ฝุ่น(Yuri)
เขียนโดย silent
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.23 น.
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 04.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) หมา-ลัย/มหา-ลัย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
หมา-ลัย/มหา-ลัย
ทั้งสองเดินมาที่ลานหน้าตึก ก็พบชายวัยกลางคนยืนยิ้มยิงฟันให้อยู่แล้ว
“อ้าว ลุงป่วน หายดีแล้วหรือคะ” น้ำเสียงรพิชอ่อนหวานและนอบน้อมจนหญิงสาวอีกคนต้องหันมามอง
“จ้า หายแล้ว ขอบใจหนูมากนะที่ขับรถแทนลุงเมื่อวันก่อน...” ชายวัยกลางคนที่ชื่อว่าลุงป่วนกล่าวขอบอกขอบใจ หัวเราะฮ่าๆให้อย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรค่ะ คนบ้านเดียวกัน” รพิชเองก็ยิ้มให้อย่างเป็นเองจนนภัสราแปลกใจ
ไอ้บ้าห้าร้อยจอมเผด็จการเมื่อเช้าหายไปไหนแล้วนะ?
หล่อนคิด
ทำไมเหลือแต่ผู้หญิงที่ท่าทางอารมณ์ดีคนนี้ไว้ล่ะ??
“เอ้า! คุณ ขึ้นรถสิ จะยืนรออะไรอีก” พอรพิชหันไปพูดกับนภัสรา ลุงป่วนก็เหวอเล็กน้อย เพราะคุณหนูเป็นน้องเล็กสุดในบ้าน ทุกคนประคบประหงมอย่างดี ไม่กล้าพูดดังด้วยซ้ำ กลัวนภัสราจะกระเทือน!
“รู้แล้วน่า” นั่นยิ่งแปลกหนัก...ปกติคุณหนูเชื่อฟังแต่คุณวิลเลียม อันที่จริงก็แค่บางครั้งด้วยซ้ำไป ไม่น่าเชื่อว่าจะมาว่าง่ายกับคนใช้ในบ้านคนหนึ่ง...
คนใช้หรือ...
ชายวัยกลางคนเริ่มสำรวจรพิช
บุคลิกมาดมั่น เดินเหินหลังตรง ไหลผึ่งบ่งบอกถึงความมั่นใจสูง ใบหน้าเรียมเหลี่ยมนั้นเชิดขึ้นในองศาที่พอดี ดวงตาเรียวดุจเหยี่ยว มักมองคนด้วยหางตา ผิวพรรณเรียบเนียนไม่หยาบกร้าน
ดูดีเกินกว่าจะเป็นพม่า
หรือถ้าเป็นพม่า ก็คงจะเชื้อพระวงศ์ละวะ ดูดีขนาดนี้!!
“ไปเถอะลุง เดี๋ยวสาย” เสียงของรพิชทำให้คนขับรถกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“เออ ๆ” ลุงป่วนรับคำงึมงำ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงร้องแหลมๆดังรัวติดกันสามครั้ง ก่อนที่นภัสราจะยกเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำห้อยสายตุ้งติ้งขึ้นมา
“อุ้ย!ถึงนั่นเลยเหรอ” เสียงพึมพำเบาๆของนภัสรา ทำให้รพิชขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะแย่งสิ่งนั้นมาอยู่ในมือ
“ไอ้นี่มัน...” เขาจับเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมพลิกไปพลิกมา ก่อนจะอ่านตัวเลขที่อยู่บนจอ
“อะไรวะเนี่ย...”
“เพจเจอร์ไง เพจเจอร์ เอามาได้แล้ว” หล่อนแย่งกลับไป เขาก็รู้หรอกนะว่ามันคือเพจเจอร์ แต่ด้วยความที่ไม่ได้ใช้มานาน ก็ทำเอาเขาลืมวิธีสื่อสารไปเหมือนกัน
“เอ้าลุง ออกรถได้แล้ว” นภัสราหันไปสั่งลุงป่วน บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ขณะที่รพิชก็นึกอะไรออก
“ลุง...ไปด้วย” พูดจบก็เปิดประตูขึ้นรถไปนั่งข้างคนขับ ไม่นำพาต่อสายตาตกตะลึงของลุงป่วนสักนิด
“ไป...ไปทำไม?” กลับเป็นคนด้านหลังที่อดรนทนไม่ไหว ถามขึ้นด้วยเสียงห้วนๆ
“ถามได้ ก็ไปคุมคุณเข้าห้องเรียนน่ะสิ”
“จะบ้าเหรอ จะทำไปทำไม?” หล่อนว่าเสียงแหลม
“ในเพจเจอร์เมื่อกี้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ...” เขาหรี่ตาลง ขณะที่หล่อนหลบตาอย่างหลุกหลิก
“จะหนีเที่ยวกันล่ะสิ!” นภัสราตาโตมองหน้าเขา พอเห็นท่าทีมั่นใจก็กลั้นหัวเราะ ทั้งโล่งอก ทั้งขัน
นึกว่าจะรู้จริงๆเสียอีก
“เออ ใช่ ทำไมล่ะ” เมื่อเขาว่าแบบนั้นก็รับสมอ้างเสียหน่อย...ดีกว่าปล่อยให้รู้ความจริงล่ะน่า
“ฝันไปเถอะ!” เขาถลึงตาให้อย่างหงุดหงิด...หน้าตาก็ดี ทำไมนิสัยเป็นแบบนี้นะ?
