คฤหาสน์เร้นรัก [[My Mansion Of Love]]
-
เขียนโดย Murasaki
วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.27 น.
8 chapter
3 วิจารณ์
11.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 19.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ฺBad Day
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แต่ข้าไม่ได้ตาบอดเลยหาพวกเจ้าเจอ จริงไหม?” เสียงทุ้มเย็นดังมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนที่กำลังยืนคุยกัน ทำให้พวกเขาหันหลังกลับไปมองแล้วเห็นงูขนาดใหญ่มี 8 หัวกำลังแลบลิ้นแยกเขี้ยวและพร้อมดวงตาวาวนั้นกำลังจ้องมองมายังเหยื่อที่หลงเข้ามาที่นี่
“เฮ้ย! เอาไงดีว่ะเอคิว มันบอกว่าตาไม่ได้บอด แล้วพ่อมึงจะช่วยได้ไหมเนี่ย!”
“พ่อกูไม่ใช่นักล่าปีศาจนะโว้ย!” เอคิวพูดกับน้ำเย็นอย่างหัวเสีย
“ข้าจะใจดีให้พวกเจ้าเถียงกันก่อนตาย 3 นาที “ งูยักษ์แปดหัวกล่าวขึ้นราวกับขบขันแล้วเลื้อยเข้ามาใกล้ๆเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอคิวก็ตัดสินใจบอกลูกพี่ลูกน้องว่าให้วิ่งหนี ทำให้พวกเขาต้องแยกกันไปคนละทางในสวนวงกตโดยมีงูยักษ์แปดหัวไล่ล่า
“แฮ่กๆๆ” เอคิวที่นั่งพักจากการวิ่งมาตลอดทาง ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและพยายามสูดอากาศเข้าปอด เขาแน่ใจแล้วว่างูตัวนั้นไม่ได้ตามเขามา แต่เขาก็ยังนั่งระแวงไปด้วยในสิ่งไม่น่าเชื่อที่เขาเพิ่งเจอ ในระหว่างที่พักเหนื่อยอยู่นั้นเขาก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าตอนนี้ 4 ทุ่มแล้ว เฮ้อ! ทำไมพ่อต้องเขามาในนี้ด้วยนะ แล้วทำไมถึงมีปีศาจอยู่ที่นี่กัน? เอคิวที่กำลังนั่งคิดอยู่คนเดียวโดยไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทางที่เขานั่งพักอยู่
แซ่ก...แซ่ก
พรึ่บ! ไฟฉายส่องมายังใบหน้าของเอคิวจนทำให้เขาต้องหยีตาเพื่อมองคนมาใหม่ เอคิวที่คิดว่าคนที่ถือไฟฉายนั้นอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ระหว่างที่คนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้จนมาหยุดอยู่ตรงหน้า เอคิวก็ได้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าได้รูปที่ประดับไปด้วยดวงตาสีทอง คิ้วเข้ม และริมฝีปากหนาที่ยกยิ้มขึ้นเมื่อสบตากับเขา
“หายเหนื่อยหรือยัง?” เสียงนุ่มทุ้มดูอบอุ่นเอ่ยถามร่างบางที่นั่งจ้องมองเขาไม่หลบสายตา
“อะ..เอ่อ..คะ..คุณเป็นใคร?” เอคิวถามชายแปลกหน้าอย่างเกรงกลัวว่าจะเป็นปีศาจมาหลอกเขาอีก
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก จะมาด้วยกันไหม?” ชายแปลกหน้าไม่ยอมตอบแต่ชักชวนให้เอคิวไปด้วยกันจนร่างบางต้องขมวดคิ้วและกำลังคิดว่าจะไปกับคนแปลกหน้าดีหรือไม่? ระหว่างที่เขากำลังนั่งตัดสินใจอยู่นั้นก็มีเสียงตะโกนปนหอบดังขัดความคิดของเขา
“ไอ้คิว ถอยออกมา!” น้ำเย็นที่เจอเอคิวกำลังคุยกับคนแปลกหน้าก็รีบตะโกนเรียกให้ถอยห่างออกมา
“อะ..อะไรว่ะ? ถอยไปไหน?”
“ไอ้นั่นไม่ใช่คนโว้ย! ถอยออกมาสิว่ะ” น้ำเย็นที่เริ่มจะโมโหในความซื่อบื้อของเอคิว
“อะไรของมึง? ก็เขาเป็นคนนะ..นี่...ว๊าก!” เอคิวที่พูดแล้วหันไปมองคนแปลกหน้าอีกรอบแล้วก็ต้องร้องตกใจที่คนตรงหน้ากลายร่างเป็นคนโปนมีเขี้ยวงอกยาวและกรงเล็บแหลมที่กำลังมุ่งมาที่เอคิว ทำให้เขารีบวิ่งหนีไปทางน้ำเย็นโดยไม่ต้องคิดแล้วทั้งคู่ก็พากันออกวิ่งจนคิดว่าพ้นปีศาจตนนั้นแล้วก็เริ่มถกเถียงกัน
“ไงล่ะมึง คนของมึงนี่หน้าตาเทพบุตรเลยว่ะ” น้ำเย็นพูดประชดประชันใส่เอคิวอย่างหมั่นใส้
“ไอ้สัส ใครจะไปรู้ว่ะก็ตอนคุยมันเป็นคนนี่หว่า!”
“เอ้า! นี่มึงโดนภาพลวงตาหรือเปล่าว่ะ? กูเห็นอยู่ว่าไม่ใช่คนตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็กูบอกว่ากูเห็นเป็นคนไง ไอ้น้ำเน่า!” เอคิวที่มั่นใจว่าผู้ชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั่นเป็นคน แต่ทำไมถึงกลายเป็นปีศาจไปได้ในชั่วพริบตาเมื่อน้ำเย็นทักก่อนจะพาเขาวิ่งหนีออกมา ระหว่างที่ทั้งสองคนก็กำลังเดินซอกแซกไปเรื่อยตามทางในสวนวงกตโดยที่หลงลืมบางอย่างไปแล้วนั้นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยที่พวกเขาวิ่งหนีกันมาหลายชั่วโมงแต่ไม่เจอทางออกจนทำให้น้ำเย็นที่รู้สึกว่าพวกเขากำลังเดินวนเลยรีบเรียกเอคิวให้หยุดเดินก่อนที่จะหลงทางไปมากกว่านี้
“กูว่าเราหลงว่ะ” น้ำเย็นบอกเอคิวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดที่ออกไปจากที่นี่ไม่ได้
“ไอ้น้ำ ตากูไม่ได้บอดนะ ก็ตรงนี้คือตรงที่กูนั่งพักอ่ะ”
“ฉิบหาย! เวรล่ะสิ แล้วมึงมาทำเชี้ยอะไรทางนี้ว่ะเนี่ย! ไอ้คิว”
“โห่! มึงบ้างเหอะ...ไอ้นี่แม่งเดินนำแล้วมาโทษคนเดินตาม”
“เอ้า! ก็กูไม่ใช่คนสร้างทางก็เดินมัวมาเรื่อยสิว่ะ หรือมึงรู้ก็บอกมาดิ”
“ไอ้ควายไร้ความรับผิดชอบ งั้นคราวนี้ตากูนำบ้าง ไปทางนั้นเลยเจอทางออกชัวร์”
แล้วทั้งสองคนก็เลือกเดินไปตรงทางที่อยู่ตรงข้ามกับทางที่พวกเขาเคยเดินเพียงไม่นานก็มองเห็นแสงไฟสลัวส่องมาทางที่ปลายทางออกด้วยความดีใจที่เจอแสงสว่างเอคิวและน้ำเย็นก็รีบเดินไปตรงปลายทางนั้นแล้วต้องตะลึงกับภาพตรงหน้า มันไม่ใช่ทางออกไปบ้านคุณปู่ แต่มันกลับกลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่สร้างขึ้นตามสไตล์ยุโรปอย่างสวยงามที่มีประตูรั้วเหล็กดัดเป็นรูปร่างอสูรกายสวยงามและตรงกลางมีตราสัญลักษณ์เป็นอักษรภาษาอังกฤษตัว H อยู่ตรงกลางรอยต่อของประตูรั้วนั้น แสงไฟที่พวกเขาเห็นมันมาจากคฤหาสน์หลังนี้ที่พวกเขาเกรงว่าจะมีคนอยู่ในนี้จริงหรือเปล่า? เพราะที่นี่ดันตั้งอยู่ลึกสุดทางของสวนวงกตที่พวกเขาเดินหลงเข้ามา
“เฮ้ย! มึงว่าจะมีคนอยู่หรือเปล่าว่ะ”น้ำเย็นถามด้วยความตื่นเต้นแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ที่มีคฤหาสน์มาตั้งท่ามกลางสวนวงกตที่เต็มไปด้วยปีศาจ เจ้าของบ้านมันต้องบ้าแน่ๆ
“มึงไม่ได้มากับกูใช่ป่ะ? ถามอะไรปัญญาอ่อน”
“ความเห็นน่ะ มึงรู้จักไหม? ด่าแต่กูตลอดเดี๋ยวปล่อยทิ้งตรงนี้เลย”
“อ้าว! มึงทิ้งกูแล้วจะไปไหน?”
“ไปในที่ๆไม่ต้องเห็นหนังหน้ามึงไง ไอ้ควาย!”
แก๊ก เคร๊ง แอ๊ด...
เสียงคนไขกุญแจของประตูรั้วที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดอ้าแล้วปรากฎร่างของหญิงวัยกลางคนสวมชุดแม่บ้านกำลังจ้องมองคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ในแสงไฟสลัว
“พวกคุณเป็นใคร?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงดุ
“อะ...เอ่อ! พวก..พวกผมหลงเข้ามาที่นี่ มะ..ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นของ...” น้ำเย็นที่ตอบหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนจ้องเขม็งตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“ออกไปจากที่นี่ซะ! พวกคุณไม่ควรอยู่ที่นี่” และแล้วแม่บ้านวัยกลางคนก็รีบออกปากไล่ทันทีและทำท่าจะปิดประตูใส่พวกเขา
“เดี๋ยวก่อน! ผมขอร้อง..ช่วยให้ที่พักพวกผมสักคืนได้ไหมครับ? พวกผมออกไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆ” เอคิวที่ยืนฟังเงียบๆรีบพูดแกมขอร้องให้คนตรงหน้าสงสารพวกเขาที่วิ่งหนีมาทั้งคืนอย่างเหน็ดเหนื่อย
"หึ!มันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่แค่คืนเดียวเท่านั้นนะ” แม่บ้านยอมใจอ่อนและเปิดประตูให้กับคนแปลกหน้า แต่ทันทีที่เอคิวและน้ำเย็นก้าวเข้ามาในเขตของคฤหาสน์ที่มีแสงไฟมากกว่าข้างนอกนั้นกำลังส่องแสงให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนก็ทำให้แม่บ้านตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งคู่ที่กำลังมองเธอด้วยความงงงวยอยู่เช่นกัน
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพวกเรา” เอคิวเอ่ยขอบคุณกับคนอายุมากกว่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“มะ..ไม่เป็นไร...เชิญทางนี้”แม่บ้านตอบเสียงเรียบแล้วเดินนำทั้งคู่เข้าไปในตัวคฤหาสน์โดยที่เอคิวและน้ำเย็นไม่รู้เลยว่าดวงตาของแม่บ้านเปลี่ยนเป็นสีแดงวาวโรจน์และกำลังแสยะยิ้มอยู่ข้างหน้าพวกเขา ในที่สุดเจ้าก็มาที่นี่จนได้!!
Part:วานิช
“แฮ่กๆๆ อะ..อีกไกลไหมเนี่ย! โคตรเหนื่อยเลย แล้วจะตามอะไรกูนักหนาว่ะ! ไอ้งูมากหัวนี่”
วานิชบ่นพึมพำปนหายใจหอบ เขาวิ่งหนีเจ้างูยักษ์แปดหัวไปทั่วสวนวงกตจนวิ่งมั่วไปตามทางโดยที่เขาไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนก็เจอแต่เจ้างูปีศาจนั่นเลื้อยตามเขามาไม่หยุดราวกับอ่านใจได้จนเขาเหนื่อยแทบอยากจะเป็นลมซะให้ได้ ระหว่างที่วานิชตัดสินใจนั่งพักตรงดงดอกกุหลาบหลากหลายสีและสายลมที่พัดเอื่อยนั้นพอที่จะทำให้เขารู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายเมื่อได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบโชยมาทางที่เขานั่งพักอยู่ใกล้ๆระหว่างที่เขาเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นของดอกไม้อยู่นั้น
“นายเข้ามาขโมยกุหลาบใช่ไหม?”
