แอนพูดปรามขึ้นพร้อมกับแยกให้ทั้งสองออกห่างจากกัน พลางหันไปส่งสายตาคาดโทษใส่ทั้งคู่ แต่คนที่ก่อเรื่องยังคงหัวเราะไม่หยุดจนผู้ที่เข้ามาห้ามต้องเอาขนมปังยัดเข้าปากของคนที่กำลังหัวเราะในที่สุด
“นี่ กินซะ จะได้ไม่ต้องพูดมาก”
แก้มได้ทีหันไปทำหน้าล้อเลียนพรีมอย่างเย้ยหยันเล็กๆ แต่ก็ไม่วายโดนแอนเบรกด้วยการเอาขนมปังที่เหลือยัดเข้าให้พร้อมกับถูกสำทับอีกทีหนึ่ง
“แกก็อีกคน”
ตกเย็น
 “ขอให้เพื่อนใหม่ทุกคนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ เก้าโมงเช้า ที่คณะเหมือนเดิมครับ”
บรรดานักศึกษาใหม่ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเมื่อเวลาที่รอคอยได้มาถึง และครั้งนี้แอนยังขอให้แก้มขับรถไปส่งถึงบ้านเหมือนเดิม
“ยัยแก้ม ไปส่งเค้าหน่อยสิ”
“จ้า ยังไงเค้าก็ต้องไปส่งแกอยู่แล้วล่ะยัยแอน”
หลังจากนั้นทั้งสองสาวพากันเดินไปยังรถเก๋งคันงามที่จอดอยู่ตรงหน้า และเมื่อไปถึง ทั้งสองสาวต่างเปิดประตูขึ้นนั่งคนละฝั่ง ขณะที่แก้มเอื้อมมือเล็กๆ เข้าไปกดปุ่มสตาร์ทเครื่อง ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากที่จอดมุ่งตรงออกสู่ถนนใหญ่ในเวลาต่อมา
……………………………………………………………………………
ขณะเดียวกัน
       รถยนต์ Toyota Fortuner TRD Sportivo III สีขาว ที่ขับโดยบอยยังคงวิ่งไปบนทางด่วนอย่างรวดเร็ว กับสภาพของทั้งคนขับและคนนั่งที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยสารพัดสีต่างๆ บนใบหน้าและตามเนื้อตัวเต็มไปหมด ขณะที่โบ๊ทซึ่งในวันนี้ไม่ได้เป็นคนขับรถใช้เวลาไปกับการนอนหลับอย่างเอาเป็นเอาตายหลังจากเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เสียงเพลงเบาๆ จากเครื่องเสียงที่บอยเปิดคลอไว้ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป
“ฮื้ม… รถก็ติดชิบหายเลยว่ะ ขนาดบนทางด่วนนะเนี่ย”
คนตัวสูงบ่นพึมพำเบาๆ พลางใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยรถไปตามจังหวะเพลง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งไปยังเส้นทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยยวดยานเป็นจำนวนมาก พลันเหลือบมองไปยังคนข้างๆ ที่เอนเบาะนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
{{หยุด…หยุด…ชีวิต หยุดกับคนนี้… แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน…}}
เสียงโทรศัพท์แอนดรอยด์ของบอยส่งเสียงโวยวายขึ้นมา ทำให้คนตัวใหญ่ต้องรีบคว้าขึ้นมาและกดรับทั้งๆ ที่ยังมีอาการหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“ฮัลโหล”
[[อ๊าย นายบอย โกรธใครมาอ่า]]
“อ้าว ลูกแก้วเหรอ แหะๆ โทษที” เสียงของชายหนุ่มอ่อนลงหลังจากได้ยินเสียงของปลายสายที่โทร.หา
[[บอยทำอะไรอยู่เหรอ เค้ารบกวนรึเปล่าอ่ะ]]
“อ่อ กำลังขับรถอยู่น่ะ นี่รถติดอยู่บนทางด่วนยังไม่ออกจากกรุงเทพเลยเนี่ย”
[[อื๊ม เค้าขอโทษน้า ไม่กวนล่ะ นายขับรถไปเหอะ เดี๋ยวเค้าโทร.หาใหม่น้า]]