นภัสราเบ้ปาก ก่อนจะหันไปสนใจกับสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่าง ทิ้งให้ลุงป่วนนั่งเงอะงะ จะไปไม่ไปดีอยู่ที่เดิม
“นั่งเฉยอีก ออกรถสิลุง” ชายวัยกลางคนสะดุ้ง รับคำแล้วสตาร์ทรถทันที
รพิชเองก็นั่งมองออกนอกหน้าต่างเช่นกัน แต่เป็นไปด้วยความใคร่รู้ มากกว่า เขายื่นหน้าแทบชิดกระจกด้วยความตื่นใจ มองโรงภาพยนตร์ยุคเก่า(ถึงจะไม่เก่ามากก็เถอะ) ถนนหนทางที่ยังไม่ได้เจริญอย่างในปัจจุบัน เขาแทบจะได้กลิ่นอายบรรยากาศยุคนี้เลยเชียว
“เป็นอะไรของเธอ เห็นสูดลมหายใจฟืดๆฟาดๆตั้งแต่เมื่อกี้นี่แล้ว” นภัสราถามพร้อมกับเหลือกตาเล็กน้อย พอแสดงให้รู้ว่าตกใจและสงสัย
“เรื่องของฉันน่า” เขาพ่นลมหายใจอย่างรำคาญ ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งภายนอกต่อ ทิ้งให้ลุงป่วนนั่งอึดอัดอีกตามเคย
สมัยนี้ ผู้คนยังไม่นิยมโทรศัพท์มากนัก เพราะมันทำได้แค่โทรเข้า-โทรออก หน่วยความจำซิมก็ยังไม่มี เรียกได้ว่าโทรศัพท์ไม่ใช่เครื่องมือบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารอย่างแท้จริง วัยรุ่นสมัยนี้จึงมีเพจเจอร์ห้อยติดกระเป๋ากางเกงยีนหรือกระเป๋ากันแทบทุกคน
เสียงติ๊ดๆ เตือนข้อความเข้าของเจ้าเพจเจอร์อันครึ่งฝ่ามือดังเข้าไม่หยุด เสียงกดโทร.ออกพร้อมฝากข้อความสั้นๆก็ดังถี่ ทำเอารพิชยกมุมปากอย่างเหนื่อยหน่าย …ทำไมไม่โทร.คุยกันเลยเล่า
สมัยนี้ สมัยไหน ไม่ต่างกันเลย
เจ้าเพจเจอร์นี่มันก็แค่เครื่องมือ “แชท” ที่ไม่ทันสมัยก็เท่านั้นเอง
“นี่คุณ ถ้าจะคุยกันนานแบบนี้ ไม่โทร.คุยกันเลยเล่า มาส่งเพจเจอร์คุยกันทำไม” อันที่จริง เพจเจอร์ก็แค่กล่องรับข้อความสั้นๆ ซึ่งต้องโทร.ไปหาศูนย์ Call Center ของระบบเครือข่าย เพื่อให้ ศูนย์นั้นๆ ส่งข้อความเข้าเครื่องของอีกฝ่าย
“ไม่เอา ค่าโทร.มันแพง”
แต่ที่หล่อนทำ ฉันว่าโทร.เอาจะคุ้มกว่านะ
เขาคิดอย่างเหนื่อยใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ตามนิสัยเดิมๆ...ขี้เกียจอธิบาย
เช้านี้รถในกรุงเทพก็เยอะ แต่ถ้าเทียบกับปัจจุบัน...ชนบทไปเลยนะเนี่ย
นั่งต่อมาไม่กี่นาที รถยนต์คันหรู(ในสมัยนี้ แต่โคตรจะเชยสะบัดในสมัยหล่อน) ก็จอดสนิทหน้าสถานศึกษาชั้นนำแห่งหนึ่ง
ลุงป่วนก้าวลงจากรถ กระวีกระวาดเปิดประตูให้นายสาวอย่างใส่ใจ แต่เจ้าหล่อนไม่คิดแม้แต่จะขอบคุณหรือสนใจ
ทั่วบริเวณที่เคยจอแจ เงียบเป็นเป่าสาก ทันทีที่นภัสราย่างเท้าลง ทุกสายตาหันมามองหล่อน ซึ่งเจ้าตัวก็หาได้ประหม่าแต่อย่างใด กลับเชิดหน้าขึ้นเดินอย่างสง่าและถือดี
อย่างที่เคยได้บรรยายไปแล้ว ว่านภัสราเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ตาโต หางตาเรียวเชิดอย่างนางหงส์ จมูกโด่งแข็งแรง และมีริมฝีปากอวบอิ่ม บอกไม่ถูกว่าสวยตรงไหน แต่พอทุกอย่างมารวมเป็นตัวนภัสราแล้ว หล่อนดูสวยและสง่างามมากจริงๆ
หล่อนไม่ได้บอบบางราวกับแก้วคริสตัล หรือ มียีนแบ๊ว(?) สะสมในตัวมากเกินไปจนต้องทำปากพองตาโปนและเอานิ้วจิ้มแก้มตัวเองอย่างโง่ๆแล้วถ่ายรูปลงโซเชียล แต่หญิงสาวมีความแข็งกระด้างและสวยงามในคนๆเดียว ทุกอย่างในตัวผู้หญิงคนนี้บ่งบอกถึงความไม่ยอมคน เธอแข็งมา ฉันตบกลับ เธออ่อนมา ฉันสง่างาม …หล่อนเป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น แน่นอนว่าหญิงสาวนามนภัสรา เธอสวยจนเพศเดียวกันหลอมละลายได้เลยทีเดียว...
