Paracetamol Season I
เขียนโดย POPENGL
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.35 น.
แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Episode 2.3 – เปิดเทอม Pt.3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความช่วงบ่ายๆ ณ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว
ทั้งสองหนุ่มจากพาราเซตามอลยังคงร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ในรั้วของคณะศิลปกรรมอย่างเต็มที่ กับกิจกรรมต่างๆ ที่สโมสรคณะศิลปกรรมจัดไว้เพื่อต้อนรับนักศึกษาใหม่ กับบรรยากาศความอบอุ่นระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง และในหมู่เพื่อนใหม่ แต่ในช่วงนี้นักศึกษาใหม่ชั้นปี 1 ภาควิชาดุริยางคศาสตร์ต่างอยู่ในสภาพเลอะเทอะสะบักสะบอมกันทุกคนหลังจากถูกบรรดารุ่นพี่ปี 3 4 รวมไปถึงบรรดาศิษย์เก่าที่มาแกล้งรุ่นน้องกันเต็มที่ แต่ว่า…
“หืม ดูนายโบ๊ทนายบอยสิ เลอะขนาดนี้ยังหล่อเลยอ่า”
คำชมของเพื่อนนักศึกษาหญิงที่เอ่ยชมขึ้นเมื่อเห็นสภาพของทั้งสองในชุดนักศึกษาใหม่ที่เลอะไปด้วยทั้งโคลน กรวด ทรายเต็มตัวไปหมด หลังจากโดนบรรดารุ่นพี่สั่งหมอบ กลิ้ง คลานอยู่ตลอด ไม่ต่างจากเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันมากนัก แต่ความรู้สึกของทั้งสองต่อการรับน้องในวันแรกครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เหลือ
“เฮ้ย ไอ้โบ๊ท กูว่ามันหนักแบบแปลกๆ ว่ะ มาถึงก็ให้หมอบกลิ้งคลานกันเลยเหรอวะ”
“นั่นสิวะมึง แต่เอาน่ะ ดูๆ ไปก่อน ถ้าแม่งเล่นหนักเมื่อไหร่ค่อยว่ากันเว้ย”
แต่ว่า…
[[เฮ้ย ไอ้หล่อทั้งสอง มึงหมอบเลย]]
เสียงคำรามกระโชกโฮกฮากของรุ่นพี่คนหนึ่งดังแว่วขึ้น ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาสบกับแววตาอันขึงขังดุดันของเจ้าของเสียงที่กำลังชี้มือมายังทั้งสอง ท่ามกลางความตกตะลึงของบรรดาเพื่อนนักศึกษาร่วมรุ่นที่ต่างส่งเสียงซุบซิบกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ทั้งสองได้ยินดังนั้นจึงรีบหมอบอย่างไม่มีข้อแม้ ด้วยว่าไม่อยากโดนซ่อม
{{พวกมึงไปหมอบโน่น กลางแดดเลย ไป๊!}}
ทั้งสองทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อไปหมอบยังที่หมายตรงนั้น แต่ทว่า…
{{พวกมึงสองคนอย่าลุก มึงกลิ้งไปเลย}}
ทั้งสองต่างกลิ้งไปบนพื้นสนามหญ้าแฉะๆ ออกไปยังลานปูนร้อนๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ตามคำสั่งของรุ่นพี่แต่โดยดี ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ รู้สึกไม่พอใจรุ่นพี่ก็ตาม ขณะที่เพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างหันไปมองด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งสอง บ้างก็พูดคุยซุบซิบกันไปต่างๆ นาๆ