“เดี๋ยวก่อนสิลูกแก้ว… เดี๋ยว…”
{{ตู๊ด… ตู๊ด… ตู๊ด…}}
ปลายสายถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่อารมณ์ค้างของคนตัวใหญ่เท่านั้น แต่ไม่มีเวลาให้เขาคิดมากนักเมื่อยวดยานข้างหน้าเริ่มเคลื่อนตัว ทำให้บอยต้องทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการพาเจ้ายานพาหนะสีขาวคันงามมุ่งสู่ที่หมายที่ยังอยู่อีกไกล เสียงเครื่องยนต์ดีเซลกู่ร้องคำรามตลอดเวลาที่เท้าข้างขวากดไปที่คันเร่งถีบตัวส่งให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า จนกระทั่งมาถึงละแวกบ้านในเวลาราวๆ เกือบชั่วโมงต่อมา
        โบ๊ทค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ หลังจากหลับไปนาน พลางสอดส่ายสายตาหันไปมองรอบๆ อย่างงุนงง ขณะที่บอยยังคงมุ่งมั่นอยู่กับการขับรถไปตามเส้นทางข้างหน้า รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์คันงามค่อยๆ เลี้ยวเข้าไปยังหมู่บ้านที่เพื่อนอาศัยอยู่ และเมื่อถึงบริเวณบ้านหลังหนึ่งที่รถเก๋งคันสีดำจอดอยู่ข้างหน้า
“เฮ้ย ไอ้บอย มึงจอดตรงนี้แหละ”
“เออ… โชคดีนะมึง เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”
โบ๊ทเดินลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ ก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังรั้วบ้านที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่บอยขับรถเลยไปเล็กน้อยเพื่อกลับรถและมุ่งออกจากหมู่บ้านไปในเวลาไม่นานมากนัก
ระหว่างนั้น แก้มกำลังเดินออกมาหลังจากนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ในรถ แต่ว่า…
“อ้าว ตัวเอง”
หญิงสาวถึงกับตกตะลึงเมื่อได้เห็นสภาพของผู้มาเยือน ที่ในวันนี้อยู่ในสภาพที่แย่กว่าวันก่อนหลายเท่าตัว ร่างผอมบอบบางรีบวิ่งมาเปิดรั้วหน้าบ้านให้ผู้มาเยือนได้เข้ามา
“รอแป๊ปนึงน้า เค้าเอาของในรถก่อน”
ครู่ต่อมา คนตัวเล็กกว่ารีบพาคนตัวใหญ่เข้าไปในตัวบ้าน ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังหลังครัวเพื่อเตรียมน้ำดื่มกับน้ำอุ่นและผ้าเช็ดหน้า ขณะที่ผู้มาเยือนได้แต่นั่งรอที่โซฟาอย่างใจเย็น และแล้ว สาวเจ้าเดินกลับออกมาพร้อมๆ กับกาละมังน้ำอุ่นกับผ้าผืนเล็กๆ ที่ถูกแช่ไว้ ก่อนจะเข้ามาใกล้ๆ กับคนตัวใหญ่ พลางยื่นผ้าชุบน้ำเช็ดบนใบหน้าอันหล่อเหลาของแฟนหนุ่มอย่างเบามือที่สุด
“หืม ตายแล้ว ดูสิ สิวขึ้นตายแน่โดนป้ายสีขนาดนี้”
เสียงใสๆ บ่นพึมพำขึ้นมาตลอดเวลาที่กำลังเช็ดสีที่เลอะบนใบหน้าของแฟนหนุ่มอย่างช้าๆ ขณะที่คนที่ถูกเช็ดหน้ายังคงทอดสายตามองมายังแฟนสาวด้วยแววตากรุ้มกริ่มเล็กๆ
“สิวไม่ขึ้นหรอกตัว มีแต่อารมณ์เค้าที่ขึ้นน่ะ หิๆ”
“คนบ้า”
แก้มแหวเสียงสะบัดใส่คนตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตขึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง คนบ้าอะไร สภาพตัวเองแย่ขนาดนี้ยังมีอารมณ์หื่นอีก ชิ!