แต่ถึงอย่างนั้น คนความรู้สึกช้าอย่างรพิชก็ยังไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้อยู่ดี ...
“คุณ!” เขาตะโกนเรียกอย่างไร้มารยาท ทำเอาคนสง่างามชะงักกึก หันมาตามเสียงเรียก
“ลืมกระเป๋าแน่ะ” พูดอย่างเดียวย่อมไม่ถือสา แต่ไอ้กิริยาโยนกระเป๋าหนังสีดำใส่หล่อนนี่มันหมายความว่ายังไง!!
“อ๊าย! ไอ้บ้าพิง” หญิงสาวพูดเสียงลอดไรฟันอย่างแค้นๆ
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เขาหัวเราะอย่างเป็นต่อ ก่อนจะหดหัวกลับเข้าไปในรถ ทิ้งให้หญิงสาวมองรอบตัวอย่างเคอะเขิน และอับอาย จนต้องรีบจ้ำไปหาเพื่อนสาวอย่างว่องไว
หญิงสาวจ้ำเดินพลางบ่นขมุบขมิบสาปแช่งคนที่โยนกระเป๋ามาให้เธอเมื่อครู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไอ้คนไร้มารยาทเอ้ย!” ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด จากสายตาที่เคยมองด้วยความชื่นชมกลายเป็นขบขัน...ชั่วชีวิตนี้ นภัสราไม่เคยเจอ!
“นี่เจ้าหญิง เลยแล้วเธอ” เสียงเรียกทำให้หล่อนหันขวับไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบเดินเข้าไปหา
“เหม่ออะไรน่ะป่าน เดินเลยไปโน่นเชียว” ฐิติกานต์ เอ่ยทักเจ้าหญิงแห่งคณะนิเทศศาสตร์ที่ทำหน้าตายู่ยี่เหมือนคนถ่ายไม่ออก
“ไม่ได้เหม่อแล้วล่ะส้ม ทำหน้าเหมือนกำลังแช่งใครมากกว่า” ลลิน เอ่ยกับฐิติกานต์พลางฉีกยิ้ม มองคนถูกนินทาที่หน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม
“ฉันว่านอนไม่พอมากกว่า ดูสิ...วันนี้มาเช้าเชียว” สินี สาวคนสุดท้ายเอ่ยขัด ยิ่งทำให้นภัสราตาลุกวาว เมื่อนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้า
“นั่นสิ วันนี้มีเรียนเก้าโมง ปกติเจ้าหญิงต้องมาตอนจบคลาสแรกไปแล้วนะ” ฐิติกานต์วางนิตยสารเล่มดังลงบนโต๊ะหินอ่อนแล้วหันมาสนใจเพื่อนที่ทำหน้าเป็นดอกบัวตูมอยู่ตอนนี้
กลุ่มเพื่อนของนภัสราประกอบไปด้วย ฐิติกานต์ หรือส้ม หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวคม จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบ ดูโฉบเฉี่ยวร้อนแรง
ลลิน หรือ หนูลิน สาวร่างเล็ก เครื่องหน้าจิ้มลิ้มดูเหมือนตุ๊กตาคริสตัลมากกว่าจะเป็นคน
สินี หรือ น้ำ หญิงสาวสูงตามมาตรฐานหญิงไทย หน้าคม ผมสีดำสนิทยาวสลวย ดูราวกับนางในวรรณคดี
กลุ่มนี้ถูกขนานนามว่ากลุ่ม “นางฟ้า” เพราะสวยกันทั้งกลุ่ม แต่มีเพียงนภัสราที่มักถูกเรียกว่าเจ้าหญิง เพราะรูปร่างหน้าตารวมถึงอุปนิสัย ไม่ได้มี “อะไร” ใกล้เคียงกับเศษเสี้ยวนางฟ้าเลยแม้แต่น้อย
หล่อนสง่างาม สวย คม แข็ง วัตถุละลายใจ การเดินเหินดูภูมิฐานเหมาะจะเป็นเชื้อพระวงศ์มากกว่าคนธรรมดา
ยามที่ทั้งสี่อยู่พร้อมหน้ากัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมือนมีแสงสว่าง กับบรรยากาศนุ่มๆลอยวนอยู่รอบๆทั้งสี่
มันเป็น...บรรยากาศที่ดียิ่งกว่าทะเลหมอกบนดอยเสียอีก
น่าเสียดายเหลือเกิน ไม่ว่าชายหนุ่มจะสมบูรณ์แบบเพียงใด ก็ยังไม่มีใครสามารถคว้าดวงใจสาวทั้งสี่ได้เลยสักคนเดียว
เฮ้อ...จะอยู่เป็นโสดให้โลกเสียดายหรือหนู? (คำบ่นของหนุ่มๆ)
“ตกลงยังไงคะ เจ้าหญิง?” สามคนกับสายตาหกคู่จ้องเขม็งมาอย่างรอคำตอบ ทำเอานภัสราหลบตาหลุกหลิก...จะให้บอกจริงๆเหรอ ว่าโดนคนใช้โยนใส่อ่างอาบน้ำ?