“เฮ้ย! ปีศาจผมหงอก” อยู่ๆก็มีชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีขาวยาวสะท้อนแสงจันทร์ ริมฝีปากบางและดวงตาคมกริบนั้นกำลังนั่งยองๆแล้วจ้องหน้าของวานิชที่นั่งพักอยู่ใกล้กับดงดอกกุหลาบ
“ไม่ใช่ปีศาจ แล้วนายน่ะเป็นใคร?”
“อ่า..เอ่อ...ฉันหลงทางมา”วานิชอ้ำอึ้งเมื่อเห็นสายตากดดันของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาเป็นขโมย
“โกหกล่ะสิ” ชายหนุ่มพูดแล้วแสยะยิ้มใส่เหมือนไม่เชื่อที่วานิชพูด
“ไม่ได้โกหก ฉันหลงทางมาจริงๆ ฉะ..ฉันหนี..หนี หึย!จะบอกดีไหมว่ะ? เดี๋ยวมันจะหาว่ากูบ้าแน่เลย”วานิชรีบพูดสวนทันทีที่ได้ยินว่าคนตรงหน้ามาว่าเขาโกหกแล้วก็พึมพำกับตัวเองด้วยความชั่งใจว่าจะบอกดีไหมว่าเขาวิ่งหนีปีศาจมาทั้งคืน? ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังมองพิศใบหน้าคมเข้มที่กำลังขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดและริมฝีปากที่กำลังบ่นพึมพำอยู่คนเดียวก็ต้องลอบยิ้มอย่างพึงพอใจจนเห็นเขี้ยวเล็กตรงมุมปากนั้นโดยที่วานิชไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกคนตรงหน้าสำรวจตัวเองอย่างละเอียด
“หนีอะไรมาล่ะ?” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบจนวานิชหันมามองและยิ้มสวยจนแก้มบุ๋มใส่ชายหนุ่ม
“แหะๆ ไม่ต้องรู้หรอก แต่ขอพักที่นี่สักคืนได้ไหม?”
“ไม่ได้!” ชายหนุ่มตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“ทำไมล่ะ รังเกียจหรอ? งั้นนอนหน้าบ้านหรือห้องรับแขกก็ได้” วานิชพยายามพูดโน้มน้าวขอที่พักเผื่ออย่างน้อยเขาก็อุ่นใจที่อยู่แถวบ้านคนมากกว่าไปนอนกลางสวนแล้วเจอปีศาจ
“ไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า”
“โห่! คนอะไรหัวขาวแล้วยังใจดำอีก” วานิชบ่นทันทีที่คนตรงหน้าไม่ยอมให้เขาพักด้วยแม้แค่หน้าบ้านหรือห้องรับแขกที่เขาเสนอ
“นายมีปัญหากับหัวฉันมากหรอ?” ชายหนุ่มผมยาวคิ้วกระตุกด้วยความรู้สึกหมั่นใส้คนตรงหน้าที่มาว่าเรื่องสีผมของเขา
“เปล๊า...ผมนายสวยเงางามเหมือนใช้ริจอยส์เลย จริง จริ๊ง ว่าแต่นายชื่ออะไร?” วานิชทำหน้ายิ้มลอยหน้าลอยตาแล้วรีบพูดเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตาไร้อารมณ์ของชายหนุ่มเจ้าของดงกุหลาบ
“ไม่บอก”
“มนุษย์สัมพันธ์เท่ากับ 0 คะแนน”
“จะรู้ไปทำไม? รู้จักกันแค่คืนนี้ พรุ่งนี้ก็แยกย้าย” ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเมื่อยใส่วานิชที่ชอบแถไปเรื่อย
“งั้นฉันเรียกว่า....ไวท์....ล่ะกัน ขี้เกียจเรียกนายๆๆ"
“กล้าดีนี่มาตั้งชื่อให้คนเพิ่งเจอหน้าครั้งแรก ถ้าฉันชื่อ..ไวท์ งั้นนายก็ชื่อ..”
“ชื่ออะไร? ฉันชื่อ..วานิช ไม่ต้องมาตั้งให้โว้ย!”วานิชรีบบอกชื่อของตัวเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายมาตั้งชื่อให้
“ไม่ได้ถาม ฉันจะเรียกนายว่า..รัญชน์ ล่ะกัน”
“ได้ไงว่ะ...รัญชน์อะไร ไม่เอาโว้ย! ฉันชื่อ วานิช”
“ป่ะ..รัญชน์เข้าบ้านกันเถอะ” วานิชที่ยืนทำหน้าบูดบึ้งเถียงไม่ชนะคนดื้อด้านอย่าง”ไวท์”ที่ยังหน้าด้านเรียกเขาว่า “รัญชน์” ซะเฉยๆจนวานิชต้องเดินตามนายไวท์ไปด้วยความไม่พอใจ
“อ้าว! แล้วนายจะไปไหนอ่ะ? นี่มันห้องรับแขกไม่ใช่หรอ?” วานิชที่ก้าวเข้ามาในบ้านขนาดกลางทำด้วยไม้ขัดเงาที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และผ้าม่านลูกไม้สีขาวที่พริ้วไหวตามสายลมยามค่ำคืนนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ แต่พอกำลังจะเดินผ่านห้องกว้างที่มีชุดโต๊ะรับแขกที่ไวท์พาเดินผ่านไปก็อดสงสัยไม่ได้ที่คนตัวใหญ่จะพาไปไหน? ในเมื่อวานิชบอกว่านอนห้องรับแขกได้
“ใครบอกว่าให้นายนอนที่นี่?”
“ก็นายบอกว่า...ไม่ชอบคนแปลกหน้า"
“คนแปลกหน้าที่ไหน? เรารู้จักกันแล้วนี่”
“หือ! อะไรของนายว่ะ? ก็ไม่ได้รู้จักสนิทกันซะหน่อย ถ้านายอึดอัดด็อย่าเลย”
“รัญชน์?”
“อะ..อะไร?”
“เห็นไหม? ฉันรู้ชื่อนายด้วย สนิทกันแล้วนะ งั้นจบ!” วานิชหน้าเหวอเมื่อได้ยินคนเผด็จการสรุปให้เสร็จ
โดยที่เขาไม่ได้โต้แย้งสักคำ
“โว๊ะ! ถ้าแกจะมั่วอย่างนี้นะ จะพาไปตายที่ไหนก็ไปเลย..ไอ้บ้าไวท์” เมื่อทำอะไรไม่ได้วานิชก็ได้แต่โวยวายใส่คนที่เดินนำหน้าอย่างหัวเสียพลางแค่คิดในใจว่าอยากกระชากหัวขาวๆนั่นมาเตะจริงๆ
“ถ้านายจะเตะฉันคงต้องรอไปอีกร้อยปีล่ะมั้ง” ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดบ้าน จู่ๆคนข้างหน้าก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาจนวานิชที่เดินตามหลังได้ยินไม่ชัด
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?”
“หูพิการก็เงียบไปเถอะ!”
“อ้าว! โดนด่าซะงั้น” วานิชทำหน้างงๆกับคนตรงหน้าที่พูดไม่เข้าใจ ไวท์พาวานิชมาที่ชั้น 2 ของบ้านแล้วตรงไปที่ประตูไม้ที่มีป้ายตรงหน้าประตูเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า “Red Rose” แล้ว จากนั้นไวท์ก็เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่กลางห้องที่มีเตียงใหญ่ตั้งอยู่
“นอนได้ใช่ไหม?”
“ได้ๆ ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ นายก็ไปนอนเถอะ” วานิชตอบแล้วพลางส่งยิ้มให้กับเจ้าของบ้านที่ใจดีพามาส่งที่ห้อง
“อืม! นายไปอาบน้ำก่อนสิ ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” ไวท์ที่เดินไปหยิบเสื้อผ้าให้วานิชแล้วชี้ไปทางประตูไม้สีขาวที่บอกว่าเป็นห้องน้ำ วานิชได้แต่พยักหน้าเข้าใจแล้วกำลังจะเดินไปทางห้องน้ำก็ต้องหันมามองไวท์ที่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับห้องของตัวเองมัวแต่ยืนที่เดิมไม่ไปไหนจนอดถามไม่ได้ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วจนตัวเขาเองก็เพลียอยากจะนอนเหมือนกัน
“อ้าว! นายไปนอนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำนอนแล้ว ไม่รบกวนแล้วล่ะ”
“..........” ไวท์ไม่ตอบได้แต่ยืนจ้องหน้าร่างบางจนวานิชรู้สึกตะหงิดๆว่าไอ้หมอนี่จะมาไม้ไหนกับเขากันแน่
“ไม่นอนจริงๆหรอ? แล้วมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า?”
“..........” ความเงียบคือสิ่งที่วานิชได้กลับมาและสายตาของไวท์ที่มองมาเท่านั้น
“โว๊ย! ไอ้บ้านี่ จะเอายังไงก็ว่ามา ยืนจ้องหน้าคนอื่นอยู่ได้”
“อย่าออกไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต กลางคืนมันอันตราย” ไวท์ที่พูดเสียงเรียบใส่วานิชก็เดินหันหลังแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป ท่ามกลางความงุนงงของวานิชที่ไวท์ดูท่าจะผีเข้าผีออก เดี๋ยวพูดคนเดียว เดี๋ยวเงียบ เดี๋ยวยืนจ้อง
“อะไรของเขา? กูหลงมาในดินแดนมหัศจรรย์หรือเปล่าว่ะ! มีแต่ปีศาจกับคนบ้า เฮ้อ!” วานิชที่พึมพำกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้
แอ๊ด!
หือ? วานิชที่กำลังเอาผ้าขนหนูเช็ดผมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องตาโตที่เห็นเจ้าของบ้านออกไปแล้วแต่มายืนพิงหน้าต่างแหงนหน้ามองดวงจันทร์ในห้องนี้
“คืนนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” ไวท์พูดลอยลมออกมาจนวานิชขมวดคิ้วด้วยความงงและคิดว่าทำไมไอ้บ้านี่มาชมจันทร์ในห้องนี้
“ฉันจะยืนอยู่ห้องไหนมันก็เรื่องของฉัน” ไวท์พูดเสียงดังฟังชัดเจนแล้วหันหน้ามามองวานิชที่กำลังอ้าปากหวอที่อยู่ดีๆไวท์ก็มาวีนใส่เหมือนเขาไปนินทาอย่างนั้นแหละ...เอ๊ะ! นินทา...หือ! นินทาในใจ?
“เชี้ย!” วานิชเบิ่งตาโพลงอย่างตกใจที่นึกออกว่าเขานินทาไวท์เรื่องที่มาชมจันทร์ห้องนี้ในใจนี่หว่า!
“หึ! รู้ซะที ชอบแอบด่าฉันนักนี่” ไวท์ที่แกล้งส่งยิ้มอบอุ่นให้วานิชราวกับยื่นแอปเปิลอาบยาพิษก็ทำให้วานิชรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่เจอคนอ่านใจได้อย่างไวท์ วานิชจึงพยายามเดินเลี่ยงไปทางเตียงแล้วมองไวท์อย่างหวาดกลัว
"ดะ...ดีจังที่อ่านใจคนได้เนอะ" เอ๊ะ!หมอนี่เป็นคนหรือปีศาจกันนะ วานิชพลางคิดในใจแล้วจ้องคนตรงหน้าเขม็งโดยหลงลืมไปว่าคนตรงหน้าสามารถล่วงรู้ความคิดนั้นได้
"ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก"
"นายเป็นใครกันแน่?" วานิชเริ่มกลัวคนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม
"ฉันเป็นปีศาจ"
"หือ!" เสียงหัวใจของวานิชแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า”อสูรกาย”ออกมาจากปากของคนตรงหน้า
"ไม่ใช่คน"
"อ๊าก!!" วานิชสติแตกกับคำพูดของไวท์ที่กล้าบอกเขาตรงๆว่าไม่ใช่มนุษย์พร้อมก้าวเท้าถอยหลังไปทางประตูห้องนอนเตรียมหนี
"นายจะไปไหน?"