แววตากรุ้มกริ่มของโบ๊ทยังคงทอดมองไปยังใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังงอง้ำของแฟนสาว พลางกลั้วหัวเราะเบาๆ เมื่อได้เห็นสาวเจ้ากำลังตกอยู่ในอาการงอนเช่นนี้ ‘ยามงอนก็ดูน่ารักดีนะ แต่อย่างอนบ่อยนักเลย กูปรับอารมณ์ไม่ถูก’ โบ๊ทนึกในใจระหว่างที่ปากหยักได้รูปกำลังฉีกยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่ได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนจากแก้ม ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดรองจากคนในครอบครัว และเขามั่นใจแล้วว่าจะรักเธอคนนี้คนเดียวตราบนานเท่านาน…
………………………………………………………………….
ณ บ้านทาวน์เฮาส์แห่งหนึ่ง
รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาวเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณหน้ารั้วบ้าน พร้อมๆ กับชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของรถค่อยๆ เดินลงมาหลังจากเก็บของในรถเสร็จ แต่ทันใดนั้น…
{{หยุด… หยุด… ชีวิต หยุดกับคนนี้… แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน…}}
เสียงโทรศัพท์แอนดรอยด์ส่งเสียงโวยวายขึ้นมา หนำซ้ำยังดิ้นไม่หยุด จนผู้เป็นเจ้าของต้องหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางก้มมองหน้าจอเห็นภาพหญิงสาวหน้าคมจึงไม่ลังเลที่จะกดรับ
“ฮัลโหลลูกแก้ว”
[[นายบอย ถึงบ้านแล้วเหรอ]]
“อืมใช่ เพิ่งจอดรถเลยเนี่ย แหะๆ โทร.มามีอะไรเหรอ”
[[ก็เค้าคิดถึงอ่ะ แล้วนายไม่คิดถึงเค้าเหรอไงหืม]]
“ฮ่าๆ ก็คิดถึงสิ เอ้อ แล้วนี่ลูกแก้วอยู่ไหนเนี่ย”
[[เค้ากำลังนั่งรถมาอ่ะ พอดีเจอนายมิว เค้าก็เลยติดรถนายมิวมาด้วย]]
“อ่อๆ เออ งั้นมาบ้านไอ้มิวก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวเราจะได้ไปหา”
[[อืมๆ ได้สิ เนี่ยนายมิวกำลังขับรถมาที่บ้านเขาพอดีเลย]]
“โอเค. เดี๋ยวบอยจะรีบไปหาตอนนี้แหละ”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ควักรีโมตยิงไปที่รถอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสียบกุญแจบิดสตาร์ทอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานนัก รถแวนสีขาวได้เคลื่อนตัวออกจากบริเวณบ้าน โดยมีเป้าหมายก็คือบ้านเพื่อนสนิทที่อยู่ในละแวกที่ไม่ไกลมากนัก
เวลาผ่านไปไม่ถึง 20 นาที
       รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์คันสีขาวได้เคลื่อนตัวมายังละแวกบ้านเดี่ยวที่ตอนหน้าถูกดัดแปลงเป็นร้านกาแฟขนาดย่อมๆ หลังจากนั้นบอยจึงรีบหาช่องจอดรถทันที จนกระทั่งต้องมาจอดต่อท้ายรถเก๋ง Benz E250 CDi สีบรอนซ์เงินที่จอดอยู่ในละแวกนั้น ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งใกล้ๆ กับบ้านที่หมาย รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีดำได้จอดอยู่แล้ว
       ร่างสูงเดินลงจากรถพร้อมกับผิวปากและควงกุญแจอย่างอารมณ์ดี จนมาถึงบริเวณหน้าบ้านที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านกาแฟย่อมๆ กับหนึ่งหนุ่มและสองสาวที่กำลังนั่งล้อมวงกินกาแฟกันอยู่ ท่ามกลางแสงไฟส่องสว่างและเสียงเพลงที่ดังคลอเบาๆ แต่เมื่อผู้มาใหม่เข้าไปถึง ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ผู้มาใหม่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
“อ้าวเฮ้ยไอ้มิว ยัยโบ ลูกแก้ว รถเบนซ์สีบรอนซ์นั่นของใครวะ”