“อยากมาเช้าบ้าง ไม่ได้หรือไง?”
“ไม่!” ทั้งสามตอบพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่มีทางเป็นไปได้” ฐิติกานต์เริ่มก่อน
“มันอิมพอสสิเบิ้ลเกินไป” หนูลินตามบ้าง
“ไปหลอกแมวเถอะเจ้าหญิง” สินีเหยียดยิ้มแล้วพูด
ห๊ะ?...ทำไมต้องเป็นแมว?
“พวกเธอนี่นะ!” หล่อนชักจะเคืองๆแล้วนะ! เป็นเพื่อนภาษาอะไร(รู้จักกันดีแบบนี้)
“เป็นเพราะหนุ่มหน้ามนเมื่อเช้าอ้ะเปล่า?” หนูลินหรี่ตาโตๆของตัวเองลง พลางถามอย่างมีเลศนัย
“ห๊ะ? หนุ่ม??” หนุ่มที่สุดในรถเห็นจะมีแต่ลุงป่วน...แต่พวกนี้ก็รู้จักนี่นา(ที่สำคัญ ลุงป่วนไม่ได้หน้ามนด้วย)
“เก๊าะ...คนที่โยนกระเป๋าให้เจ้าหญิงเมื่อเช้าไง หล่อมากก” หนูลินลากเสียงยาว ขณะที่อีกคนนั่งมองรอคำตอบ
“ไอ้นั่น...” มันเป็นผู้หญิง
“อือๆ” หนูลินพยักหน้าแบบ น่ารัก โมเอะสุดๆ
“ข่าวเร็วจังนะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ทำเป็นถามเรื่องอื่น
“เจ้าหญิงเป็นคนดังนี่นา” หนูลินตอบ ยื่นนิ้วมือเขี่ยวนๆกับโต๊ะ
“เรื่องเพิ่งเกิดเมื่อสามนาทีที่แล้ว?”
“...”
“ข่าวมันมาพร้อมๆกับที่เจ้าหญิงเดินมานั่นแหล่ะ” ฐิติกานต์พยักเพยิดไปทางสิ่งแวดล้อมมนุษย์ ประมาณว่า พอเธอเดินเมื่อไหร่ ข่าวก็มาแบบปากต่อปาก
“อ่า...เขาว่า ผู้ชายคนที่ส่งกระเป่าให้เจ้าหญิงหล่อมาก โยนกระเป๋าให้เจ้าหญิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสุดโรแมนติก ส่งสายตาพร้อมความรักมาให้ ส่วนเจ้าหญิงก็รับกระเป๋าพร้อมกับตะโกนบอกรักแบบว่า...”
เดี๋ยวนะ! ...ฉันไปทำแบบที่ว่าตอนไหน??
“หนูลินบ้าไปแล้ว” สินีเบ้ปากใส่คนหน้าเหมือนตุ๊กตา ที่ตอนนี้ดวงตาฉ่ำเยิ้ม ในหัวหนูลินตอนนี้น่าจะมีฉากโรแมนติกสุดวาบหวิวอยู่เป็นแน่แท้
“ประเด็นคือ...มีคนแปลกหน้า มาสนิทกับเจ้าหญิงโดยที่เราไม่รู้...” สินียกนิ้วชี้เรียวๆขึ้นมาชู
“เจ้าหญิงปิดบังเรา” ฐิติกานต์ชะโงกหน้าเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
“คือ...”
“คนใช้เนี่ยนะ?” ลลินกลับมาอยู่กับโลกปัจจุบัน พร้อมทวนคำเสียงสูงปรี๊ด
“ใช่...ผู้หญิงด้วย”คนฉายาเจ้าหญิงเอ่ยสำทับ
“ผู้หญิงด้วย!” สินีและลลินทวนพร้อมกันด้วยน้ำเสียงสูงแบบ...สูงกว่าเมื่อกี้เยอะ
“ผู้หญิง...”น้ำเสียงเนือยๆมาจากฐิติกานต์ที่เริ่มตะไบเล็บตัวเอง
“แต่เขาบอกว่าหล่อนี่นา จะเป็นผู้หญิงไปได้ยังไง” หนูลินเถียง ทำเอานภัสราถอนหายใจเฮือก
“เขาบอกด้วยนี่ว่าฉันไปตะโกนบอกรัก บ้าหรือเปล่า...ฉันเนี่ยนะ จะทำอะไรแบบนั้น” ข้อนี้ทั้งสองเห็นด้วย ยกเว้นลลินที่ยังคงตั้งป้อม วางนภัสราไว้เป็นนางเอกในฉากโรแมนติกวาบหวิวของตัวเอง
“มีความเป็นไปได้...เหมือนเกมไข่สองบาทห้าสิบสินะ” เกมที่ฐิติกานต์ว่า คือเกมที่มีผู้เล่นไม่ต่ำกว่าสิบคน ยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ระยะช่องไฟหนึ่งศอก ให้คนแรกกระซิบว่า
ไข่หนึ่งใบสองบาทห้าสิบ สองบาทห้าสิบได้ไข่หนึ่งใบ
วนไปจนครบสิบคน แล้วคนที่สิบจะมาบอกว่าตัวเองได้ยินอะไรมา
คราวที่พวกหล่อนเล่น(สมัยประถม) คนที่สิบบอกว่า
ไข่สองใบหนึ่งบาทห้าสิบ ห้าสิบสองบาทหนึ่งใบ?