“สงสารนายโบ๊ทนายบอยว่ะแก รุ่นพี่เขาคิดอะไรกันอยู่นะ ถึงแกล้งสองคนนั้นแบบเอาเป็นเอาตายเลย”
หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางเหลือบตาไปมองทั้งสองด้วยแววตาเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“จะอะไรอีกล่ะ รุ่นพี่เขาอิจฉาสองคนนั้นน่ะสิ”
คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้สาวเจ้าตกใจมากขึ้น กับการกระทำอันไร้เหตุผลของรุ่นพี่ ระหว่างนั้นบรรดารุ่นพี่ต่างส่งเสียงโห่ฮาข่มขู่รุ่นน้องเป็นระยะๆ กับสารพัดเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาจงใจหาเรื่องมาว้ากใส่รุ่นน้องใหม่ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน บรรดารุ่นพี่ชายบางคนแอบหัวเราะสะใจเล็กๆ ที่เห็นน้องใหม่ทั้งสองนอนหมอบอยู่ ‘ช่วยไม่ได้ พวกมึงหล่อเกินหน้าพวกกูนี่ ฮ่าๆ’
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
{{เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นลุกขึ้นมาได้แล้ว}}
เหมือนระฆังช่วยชีวิต ทั้งสองต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นหลังจากนอนหมอบกลางแดดบนพื้นปูนร้อนๆ นานเกือบครึ่งชั่วโมง กับสภาพที่เกรียมกรมไปด้วยรอยเลอะต่างๆ กับบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มแขนทั้งสองข้าง และเมื่อเพื่อนๆ ได้เห็นสภาพดังนั้น ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นเข้าไปรุมล้อมทั้งสอง โดยเฉพาะสาวๆ ที่เตรียมทั้งผ้าเช็ดหน้าและยาดมเข้าไปดูแลทั้งสองอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของรุ่นพี่แม้แต่คนเดียว จนเกิดความโกลาหลขึ้นมาเล็กๆ
“เอาน่าเพื่อนๆ เราไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากนั้นทั้งสองเข้ามานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทำกิจกรรมรับน้องต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่บรรดาเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างคนต่างไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองถูกรุ่นพี่รังแกหนักอยู่ตลอดเวลา
ตกเย็น
“เฮ้อ กว่าจะจบ แม่งล่อกูไปเยอะเลยว่ะ”
โบ๊ทหันไปเอ่ยปรับทุกข์กับบอยที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เสื้อนักศึกษาสีขาวใหม่เอี่ยมที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นเสื้อสีตุ่นๆ กางเกงสแลคส์สีดำเลอะไปด้วยโคลนเต็มไปหมด รองเท้าคัทชูสีดำที่ตอนนี้เลอะเทอะจนไม่เหลือความใหม่ให้เห็น
“นั่นสิวะ เฮ้ย กูกับมึงทำอะไรผิดเปล่าวะ รุ่นพี่ถึงเล่นขนาดนี้”
“ก็เพราะว่าพวกนายสองคนหล่อมากจนรุ่นพี่เขาอิจฉาน่ะสิ
“???”