ไม่มีใครตอบคำถาม แต่ทุกสายต่างต่างจับจ้องมายังผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่บ่งบอกอาการตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ย ไอ้บอย นี่มึงไปรับน้องหรือไปเกณฑ์ทหารมาวะเนี่ย”
 มิวร้องถามขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนสนิทที่ไม่ต่างอะไรไปจากทหารที่เพิ่งกลับมาจากกรมกอง ขณะที่โบถึงกับอ้าปากค้างเติ่งด้วยท่าทางตกใจกับสภาพของเพื่อนแฟนหนุ่ม ส่วนลูกแก้วเมื่อได้เห็นหน้าแฟนหนุ่มก็ไม่ลังเลที่จะเข้ามาโผกอดคนตัวสูงด้วยความคิดถึงทันที
“นายบอย หืม ใครทำให้นายเป็นงี้อ่า”
หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นพลางลูบๆ ไปตามใบหน้าอันหล่อเหลาที่เลอะไปด้วยสีสันต่างๆ จนแทบจะจำไม่ได้ ขณะที่ร่างสูงใหญ่ยังคงโอบกอดร่างอวบอัดของหญิงสาวไว้ มือหนาใหญ่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาลูบผมอันยาวสลวยสีน้ำตาลโค้กอย่างนิ่มนวล ตาคมกริบวาวโรจน์จดจ้องมายังใบหน้าสวยคมเข้มแบบแขกที่กำลังปั้นสีหน้ากังวลให้เห็น
“เอาน่ะ แค่รุ่นพี่ละเลงสีใส่หน้าเฉยๆ น่ะ ยังไม่ได้ล้างเลย”
มือเรียวอวบยังคงลูบๆ ไปบนใบหน้าของแฟนหนุ่มที่เลอะเทอะไปด้วยสีสันต่างๆ ที่อำพรางหน้าตาอันหล่อเหลาบนความรู้สึกกังวลใจและสงสารคนที่เธอรักยิ่งนัก ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้
“มานี่ เดี๋ยวแก้วล้างหน้าให้ละกันนะ”
พูดจบหญิงสาวรีบพาคนตัวสูงกว่าเข้ามานั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเจ้าของบ้าน
“นายมิว ขอผ้ากับกาละมังหน่อยจ้ะ”
มิวพยักหน้าและยิ้มให้เล็กน้อยพลางเหล่ตาไปหาโบ ขณะที่อีกฝ่ายหันมาสบตาอย่างรู้ใจก่อนจะพาร่างอรชรเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกับลูกแก้ว จนเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ลูกแก้วเดินออกมาพร้อมกับกาละมังใบย่อมๆ บรรจุน้ำอุ่นๆ กับผ้าเช็ดหน้าผืนย่อมๆ ผืนหนัง
“นี่ เดี๋ยวแก้วเช็ดหน้าให้เองนะ”
ลูกแก้วค่อยๆ บิดผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งจุ่มน้ำอุ่นในกาละมังจนหมาด ก่อนจะค่อยๆ เช็ดคราบสีบนใบหน้าของแฟนหนุ่มอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล ดวงตากลมโตคู่สวยทอดมองไปบนใบหน้าอันหล่อเหลาที่ในตอนนี้สีสันต่างๆ บนใบหน้าค่อยๆ เจือจางลงเรื่อยๆ หลังจากถูกผ้าเช็ด จนค่อยๆ เผยให้เห็นผิวที่แท้จริงอย่างช้าๆ
ระหว่างนั้นมิวกับโบหันมามองหน้ากันและยิ้มให้กันเมื่อเห็นภาพหวานๆ ระหว่างบอยกับลูกแก้ว ที่ทำให้ทั้งสองอดที่จะยิ้มไปด้วยไม่ได้
หลังจากนั้น หญิงสาวร่างอวบหันไปคว้าครีมบำรุงผิวของตัวเองจากกระเป๋าสะพายใบเขื่องออกมา ก่อนจะค่อยๆ บรรจงละเลงครีมบนใบหน้าของแฟนหนุ่มท่ามกลางความรู้สึกแปลกใจของคนที่ถูกละเลง กับอีกสองเพื่อนที่ตอนนี้กำลังนั่งมองอย่างตกตะลึง
“ลูกแก้ว ถึงขั้นต้องทาครีมกันเลยหรือไงอ่ะ”
เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจเล็กๆ ขณะที่คนที่ถูกถามยังคงละเลงครีมบนใบหน้าของแฟนหนุ่มจนใบหน้าอันหล่อเหลาในตอนนี้ขาวโพลนเต็มไปหมดทั้งหน้า
“อืม ก็ไม่งั้นถ้านายบอยเป็นสิวขึ้นมา ก็หมดหล่อแย่สิ”
“โอ้โห ไอ้บอยเอ๊ย คราวนี้มึงหล่อโดนใจพวกเกย์แน่ว่ะ ถ้าหน้ามึงขาวแบบนี้”
มิวบ่นพึมพำเบาๆ พลางปรายตามองไปยังใบหน้าของเพื่อนสนิทที่โดนละเลงจนขาวโพลนไปหมดทั้งหน้า และรู้สึกอดทรมานแทนไม่ได้ที่ต้องอยู่นิ่งตลอดเวลา ‘กะพริบตาก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ มึงลำบากแน่ว่ะไอ้บอย มึงยิ่งตัวพูดมากด้วย’ มิวแอบต่อให้ในใจ