สรุปว่าอะไรก็ไม่รู้ มั่วไปหมด
“ก็งั้นซิ” นภัสราสนับสนุน
“แต่ว่านะ...ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย อย่างน้อยๆเขาก็โยนกระเป๋าใส่เจ้าหญิง...พวกเรายังทำแบบนั้นไม่ได้เลยนะ” สินีเถียงขึ้น
“...” ข้อนี้หญิงสาวจนข้อโต้เถียง
“ประเด็นสำคัญ...”
“มีคนมาตีสนิทกับเจ้าหญิงโดยที่เราไม่รู้!” ทั้งสามประสานเสียงกันพูด ทำเอาเจ้าหญิงถอนหายใจเฮือก
คนภายนอกมองทั้งสามว่าเป็นเพื่อนก็จริง...แต่ไม่รู้ทำไม สามคนนี้ถึง ปาวารนาตัวเองเป็น พ่อ-แม่-องครักษ์-พี่สาว-น้องสาว-คนดูแล—สารพัดจะเรียก ได้ก็ไม่รู้
“พวกเธอสามคนต้องการอะไรกันแน่?”
“เราอยากรู้จัก” ฐิติกานต์เริ่ม
“ผู้หญิงคนนั้น” ลลินตามอย่างรู้งาน
“ให้มากกว่านี้” สินีปิดท้าย
“จะเก้าโมงแล้ว” ฐิติกานต์เอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เย็นนี้เราจะไปบ้านเจ้าหญิงนะ” ลลินพูดพลางลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าตัวเอง
“เฮ้ย! แล้วนัดเย็นนี้ล่ะ” นภัสราร้องอุทานตกใจ ก่อนจะทวงถามกำหนดการที่ทั้งสี่นัดกันก่อนหน้านี้
“เลื่อน” สินีพูดหน้านิ่งลุกขึ้นยืนตามฐิติกานต์และลลิน
“เลื่อนได้ไง พวกเธอก็รู้ว่าพี่วินไม่อยู่ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหน” ทั้งสามไม่ฟังเสียง ฉุดนภัสราลุกขึ้น
“ไปเรียนเถอะเจ้าหญิง”
“เถียงไปก็เท่านั้น”
“ไม่รอดหรอก”
...โอ...สามัคคีกันเกินไปแล้ว...
เอวัง เรื่องนี้สิ้นหวังแล้วสินะ
เจ้าหญิงคอตก
ลุงๆ เดี๋ยวฉันไปซื้อไอติมหน่อยนะ” หญิงสาวร้องบอกลุงป่วน เมื่อเห็นไอศกรีมแท่งขายอยู่ริมทาง
ดวงตาสีเข้มเป็นประกายระยิบ
“เออๆ ไปเถอะ” ลุงโบกมือไล่
รพิชก้าวลงจากรถ เดินไปซื้อไอศกรีมที่ตัวเองหมายตาไว้
ไอศรีมร้านนี้เป็นเพียงรถเข็นแบบขาจร อาจจะดูแปลกนิดหน่อยที่อยากกินของเย็นๆเช้าขนาดนี้
“พ่อขา หนูอยากได้รสนี้ รสนี้ แล้วก้อรสนี้” เสียงใสๆเอ่ยแจ้วๆ พลางชี้นิ้วลงบนโถไอศกรีมแสตนเลส
“ไม่ได้ครับ ได้แค่รสเดียว” คนเป็นพ่อย่อตัวลงบอกลูกสาว
“ก็หนู อยากได้หมดนี้ๆๆๆ เลยนี่นา” สาวน้อยเริ่มงอแง
“หนูกินไม่หมดหรอกครับ”
“หมดค่า”
รพิชยืนยิ้ม มองดูสองพ่อลูกที่ยืนเถียงกันอยู่ ก่อนจะสะท้อนใจ
หล่อนไม่เคยมีช่วงเวลานั้นเลย...