"ระ..เรื่องของฉัน ขะ..ขอบคุณที่ให้ใช้ห้องน้ำนะ" วานิชพูดเสียงสั่นพลางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วไวท์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็หายไป
"หายไปไหนแล้ว? " วานิชหันซ้ายหันขวามองรอบห้องก่อนจะหันกลับไปมองที่หน้าต่างที่เคยมีคนร่างสูงยืนอยู่แล้วต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เจอใคร
"เฮ้อ!ไปซะได้ก็ดี หนีตอนนี้แหละ"
ระหว่างที่วานิชกำลังจะหันหลังวิ่งไปทางประตูห้อง ทันใดนั้นก็มีมือหนามาจำแขนของร่างบางไว้จนวานิชดึงออกไม่ได้ วานิชรู้ได้ทันทีว่าคนที่จับแขนของเขาจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก...
"นายกลัวมากหรอ?"
"ไม่กลัวมั้ง วิ่งหนีมาทั้งคืนนึกว่าพ้นยังมาเจออีก" วานิชหันไปพูดประชดประชันคนที่กำลังบีบแขนของเขาแน่นและพยายามสะบัดแขนออก แต่ก็ไม่สำเร็จ
"รัญชน์!!" ร่างสูงพูดเสียงดุดันเมื่อเห็นความดื้อรั้นของคนตรงหน้านั้นยากจะฟังคำอธิบาย
"......." วานิชยังคงจ้องหน้าไวท์และพยายามแกะมือตุ๊กแกที่ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยนั้น
"หึ! ฉันไม่ทำร้ายมนุษย์หรอก"
"ปล่อยมือสิโว้ย! ไอ้ปีศาจบ้ากามลวนลามมนุษย์"
"คิดหรอว่าฉันจะปล่อยให้นายออกไปน่ะ"
"ดี! ไม่ปล่อยใช่ไหม? งั้นกูจะ.." ง้ำ! วานิชก้มลงไปกัดมือของไวท์ที่ดื้อดานไม่ยอมปล่อย แต่ไวท์ก็ยังคงเฉยราวกับไร้ความรู้สึกและพลางทำหน้าเหนื่อยใจกับเด็กดื้อ
"มือฉันอร่อยไหม? ทีนี้นายจะเข้าบ้านดีๆหรือต้องให้ฉันลาก" ไวท์เริ่มหมดความอดทนกับคนตรงหน้าที่กัดเขาแล้วยังคงดิ้นกระชากแขนของตนสุดแรง
"ฮือๆ พ่อครับ...แม่ครับ ผมลาล่ะนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงผมจะเกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่นะครับ ฮึกๆ" อยู่ๆวานิชก็ร้องห่มร้องไห้แล้วทรุดตัวไปนั่งกับพื้นราวกับจะลาตายจนไวท์ตกใจทำหน้าเหวอแล้วเผลอปล่อยมือจากแขนเล็กนั้น
"นะ..นายเป็นอะไร? นายเจ็บตรงไหนหรอ? " ไวท์ถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นวานิชร้องไห้
“หึๆฮ่าๆ” จู่ๆวานิชก็หัวเราะแล้วรีบลุกพรวดวิ่งไปตรงทางเข้าใกล้ดงดอกกุหลาบ แต่แล้วเถาวัลย์กุหลาบที่มีหนามแหลมคมก็เลื้อยมาพันข้อเท้าของวานิช
"เฮ้ย!อะไรอีกว่ะ ปล่อยเซ่"
"หึ! มนุษย์นี่ช่างอวดดี ชอบให้ซาดิสต์อยู่เรื่อยเลยนะ" ไวท์ย่างสามขุมเข้ามาหาวานิชที่ตาเบิ่งโพลงหน้าตาตื่นและดิ้นรนพยายามดึงทึ้งเถาวัลย์หนามที่พันรอบข้อเท้าแน่นจนเลือดซึมออกมาตามมือและข้อเท้า
"เฮือก!" เมื่อไวท์เดินเข้ามาใกล้วานิช ทำให้แสงจันทร์สาดส่องมาที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าและแล้วดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด เขี้ยวขาวยาวงอกออกมาจากริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มเย็น กรงเล็บสีดำงอกยาวจนน่าหวาดเสียว และเขาสีดำเหมือนแพะงอกออกมาจากศีรษะพร้อมกับมีพวงหางของสุนัขงอกออกมาจากด้านหลัง
"ข้ามีนามว่า ไซรัส..ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง วานิช" ไวท์ หรือ ก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆวานิชที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัว
"นะ...นายปะ..เป็น"
“หึ! ฉันคือเซอร์เบอรัส เป็นผู้รับใช้ของฮาเดสและมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้าหรือจะเรียกว่าสุนัขเฝ้านรกก็ไม่ผิดนักหรอก”
"จับกูไว้ทำไม?ต้องการอะไร? ห๊า!" วานิชตะโกนใส่กลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นรัวด้วยความตื่นกลัว
"ฉันต้องการนาย" ไวท์ในร่างของไซรัสแสยะยิ้มแล้วพูดเสียงเย็นราวกับเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องปกติ ดวงตาวาววับจ้องมองมาที่วานิชไม่ละสายตาแม้แต่เสี้ยววินาที
"เฮ้ย!" วานิชที่เบิ่งตาโตและร้องขึ้นด้วยความตกใจกับสิ่งที่ไวท์ต้องการจากเขา
Part:เอคิว & น้ำเย็น
ระหว่างที่เอคิวและน้ำเย็นเดินตามแม่บ้านเข้ามาในเขตของคฤหาสน์ก็อดที่จะสังเกตบริเวณรอบๆตัวไม่ได้ โดยเฉพาะสวนที่เจ้าของคฤหาสน์จัดไว้ด้วยดอกกุหลาบสีดำและสีแดงสลับกันดูลึกลับ นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นหินที่แกะสลักเป็นเทพปกรณัม อสูรกาย และเหล่าปีศาจในตำนานที่ล้วนแต่ดูน่ากลัวมากกว่าจะเรียกว่าสวยงามจนทำให้น้ำเย็นอดที่จะลอบกลืนน้ำลายกับรสนิยมฮาร์ดคอร์ของเจ้าของคฤหาสน์ไม่ได้
“เฮ้ย! เอคิว มึงว่าเจ้าของคฤหาสน์บ้าหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นที่สะกิดแขนเอคิวและกระซิบถามถึงสิ่งที่ตนเห็นรอบๆตัว
“มึงเคยเจอเขาหรอถึงไปว่าเขาบ้าน่ะ ไอ้น้ำ” เอคิวหันไปถามน้ำเย็นที่กำลังเดินตามแม่บ้านไปพร้อมกับเขาและยังกรอกตามองอย่างหวาดระแวงกับสถานที่แห่งนี้
“กูไม่เคยเจอหรอก แต่แค่เห็นสวนที่จัดกูก็ไม่อยากเจอแหละ คนบ้าอะไรว่ะ จัดสวนด้วยตุ๊กตาหน้าตาประหลาด” น้ำเย็นตอบเอคิวแล้วพลางเอามือลูบแขนตัวเองที่ขนลุกยามมองสวน
“โห! ไอ้คุณน้ำครับ มึงจะเรียกว่าตุ๊กตาปีศาจหน้าตาอุบาทว์ก็บอกมาเหอะ ยังมีกะจิตกะใจปลอบตัวเองว่ามันเป็นตุ๊กตาประหลาดอีกนะ” เอคิวหันไปพูดประชดประชันน้ำเย็นและมองด้วยสายตาเอือมระอากับคนขี้กลัวอย่างน้ำเย็นที่ยังปากดีในเวลานี้
“เอ้า! กูก็ต้องปลอบตัวเองสิว่ะ หรือน้องคิวจะปลอบใจผมล่ะ?” น้ำเย็นหันไปพูดพร้อมหยักคิ้วให้เอคิวที่มองเขาหน้าเหวอ
“มาปลอบกับเท้ากูมา มันอยากอยู่บนหน้ามึงเต็มแก่แหละ”
“ตัวเองใจร้าย” น้ำเย็นหันไปทำปากยื่นใส่เอคิวที่กำลังมองด้วยความหมั่นใส้ในความกวนประสาทของน้ำเย็น
เมื่อเอคิวและน้ำเย็นเดินตามแม่บ้านจนพ้นสวนสยองของเจ้าของคฤหาสน์มาได้ก็ต้องหันมามองหน้ากันเมื่อได้เห็นที่รูปปั้นหินสลักขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นสิงโตมีใบหน้าคล้ายคนและมีหางเป็นแมงป่องที่ยืนขนาบสองข้างประตูคฤหาสน์แล้วพลางอดคิดไม่ได้ว่า “อะไรมันจะบ้าขนาดนั้น?” แม่บ้านที่พาทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยสีทองและยังมีรูปวาดที่เป็นเหล่าเทพและอสูรกายมากมายแขวนตรงผนังราวกับคฤหาสน์นี้จะจัดเป็นหอศิลป์ซะมากกว่าจะเป็นบ้านที่อยู่อาศัยจนน้ำเย็นอ้าปากค้างกับภายในของคฤหาสน์หลังนี้และทึ่งในความหลงใหลในตำนานปีศาจของเจ้าของคฤหาสน์ที่มีไม่สิ้นสุด
“อะแฮ่ม! ดิฉันจะไปเตรียมห้องให้คุณสองคน เชิญคุณรอที่ห้องโถงนี้ก่อนนะคะ” แม่บ้านบอกกับทั้งสองคนที่มัวแต่มองรอบๆห้องให้หันมาสนใจตนแล้วเดินขึ้นบันไดไป
“อ้าว! พี่อัลจะมานอนที่นี่หรอครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ดูเท่ห์เหมือนนายแบบและเรือนผมสีแดงสว่างสะท้อนแสงนั้นกำลังเดินเข้ามาและส่งยิ้มสวยให้เอคิวด้วยใบหน้าหล่อคมและดวงตาสีน้ำเงินอ่อนที่จ้องมองมาราวกับหยอกล้อกับคนคุ้นเคย
“ทำไมพี่ต้องจ้องหน้าผมอย่างนั้นล่ะ?” ชายหนุ่มผมสีแดงยังคงพูดต่อเมื่อเห็นเอคิวที่ยังคงจ้องหน้าเขานิ่งไม่พูดไม่จา
“เอ่อ..นายคือใคร?” เอคิวที่ตั้งสติได้ก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าน่าจะรู้เป็นอย่างแรกกับคนตรงหน้า
“เฮ้ย! พี่เล่นอะไรเนี่ย? พี่อัลจำผมไม่ได้หรอ?” ชายหนุ่มผมสีแดงทำหน้าตกใจที่คนร่างบางตรงหน้ายังคงเล่นตลกกับเขาทำเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน
“ไม่นะ ฉันไม่รู้จักคนอย่างนาย” เอคิวที่มั่นใจว่าไม่รู้จักคนตรงหน้าก็พูดตอบหน้าตาย
“เมื่อกี้นายเรียกหมอนี่ว่าอะไรนะ?” น้ำเย็นที่อดสงสัยไม่ได้ก็เอ่ยถามในสิ่งที่แม้แต่เขาเองยังงงว่าญาติของเขาไปรู้จักคนๆนี้ได้ยังไง
“นายเป็นใคร?” ชายหนุ่มผมสีแดงย้อนถามน้ำเย็นเสียงเรียบแล้วจ้องมองมาอย่างจับผิด
“ฉันชื่อ น้ำเย็น รู้จักกันแล้วนะ งั้นนายก็ตอบมาว่าเรียกหมอนี่ว่าอะไร?”