“นายมิว สนใจไหมล่ะ วันหลังเค้าจะได้ทำให้บ้าง คริๆ”
เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมา พลางส่งสายตาขี้เล่นๆ ไปยังแฟนหนุ่ม
“ไม่เป็นไรดีกว่าโบ อยู่แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ”
       เวลาผ่านไปยาวนานหลังจากที่บอยถูกเมคอัพขนานใหญ่ด้วยฝีมือของลูกแก้ว ก็เป็นเวลากินอาหารเย็นและพูดคุยสัพเพเหระตามประสาเพื่อนสนิท จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองทุ่มเศษ ลูกแก้วลุกขึ้นเตรียมตัวเดินทางกลับพร้อมหันมาบอกลาเพื่อนๆ และครอบครัวของมิว
“งั้นแก้วกลับบ้านก่อนนะ คุณอาอนงค์สวัสดีค่ะ”
“จ้า โชคดีน้า”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พาแขกผู้มาเยือนเดินออกมานอกบริเวณบ้าน ก่อนยิงรีโมตไปยังรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์คันสีขาวที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นั่นรถของนายเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ ชอบไหมล่ะ”
แววตากลมโตของลูกแก้วทอดมองไปยังพาหนะคันสีขาวด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนไปกับดีใจ คนตัวสูงกว่าเดินข้ามไปยังฝั่งคนขับ และเมื่อทุกอย่างพร้อม เสียงเครื่องยนต์ดีเซลเริ่มคำรามขึ้น พร้อมกับไฟหน้าอันสว่างสดใสถูกเปิด บอยค่อยๆ สาวพวงมาลัยขยับรถออกจากช่องจอดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนพารถคู่ใจออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ในยามค่ำคืน บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยยวดยานพาหนะเป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายอยู่ที่บ้านของแฟนสาวย่านบางเขน
ระหว่างทาง
 “หืม ไม่เคยแม้แต่จะบอกอ่ะว่ามีรถ”
ลูกแก้วต่อว่าขึ้นมาด้วยท่าทางงอนๆ กับความรู้สึกน้อยใจเล็กๆ ที่ตัวไม่เคยรู้เรื่องรถของแฟนหนุ่มแม้แต่น้อย
“อ้าว ถ้าไม่บอกจะเซอร์ไพรส์เหรอ ฮ่าๆ”
บอยโต้ตอบกลับไปด้วยท่าทางขี้เล่นๆ ตามปกติ แต่นั่นยิ่งกลับทำให้ลูกแก้วยิ่งออกอาการงอนมากขึ้นกว่าเก่า
“ชิ จำไว้เลยนะ มีอะไรไม่เคยบอกอ่ะ”
ชายหนุ่มไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดมากจึงเลือกที่จะเงียบไป มีเพียงแต่เสียงเพลงเบาๆ จากเครื่องเสียงในตัวรถกับบทเพลงสากลในแผ่น MP3 ที่ใส่ไว้ข้างใน ขณะที่หญิงสาวหันไปมองบรรยากาศที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟในยามค่ำคืน พลางอมยิ้มในใจไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุขเมื่อยามได้อยู่กับคนที่เจ้าตัวคิดถึง แต่ระหว่างนั้น บทเพลง The Humpty Dumpty Love Song อันเป็นผลงานเพลงของ Travis ดังแว่วมาตามลำโพงทั้งแปดตัวภายในรถ
หญิงสาวร้องคลอตามเบาๆ ขณะที่ดวงตาคู่สวยยังคงทอดมองบรรยากาศอันสวยงามในยามค่ำคืน เสียงหวานดังแว่วมาถึงหูของคนขับรถ และนั่น ทำให้เขาอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน
“นายบอย รู้ไหม นายเป็นผู้ชายที่เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วอบอุ่นมากเลยนะ”
ลูกแก้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมามองใบหน้าคมเข้มท่ามกลางความมืดภายในตัวรถ มีเพียงแต่แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาพอให้เห็นรูปหน้าที่ไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไป กับดั้งจมูกโด่งราวกับสันเขื่อน แววตาคมกริบดูมีอำนาจในตัวแต่แฝงความขี้เล่นไว้กับคิ้วที่ดกหนาราวกับผืนพรม ริมฝีปากหยักได้รูป แต่ดูยังไงเขาเป็นผู้ชายที่หล่อแบบน่ารักๆ ในสายตาของผู้หญิงทุกๆ คนที่ได้เห็น