สองพ่อลูกนั้นเดินจากไปแล้ว แต่แววตาหล่อนก็ยังไม่เลิกเศร้า
“รับอะไรคะ” แม่ค้าเอ่ยถาม รพิชจึงดึงความสนใจของตัวเองมาอยู่ที่ของหวานหลากสีเบื้อหน้า
“ทุเรียนค่ะ” รพิชชี้ไปที่เนื้อไอศกรีมสีเหลืองนวล...หญิงสาวมองอย่างตื่นเต้น คิดถึงสุดๆ ไอศกรีมรสนี้
“เท่าไหร่คะ”
รพิชก้มลงหยิบเงินจากกระเป๋ากางเกง เมื่อแม่ค้าบอกราคา ใจเขาวูบหน่อยๆเพราะราคามันถูกเหลือเกิน
“นี่ค่ะ” หล่อนรับเจ้าแท่งสี่เหลี่ยมสีเหลืองนวลมา พลางแกะพลาสติกออก
“พี่ๆ” เสียงเล็กใสๆพร้อมกับแรงกระตุกที่ชายเสื้อ เรียกให้เขาก้มลงมอง
“...” หญิงสาวตะลึงงันเมื่อเห็นร่างเล็ก
“พี่ๆ กินมั่ง” เด็กตัวน้อยชูมือไหวๆ พร้อมกับมองไอศกรีมในมือเขาด้วยแววตาหมายมาด
มือของเขายื่นลงไปโดยไม่รู้ตัว เด็กน้อยคว้าไว้อย่างดีใจ
“ว้าย! คุณหนู! ทำอะไรคะนั่น” เสียงวีดว้ายดังลั่น ก่อนที่ผู้คนจะแหวกเป็นทางให้เจ้าของเสียงวิ่งปุเลงปุเลงตรงมา
“ตายแล้ว เอาคืนเขาไปนะคะคุณหนู” เด็กสาวรูปร่างแบบบางหยิบไอศกรีมออกจากมือเด็กน้อย
หญิงสาวหรี่ตาลง ใบหน้าบิดเบี้ยว
“พี่สายใจ”
“คะ...” เด็กสาวเผลอขานรับเมื่อมีคนเรียกชื่อตน
“เอ๊!” หล่อนอุทาน เงยหน้ามองหญิงสาวซึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“อ่ะ...เอ่อ...ไอศกรีม” เขาชี้เบี่ยงประเด็น ทำให้เด็กสาวหันไปแงะแท่งไม้จากมือน้อยอวบอูมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไม่อาวอ่ะ ฮืออ จากิน เค้าจากินอายติม” เสียงร้องไห้เล็กๆนั่นร้องดังไปทั่ว ทำเอาหญิงสาวแทบอยากอุดหู
นี่ฉันเสียงแหลมขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?
รพิชถามตัวเองพลางทำหน้าเหยเห เมื่อตัวตนในวัยเด็กไม่ยอมหยุดร้องเสียที
“นี่คุณ..ไม่ต้องแล้วล่ะ ฉันไม่เอาแล้ว ให้เด็กไปเถอะ” พูดแล้วก็ยกมืออุดหู พอเด็กน้อยรพิชได้ยินดังนั้นก็หยุดร้อง แล้วกัลบมาแทะไอศกรีมต่อทันที
“สายใจ...สายใจ” เสียงนุ่มนวลอันคุ้นเคยดังขึ้นลั่นๆ ก่อนที่ร่างเล็กของคนคุ้นตาจะเดินตามออกมา
“คุณแม่!”
“ตายแล้ว สายใจ! ฉันบอกแล้วนี่ว่าหนูพิงเป็นหวัด ปล่อยให้กินไอศกรีมได้ยังไง” เสียงคุณนิตยาดุพี่เลี้ยงสาวดังขึ้น
“ทำยังไงได้ล่ะคะ คุณนิด คุณหนูไวอย่างกับปรอท กว่าหนูจะตามทัน คุณหนูก็ไปเอาไอติมของคุณคนนี้มาเสียแล้ว” ดวงหน้านวลของคุณนิตยาเงยหน้ามองรพิช ทำเอาหญิงสาวใจหายวาบ เพราะเกรงว่ามารดาจะจำเขาได้
“ขอโทษด้วยนะคะคุณ” น้ำเสียงนั่น ไม่มีวี่แววของการจดจำได้เลยแม้แต่น้อย ทำเอาเขาแอบถอนหายใจเฮือก จะว่าดีก็ดี แต่มันก็น่าน้อยใจตงิดๆ ที่มารดาจำหน้าลูกตัวเองไม่ได้แบบนี้
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มเจื่อนๆให้ รู้สึกตะขิดตะขวงเหมือนกันที่ต้องมาพูดกับแม่ตัวเองในวัยสาวแบบนี้
“ฉันซื้อคืนให้นะคะ” นิตยาทำท่าจะไปซื้อไอศกรีม แต่รพิชผวาห้ามไว้เสียก่อน
จังหวะที่สองมือแตะกัน เหมือนมีลมวูบหนึ่งไล้ร่างของนิตยาอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเธอตกใจ เผลอสะบัดมือทิ้ง
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” หญิงสาวขอโทษอ่อยๆที่เสียมารยาท ขณะที่รพิชยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่อยากทานไอศกรีมแล้วล่ะ ยังไงก็อย่าไปดุเขานะคะ” รพิชยิ้มเจื่อนๆให้ ก่อนจะหันหลังกลับ
ดวงหน้าคมเหยเก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเป็นหวัด เคยไปแย่งไอศกรีมคนแปลกหน้ากินจนถูกคุณแม่ตีเกือบตาย
พูดช่วยให้ได้มากที่สุดแล้วนะเนี่ย!
“เจ้าหญิง ไปบ้านเจ้าหญิงกัน” ลลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทันทีที่นภัสราเดินออกมาจากห้อง
“เอาจริงเหรอเนี่ย” หญิงสาวพึมพำแบบหมดอาลัย...ทั้งๆที่เย็นนี้พี่วินไม่อยู่แท้ๆเชียว ทำไมฉันต้องพลาดโอกาศดีๆเพราะยายต่างด้าวตัวแสบด้วยเนี่ย!