………………………………………………………………………
ทั้งสองต่างพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เพิ่งเอ่ยคำตอบไปเมื่อสักครู่นี้ และภาพที่ทั้งสองเห็นก็คือ หญิงสาวร่างสูงโปร่งสมส่วน กับใบหน้าสวยหวานที่กำลังส่งยิ้มมาให้พวกเขาทั้งสอง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะนายโบ๊ท นายบอย เค้าชื่อฐิสานะ เรียกฐิก็ได้จ้า”
((แหะๆ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ))
หญิงสาวค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับเอื้อมมือมาปัดๆ ให้กับคนตัวใหญ่กว่าทั้งสองอย่างไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย
“ว่าแต่ฐิมาจากไหนเหรอ”
“อ๋อ เค้ามาจากบดินทร์ 1 อ่ะ ทำไมเหรอ”
“แหะๆ เปล่าหรอก แค่ถามดู”
“อืม แล้วพวกนายเล่นอะไรกันบ้างเหรอ นายโบ๊ท นายบอย”
“อ๋อ เราเล่นกีตาร์น่ะ”
“กลอง ว่าแต่ฐิล่ะ เล่นอะไรเรอะ”
“เค้าเล่นเบสอ่ะ”
ทั้งสองหนุ่มต่างหันมามองหน้าพร้อมๆ กัน ต่างคนต่างส่งสายตาให้กันอย่างรู้ใจ ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมจนทำให้หญิงสาวถึงกับชักสีหน้างง แววตาคู่สวยทอดมองไปยังทั้งคู่สลับกันไปมา พลันเหลือบเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักได้รูปของทั้งคู่
“พวกนายคิดอะไรกันอยู่เหรอ”
โบ๊ทและบอยถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนที่คนตัวสูงกว่าคนอื่นๆ จะหันมาตอบทั้งๆ ที่กลั้วหัวเราะอยู่
“ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกเราคิดว่าจะทำวงเล่นๆ กันที่มหา’ลัยเฉยๆ น่ะ”
หญิงสาวยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจหลังจากได้ยินคำตอบจากคนตัวสูงกว่า แววตาคู่สวยทอดมองทั้งสองหนุ่มด้วยความรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย
“เอางี้สิ ฐิมาเล่นกับพวกเราไหมล่ะ พอดีพวกเราจะทำวงอีกแนวนึงน่ะ พอดีวงพวกเราเล่นพวกบลูส์ เซาธ์เทิร์นร็อกน่ะ แต่ที่เราคิดๆ กันอยู่ ก็อยากจะเล่นอะไรที่มันแตกต่างออกไปน่ะ”
โบ๊ทเริ่มเอ่ยปากชวนเพื่อนใหม่ให้มาเล่นด้วยกัน ด้วยว่าทั้งสองคิดอยากจะทำวงอีกวงขึ้นมาเป็นไซด์โปรเจ็กต์รองจากพาราเซตามอล และแล้ว ก็ได้สมาชิกร่วมโปรเจกต์ใหม่เป็นคนแรกเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากที่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาเดินทางกลับของทั้งสอง หลังจากที่ล่ำลาเพื่อนๆ กันหมดแล้ว ทั้งสองหนุ่มพาร่างสะบักสะบอมเลอะเทอะไปด้วยฝุ่นโคลนต่างๆ กลับไปยังรถแวนสีดำคันงามที่จอดอยู่ โดยหารู้ไม่ว่ารถเก๋ง Honda City สีน้ำตาลที่จอดอยู่ข้างๆ เป็นรถของมือเบสในโปรเจกต์ใหม่ของพวกเขานั่นเอง
“อ้าว เจอกันอีกแล้วนะ”
“อ้าว นี่รถของฐิเหรอ”
“ใช่จ้า”
ทั้งสามต่างพูดคุยทักทายแก้เขินเล็กน้อย ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างกลับขึ้นไปบนรถของตัวเอง และหลังจากนั้น เสียงสตาร์ทเครื่องดีเซลก็กู่ร้องคำรามขึ้น รถยนต์เชฟวี่สีดำที่ในครั้งนี้ขับโดยบอย ได้เคลื่อนตัวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยย่านอโศก มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านย่านปากเกร็ดท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำคืนและท้องถนนในกรุงเทพที่เต็มไปด้วยยวดยานพาหนะที่จอดติดขัดเป็นจำนวนมาก…
………………………………………………………………..