“ใครถามชื่อ? ไม่ต้องมาอ่อย ฉันไม่สนนายหรอกนะ” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทและทำหน้าตาล้อเลียนใส่น้ำเย็นที่ยืนกำหมัดสงบสติอารมณ์ไม่ให้ต่อยคนตรงหน้าที่อาจจะเป็นเจ้าของบ้านที่เขาต้องมาอาศัยคืนนี้
“ฉันถามนายดีๆนะ ทำไมต้องกวนด้วยว่ะ ?“ น้ำเย็นกัดฟันกรอดแล้วแล้วพูดกับชายหนุ่มผมสีแดงที่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้
“ฉันไม่ได้กวนนะ ฉันยืนพูดเฉยๆ” ชายผมสีแดงยังคงพูดกวนอารมณ์น้ำเย็นและลอบยิ้มที่เห็นปฏิกิริยาของน้ำเย็นที่ดูท่าจะของขึ้นเต็มที่
“โว้ย! ไม่ยงไม่เย็นแมร่งแหละ จัดให้สักทีเลยเหอะ” น้ำเย็นโวยวายอย่างหัวเสียแล้วกำลังจะเข้าไปต่อยหน้าชายหนุ่มผมสีแดงที่ยืนนิ่งแล้วส่งยิ้มกวนประสาทมาให้
“เฮ้ยๆๆ หยุดเหอะว่ะ เดี๋ยวเขาก็ไล่มึงออกจากบ้านหรอก แล้วคืนนี้มึงกับกูจะไปนอนที่ไหนล่ะว่ะ” เอคิวรีบเข้าไปดึงตัวน้ำเย็นที่ดิ้นแล้วพยายามจะเข้าไปต่อยชายหนุ่มผมสีแดงที่ยังอารมณ์ดีส่งยิ้มมาให้เขาไม่หยุด
“ฮึ่ย! กูเกลียดมัน โดยเฉพาะหน้ามันด้วย” น้ำเย็นที่เห็นท่าทางกวนอารมณ์ของชายหนุ่มผมสีแดงก็พาลเกลียดคนตรงหน้า
“หึ! หน้าฉันหล่อล่ะสิ พี่อัลไม่ต้องไปคุยกับหมาบ้าหรอก พาไปฉีดยาเลยดีกว่า เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น”
“มึงหุบปากเน่าๆของมึงไปเลยนะ มึงเห็นไหม? ไอ้เชี้ยนี่มันด่ากูเป็นหมาอ่ะ” น้ำเย็นอารมณ์ขึ้นทันทีที่ได้ยินชายหนุ่มผมสีแดงว่ากระทบเขา แล้วหันไปพูดใส่เอคิวที่ยังคงดึงแขนเขาอยู่
“พอทั้งคู่เลย! มึงจะโมโหทำไมว่ะ ยอมรับว่าเป็นหมาหรือไง ห๊า! ส่วนไอ้หอมแดง...ก็หยุดปากเน่าใส่ญาติกูคงไม่ตายหรอกมั้ง” เอคิวที่ทนไม่ไหวก็หันไปอาละวาดน้ำเย็นที่บ้าโมโหกับคำพูดของชายหนุ่มผมสีแดงแล้วก็หันไปว่าชายหนุ่มผมสีแดงเช่นเดียวกัน
“ใครคือหอมแดง?” ชายหนุ่มผมสีแดงทำหน้างงใส่เอคิว
“ก็มึงไง หล่อแต่โง่ เสียชาติเกิด เหอๆ” น้ำเย็นว่าประชดประชันชายหนุ่มผมสีแดงทันทีที่มีโอกาส
“มึงก็หยุดได้แหละ ส่วนนาย...ฉันไม่ได้ชื่อ อัล แต่ชื่อ เอคิว” เอคิวหันไปปรามญาติของตนแล้วหันไปจ้องชายหนุ่มผมสีแดงเขม็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่พี่ชื่ออัลนะ ฉันจำไม่ผิดหรอก”
“ทำไมนายถึงแน่ใจนัก?” เอคิวมองคนตรงหน้าที่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่
“ก็พี่เป็นพี่สะใภ้ของผมนี่” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบออกไปด้วยสีหน้างุนงงที่เอคิวถามนั้นเหมือนเป็นเรื่องประหลาด
“พะ..พี่สะใภ้หรอ?” เอคิวถามคนตรงหน้าย้ำอีกรอบเพื่อต้องการความมั่นใจในสิ่งที่ตนได้ยิน
“ใช่สิ! พี่เป็นเมียของพี่ชายผมก็ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้สิครับ” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบราวกับเป็นเรื่องปกติแล้วส่งยิ้มมาให้เอคิวก็ยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“มะ...มึง มึงมีผัวแล้วหรอว่ะ ไอ้คิว” น้ำเย็นหันไปถามเอคิวทันทีที่ได้ยินคำยืนยันครั้งที่สองพร้อมกับเอคิว
“ผัวมึงนะสิ กูไม่มีผัวเว้ย!” เอคิวหันไปบอกกับน้ำเย็นที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาสงสัย
“อ้าว! นี่มึงแอบปล้ำกูหรอ? ไอ้เลว” น้ำเย็นหันไปด่าเอคิวทันที
“โธ่! ไอ้ฟราย ถ้าปล้ำมึง กูยอมนอนกับเห็บหมาอ่ะ แล้วมึงเชื่อหรอว่ากูมีผัว กูเป็นแมนเต็มร้อยเว้ย!”
“เอ้า! ใครจะไปรู้ล่ะ หน้าตาอย่างมึงน่าจะมีผัวนี่หว่า”
“ไอ้น้ำ!” เอคิวตะโกนใส่น้ำเย็นที่ยังคงเชื่อว่าเขามีสามีแล้วอย่างที่ชายหนุ่มผมสีแดงพูดเต็มที่
“พี่อัลทะเลาะกับพี่ชายผมมาหรือเปล่าเนี่ย?” ชายหนุ่มผมสีแดงพูดขึ้นด้วยความข้องใจที่เห็นร่างบางตรงหน้าอารมณ์เสียเมื่อเขาบอกว่าเป็นพี่สะใภ้
“ไอ้หอมแดง มึงจำไว้เลยนะ กูชื่อ เอคิว ไม่ใช่อัลบ้าบออะไรนั่น” เอคิวก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มผมสีแดงแล้วพูดเสียงเย็น แต่ชายหนุ่มผมสีแดงก็ยังยืนมองหน้าของเอคิวแล้วขมวดคิ้วคิดหนัก
“ฉันไม่ได้ชื่อหอมแดงนะ พี่อัลมั่วว่ะ” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ยตอบเอคิวอย่างหยอกล้อแล้วยังคงเรียกเขาด้วยชื่อของพี่สะใภ้ทำให้เอคิวที่กำหมัดกลั้นอารมณ์อยู่ก็ง้างหมัดจะต่อยหน้าคนตรงหน้าที่พูดไม่เรื่อง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงดุของแม่บ้านพูดดักเอคิวที่กำลังจะต่อยหน้าคุณชายของบ้านแล้วพลางส่งสายตาตำหนิไปให้เอคิว
“คุณหนูก็เหมือนกันนะคะ คุณคนนี้เขาไม่ใช่คุณอัล แต่เขาชื่อเอคิวนะคะ” แม่บ้านเดินเข้ามาตรงที่สามหนุ่มกำลังจะมีเรื่องชกต่อยกันแล้วเอ่ยดุคุณหนูของบ้านที่ตอนนี้ทำหน้าหงอยเมื่อโดนดุ
“คุณอัลหรอครับ?” น้ำเย็นถามขึ้นเมื่อเห็นแม่บ้านพูดชื่อของคนๆนี้ด้วยความเคารพ
“คุณอัลมอนด์เป็นพี่สะใภ้ของคุณหนูค่ะ”
“อัลมอนด์!!” เสียงเอคิวและน้ำเย็นเบิกตาโพล่งแล้วร้องออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินชื่อเต็มๆของคนที่เป็นพี่สะใภ้ของนายหัวแดงกวนประสาทนั่น
“เอาล่ะตอนนี้มันก็ดึกมากแหละ พวกคุณไปพักผ่อนเถอะคะ ดิฉันจัดห้องไว้ให้แล้ว” แม่บ้านพูดตัดบทไม่ให้ใครได้เอ่ยถามอะไรต่อแล้วเดินนำแกมบังคับให้เอคิวและน้ำเย็นเดินตามไปตรงบันได
“แล้วเจอกันใหม่นะ เอคิว” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ยขึ้นเสียงเย็นจนเอคิวต้องขมวดคิ้วแล้วหันหลังไปมองชายหนุ่มผมสีแดงที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่ทันใดนั้นเอคิวก็ต้องเบิกตาโพล่งขี้นเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินอ่อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้วยังแสยะยิ้มส่งมาให้เอคิวทีตกใจยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
“เฮ้ย! เป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นหยุดเดินแล้วหันมาถามเอคิวที่ไม่ยอมเดินตามมาด้วยความเป็นห่วงกับท่าทางแปลกๆนั้น
“เปล่า” เอคิวหันตอบน้ำเย็นเสียงเบา ขณะที่เอคิวกำลังจะเดินขึ้นบันไดก็อดที่จะหันมามองชายหนุ่มผมสีแดงอีกครั้งไม่ได้ แต่เขากลับเห็นเพียงดวงตาสีน้ำเงินอ่อนที่พราวระยับและรอยยิ้มสวยเท่านั้นที่ส่งมาให้เอคิวพร้อมกับมือที่โบกลาเขาอยู่ที่เดิม
ห้องนอน [เอคิว & น้ำเย็น]
เมื่อเอคิวและน้ำเย็นเข้ามาให้ห้องนอนโทนสีน้ำตาลอ่อนและตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สลักลวดลายสวยงามประณีตก็อดที่จะชื่นชมการตกแต่งของเจ้าของคฤหาสน์ไม่ได้ ถ้าไม่นับรูปวาดสงครามระหว่างเทพกับปีศาจที่แขวนอยู่บนหัวเตียงนอนที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากันกับห้องนอนเอาซะเลย
“มึงว่าที่นี่มันแปลกๆหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นเอ่ยถามเอคิวทันทีอย่างอดสงสัยต่อไปไม่ไหว
“แปลกยังไงว่ะ?”
“เอ้า! มึงก็ดูที่นี่สิว่ะ วันนี้มีคนเรียกมีงว่าอัล 1 ตน กับอีก 1 คนแล้วนะ แล้วยังมาเจอคฤหาสน์ที่มีสวนประหลาดในสวนวงกตนี่อีก แล้วกูยังสงสัยว่าพี่สะใภ้หมอนั่นจะใช่อาอัลหรือเปล่าว่ะ?”
“เออ..ก็จริงว่ะ เรื่องของพ่อกูต้องรู้ให้ได้ แต่ไอ้เรื่องสวนนี่กูไม่เถียง เพราะรสนิยมส่วนตัวเขา”
“แล้วมึงว่าไม่แปลกหรอ?”
“แปลก มึงน่ะแปลก สงสัยแต่ลุกลี้ลุกลนจนเขารู้กันหมดแหละว่ามึงยุ่งเรื่องของเขาน่ะ” เอคิวว่าน้ำเย็นที่ชอบใจร้อนและลุกลี้ลุกลนทุกครั้งที่เห็นสิ่งผิดปกติ
“อ้าว! ก็กูไม่ชอบมีความลับนี่หว่า สงสัยก็ต้องถามจะได้กระจ่างใจ”
“กระจ่างบ้าอะไรว่ะ เล่นโวยวายลั่นขนาดนั้นอ่ะนะ” เอคิวว่าประชดชันน้ำเย็นที่ยังคงไหลลื่นไปเรื่อยไม่ยอมรับกับนิสัยใจร้อนของตนเอง
“เออๆ กูเปิดเผยไง มีอะไรป่ะ? มึงไปอาบน้ำก่อนเลย กูขอสำรวจก่อน”
“โห! สำรวจ? อย่างมึงต้องเรียกว่า ไอ้รื้อบรรลัยโลกอ่ะ” เอคิวยว่าประชดประชนแล้วส่ายหน้าอ่อนใจ
“ปากไม่น่ารักเลย” น้ำเย็นหันไปส่งสายตาค้อนเอคิวที่ว่าประชดชันตนแล้วเริ่มเดินรอบห้องดูตรงโน้นทีตรงนี้ทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าห้องนี้จะมีอะไรให้เขาตกใจนอกจากรูปวาดสยองเหนือหัวเตียงนอนอีกหรือเปล่า ส่วนเอคิวก็คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้น้ำเย็นที่เดินทั่วห้องจนมาหยุดอยู่ที่ประตูกระจกตรงระเบียงเล็กของห้อง ผ้าม่านสีน้ำตาลลายสีทองบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมด้านนอกจนน้ำเย็นที่กำลังจะเดินไปปิดประตูกระจกตรงระเบียงต้องชะงักเมื่อเขามองเห็นอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เหมือนกำลังเลื้อยอยู่ในสวนผ่านต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้เตี้ยในสวนของคฤหาสน์ แต่พอน้ำเย็นจ้องมองก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจที่เจ้าตัวนั้นมันกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
ทักทายกันหน่อย....
สวัสดีวันครบรอบวันดองแห่งชาติ ไม่ใช่แหละ!(หรือว่าใช่?) น่าจะเปลี่ยนนามปากกาไปเป็น...ดองกันหน่อย..หึๆ ต้องขอโทษอย่างแรงเลยนะที่ไม่ได้มาต่อตอนที่ 1 ปล่อยให้คนอ่านรอจนเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงาอยู่หลายสัปดาห์ แต่พอมาดู เอิ่ม! ก็มีคนอ่านนะ ทำไมไม่ต่อตอนที่ 1 ให้จบซะที วันนี้เลยมาต่อให้ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะจ๊ะ มีคำผิดหรือคำวิจารณ์ใดๆ ข้า้น้อยขอน้อมรับเจ้าค่ะ...โปรดติดตามตอนต่อไป อะเชิ้บ!...อะโช้บ!..อะโช๊! \(^-^)/(^/\^)
“เฮ้ย! เอาไงดีว่ะเอคิว มันบอกว่าตาไม่ได้บอด แล้วพ่อมึงจะช่วยได้ไหมเนี่ย!”