ทั้งสี่เดินไปยังจุดนัดพบประจำของคนขับรถบ้านนภัสรา ก็พบลุงป่วนยืนสงบเสงี่ยมคอยอยู่แล้ว
“อ้า ลุงป่วน!” หนูลินวิ่งกระหยองกระเหย็งไปหาชายวัยกลางคน พลางเรียกชื่ออย่างสนิทสนม
“อ้าว คุณหนูลิน” ลุงป่วนฉีกยิ้มให้อย่างใจดี
“ลุงป่วน หนุ่มหล่อล่ะ หนุ่มหล่อ?” คำถามของลลินทำเอาลุงป่วนอึ้งไปพักหนึ่ง
“หนุ่มหล่อ?” ลุงป่วนทวนคำถามอย่าง งุนงง
เป็นนิสัยของลลิน ที่มักจะพูดหรือถามอะไรที่ตัวเองเข้าใจได้คนเดียวเสมอ ทำเอาคนรอบข้างปวดหัวกันมาหลายรอบ ต้องเรียกเพื่อนสนิทอย่างสินี มาแปลไทยเป็นไทยให้ฟังกันอีกที
“คือ...คนเมื่อเช้าที่โยนกระเป๋าให้ป่านน่ะค่ะ” ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น ทั้งสามจะไม่เรียกนภัสราว่าเจ้าหญิง เพราะถือเป็นฉายาในกลุ่ม ไม่เหมาะนำมาใช้ข้างนอก
“ใช่ๆ ที่ตะโกนบอกรักน่ะ” หนูลินเสริมเพราะกลัวลุงป่วนจะไม่เข้าใจ...แต่อันที่จริง ลุงป่วนจะไม่เข้าใจเพราะหนูลินนี่แหล่ะ
“อ้า...คนที่โยนกระเป๋าน่ะมีครับ แต่คนที่ตะโกนบอกรัก เห็นทีผมคงไม่ทราบ...มันเกิดเรื่องแบบนั้นด้วยหรือครับ?” คำตอบของลุงป่วนทำหนูลินใจสลาย
“ไม่มีหรอกเหรอ...แย่จริงๆ”
แล้วถ้ามี มันดีตรงไหนยะ?!?
“นั่นแหล่ะค่ะ คนนั้น” ฐิติกานต์อดทนไม่ไหวที่จะให้พวกบ๊องมาดำเนินการ จึงลงมือเอง
“อ้อ ไอ้พิง...อยู่บ้านล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยหรอก”
“หูววว ชื่อพิง!” หนูลินทวนคำอย่างตื่นเต้น ซึ่งไม่รู้จะตื่นเต้นทำไม
“วันนี้ขอไปด้วยนะคะ จะไปทำรายงานกัน” ฐิติกานต์กล่าว ก่อนจะรีบขึ้นรถ ทำให้คนที่เหลือเดินตามไป ทิ้งลุงป่วนให้ งง งัน
“ไม่เคยเข้าใจคนสวยๆเลยน้อ” ลุงป่วนพึมพำอย่างระอาปนปลงตก
ใช้เวลาเกือบๆครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านหลังโตของนภัสรา เมื่อรถจอดเรียบร้อยทั้งหมดจึงพากันลงมา พลางบิดตัวเพื่อคลายความเมื่อย
“อุ๊ย! เสียงอะไรอ่ะ” เป็นหนูลินที่รู้ตัว ชะงักเงี่ยหูฟัง
“ไหนๆ” สินีพลางชะงักไปด้วย และหยุดนิ่งรอฟังเสียงนั้น
“เสียงกีต้าร์...พี่วินกลับมาแล้วหรือ?” นภัสราบ่นพึมพำ ประโยคสุดท้าย หล่อนหันไปถามคนขับรถอาวุโส ซึ่งชายวัยกลางคนก็ได้แต่ส่ายหน้า
“เสียงมาจากในสวน ไปดูกัน” ฐิติกานต์ที่เงียบมาตลอดเป็นฝ่ายเดินนำ ...สมเป็นสาวมั่น
ภาพที่ทั้งหมดเห็นคือคนร่างสมส่วนกำลังนั่งอยู่ในเก๋งจีนท่ามกลางสวนร่มรื่น ในมือมีกีต้าร์เก่าๆหนึ่งตัว ท่วงทำนองแว่วหวานจนต้องหยุดเดิน เพื่อไม่ให้เสียงใดไปกระทบมัน
Hey dad, look at me
พ่อคะ มองตาหนูหน่อย
Think back and talk to me
คิดกลับไป แล้วบอกหนูหน่อย
Did I grow up according to plan?
หนูโตขึ้นตามแบบแผนของพ่อหรือเปล่า
Do you think I'm wasting my time doing things I wanna do?