“แล้วเจอกันนะจ๊ะ”
หญิงสาวร่างบอบบางหันไปบอกลาเพื่อนใหม่ทุกคนก่อนจะเดินมายังลานจอดรถพร้อมกับเพิ่อนใหม่ที่ชื่อแอน จนกระทั่งมาถึงรถเก๋ง BMW สีดำที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
“นั่นรถของแก้มเหรอ”
เพื่อนสาวผมแดงเพลิงเอ่ยถามหญิงสาวร่างอรชรที่เพิ่งยิงรีโมตไปที่ตัวรถขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มกับแววตาที่ดูสดใสร่าเริงตลอดเวลาของเจ้าของรถ
“ขึ้นเลยแอน”
เสียงใสๆ เอ่ยเชิญชวนให้เพื่อนใหม่ขึ้นรถเก๋งคันงามด้วยกัน ขณะที่แอนได้แต่มองไปรอบๆ อย่างงงๆ กับความโอ่อ่าของรถยนต์คันหรูของเพื่อนสาว ขณะที่แก้มได้แต่นั่งมองไปแล้วอมยิ้มไปกับกิริยาท่าทางของเพื่อนใหม่ ที่ทำท่าทางราวกับว่าไม่เคยนั่งรถหรูมาก่อน และแล้ว เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดีเซลดังขึ้นด้วยนิ้วมือเล็กๆ สัมผัสเข้าที่ปุ่มสตาร์ทตรงคอนโซลกลาง ขณะที่นิ้วมือเล็กๆ อีกข้างกดแป้นชิฟท์เกียร์เคลื่อนรถออกจากที่จอดในระยะเวลาอันรวดเร็ว
“อิจฉาแก้มจังเลยนะ ได้ขับรถดีๆ แบบนี้”
“ไม่หรอก มันไม่ใช่เงินของเค้าหรอก เงินของพ่อเค้าทั้งนั้นเลย ทั้งดาวน์ทั้งผ่อนให้ ค่าประกันพ่อเค้าก็จ่ายให้ เค้าแค่จ่ายค่าน้ำมันอย่างเดียว”
แอนยังคงเพลิดเพลินไปกับการสำรวจฟีเจอร์ต่างๆ ภายในรถของเพื่อนสาว ขณะที่แก้มขับรถไปยิ้มไปอย่างเพลิดเพลิน กับเสียงเพลงซึ่งเป็นผลงานของสาวเจ้าดังคลอเบาๆ บนเครื่องเสียงภายในรถ และยิ่งมีแสงไฟ LED หลากสีภายในรถที่เปลี่ยนไปตามจังหวะเพลง ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศในรถยิ่งอลังการมากขึ้นกว่าเดิม ท่ามกลางการจราจรอันติดขัดตลอดเส้นทางกลับบ้าน
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้น้าแก้ม”
“จ้าๆ เจอกันน้า”
หลังจากส่งเพื่อนเสร็จ สาวเจ้าก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเองทันที แต่เมื่อต้องมาเจอกับสภาวะการจราจรติดขัด ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างช้าลงไปอีกเท่าตัว
“หืม… รถติดจังเลยน้า ว่าแต่นายโบ๊ทเถอะ ป่านนี้จะถึงไหนแล้วนะ”
นิ้วมือเล็กๆ เคาะพวงมาลัยไป แววตาคู่สวยยังคงจับจ้องมองทางข้างหน้า แต่ในใจกลับนึกเป็นห่วงแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เท้าขวายังคงแตะเบรกสลับกับคันเร่งเป็นระยะๆ ท่ามกลางท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงๆ …
รถเก๋งคันงามของสาวเจ้ามาถึงบริเวณบ้านในเวลาเฉียดๆ สองทุ่ม ขณะที่ในตัวบ้านมีเพียงแต่รถยนต์ของผู้เป็นพ่อจอดอยู่ สาวเจ้าจึงตัดสินใจจอดรถข้างนอกบ้าน
หลังจากดับเครื่องและล็อกรถเสร็จ หญิงสาวกลับเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของแฟนหนุ่มที่อยู่ละแวกใกล้ๆ กัน แต่แล้ว…
“หา… ยังไม่กลับมาเหรอ”