ปากหยักได้รูปถึงกับยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินคำชม นัยน์ตาคมกริบวาวโรจน์เพ่งมองทางข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น พลางละมือซ้ายเอื้อมมาลูบคลำพวงแก้มนุ่มๆ ของหญิงสาวเบาๆ ก่อนผละกลับไปจับพวงมาลัยเหมือนเดิม
ไออุ่นจากสัมผัสอันนุ่มนวลอ่อนโยนบนพวงแก้มอวบอิ่มเนียนนุ่ม ทำให้ลูกแก้วรู้สึกได้ถึงความวาบหวิวในใจ บวกกับความอบอุ่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยมทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ ซึ่งไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลยตั้งแต่สมัยที่คบหาอยู่กับแฟนเก่า แต่ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยนี้ปรากฏขึ้นทุกครั้งเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ กับบอย นับตั้งแต่แรกเจอจนถึงตอนนี้
“เฮอะๆ จริงเหรอแก้ว เราไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าเราเป็นผู้ชายอบอุ่น ฮ่าๆ”
ภาพฝันที่ลูกแก้ววาดไว้พังทลายจนหมดเมื่อได้ยินเสียงโทนสูงๆ กับสำเนียนแบบทีเล่นทีจริงของแฟนหนุ่ม ‘คนอะไร้ กวนประสาทได้ตลอดเวลา บ้าที่สุดเลย ชิ L’ ลูกแก้วแอบคิดในใจลึกๆ แววตากลมโตแบบแขกชำเลืองมองคนข้างๆ อย่างขุ่นเคืองเล็กๆ
       รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาวแล่นไปบนทางด่วนท่ามกลางยวดยานพาหนะที่มีไม่มาก ทำให้เร่งความเร็วได้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งมาถึงย่านเป้าหมาย และต้องมาเจอกับมหกรรมรถติดตรงย่านสะพานใหม่ ที่ในตอนนี้ตลอดถนนทั้งเส้นเต็มไปด้วยยวดยานจนเกือบแน่นถนน เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่เคยกรีดร้องไปตามแรงเหยียบใต้อุ้งเท้าในตอนนี้ได้แต่ครางเบาๆ เท่านั้น วงล้อแม็กซ์สีไททาเนียมวงใหญ่กับโลโก้ TRD สีแดงสดค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ จนมาถึงย่านบ้านพักของหญิงสาวในเวลาราวๆ เกือบสี่ทุ่มครึ่ง
“เค้าไปก่อนน้านายบอย”
“อืม ฝากสวัสดีป้าดาด้วยล่ะ”
ร่างสูงระหงกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ แต่อยู่ๆ มือหนาๆ กลับยื่นมาจับข้อมือขวาไว้แน่น พร้อมๆ กับยื่นหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าของหญิงสาว นัยน์ตาคมกริบทอประกายขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีนัยอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวแก้ว แก้วยังไม่ให้รางวัลบอยเลยนะ”
หญิงสาวหันกลับมาพร้อมกับทำสีหน้างุนงง คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นซะจนคนข้างๆ ไม่รู้จะแก้อย่างไร ดวงตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ ใบหน้าหล่อคมเข้มที่ค่อยๆ ยื่นเข้ามาใกล้อย่างเลิ่กลั่ก ปากอิ่มเริ่มกระพือจนคนข้างๆ จับสังเกตได้ ถึงแม้ลมเย็นจากแอร์ในรถยังเป่าต่อเนื่อง แต่สาวเจ้ากลับรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาบนใบหน้าจนพวงแก้มอวบอิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับตำลึงสุก ในใจลึกๆ พยายามจะทัดทาน แต่มันกลับติดคาอยู่ที่ลำคอเท่านั้น!