พ่อคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาหรือ เมื่อหนูทำในสิ่งที่อยากทำ
but it hurts when you disapprove all along
แต่มันเจ็บ...เวลาที่พ่อไม่พอใจ ไม่เคยพอใจ
And now I try hard to make it
และตอนนี้หนูพยายามที่สุดแล้ว ที่จะทำมันให้สำเร็จ
I just want to make you proud
หนูอยากให้พ่อภูมิใจ...ก็เท่านั้นเอง
I'm never gonna be good enough for you
แต่หนูไม่เคยดีพอ...สำหรับพ่อ
I can't pretend that I'm alright
หนูแกล้งทำว่าหนู ไม่เป็นไร ไม่ได้หรอก
And you can't change me
และไม่ว่ายังไง พ่อก็เปลี่ยนหนูไม่ได้
Cause we lost it all
เพราะว่า พวกเราเสียมันไปหมดแล้ว
Nothing lasts forever
ไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไปหรอกค่ะ
I'm sorry
หนูขอโทษ...
I can't be perfect
ที่หนูสมบูรณ์แบบไม่ได้
Now it's just too late and
ตอนนี้มันสายไปแล้ว
We can't go back
พวกเราไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้
I'm sorry
หนูขอโทษค่ะพ่อ
I can't be perfect
หนูไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมได้
I try not to think
หนูพยายามแล้วที่จะไม่นึกถึงมัน
About the pain I feel inside
ความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ข้างใน
Did you know you used to be my hero?
พ่อรู้ตัวไหม ว่าพ่อเคยเป็นวีรบุรุษในใจหนู
All the days you spend with me
วันเวลาที่พ่อใช้ไปร่วมกับหนู
Now seem so far away
ตอนนี้ รู้สึกเหมือนมันอยู่ไกลแสนไกล
And it feels like you don't care anymore
และมันให้ความรู้สึกเหมือน พ่อไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
And now I try hard to make it
ตอนนี้หนูใช้ความพยายามอย่างมาก
I just want to make you proud
หนูก็แค่อยากให้พ่อภูมิใจเท่านั้นเอง
I'm never gonna be good enough for you
หนูไม่เคยดีพอ สำหรับพ่อ
I can't pretend that I'm alright
หนูแกล้งแสดงต่อไปไม่ไหวแล้ว ว่าไม่เป็นไร
And you can't change me
และพ่อ เปลี่ยนหนูไม่ได้
Cause we lost it all
เพราะว่าเราเสียมันไปแล้ว
Nothing lasts forever
ไม่มีอะไรจะอยู่ได้ตลอดไป
I'm sorry
หนูขอโทษ
I can't be perfect
ที่หนูสมบูรณ์แบบไม่ได้
Now it's just too late and
ตอนนี้มันสายไปแล้วล่ะค่ะ
We can't go back
เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
I'm sorry
หนูขอโทษ
I can't be perfect
ที่หนูเป็นคนที่ดีพร้อมไม่ได้
Nothing's gonna change the things that you said
ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนสิ่งที่พ่อพูดได้
Nothing's gonna make this right again
ไม่มีอะไรต้องแก้ไขมันอีก
Please! don't turn your back
ได้โปรด! พ่อคะ อย่าหันหลังเลย
I can't believe it's hard
ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะยากขนาดนี้
Just to talk to you
แค่คุยกันเท่านั้นเอง
But you don't understand
แต่ว่า... พ่อไม่เข้าใจ
Cause we lost it all
เพราะ เราเสียมันไปทั้งหมด
Nothing lasts forever
ไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดกาล
I'm sorr
หนูเสียใจ
I can't be perfect
แต่หนูไม่สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
Now it's just too late and
ตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว
We can't go back
เรากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
I'm sorry
หนูขอโทษจริงๆค่ะ
I can't be perfect
ที่หนูไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ
เสียงเพลงทำนองเสร้าสร้อยจบลง เนื้อเพลงนั้น ทำให้นภัสราดวงตาทอแสงอ่อนลง เหมือนกับว่า...ในใจคนต่างด้าวคนนั้นซ่อนความเจ็บปวดลึกล้ำไว้ ตัวตนของเขาที่ช่างมั่นใจ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เขาก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งที่พยายามทำให้ครอบครัวภูมิใจ
กระทั่งคนที่แปลความหมายเพลงไม่ออกอย่างลุงป่วน ก็ยังรู้สึกได้ถึงความขมขื่นของคนบรรเลงเพลงนี้
ทั้งหมดนิ่งเงียบ
“อ่า...”หนูลินส่งเสียง ทำให้ทุกคนหันมามอง
“ขอได้ไหมผู้ชายคนนี้!!” นภัสราเหวอไปเมื่อได้ยินคำขอของเพื่อนสาว ใบหน้านวลแดงก่ำ
“ไม่ได้! อีกอย่าง หมอนั่นเป็นผู้หญิง เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไง!” หนูลินนิ่งเงียบ ทำให้หญิงสาววางใจว่าเพื่อนเธอคงเข้าใจแล้ว
“อ่า...” หนูลินส่งเสียงอีก
“งั้น ขอได้ไหมผู้หญิงคนนั้น!”
นั่นมันแค่เปลี่ยนสรรพนามเองนะ
“ไม่ได้ ยายนั่นเป็นคนใช้ฉัน!” หล่อนตะคอกหน้าตาแดงเถือก
“ งั้น ขอได้ไหมคนใช้คนนั้น!”
“โธ่เอ๊ย!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