สาวเจ้าบ่นพึมพำเบาๆ เมิ่อยังไม่เห็นรถยนต์ของแฟนหนุ่ม และภายในบ้านยังคงเงียบสงบอยู่ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังบ้านของตัวเองในเวลาต่อมาด้วยอาการผิดหวังเล็กๆ และสีหน้ามู่ทู่ของหญิงสายยังคงปรากฏขึ้นตลอดเวลาระหว่างเดินกลับบ้าน
“กลับมาแล้วค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยปากขึ้นหลังจากก้าวเข้าไปในตัวบ้านอันเงียบสงบที่มีเพียงแต่ผู้เป็นพ่อนั่งดูทีวีอยู่คนเดียว
“กลับมาแล้วเหรอลูก กินข้าวมายังล่ะ”
“ยังเลยค่ะพ่อ เดี๋ยวหนูขึ้นไปก่อนนะคะ”
ไม่ทันที่สาวเจ้าจะขึ้นไปข้างบน เสียงแตรรถดังแว่วมาจากหน้าบ้าน พร้อมๆ กับเสียงเรียกจากผู้เป็นพ่อ
“แก้ม ไปดูหน่อยลูกใครมา”
สาวเจ้ารีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้น และเมื่อยิ่งได้เห็นรถของคนที่คิดถึงจอดอยู่ตรงหน้า ก็ยิ่งทำให้สาวเจ้ารีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อผู้มาเยือนเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว ทำให้สาวเจ้าถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพของคนตัวใหญ่กว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ตายแล้ว!!”
……………………………………………………………………….
แก้มถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นสภาพของผู้มาเยือน แววตาคู่สวยกวาดสายตาไปทั่วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มไปหมดทั้งตัว แม้แต่ใบหน้าอันหล่อเหลายังมีร่องรอยเลอะถึงแม้จะล้างหน้าไปบ้างแล้วก็ตาม
“รับน้องน่ะตัว”
“หูย หนักจังเลยอ่ะตัวเอง มาๆ เข้าบ้านก่อน”
สาวเจ้ากุลีลุจอชวนให้ผู้มาเยือนเข้ามาในบ้าน พร้อมกับประคองคนตัวใหญ่กว่าให้เข้ามาในตัวบ้านด้วยกัน ทางด้านผู้มาเยือนยกมือไหว้ทักทายว่าที่พ่อตา แต่เมื่อชายวัยห้าสิบเศษเหลือบมาเห็นเข้า ก็ต้องตกใจที่ได้เห็นสภาพของว่าที่ลูกเขย
“อ้าวโบ๊ทไปโดนอะไรมาเหรอลูก”
“พอดีวันนี้รับน้องมาน่ะครับลุงแอ๊ด”
ผู้มาเยือนเอ่ยตอบพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา ขณะที่ลูกสาวคนเล็กของบ้านเดินถือกะละมังเล็กๆ กับผ้าชุบน้ำเข้ามาหา ก่อนที่จะค่อยๆ เช็ดเนื้อเช็ดตัวแฟนหนุ่มอย่างช้าๆ
“ดูสิ เขียวไปหมดเลยอ่ะ ถามจริงเหอะตัวเอง รับน้องหรือฝึกทหารกันแน่เนี่ย”
“ไม่ให้เขียวช้ำได้ไงล่ะ ทั้งหมอบ กลิ้ง คลาน เกือบทั้งวันน่ะ”
ดวงตากลมโตลุกวาวขึ้นเมื่อแฟนหนุ่มเล่าจบ ประกอบกับได้เห็นสภาพของคนที่อยู่ตรงหน้าที่ในตอนนี้ตามแขนมีรอยเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด บางแห่งมีรอยแผลถลอก ยิ่งรู้สึกสงสารแฟนหนุ่มขึ้นมาจับใจ ต่อจากนั้นแก้มหันไปค้นๆ ที่กล่องยา ก่อนหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลส่วนหนึ่งออกมาปิดแผลถลอกบนแขนของชายหนุ่ม