“พ่อกูไม่ใช่นักล่าปีศาจนะโว้ย!” เอคิวพูดกับน้ำเย็นอย่างหัวเสีย
“ข้าจะใจดีให้พวกเจ้าเถียงกันก่อนตาย 3 นาที “ งูยักษ์แปดหัวกล่าวขึ้นราวกับขบขันแล้วเลื้อยเข้ามาใกล้ๆเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอคิวก็ตัดสินใจบอกลูกพี่ลูกน้องว่าให้วิ่งหนี ทำให้พวกเขาต้องแยกกันไปคนละทางในสวนวงกตโดยมีงูยักษ์แปดหัวไล่ล่า
“แฮ่กๆๆ” เอคิวที่นั่งพักจากการวิ่งมาตลอดทาง ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและพยายามสูดอากาศเข้าปอด เขาแน่ใจแล้วว่างูตัวนั้นไม่ได้ตามเขามา แต่เขาก็ยังนั่งระแวงไปด้วยในสิ่งไม่น่าเชื่อที่เขาเพิ่งเจอ ในระหว่างที่พักเหนื่อยอยู่นั้นเขาก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าตอนนี้ 4 ทุ่มแล้ว เฮ้อ! ทำไมพ่อต้องเขามาในนี้ด้วยนะ แล้วทำไมถึงมีปีศาจอยู่ที่นี่กัน? เอคิวที่กำลังนั่งคิดอยู่คนเดียวโดยไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทางที่เขานั่งพักอยู่
แซ่ก...แซ่ก
พรึ่บ! ไฟฉายส่องมายังใบหน้าของเอคิวจนทำให้เขาต้องหยีตาเพื่อมองคนมาใหม่ เอคิวที่คิดว่าคนที่ถือไฟฉายนั้นอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ระหว่างที่คนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้จนมาหยุดอยู่ตรงหน้า เอคิวก็ได้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าได้รูปที่ประดับไปด้วยดวงตาสีทอง คิ้วเข้ม และริมฝีปากหนาที่ยกยิ้มขึ้นเมื่อสบตากับเขา
“หายเหนื่อยหรือยัง?” เสียงนุ่มทุ้มดูอบอุ่นเอ่ยถามร่างบางที่นั่งจ้องมองเขาไม่หลบสายตา
“อะ..เอ่อ..คะ..คุณเป็นใคร?” เอคิวถามชายแปลกหน้าอย่างเกรงกลัวว่าจะเป็นปีศาจมาหลอกเขาอีก
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก จะมาด้วยกันไหม?” ชายแปลกหน้าไม่ยอมตอบแต่ชักชวนให้เอคิวไปด้วยกันจนร่างบางต้องขมวดคิ้วและกำลังคิดว่าจะไปกับคนแปลกหน้าดีหรือไม่? ระหว่างที่เขากำลังนั่งตัดสินใจอยู่นั้นก็มีเสียงตะโกนปนหอบดังขัดความคิดของเขา
“ไอ้คิว ถอยออกมา!” น้ำเย็นที่เจอเอคิวกำลังคุยกับคนแปลกหน้าก็รีบตะโกนเรียกให้ถอยห่างออกมา
“อะ..อะไรว่ะ? ถอยไปไหน?”
“ไอ้นั่นไม่ใช่คนโว้ย! ถอยออกมาสิว่ะ” น้ำเย็นที่เริ่มจะโมโหในความซื่อบื้อของเอคิว
“อะไรของมึง? ก็เขาเป็นคนนะ..นี่...ว๊าก!” เอคิวที่พูดแล้วหันไปมองคนแปลกหน้าอีกรอบแล้วก็ต้องร้องตกใจที่คนตรงหน้ากลายร่างเป็นคนโปนมีเขี้ยวงอกยาวและกรงเล็บแหลมที่กำลังมุ่งมาที่เอคิว ทำให้เขารีบวิ่งหนีไปทางน้ำเย็นโดยไม่ต้องคิดแล้วทั้งคู่ก็พากันออกวิ่งจนคิดว่าพ้นปีศาจตนนั้นแล้วก็เริ่มถกเถียงกัน
“ไงล่ะมึง คนของมึงนี่หน้าตาเทพบุตรเลยว่ะ” น้ำเย็นพูดประชดประชันใส่เอคิวอย่างหมั่นใส้
“ไอ้สัส ใครจะไปรู้ว่ะก็ตอนคุยมันเป็นคนนี่หว่า!”
“เอ้า! นี่มึงโดนภาพลวงตาหรือเปล่าว่ะ? กูเห็นอยู่ว่าไม่ใช่คนตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็กูบอกว่ากูเห็นเป็นคนไง ไอ้น้ำเน่า!” เอคิวที่มั่นใจว่าผู้ชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั่นเป็นคน แต่ทำไมถึงกลายเป็นปีศาจไปได้ในชั่วพริบตาเมื่อน้ำเย็นทักก่อนจะพาเขาวิ่งหนีออกมา ระหว่างที่ทั้งสองคนก็กำลังเดินซอกแซกไปเรื่อยตามทางในสวนวงกตโดยที่หลงลืมบางอย่างไปแล้วนั้นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยที่พวกเขาวิ่งหนีกันมาหลายชั่วโมงแต่ไม่เจอทางออกจนทำให้น้ำเย็นที่รู้สึกว่าพวกเขากำลังเดินวนเลยรีบเรียกเอคิวให้หยุดเดินก่อนที่จะหลงทางไปมากกว่านี้
“กูว่าเราหลงว่ะ” น้ำเย็นบอกเอคิวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดที่ออกไปจากที่นี่ไม่ได้
“ไอ้น้ำ ตากูไม่ได้บอดนะ ก็ตรงนี้คือตรงที่กูนั่งพักอ่ะ”
“ฉิบหาย! เวรล่ะสิ แล้วมึงมาทำเชี้ยอะไรทางนี้ว่ะเนี่ย! ไอ้คิว”
“โห่! มึงบ้างเหอะ...ไอ้นี่แม่งเดินนำแล้วมาโทษคนเดินตาม”
“เอ้า! ก็กูไม่ใช่คนสร้างทางก็เดินมัวมาเรื่อยสิว่ะ หรือมึงรู้ก็บอกมาดิ”
“ไอ้ควายไร้ความรับผิดชอบ งั้นคราวนี้ตากูนำบ้าง ไปทางนั้นเลยเจอทางออกชัวร์”
แล้วทั้งสองคนก็เลือกเดินไปตรงทางที่อยู่ตรงข้ามกับทางที่พวกเขาเคยเดินเพียงไม่นานก็มองเห็นแสงไฟสลัวส่องมาทางที่ปลายทางออกด้วยความดีใจที่เจอแสงสว่างเอคิวและน้ำเย็นก็รีบเดินไปตรงปลายทางนั้นแล้วต้องตะลึงกับภาพตรงหน้า มันไม่ใช่ทางออกไปบ้านคุณปู่ แต่มันกลับกลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่สร้างขึ้นตามสไตล์ยุโรปอย่างสวยงามที่มีประตูรั้วเหล็กดัดเป็นรูปร่างอสูรกายสวยงามและตรงกลางมีตราสัญลักษณ์เป็นอักษรภาษาอังกฤษตัว H อยู่ตรงกลางรอยต่อของประตูรั้วนั้น แสงไฟที่พวกเขาเห็นมันมาจากคฤหาสน์หลังนี้ที่พวกเขาเกรงว่าจะมีคนอยู่ในนี้จริงหรือเปล่า? เพราะที่นี่ดันตั้งอยู่ลึกสุดทางของสวนวงกตที่พวกเขาเดินหลงเข้ามา
“เฮ้ย! มึงว่าจะมีคนอยู่หรือเปล่าว่ะ”น้ำเย็นถามด้วยความตื่นเต้นแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ที่มีคฤหาสน์มาตั้งท่ามกลางสวนวงกตที่เต็มไปด้วยปีศาจ เจ้าของบ้านมันต้องบ้าแน่ๆ
“มึงไม่ได้มากับกูใช่ป่ะ? ถามอะไรปัญญาอ่อน”
“ความเห็นน่ะ มึงรู้จักไหม? ด่าแต่กูตลอดเดี๋ยวปล่อยทิ้งตรงนี้เลย”
“อ้าว! มึงทิ้งกูแล้วจะไปไหน?”
“ไปในที่ๆไม่ต้องเห็นหนังหน้ามึงไง ไอ้ควาย!”
แก๊ก เคร๊ง แอ๊ด...
เสียงคนไขกุญแจของประตูรั้วที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดอ้าแล้วปรากฎร่างของหญิงวัยกลางคนสวมชุดแม่บ้านกำลังจ้องมองคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ในแสงไฟสลัว
“พวกคุณเป็นใคร?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงดุ
“อะ...เอ่อ! พวก..พวกผมหลงเข้ามาที่นี่ มะ..ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นของ...” น้ำเย็นที่ตอบหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนจ้องเขม็งตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“ออกไปจากที่นี่ซะ! พวกคุณไม่ควรอยู่ที่นี่” และแล้วแม่บ้านวัยกลางคนก็รีบออกปากไล่ทันทีและทำท่าจะปิดประตูใส่พวกเขา
“เดี๋ยวก่อน! ผมขอร้อง..ช่วยให้ที่พักพวกผมสักคืนได้ไหมครับ? พวกผมออกไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆ” เอคิวที่ยืนฟังเงียบๆรีบพูดแกมขอร้องให้คนตรงหน้าสงสารพวกเขาที่วิ่งหนีมาทั้งคืนอย่างเหน็ดเหนื่อย
"หึ!มันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่แค่คืนเดียวเท่านั้นนะ” แม่บ้านยอมใจอ่อนและเปิดประตูให้กับคนแปลกหน้า แต่ทันทีที่เอคิวและน้ำเย็นก้าวเข้ามาในเขตของคฤหาสน์ที่มีแสงไฟมากกว่าข้างนอกนั้นกำลังส่องแสงให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนก็ทำให้แม่บ้านตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งคู่ที่กำลังมองเธอด้วยความงงงวยอยู่เช่นกัน
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพวกเรา” เอคิวเอ่ยขอบคุณกับคนอายุมากกว่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“มะ..ไม่เป็นไร...เชิญทางนี้”แม่บ้านตอบเสียงเรียบแล้วเดินนำทั้งคู่เข้าไปในตัวคฤหาสน์โดยที่เอคิวและน้ำเย็นไม่รู้เลยว่าดวงตาของแม่บ้านเปลี่ยนเป็นสีแดงวาวโรจน์และกำลังแสยะยิ้มอยู่ข้างหน้าพวกเขา ในที่สุดเจ้าก็มาที่นี่จนได้!!
Part:วานิช
“แฮ่กๆๆ อะ..อีกไกลไหมเนี่ย! โคตรเหนื่อยเลย แล้วจะตามอะไรกูนักหนาว่ะ! ไอ้งูมากหัวนี่”
วานิชบ่นพึมพำปนหายใจหอบ เขาวิ่งหนีเจ้างูยักษ์แปดหัวไปทั่วสวนวงกตจนวิ่งมั่วไปตามทางโดยที่เขาไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนก็เจอแต่เจ้างูปีศาจนั่นเลื้อยตามเขามาไม่หยุดราวกับอ่านใจได้จนเขาเหนื่อยแทบอยากจะเป็นลมซะให้ได้ ระหว่างที่วานิชตัดสินใจนั่งพักตรงดงดอกกุหลาบหลากหลายสีและสายลมที่พัดเอื่อยนั้นพอที่จะทำให้เขารู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายเมื่อได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบโชยมาทางที่เขานั่งพักอยู่ใกล้ๆระหว่างที่เขาเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นของดอกไม้อยู่นั้น
“นายเข้ามาขโมยกุหลาบใช่ไหม?”
“เฮ้ย! ปีศาจผมหงอก” อยู่ๆก็มีชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีขาวยาวสะท้อนแสงจันทร์ ริมฝีปากบางและดวงตาคมกริบนั้นกำลังนั่งยองๆแล้วจ้องหน้าของวานิชที่นั่งพักอยู่ใกล้กับดงดอกกุหลาบ
“ไม่ใช่ปีศาจ แล้วนายน่ะเป็นใคร?”