“ไม่ต้องเกร็งหรอกแก้ว”
น้ำเสียงทีเล่นทีจริงอันเย็นเยียบของชายหนุ่ม บวกกับแววตากรุ้มกริ่มยิ่งทำให้หญิงสาวยิ่งเกิดความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า และยิ่งใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งเข้ามาใกล้ สาวเจ้ายิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด แต่แล้ว เหมือนมีอะไรมาบังคับให้หญิงสาวต้องยื่นหน้าเข้าหาคนข้างๆ ปากอวบอิ่มค่อยๆ เข้าหาปากหยักได้รูปราวกับแม่เหล็กที่กำลังถูกดูดให้ติดกัน ดวงตากลมโตค่อยๆ หลับพริ้มลง ขณะที่ปากหยักได้รูปค่อยๆ เข้ามาดูดปากอิ่มของหญิงสาวอย่างเคลิบเคลิ้ม พร้อมกับสอดลิ้นตวัดหาความหวานชวนให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มกับรสจูบอันแสนหวานที่เขามอบให้
        จูบแรกระหว่างบอยกับลูกแก้วสิ้นสุดลงอย่างประทับใจ ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะยังรู้สึกหน่วงก็ตาม แต่ก็เต็มใจที่จะมอบเป็นรางวัลให้กับเจ้าของหัวใจตัวจริงอย่างบอย และเขา เป็นคนเดียวที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกายของเธอ ตลอดไป…
“เค้าไปแล้วนะ ขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ”
หญิงสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับหันหน้ากลับมามองคนที่อยู่ข้างใน ดวงหน้าเรียวยาวยังคงเป็นสีแดงเปล่งปลั่งราวกับตำลึงสุกกำลังส่งยิ้มอันน่าประทับใจกลับมา
บอยไม่พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มและโบกมือให้ หลังจากนั้น รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาว ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไป จนลับสายตา…
…………………………………………………………………
      ตลอดสัปดาห์แรกในรั้วมหาวิทยาลัยของแต่ละคน เต็มไปด้วยสีสันและความรู้สึกใหม่ๆ หลากหลายแบบ และในตอนนี้หลายๆ คนต่างเข้ากับกลุ่มเพื่อนใหม่อย่างสนิทสนม กับเหตุการณ์รับน้องที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในรั้ว ม.กรุงเทพในเวลานี้ ต้นเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนใหม่ๆ กับบุคลิกและมนุษยสัมพันธ์ส่วนตัวอันโดดเด่นของเจ้าตัว ความขี้เล่น กวนโอ๊ย ทำให้เป็นที่จดจำในหมู่เพื่อนๆ ขณะเดียวกัน หลังจากที่ลูกตาลได้มีโอกาสสนิทสนมกับปุ๊กลุ๊ก จนกระทั่งได้สนิทสนมกับบรรดาเพื่อนใหม่อีกสามคนอย่าง ฉัตร ดิว และมิ้นท์ และทั้งห้าสาวกลุ่มนี้ได้ร่วมตัวกันจนเป็น ‘แก๊งนางฟ้า’ ในรั้วคณะมนุษยศาสตร์ในที่สุด