โบ๊ทนั่งนิ่งๆ ให้คนตัวเล็กกว่าทำแผลและเช็ดเนื้อตัวให้ พลางทอดมองลงมาด้วยความเอ็นดู และยิ่งได้เห็นสีหน้าเป็นกังวลของแฟนสาว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกวาบหวิวขึ้นมาในใจ ด้วยไม่อยากให้แฟนสาวคิดมากกับเรื่องนี้ แต่ขณะเดียวกัน เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในยามที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อว่า “แก้ม” อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา
“อืม แล้วนี่ตัวเองต้องเจออะไรแบบนี้อีกนานไหมเนี่ย”
“เฮ้อ…” โบ๊ทถอนหายใจยาว “ไม่รู้สิตัว อีกสี่วันก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก ไม่พอนะ ระหว่างเทอมแรกรุ่นพี่ยังมีสั่งซ่อมรุ่นน้องได้ตลอดตามใจเขาต้องการอีก ดีนะมันไม่เล่นมือเล่นขา ไม่งั้นเล่นดนตรีไม่ได้ ซวยอีก”
น้ำเสียงอันแผ่วเบาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้แก้มรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ มือเรียวเล็กค่อยๆ เอื้อมไปกุมมือหนาของคนตัวใหญ่กว่า แววตากลมโตคู่สวยเงยขึ้นสบตาคมกริบของชายหนุ่ม ความรู้สึกของคนทั้งคู่ถูกส่งออกมาผ่านสายตาที่ส่งให้กัน ไออุ่นจากทั้งสองแผ่ซ่านส่งถึงกันและกันอยู่ตลอดจนกระทั่ง…
“ไอ้โบ๊ท มาไม่บอกกันเลยนะมึง”
เสียงทุ้มใหญ่อบอุ่นดังแว่วขึ้นมา ทำเอาทั้งสองต่างหันมามองหาเจ้าของเสียงพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรเดินเข้ามาพร้อมกับถือกล่องกีตาร์ติดตัวมาด้วย และผู้มาเยือนไม่รอช้าที่จะยกมือไหว้คนที่เข้ามาใหม่ทันที
“สวัสดีครับพี่โอ๊ค”
“โอ้โห น้องชาย นี่มึงไปรับน้องหรือมึงไปฝึกทหารมาวะเนี่ย”
โอ๊คร้องอุทานขึ้นมาเมื่อได้เห็นสภาพของว่าที่น้องเขย ก่อนจะรีบเข้ามาจับตามร่างกายของว่าที่น้องเขยที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและพลาสเตอร์ปิดแผลด้วยท่าทางเป็นห่วง และหลังจากที่โบ๊ทเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ว่าที่พี่เขยฟังหมดแล้ว…
“ปั๊ดโธ่ไอ้โบ๊ท ถ้ามึงมาสมัครที่กูนะ กูจะช่วยมึงกับไอ้บอยไม่ให้รุ่นพี่เอาเรื่องพวกมึงหรอก”
“เอาน่าพี่ ผมกับไอ้บอยสอบติดที่นั่นแล้ว ก็ทนได้พี่ ผมขี้เกียจซิ่วว่ะ”
“เออๆ ก็แล้วแต่มึงละกัน ฮื้ม มันเป็นวิทยาลัยดนตรีหรือค่ายทหารกันแน่วะ”
โอ๊คว่าพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนจะพาร่างใหญ่ขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ส่วนแก้มยังคงนั่งอยู่เป็นเพื่อนแฟนหนุ่มรอเวลาอาหารเย็น ที่ผู้เป็นพ่อกำลังปรุงอยู่หลังครัว และแล้ว ก็เป็นเวลาอาหารเย็น และแขกผู้มาเยือนอย่างโบ๊ทก็ไม่พลาดที่จะอยู่ร่วมอาหารมื้อเย็นกับว่าที่พ่อตา ว่าที่ลูกเขย และแฟนสาวด้วย กับบรรยากาศอันอบอุ่นในแบบครอบครัว
“ตามสบายเลยนะลูก คิดว่าอยู่บ้านละกัน”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