“อ่า..เอ่อ...ฉันหลงทางมา”วานิชอ้ำอึ้งเมื่อเห็นสายตากดดันของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาเป็นขโมย
“โกหกล่ะสิ” ชายหนุ่มพูดแล้วแสยะยิ้มใส่เหมือนไม่เชื่อที่วานิชพูด
“ไม่ได้โกหก ฉันหลงทางมาจริงๆ ฉะ..ฉันหนี..หนี หึย!จะบอกดีไหมว่ะ? เดี๋ยวมันจะหาว่ากูบ้าแน่เลย”วานิชรีบพูดสวนทันทีที่ได้ยินว่าคนตรงหน้ามาว่าเขาโกหกแล้วก็พึมพำกับตัวเองด้วยความชั่งใจว่าจะบอกดีไหมว่าเขาวิ่งหนีปีศาจมาทั้งคืน? ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังมองพิศใบหน้าคมเข้มที่กำลังขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดและริมฝีปากที่กำลังบ่นพึมพำอยู่คนเดียวก็ต้องลอบยิ้มอย่างพึงพอใจจนเห็นเขี้ยวเล็กตรงมุมปากนั้นโดยที่วานิชไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกคนตรงหน้าสำรวจตัวเองอย่างละเอียด
“หนีอะไรมาล่ะ?” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบจนวานิชหันมามองและยิ้มสวยจนแก้มบุ๋มใส่ชายหนุ่ม
“แหะๆ ไม่ต้องรู้หรอก แต่ขอพักที่นี่สักคืนได้ไหม?”
“ไม่ได้!” ชายหนุ่มตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“ทำไมล่ะ รังเกียจหรอ? งั้นนอนหน้าบ้านหรือห้องรับแขกก็ได้” วานิชพยายามพูดโน้มน้าวขอที่พักเผื่ออย่างน้อยเขาก็อุ่นใจที่อยู่แถวบ้านคนมากกว่าไปนอนกลางสวนแล้วเจอปีศาจ
“ไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า”
“โห่! คนอะไรหัวขาวแล้วยังใจดำอีก” วานิชบ่นทันทีที่คนตรงหน้าไม่ยอมให้เขาพักด้วยแม้แค่หน้าบ้านหรือห้องรับแขกที่เขาเสนอ
“นายมีปัญหากับหัวฉันมากหรอ?” ชายหนุ่มผมยาวคิ้วกระตุกด้วยความรู้สึกหมั่นใส้คนตรงหน้าที่มาว่าเรื่องสีผมของเขา
“เปล๊า...ผมนายสวยเงางามเหมือนใช้ริจอยส์เลย จริง จริ๊ง ว่าแต่นายชื่ออะไร?” วานิชทำหน้ายิ้มลอยหน้าลอยตาแล้วรีบพูดเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตาไร้อารมณ์ของชายหนุ่มเจ้าของดงกุหลาบ
“ไม่บอก”
“มนุษย์สัมพันธ์เท่ากับ 0 คะแนน”
“จะรู้ไปทำไม? รู้จักกันแค่คืนนี้ พรุ่งนี้ก็แยกย้าย” ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเมื่อยใส่วานิชที่ชอบแถไปเรื่อย
“งั้นฉันเรียกว่า....ไวท์....ล่ะกัน ขี้เกียจเรียกนายๆๆ"
“กล้าดีนี่มาตั้งชื่อให้คนเพิ่งเจอหน้าครั้งแรก ถ้าฉันชื่อ..ไวท์ งั้นนายก็ชื่อ..”
“ชื่ออะไร? ฉันชื่อ..วานิช ไม่ต้องมาตั้งให้โว้ย!”วานิชรีบบอกชื่อของตัวเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายมาตั้งชื่อให้
“ไม่ได้ถาม ฉันจะเรียกนายว่า..รัญชน์ ล่ะกัน”
“ได้ไงว่ะ...รัญชน์อะไร ไม่เอาโว้ย! ฉันชื่อ วานิช”
“ป่ะ..รัญชน์เข้าบ้านกันเถอะ” วานิชที่ยืนทำหน้าบูดบึ้งเถียงไม่ชนะคนดื้อด้านอย่าง”ไวท์”ที่ยังหน้าด้านเรียกเขาว่า “รัญชน์” ซะเฉยๆจนวานิชต้องเดินตามนายไวท์ไปด้วยความไม่พอใจ
“อ้าว! แล้วนายจะไปไหนอ่ะ? นี่มันห้องรับแขกไม่ใช่หรอ?” วานิชที่ก้าวเข้ามาในบ้านขนาดกลางทำด้วยไม้ขัดเงาที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และผ้าม่านลูกไม้สีขาวที่พริ้วไหวตามสายลมยามค่ำคืนนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ แต่พอกำลังจะเดินผ่านห้องกว้างที่มีชุดโต๊ะรับแขกที่ไวท์พาเดินผ่านไปก็อดสงสัยไม่ได้ที่คนตัวใหญ่จะพาไปไหน? ในเมื่อวานิชบอกว่านอนห้องรับแขกได้
“ใครบอกว่าให้นายนอนที่นี่?”
“ก็นายบอกว่า...ไม่ชอบคนแปลกหน้า"
“คนแปลกหน้าที่ไหน? เรารู้จักกันแล้วนี่”
“หือ! อะไรของนายว่ะ? ก็ไม่ได้รู้จักสนิทกันซะหน่อย ถ้านายอึดอัดด็อย่าเลย”
“รัญชน์?”
“อะ..อะไร?”
“เห็นไหม? ฉันรู้ชื่อนายด้วย สนิทกันแล้วนะ งั้นจบ!” วานิชหน้าเหวอเมื่อได้ยินคนเผด็จการสรุปให้เสร็จ
โดยที่เขาไม่ได้โต้แย้งสักคำ
“โว๊ะ! ถ้าแกจะมั่วอย่างนี้นะ จะพาไปตายที่ไหนก็ไปเลย..ไอ้บ้าไวท์” เมื่อทำอะไรไม่ได้วานิชก็ได้แต่โวยวายใส่คนที่เดินนำหน้าอย่างหัวเสียพลางแค่คิดในใจว่าอยากกระชากหัวขาวๆนั่นมาเตะจริงๆ
“ถ้านายจะเตะฉันคงต้องรอไปอีกร้อยปีล่ะมั้ง” ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดบ้าน จู่ๆคนข้างหน้าก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาจนวานิชที่เดินตามหลังได้ยินไม่ชัด
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?”
“หูพิการก็เงียบไปเถอะ!”
“อ้าว! โดนด่าซะงั้น” วานิชทำหน้างงๆกับคนตรงหน้าที่พูดไม่เข้าใจ ไวท์พาวานิชมาที่ชั้น 2 ของบ้านแล้วตรงไปที่ประตูไม้ที่มีป้ายตรงหน้าประตูเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า “Red Rose” แล้ว จากนั้นไวท์ก็เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่กลางห้องที่มีเตียงใหญ่ตั้งอยู่
“นอนได้ใช่ไหม?”
“ได้ๆ ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ นายก็ไปนอนเถอะ” วานิชตอบแล้วพลางส่งยิ้มให้กับเจ้าของบ้านที่ใจดีพามาส่งที่ห้อง
“อืม! นายไปอาบน้ำก่อนสิ ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” ไวท์ที่เดินไปหยิบเสื้อผ้าให้วานิชแล้วชี้ไปทางประตูไม้สีขาวที่บอกว่าเป็นห้องน้ำ วานิชได้แต่พยักหน้าเข้าใจแล้วกำลังจะเดินไปทางห้องน้ำก็ต้องหันมามองไวท์ที่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับห้องของตัวเองมัวแต่ยืนที่เดิมไม่ไปไหนจนอดถามไม่ได้ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วจนตัวเขาเองก็เพลียอยากจะนอนเหมือนกัน
“อ้าว! นายไปนอนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำนอนแล้ว ไม่รบกวนแล้วล่ะ”
“..........” ไวท์ไม่ตอบได้แต่ยืนจ้องหน้าร่างบางจนวานิชรู้สึกตะหงิดๆว่าไอ้หมอนี่จะมาไม้ไหนกับเขากันแน่
“ไม่นอนจริงๆหรอ? แล้วมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า?”
“..........” ความเงียบคือสิ่งที่วานิชได้กลับมาและสายตาของไวท์ที่มองมาเท่านั้น
“โว๊ย! ไอ้บ้านี่ จะเอายังไงก็ว่ามา ยืนจ้องหน้าคนอื่นอยู่ได้”
“อย่าออกไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต กลางคืนมันอันตราย” ไวท์ที่พูดเสียงเรียบใส่วานิชก็เดินหันหลังแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป ท่ามกลางความงุนงงของวานิชที่ไวท์ดูท่าจะผีเข้าผีออก เดี๋ยวพูดคนเดียว เดี๋ยวเงียบ เดี๋ยวยืนจ้อง
“อะไรของเขา? กูหลงมาในดินแดนมหัศจรรย์หรือเปล่าว่ะ! มีแต่ปีศาจกับคนบ้า เฮ้อ!” วานิชที่พึมพำกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้
แอ๊ด!
หือ? วานิชที่กำลังเอาผ้าขนหนูเช็ดผมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องตาโตที่เห็นเจ้าของบ้านออกไปแล้วแต่มายืนพิงหน้าต่างแหงนหน้ามองดวงจันทร์ในห้องนี้
“คืนนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” ไวท์พูดลอยลมออกมาจนวานิชขมวดคิ้วด้วยความงงและคิดว่าทำไมไอ้บ้านี่มาชมจันทร์ในห้องนี้
“ฉันจะยืนอยู่ห้องไหนมันก็เรื่องของฉัน” ไวท์พูดเสียงดังฟังชัดเจนแล้วหันหน้ามามองวานิชที่กำลังอ้าปากหวอที่อยู่ดีๆไวท์ก็มาวีนใส่เหมือนเขาไปนินทาอย่างนั้นแหละ...เอ๊ะ! นินทา...หือ! นินทาในใจ?
“เชี้ย!” วานิชเบิ่งตาโพลงอย่างตกใจที่นึกออกว่าเขานินทาไวท์เรื่องที่มาชมจันทร์ห้องนี้ในใจนี่หว่า!
“หึ! รู้ซะที ชอบแอบด่าฉันนักนี่” ไวท์ที่แกล้งส่งยิ้มอบอุ่นให้วานิชราวกับยื่นแอปเปิลอาบยาพิษก็ทำให้วานิชรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่เจอคนอ่านใจได้อย่างไวท์ วานิชจึงพยายามเดินเลี่ยงไปทางเตียงแล้วมองไวท์อย่างหวาดกลัว
"ดะ...ดีจังที่อ่านใจคนได้เนอะ" เอ๊ะ!หมอนี่เป็นคนหรือปีศาจกันนะ วานิชพลางคิดในใจแล้วจ้องคนตรงหน้าเขม็งโดยหลงลืมไปว่าคนตรงหน้าสามารถล่วงรู้ความคิดนั้นได้
"ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก"
"นายเป็นใครกันแน่?" วานิชเริ่มกลัวคนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม
"ฉันเป็นปีศาจ"
"หือ!" เสียงหัวใจของวานิชแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า”อสูรกาย”ออกมาจากปากของคนตรงหน้า
"ไม่ใช่คน"
"อ๊าก!!" วานิชสติแตกกับคำพูดของไวท์ที่กล้าบอกเขาตรงๆว่าไม่ใช่มนุษย์พร้อมก้าวเท้าถอยหลังไปทางประตูห้องนอนเตรียมหนี
"นายจะไปไหน?"
"ระ..เรื่องของฉัน ขะ..ขอบคุณที่ให้ใช้ห้องน้ำนะ" วานิชพูดเสียงสั่นพลางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วไวท์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็หายไป
"หายไปไหนแล้ว? " วานิชหันซ้ายหันขวามองรอบห้องก่อนจะหันกลับไปมองที่หน้าต่างที่เคยมีคนร่างสูงยืนอยู่แล้วต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เจอใคร
"เฮ้อ!ไปซะได้ก็ดี หนีตอนนี้แหละ"
ระหว่างที่วานิชกำลังจะหันหลังวิ่งไปทางประตูห้อง ทันใดนั้นก็มีมือหนามาจำแขนของร่างบางไว้จนวานิชดึงออกไม่ได้ วานิชรู้ได้ทันทีว่าคนที่จับแขนของเขาจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก...
"นายกลัวมากหรอ?"
"ไม่กลัวมั้ง วิ่งหนีมาทั้งคืนนึกว่าพ้นยังมาเจออีก" วานิชหันไปพูดประชดประชันคนที่กำลังบีบแขนของเขาแน่นและพยายามสะบัดแขนออก แต่ก็ไม่สำเร็จ
"รัญชน์!!" ร่างสูงพูดเสียงดุดันเมื่อเห็นความดื้อรั้นของคนตรงหน้านั้นยากจะฟังคำอธิบาย
"......." วานิชยังคงจ้องหน้าไวท์และพยายามแกะมือตุ๊กแกที่ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยนั้น
"หึ! ฉันไม่ทำร้ายมนุษย์หรอก"
"ปล่อยมือสิโว้ย! ไอ้ปีศาจบ้ากามลวนลามมนุษย์"
"คิดหรอว่าฉันจะปล่อยให้นายออกไปน่ะ"
"ดี! ไม่ปล่อยใช่ไหม? งั้นกูจะ.." ง้ำ! วานิชก้มลงไปกัดมือของไวท์ที่ดื้อดานไม่ยอมปล่อย แต่ไวท์ก็ยังคงเฉยราวกับไร้ความรู้สึกและพลางทำหน้าเหนื่อยใจกับเด็กดื้อ
"มือฉันอร่อยไหม? ทีนี้นายจะเข้าบ้านดีๆหรือต้องให้ฉันลาก" ไวท์เริ่มหมดความอดทนกับคนตรงหน้าที่กัดเขาแล้วยังคงดิ้นกระชากแขนของตนสุดแรง
"ฮือๆ พ่อครับ...แม่ครับ ผมลาล่ะนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงผมจะเกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่นะครับ ฮึกๆ" อยู่ๆวานิชก็ร้องห่มร้องไห้แล้วทรุดตัวไปนั่งกับพื้นราวกับจะลาตายจนไวท์ตกใจทำหน้าเหวอแล้วเผลอปล่อยมือจากแขนเล็กนั้น
"นะ..นายเป็นอะไร? นายเจ็บตรงไหนหรอ? " ไวท์ถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นวานิชร้องไห้
“หึๆฮ่าๆ” จู่ๆวานิชก็หัวเราะแล้วรีบลุกพรวดวิ่งไปตรงทางเข้าใกล้ดงดอกกุหลาบ แต่แล้วเถาวัลย์กุหลาบที่มีหนามแหลมคมก็เลื้อยมาพันข้อเท้าของวานิช
"เฮ้ย!อะไรอีกว่ะ ปล่อยเซ่"
"หึ! มนุษย์นี่ช่างอวดดี ชอบให้ซาดิสต์อยู่เรื่อยเลยนะ" ไวท์ย่างสามขุมเข้ามาหาวานิชที่ตาเบิ่งโพลงหน้าตาตื่นและดิ้นรนพยายามดึงทึ้งเถาวัลย์หนามที่พันรอบข้อเท้าแน่นจนเลือดซึมออกมาตามมือและข้อเท้า
"เฮือก!" เมื่อไวท์เดินเข้ามาใกล้วานิช ทำให้แสงจันทร์สาดส่องมาที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าและแล้วดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด เขี้ยวขาวยาวงอกออกมาจากริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มเย็น กรงเล็บสีดำงอกยาวจนน่าหวาดเสียว และเขาสีดำเหมือนแพะงอกออกมาจากศีรษะพร้อมกับมีพวงหางของสุนัขงอกออกมาจากด้านหลัง
"ข้ามีนามว่า ไซรัส..ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง วานิช" ไวท์ หรือ ก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆวานิชที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัว
"นะ...นายปะ..เป็น"
“หึ! ฉันคือเซอร์เบอรัส เป็นผู้รับใช้ของฮาเดสและมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้าหรือจะเรียกว่าสุนัขเฝ้านรกก็ไม่ผิดนักหรอก”
"จับกูไว้ทำไม?ต้องการอะไร? ห๊า!" วานิชตะโกนใส่กลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นรัวด้วยความตื่นกลัว
"ฉันต้องการนาย" ไวท์ในร่างของไซรัสแสยะยิ้มแล้วพูดเสียงเย็นราวกับเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องปกติ ดวงตาวาววับจ้องมองมาที่วานิชไม่ละสายตาแม้แต่เสี้ยววินาที
"เฮ้ย!" วานิชที่เบิ่งตาโตและร้องขึ้นด้วยความตกใจกับสิ่งที่ไวท์ต้องการจากเขา
Part:เอคิว & น้ำเย็น
ระหว่างที่เอคิวและน้ำเย็นเดินตามแม่บ้านเข้ามาในเขตของคฤหาสน์ก็อดที่จะสังเกตบริเวณรอบๆตัวไม่ได้ โดยเฉพาะสวนที่เจ้าของคฤหาสน์จัดไว้ด้วยดอกกุหลาบสีดำและสีแดงสลับกันดูลึกลับ นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นหินที่แกะสลักเป็นเทพปกรณัม อสูรกาย และเหล่าปีศาจในตำนานที่ล้วนแต่ดูน่ากลัวมากกว่าจะเรียกว่าสวยงามจนทำให้น้ำเย็นอดที่จะลอบกลืนน้ำลายกับรสนิยมฮาร์ดคอร์ของเจ้าของคฤหาสน์ไม่ได้
“เฮ้ย! เอคิว มึงว่าเจ้าของคฤหาสน์บ้าหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นที่สะกิดแขนเอคิวและกระซิบถามถึงสิ่งที่ตนเห็นรอบๆตัว
“มึงเคยเจอเขาหรอถึงไปว่าเขาบ้าน่ะ ไอ้น้ำ” เอคิวหันไปถามน้ำเย็นที่กำลังเดินตามแม่บ้านไปพร้อมกับเขาและยังกรอกตามองอย่างหวาดระแวงกับสถานที่แห่งนี้
“กูไม่เคยเจอหรอก แต่แค่เห็นสวนที่จัดกูก็ไม่อยากเจอแหละ คนบ้าอะไรว่ะ จัดสวนด้วยตุ๊กตาหน้าตาประหลาด” น้ำเย็นตอบเอคิวแล้วพลางเอามือลูบแขนตัวเองที่ขนลุกยามมองสวน
“โห! ไอ้คุณน้ำครับ มึงจะเรียกว่าตุ๊กตาปีศาจหน้าตาอุบาทว์ก็บอกมาเหอะ ยังมีกะจิตกะใจปลอบตัวเองว่ามันเป็นตุ๊กตาประหลาดอีกนะ” เอคิวหันไปพูดประชดประชันน้ำเย็นและมองด้วยสายตาเอือมระอากับคนขี้กลัวอย่างน้ำเย็นที่ยังปากดีในเวลานี้
“เอ้า! กูก็ต้องปลอบตัวเองสิว่ะ หรือน้องคิวจะปลอบใจผมล่ะ?” น้ำเย็นหันไปพูดพร้อมหยักคิ้วให้เอคิวที่มองเขาหน้าเหวอ
“มาปลอบกับเท้ากูมา มันอยากอยู่บนหน้ามึงเต็มแก่แหละ”
“ตัวเองใจร้าย” น้ำเย็นหันไปทำปากยื่นใส่เอคิวที่กำลังมองด้วยความหมั่นใส้ในความกวนประสาทของน้ำเย็น
เมื่อเอคิวและน้ำเย็นเดินตามแม่บ้านจนพ้นสวนสยองของเจ้าของคฤหาสน์มาได้ก็ต้องหันมามองหน้ากันเมื่อได้เห็นที่รูปปั้นหินสลักขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นสิงโตมีใบหน้าคล้ายคนและมีหางเป็นแมงป่องที่ยืนขนาบสองข้างประตูคฤหาสน์แล้วพลางอดคิดไม่ได้ว่า “อะไรมันจะบ้าขนาดนั้น?” แม่บ้านที่พาทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยสีทองและยังมีรูปวาดที่เป็นเหล่าเทพและอสูรกายมากมายแขวนตรงผนังราวกับคฤหาสน์นี้จะจัดเป็นหอศิลป์ซะมากกว่าจะเป็นบ้านที่อยู่อาศัยจนน้ำเย็นอ้าปากค้างกับภายในของคฤหาสน์หลังนี้และทึ่งในความหลงใหลในตำนานปีศาจของเจ้าของคฤหาสน์ที่มีไม่สิ้นสุด
“อะแฮ่ม! ดิฉันจะไปเตรียมห้องให้คุณสองคน เชิญคุณรอที่ห้องโถงนี้ก่อนนะคะ” แม่บ้านบอกกับทั้งสองคนที่มัวแต่มองรอบๆห้องให้หันมาสนใจตนแล้วเดินขึ้นบันไดไป
“อ้าว! พี่อัลจะมานอนที่นี่หรอครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ดูเท่ห์เหมือนนายแบบและเรือนผมสีแดงสว่างสะท้อนแสงนั้นกำลังเดินเข้ามาและส่งยิ้มสวยให้เอคิวด้วยใบหน้าหล่อคมและดวงตาสีน้ำเงินอ่อนที่จ้องมองมาราวกับหยอกล้อกับคนคุ้นเคย
“ทำไมพี่ต้องจ้องหน้าผมอย่างนั้นล่ะ?” ชายหนุ่มผมสีแดงยังคงพูดต่อเมื่อเห็นเอคิวที่ยังคงจ้องหน้าเขานิ่งไม่พูดไม่จา
“เอ่อ..นายคือใคร?” เอคิวที่ตั้งสติได้ก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าน่าจะรู้เป็นอย่างแรกกับคนตรงหน้า
“เฮ้ย! พี่เล่นอะไรเนี่ย? พี่อัลจำผมไม่ได้หรอ?” ชายหนุ่มผมสีแดงทำหน้าตกใจที่คนร่างบางตรงหน้ายังคงเล่นตลกกับเขาทำเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน
“ไม่นะ ฉันไม่รู้จักคนอย่างนาย” เอคิวที่มั่นใจว่าไม่รู้จักคนตรงหน้าก็พูดตอบหน้าตาย
“เมื่อกี้นายเรียกหมอนี่ว่าอะไรนะ?” น้ำเย็นที่อดสงสัยไม่ได้ก็เอ่ยถามในสิ่งที่แม้แต่เขาเองยังงงว่าญาติของเขาไปรู้จักคนๆนี้ได้ยังไง
“นายเป็นใคร?” ชายหนุ่มผมสีแดงย้อนถามน้ำเย็นเสียงเรียบแล้วจ้องมองมาอย่างจับผิด
“ฉันชื่อ น้ำเย็น รู้จักกันแล้วนะ งั้นนายก็ตอบมาว่าเรียกหมอนี่ว่าอะไร?”
“ใครถามชื่อ? ไม่ต้องมาอ่อย ฉันไม่สนนายหรอกนะ” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทและทำหน้าตาล้อเลียนใส่น้ำเย็นที่ยืนกำหมัดสงบสติอารมณ์ไม่ให้ต่อยคนตรงหน้าที่อาจจะเป็นเจ้าของบ้านที่เขาต้องมาอาศัยคืนนี้
“ฉันถามนายดีๆนะ ทำไมต้องกวนด้วยว่ะ ?“ น้ำเย็นกัดฟันกรอดแล้วแล้วพูดกับชายหนุ่มผมสีแดงที่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้
“ฉันไม่ได้กวนนะ ฉันยืนพูดเฉยๆ” ชายผมสีแดงยังคงพูดกวนอารมณ์น้ำเย็นและลอบยิ้มที่เห็นปฏิกิริยาของน้ำเย็นที่ดูท่าจะของขึ้นเต็มที่
“โว้ย! ไม่ยงไม่เย็นแมร่งแหละ จัดให้สักทีเลยเหอะ” น้ำเย็นโวยวายอย่างหัวเสียแล้วกำลังจะเข้าไปต่อยหน้าชายหนุ่มผมสีแดงที่ยืนนิ่งแล้วส่งยิ้มกวนประสาทมาให้
“เฮ้ยๆๆ หยุดเหอะว่ะ เดี๋ยวเขาก็ไล่มึงออกจากบ้านหรอก แล้วคืนนี้มึงกับกูจะไปนอนที่ไหนล่ะว่ะ” เอคิวรีบเข้าไปดึงตัวน้ำเย็นที่ดิ้นแล้วพยายามจะเข้าไปต่อยชายหนุ่มผมสีแดงที่ยังอารมณ์ดีส่งยิ้มมาให้เขาไม่หยุด
“ฮึ่ย! กูเกลียดมัน โดยเฉพาะหน้ามันด้วย” น้ำเย็นที่เห็นท่าทางกวนอารมณ์ของชายหนุ่มผมสีแดงก็พาลเกลียดคนตรงหน้า
“หึ! หน้าฉันหล่อล่ะสิ พี่อัลไม่ต้องไปคุยกับหมาบ้าหรอก พาไปฉีดยาเลยดีกว่า เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น”
“มึงหุบปากเน่าๆของมึงไปเลยนะ มึงเห็นไหม? ไอ้เชี้ยนี่มันด่ากูเป็นหมาอ่ะ” น้ำเย็นอารมณ์ขึ้นทันทีที่ได้ยินชายหนุ่มผมสีแดงว่ากระทบเขา แล้วหันไปพูดใส่เอคิวที่ยังคงดึงแขนเขาอยู่
“พอทั้งคู่เลย! มึงจะโมโหทำไมว่ะ ยอมรับว่าเป็นหมาหรือไง ห๊า! ส่วนไอ้หอมแดง...ก็หยุดปากเน่าใส่ญาติกูคงไม่ตายหรอกมั้ง” เอคิวที่ทนไม่ไหวก็หันไปอาละวาดน้ำเย็นที่บ้าโมโหกับคำพูดของชายหนุ่มผมสีแดงแล้วก็หันไปว่าชายหนุ่มผมสีแดงเช่นเดียวกัน
“ใครคือหอมแดง?” ชายหนุ่มผมสีแดงทำหน้างงใส่เอคิว
“ก็มึงไง หล่อแต่โง่ เสียชาติเกิด เหอๆ” น้ำเย็นว่าประชดประชันชายหนุ่มผมสีแดงทันทีที่มีโอกาส
“มึงก็หยุดได้แหละ ส่วนนาย...ฉันไม่ได้ชื่อ อัล แต่ชื่อ เอคิว” เอคิวหันไปปรามญาติของตนแล้วหันไปจ้องชายหนุ่มผมสีแดงเขม็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่พี่ชื่ออัลนะ ฉันจำไม่ผิดหรอก”
“ทำไมนายถึงแน่ใจนัก?” เอคิวมองคนตรงหน้าที่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่
“ก็พี่เป็นพี่สะใภ้ของผมนี่” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบออกไปด้วยสีหน้างุนงงที่เอคิวถามนั้นเหมือนเป็นเรื่องประหลาด
“พะ..พี่สะใภ้หรอ?” เอคิวถามคนตรงหน้าย้ำอีกรอบเพื่อต้องการความมั่นใจในสิ่งที่ตนได้ยิน
“ใช่สิ! พี่เป็นเมียของพี่ชายผมก็ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้สิครับ” ชายหนุ่มผมสีแดงตอบราวกับเป็นเรื่องปกติแล้วส่งยิ้มมาให้เอคิวก็ยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“มะ...มึง มึงมีผัวแล้วหรอว่ะ ไอ้คิว” น้ำเย็นหันไปถามเอคิวทันทีที่ได้ยินคำยืนยันครั้งที่สองพร้อมกับเอคิว
“ผัวมึงนะสิ กูไม่มีผัวเว้ย!” เอคิวหันไปบอกกับน้ำเย็นที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาสงสัย
“อ้าว! นี่มึงแอบปล้ำกูหรอ? ไอ้เลว” น้ำเย็นหันไปด่าเอคิวทันที
“โธ่! ไอ้ฟราย ถ้าปล้ำมึง กูยอมนอนกับเห็บหมาอ่ะ แล้วมึงเชื่อหรอว่ากูมีผัว กูเป็นแมนเต็มร้อยเว้ย!”
“เอ้า! ใครจะไปรู้ล่ะ หน้าตาอย่างมึงน่าจะมีผัวนี่หว่า”
“ไอ้น้ำ!” เอคิวตะโกนใส่น้ำเย็นที่ยังคงเชื่อว่าเขามีสามีแล้วอย่างที่ชายหนุ่มผมสีแดงพูดเต็มที่
“พี่อัลทะเลาะกับพี่ชายผมมาหรือเปล่าเนี่ย?” ชายหนุ่มผมสีแดงพูดขึ้นด้วยความข้องใจที่เห็นร่างบางตรงหน้าอารมณ์เสียเมื่อเขาบอกว่าเป็นพี่สะใภ้
“ไอ้หอมแดง มึงจำไว้เลยนะ กูชื่อ เอคิว ไม่ใช่อัลบ้าบออะไรนั่น” เอคิวก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มผมสีแดงแล้วพูดเสียงเย็น แต่ชายหนุ่มผมสีแดงก็ยังยืนมองหน้าของเอคิวแล้วขมวดคิ้วคิดหนัก
“ฉันไม่ได้ชื่อหอมแดงนะ พี่อัลมั่วว่ะ” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ยตอบเอคิวอย่างหยอกล้อแล้วยังคงเรียกเขาด้วยชื่อของพี่สะใภ้ทำให้เอคิวที่กำหมัดกลั้นอารมณ์อยู่ก็ง้างหมัดจะต่อยหน้าคนตรงหน้าที่พูดไม่เรื่อง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงดุของแม่บ้านพูดดักเอคิวที่กำลังจะต่อยหน้าคุณชายของบ้านแล้วพลางส่งสายตาตำหนิไปให้เอคิว
“คุณหนูก็เหมือนกันนะคะ คุณคนนี้เขาไม่ใช่คุณอัล แต่เขาชื่อเอคิวนะคะ” แม่บ้านเดินเข้ามาตรงที่สามหนุ่มกำลังจะมีเรื่องชกต่อยกันแล้วเอ่ยดุคุณหนูของบ้านที่ตอนนี้ทำหน้าหงอยเมื่อโดนดุ
“คุณอัลหรอครับ?” น้ำเย็นถามขึ้นเมื่อเห็นแม่บ้านพูดชื่อของคนๆนี้ด้วยความเคารพ
“คุณอัลมอนด์เป็นพี่สะใภ้ของคุณหนูค่ะ”
“อัลมอนด์!!” เสียงเอคิวและน้ำเย็นเบิกตาโพล่งแล้วร้องออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินชื่อเต็มๆของคนที่เป็นพี่สะใภ้ของนายหัวแดงกวนประสาทนั่น
“เอาล่ะตอนนี้มันก็ดึกมากแหละ พวกคุณไปพักผ่อนเถอะคะ ดิฉันจัดห้องไว้ให้แล้ว” แม่บ้านพูดตัดบทไม่ให้ใครได้เอ่ยถามอะไรต่อแล้วเดินนำแกมบังคับให้เอคิวและน้ำเย็นเดินตามไปตรงบันได
“แล้วเจอกันใหม่นะ เอคิว” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ยขึ้นเสียงเย็นจนเอคิวต้องขมวดคิ้วแล้วหันหลังไปมองชายหนุ่มผมสีแดงที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่ทันใดนั้นเอคิวก็ต้องเบิกตาโพล่งขี้นเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินอ่อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้วยังแสยะยิ้มส่งมาให้เอคิวทีตกใจยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
“เฮ้ย! เป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นหยุดเดินแล้วหันมาถามเอคิวที่ไม่ยอมเดินตามมาด้วยความเป็นห่วงกับท่าทางแปลกๆนั้น
“เปล่า” เอคิวหันตอบน้ำเย็นเสียงเบา ขณะที่เอคิวกำลังจะเดินขึ้นบันไดก็อดที่จะหันมามองชายหนุ่มผมสีแดงอีกครั้งไม่ได้ แต่เขากลับเห็นเพียงดวงตาสีน้ำเงินอ่อนที่พราวระยับและรอยยิ้มสวยเท่านั้นที่ส่งมาให้เอคิวพร้อมกับมือที่โบกลาเขาอยู่ที่เดิม
ห้องนอน [เอคิว & น้ำเย็น]
เมื่อเอคิวและน้ำเย็นเข้ามาให้ห้องนอนโทนสีน้ำตาลอ่อนและตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สลักลวดลายสวยงามประณีตก็อดที่จะชื่นชมการตกแต่งของเจ้าของคฤหาสน์ไม่ได้ ถ้าไม่นับรูปวาดสงครามระหว่างเทพกับปีศาจที่แขวนอยู่บนหัวเตียงนอนที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากันกับห้องนอนเอาซะเลย
“มึงว่าที่นี่มันแปลกๆหรือเปล่าว่ะ?” น้ำเย็นเอ่ยถามเอคิวทันทีอย่างอดสงสัยต่อไปไม่ไหว
“แปลกยังไงว่ะ?”
“เอ้า! มึงก็ดูที่นี่สิว่ะ วันนี้มีคนเรียกมีงว่าอัล 1 ตน กับอีก 1 คนแล้วนะ แล้วยังมาเจอคฤหาสน์ที่มีสวนประหลาดในสวนวงกตนี่อีก แล้วกูยังสงสัยว่าพี่สะใภ้หมอนั่นจะใช่อาอัลหรือเปล่าว่ะ?”
“เออ..ก็จริงว่ะ เรื่องของพ่อกูต้องรู้ให้ได้ แต่ไอ้เรื่องสวนนี่กูไม่เถียง เพราะรสนิยมส่วนตัวเขา”
“แล้วมึงว่าไม่แปลกหรอ?”
“แปลก มึงน่ะแปลก สงสัยแต่ลุกลี้ลุกลนจนเขารู้กันหมดแหละว่ามึงยุ่งเรื่องของเขาน่ะ” เอคิวว่าน้ำเย็นที่ชอบใจร้อนและลุกลี้ลุกลนทุกครั้งที่เห็นสิ่งผิดปกติ
“อ้าว! ก็กูไม่ชอบมีความลับนี่หว่า สงสัยก็ต้องถามจะได้กระจ่างใจ”
“กระจ่างบ้าอะไรว่ะ เล่นโวยวายลั่นขนาดนั้นอ่ะนะ” เอคิวว่าประชดชันน้ำเย็นที่ยังคงไหลลื่นไปเรื่อยไม่ยอมรับกับนิสัยใจร้อนของตนเอง
“เออๆ กูเปิดเผยไง มีอะไรป่ะ? มึงไปอาบน้ำก่อนเลย กูขอสำรวจก่อน”
“โห! สำรวจ? อย่างมึงต้องเรียกว่า ไอ้รื้อบรรลัยโลกอ่ะ” เอคิวยว่าประชดประชนแล้วส่ายหน้าอ่อนใจ
“ปากไม่น่ารักเลย” น้ำเย็นหันไปส่งสายตาค้อนเอคิวที่ว่าประชดชันตนแล้วเริ่มเดินรอบห้องดูตรงโน้นทีตรงนี้ทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าห้องนี้จะมีอะไรให้เขาตกใจนอกจากรูปวาดสยองเหนือหัวเตียงนอนอีกหรือเปล่า ส่วนเอคิวก็คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้น้ำเย็นที่เดินทั่วห้องจนมาหยุดอยู่ที่ประตูกระจกตรงระเบียงเล็กของห้อง ผ้าม่านสีน้ำตาลลายสีทองบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมด้านนอกจนน้ำเย็นที่กำลังจะเดินไปปิดประตูกระจกตรงระเบียงต้องชะงักเมื่อเขามองเห็นอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เหมือนกำลังเลื้อยอยู่ในสวนผ่านต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้เตี้ยในสวนของคฤหาสน์ แต่พอน้ำเย็นจ้องมองก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจที่เจ้าตัวนั้นมันกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
ทักทายกันหน่อย....
สวัสดีวันครบรอบวันดองแห่งชาติ ไม่ใช่แหละ!(หรือว่าใช่?) น่าจะเปลี่ยนนามปากกาไปเป็น...ดองกันหน่อย..หึๆ ต้องขอโทษอย่างแรงเลยนะที่ไม่ได้มาต่อตอนที่ 1 ปล่อยให้คนอ่านรอจนเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงาอยู่หลายสัปดาห์ แต่พอมาดู เอิ่ม! ก็มีคนอ่านนะ ทำไมไม่ต่อตอนที่ 1 ให้จบซะที วันนี้เลยมาต่อให้ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะจ๊ะ มีคำผิดหรือคำวิจารณ์ใดๆ ข้า้น้อยขอน้อมรับเจ้าค่ะ...โปรดติดตามตอนต่อไป อะเชิ้บ!...อะโช้บ!..อะโช๊! \(^-^)/(^/\^)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