        ทางด้านโบ๊ทกับบอยยังคงต้องต่อสู้กับระบบรับน้องในรั้วคณะ ที่ยิ่งทวีความเข้มข้นเท่าๆ กับความหมั่นไส้ของบรรดารุ่นพี่บางคน กับหน้าตาอันหล่อเหลาและบุคลิกที่แตกต่างของทั้งคู่ แต่ถ้าวัดความนิยมในตอนนี้แล้ว สาวๆ ในรั้วคณะศิลปกรรม มศว ตอนนี้ต่างเทใจให้กับบอย ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มน่ารักในสไตล์เกาหลี กับบุคลิกที่เป็นคนขี้เล่น เฮฮาสนุกสนาน แต่แฝงความอบอุ่นไว้ข้างใน และเมื่อได้ถูกรับเลือกให้เป็นเดือนคณะศิลปกรรม ก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นหลายเท่าตัว  ผิดกับโบ๊ทที่ถึงแม้หน้าตาจะหล่อใสๆ เหมือนกับเพื่อนสนิท แต่กลับมีบุคลิกที่ดูเท่แบบลุยๆ แต่ว่าความรู้สึกของทั้งสองแล้ว พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาๆ เสียมากกว่า
      สมาชิกที่เหลือทั้งสามสาวของแองเจิ้ลฟอร์ซ กับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคู่ขนานอย่างจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ เต็มไปด้วยสีสันและความแปลกใหม่ต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา อย่างแก้ม กับกลุ่มเพิ่อนใหม่ในรั้วคณะสังคมศาสตร์ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างกับการเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงแองเจิ้ลฟอร์ซ ส่วนอิ๋ว สาวมั่นประจำวง กับชีวิตในรั้วสิงห์ดำ ยังคงดำเนินไปอย่างราบเรียบเหมือนเดิม ถึงแม้บทบาทในวงแองเจิ้ลฟอร์ซจะโดดเด่นพอๆ กับโบก็ตาม แต่ตลอดเส้นทางอันราบเรียบกลับเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ ในชีวิต ทำให้บุคลิกของเจ้าตัวเริ่มเปลี่ยนไป จากเป็นคนเงียบๆ กลายเป็นสาวสมัยใหม่กับลุคส์อันเปรี้ยวเฉี่ยวเต็มตัว แต่ด้วยสายตาสั้นของเจ้าตัว ถึงแม้อยากจะถอดแว่นมากแค่ไหน แต่ก็ยังคงต้องใส่แว่นสายตาต่อไป ขณะเดียวกัน โบ นักร้องสาวร่างเล็ก กับความสามารถในการร้องเพลงได้ถูกทำให้เจิดจรัสมากขึ้นเมื่อได้ออดิชั่นเข้าวงดนตรีประจำมหาวิทยาลัยอย่าง CU Band ในตำแหน่งนักร้อง และได้เป็นต้นเสียงในเพลง มหาจุฬาลงกรณ์ ของนิสิตปี 1 ที่ถูกบันทึกเสียงใหม่ร่วมกับชมรม CU Chorus ร่วมกับเพื่อนนิสิตปี 1 ของทุกคณะ
       ขณะเดียวกัน ชีวิตในรั้ว ม.รังสิตของมิวเต็มไปด้วยสีสันแปลกใหม่ บรรดาเพื่อนใหม่ต่างดาหน้าเข้ามาทำความรู้จักมากขึ้น เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดี สุขุมนุ่มลึก และหน้าตาอันหล่อเหลาแบบน่ารักของเจ้าตัว ทำให้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่สาวๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ อีกด้านหนึ่ง ในรั้ววิทยาลัยดนตรี เสียงร้องหวานๆ แต่ทรงพลังของลูกแก้ว ทำให้เจ้าตัวเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนนักศึกษาวิทยาลัยดนตรีด้วยกัน และกลายเป็นนักร้องที่หลายๆ คนต้องการตัวมากที่สุดไปแล้ว…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
1 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา